ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าโคกมน ~

[คัดลอกลิงก์]
71#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 20:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หมู่เพื่อนทราบความแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความเกรงใจในหลวงปู่มากขึ้น เพราะนอกเหนือรองลงมาจากท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว ก็ดูเหมือนว่า หลวงปู่จะเป็นที่พึ่งอาศัยทางรู้เห็นสิ่งลึกลับกายทิพย์แก่หมู่คณะได้ดีที่สุด ต่างองค์ก็เชื่อฟังคำท่านพระอาจารย์มั่นและหลวงปู่ มิได้พยายามย่างกรายไปใกล้บึงน้ำนั้นแต่ประการใด การอาบ การตักน้ำมาใช้ดื่มกินใช้สอย ก็พยายามไปหาจากหนองน้ำแห่งอื่น แม้จะไม่ค่อยสะดวก ด้วยอยู่ห่างไกลกว่า และดูไม่ค่อยสะอาดร่มรื่นเท่า แต่ก็แน่ใจได้ในความปลอดภัยกว่า

หลายวันต่อมาพระอาจารย์มั่นจึงอนุญาตให้พระลงอาบน้ำและใช้สอยน้ำในบึงดังกล่าวได้ คงจะไม่จำเป็นต้องกล่าวแต่อย่างใดว่า การนี้เป็นไปภายหลังจากที่ท่านได้ทรมานพญานาคเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว ให้ยอมตนเคารพท่าน และรับนับถือพระไตรสรณาคมน์

ทราบกันในภายหลังว่า

หลังจากเมื่อพญานาคยอมตนสิโรราบต่อท่านแล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นก็ถามเรื่องการพ่นพิษใส่ในบึงน้ำ ท่านตักเตือนเรียบ ๆ ว่า หากมีพระเณรหรือผู้ใดมาใช้น้ำพิษนี้แล้ว เกิดภัยอันตรายขึ้นก็จะเป็นบาปกรรมอย่างหนักแก่พญานาคโดยแท้ โดยเฉพาะโทษการล่วงเกินพระผู้มีศีลบริสุทธิ์นั้น คงจะไม่ต่ำกว่าการลงสู่ขุมนรก หากยั่นบาป ยั่นกรรม ก็ควรจะเร่งไปถอนพิษให้น้ำเป็นน้ำบริสุทธิ์ เป็นประโยชน์แก่ผู้สัญจรไปมาดังเดิม

พญานาคทั้งประหลาดใจและตกใจ...ประหลาดใจ ที่ว่าตนแอบทำ แต่ท่านพระอาจารย์มั่นและหลวงปู่ต่างล่วงรู้ได้ด้วยอำนาจความรู้ภายใน...ตกใจด้วยกลัวโทษทัณฑ์ในการล่วงเกินพระอริยเจ้า จึงได้กราบกรานขอสมาโทษ แล้วรีบไปถอนพิษโดยเร็ว

ท่านเล่าว่า แต่นั้นมา พญานาคคณะนั้นก็หมดทิฏฐิมานะ มีความเคารพเลื่อมใสศรัทธาในพระศาสนา ถวายตัวเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ปวารณาตัวรับใช้และถวายอารักขาท่านและหลวงปู่ ตลอดจนพระเณรทั้งปวงเป็นอย่างดี และเมื่อถึงโอกาสอันควรก็พากันมาฟังธรรมเสมอมิได้ขาด

http://www.dharma-gateway.com/mo ... lp-chob-hist-30.htm
72#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 20:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๓๑. เรื่องพญานาคอีกครั้ง

เรื่องนี้ความจริงควรจะบันทึกรวมไว้ในตอนที่ท่านวิเวกอยู่ในเขตอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ แต่โดยที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพญานาค จึงได้นำมาแยกบันทึกเป็นเรื่องรวม ต่อเนื่องกันไป กับชุดเกี่ยวกับพญานาค เพื่อความสะดวกในการเข้าใจ



ระยะนั้นเป็นเวลาหลังจากเสร็จสงครามโลกครั้งที่สองใหม่ ๆ ออกพรรษาแล้ว ท่านไปเที่ยววิเวกในเขตอำเภอแม่ริมกับ หลวงปู่ขาว อนาลโย บังเอิญได้พบกับ ท่านพระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ ซึ่งเคยเที่ยววิเวกกับท่าน และได้เคยจำพรรษากับท่านมาแล้ว ณ สำนักสงฆ์แม่หนองหาร ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ท่านจึงชวนกันไปวิเวกตามเขาและถ้ำซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านพอบิณฑบาตถึงได้ โดยมีพระอีกองค์หนึ่งร่วมไปด้วยรวมเป็น ๔ องค์ด้วยกัน

เขาลูกนั้นมีถ้ำอยู่ ๒ ถ้ำ แต่เป็นถ้ำที่อยู่สูงจากเชิงเขาขึ้นไปประมาณ ๑๕ วา ทางขึ้นชันมาก เวลาขึ้นไปต้องเอามือเหนี่ยวโหนต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นไป พระหนุ่ม ๒ องค์ คือ ท่านพระอาจารย์เหรียญและพระอีกรูปหนึ่งไปอยู่ในถ้ำ ส่วนหลวงปู่ขาว และท่านอยู่บนสันเขาชั้นล่าง ต่ำลงมาจากถ้ำหน่อยหนึ่ง

ท่านเล่าว่า การภาวนาดีมาก อากาศดีและสงัด ไม่มีอะไรรบกวน ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เขาลูกนั้น เมื่อทราบข่าวว่ามีพระธุดงคกรรมฐานมาพักบนเขาและถ้ำ ต่างก็พากันดีใจ ชักชวนกันมาทำแคร่ที่พักอาศัยให้ สำหรับน้ำใช้น้ำฉัน ก็ช่วยกันหาไม้ไผ่ขนาดลำใหญ่หน่อย มาผ่ากลาง เอาข้อออก ให้เป็นลำรางต่อกัน บนเขาลูกใหญ่นั้นมีน้ำพุผุดไหลมาออกตรงข้างเขา ชาวบ้านก็เอาลำรางไม้ไผ่นั้นไปรองรับน้ำให้ไหลมาไว้ที่หัวเขา และที่ถ้ำซึ่งพระอยู่ จัดเป็นระบบประปาธรรมชาติ ทำให้มีความสะดวก ไม่ต้องกังวลในการลงเขาขึ้นเขาไปลำเลียงน้ำใช้น้ำฉัน น้ำนั้นไหลมาแต่เขาซึ่งอุดมด้วยหินปูน จึงต้องนำมาต้มให้เดือดเสียก่อน ปล่อยให้เย็นจนตกตะกอนแล้วจึงกรองเอามาฉัน

อยู่ต่อมาวันหนึ่ง ระบบประปาธรรมชาติเกิดขัดข้อง ไม่มีน้ำไหลมาตามรางน้ำ ไต่สวนได้ความว่า รางน้ำไม้ไผ่ที่ชาวบ้านต่อมาให้ใช้ยังที่พักนั้น ถูกฟันเสียหายหลายจุด ทั้งนี้เพราะไม่กี่วันก่อนหน้านั้น พระที่อยู่ในหมู่บ้านเขาพากันสึกเสียหมด พร้อมทั้งคนในหมู่บ้านเจ็บป่วยกันหลายคน กำนันในตำบลนั้นไปปรึกษากับหมอผี หมอผีบอกว่าเป็นเพราะมีพระกรรมฐานมาอยู่บนเขาและในถ้ำ ผีที่อยู่ในถ้ำกลัวบารมีพระกรรมฐานอยู่ในถ้ำไม่ได้ จึงมารบกวนชาวบ้านให้เจ็บป่วย ถ้าจะให้ชาวบ้านหายเจ็บป่วย ต้องไล่พระกรรมฐานไป กำนันตำบลนั้นจึงประกาศห้ามไม่ใช้ชาวบ้านที่หมู่บ้านของกำนันมาทำบุญตักบาตร รวมทั้งน้ำฉันน้ำใช้ก็ให้ตัดขาดหมด เป็นการบีบบังคับไล่ทางอ้อมให้พระกรรมฐานหนีไป

อย่างไรก็ดี ไม่ได้มีผู้เชื่อถือกำนันนั้นทุกคนไป วันแรกคนในหมู่บ้านของตำบลนั้นไม่กล้าใส่บาตร แต่ท่านและคณะก็ไปบิณฑบาตจากหมู่บ้านอื่นที่อยู่ใกล้เคียง ส่วนน้ำใช้นั้น พวกญาติโยมที่เลื่อมใสก็พากันไปซ่อมแซมให้ใช้ได้ดังเดิม และคอยจัดเวรยามดูแลให้ ไม่นานพวกที่หลงผิดก็รู้สึกตัว เพราะความเจ็บป่วยนั้นเป็นธรรมดาของมนุษย์ และเมื่อท่านสอนให้ชาวบ้านยึดมั่นในพระไตรสรณาคมน์ การเจ็บป่วยของชาวบ้านก็หายขาด ทำให้พากันเลื่อมใสศรัทธาดังเดิม และดูเหมือนจะมากขึ้นกว่าเดิมอีก

ท่านคงพำนักอยู่ที่สันเขาต่อไปอีกระยะหนึ่ง หลวงปู่ขาวแยกขึ้นไปวิเวกบนดอยแม้วกับท่านพระอาจารย์เหรียญ หลวงปู่ขาวอยู่บนดอยแม้วได้ ๑๐ กว่าวัน ก็กลับลงมาพักที่สันเขาดังเดิม ด้วยไม่ค่อยสบาย ไม่ถูกกับอากาศ

ระหว่างที่ท่านอยู่ที่สันเขานั้น ได้มองเห็นเขาลูกหนึ่ง ซึ่งอยู่สูงกว่าดอยแม้วที่หลวงปู่ขาวและท่านพระอาจารย์เหรียญไปพำนักมา ท่านคิดว่า บนหลังเขาลูกนี้คงจะวิเวกดี ควรแก่การบำเพ็ญเพียรภาวนา เมื่อท่านพระอาจารย์เหรียญลงมาจากดอยแม้วแล้ว ท่านจึงชวนกลับขึ้นเขาไปใหม่ โดยอธิบายว่า จุดหมายปลายทางนั้นไม่ใช่ดอยแม้ว แต่เป็นเขาอีกลูกหนึ่งซึ่งอยู่สูงกว่า
73#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 20:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ท่านและท่านพระอาจารย์เหรียญเดินทางไปเพียง ๒ องค์ โดยไม่มีญาติโยมขึ้นไปด้วย มีแต่คนรับจ้างแบกบริขารเพียง ๒ คน ซึ่งตกลงกันว่าจะเป็นผู้จัดทำที่พักบนยอดเขาให้ด้วย การเดินทางนั้น ออกเดินทางไปตั้งแต่เช้าจนพลบค่ำ จึงถึงเขาสูงลูกที่มั่นหมายไว้นั้น พบชาวบ้านป่าปลูกกระท่อมน้อยพำนักอยู่ครอบครัวหนึ่ง

เขารู้ว่าท่านจะขึ้นไปพักภาวนาบนหลังเขาลูกนั้นก็ร้องเสียงหลง ห้ามว่า อย่าไปเลยท่าน ผีที่เขาลูกนี้ดุมาก

ท่านถามเขาว่า รู้ได้อย่างไรว่า ผีดุ

เขาตอบว่า รู้ซีท่าน ไม่รู้ได้อย่างไร ก็เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีพวกผู้ชายแม้วมาเที่ยวเขาลูกนี้กันสามคน กลับไปได้คนเดียว

ทำไมกลับไปคนเดียว...

อ้าว ก็ผีมันทำเอาตายไปเสียสองคนน่ะซี ท่านช่างถามได้ ก็ผมบอกแล้วว่าผีดุ...ผีดุ ท่านก็ไม่เชื่อ ! ...เขาบ่น แล้วรู้ไหมท่าน แม้แต่แม้วคนที่เหลือนั้น มันต้องวิ่งมาหาผม ขอให้ผมไปพูดกับผี ให้ผมไปเจรจากับผีให้ มันจึงรอดตัวกลับไปได้ ไม่เช่นนั้น มันก็คงกลายเป็นผีเฝ้าเขาลูกนี้ต่อไป อย่างเพื่อนของมันนั่นแหละ

ท่านถามว่า พวกแม้ว ๓ คนไปทำอย่างไร จึงเกิดวิปริตขึ้น

เขาอธิบายว่า แม้วเหล่านั้นเล่นสนุก คึกคะนองกันมาก ส่งเสียงล้อเลียนกันเอะอะ แล้วยังไม่พอใจ พากันไปงัดก้อนหินใหญ่ให้กลิ้งลงมา แข่งกันว่า หินของใครจะกลิ้งตกลงไปไกลกว่ากัน เมื่อก้อนหินตกลงไปในเหวลึกข้างล่าง เสียงดังสะท้อนก้องกลับไปกลับมาในหุบเขา ดังสะเทือนเลื่อนลั่น ก็ตบมือเฮฮา ร้องเอิกเกริกแสดงความสนุกสนานเอ็ดตะโรกันทั้งเขา

ท่านพระอาจารย์เหรียญช่วยท่านชี้แจงว่า ...ก็เพราะเหตุนั้นน่ะซี จึงเกิดความวิบัติกัน เนื่องจากพวกภูตผีปีศาจที่อาศัยอยู่ตามที่นั้น เขาชอบความสงบ ใครไปทำความวุ่นวาย เขาย่อมไม่ชอบถือว่า ไม่ยำเกรงเขา ไปล่วงเกินเขา เขาจึงทำร้ายเอา พวกอาตมาเป็นพระ ตั้งใจมาอยู่อย่างสงบ เพื่อพักภาวนาหาความสงบทางจิตใจ ไม่ได้มาทำความวุ่นวายสิงคลีอะไร คงจะไม่เป็นไรหรอก

เขามีสีหน้าไม่สบายใจ ท่านก็เลยพูดสัพยอกว่า “ก็โยมรู้จักผี พูดกับผีได้ เจรจากับผีได้ ยังได้ช่วยพูดให้แม้วคนนั้นมาแล้วไงล่ะ ก็ช่วยพูดให้หน่อยซี”

เขาหัวเราะอาย ๆ “โธ่ ท่านอย่าล้อผมเลย ผมเตือนท่าน ห้ามท่านก็เพราะกลัวเรื่องจะซ้ำรอยเท่านั้น”

ท่านเห็นเขากังวลมาก จึงได้ปลอบใจว่า ไม่เป็นไรหรอก พวกเราไปอยู่ด้วยความสงบเมตตา จะได้เป็นกุศลแก่พวกภูตผีที่อยู่บริเวณนี้ และเมื่อโยมพาไปด้วย กุศลผลบุญก็จะเกิดแก่โยมผู้พาไปเช่นกัน เป็นบุญกุศลทั้งผู้อยู่ทั้งผู้พา อย่าได้วิตกไปเลย

เมื่อชาวบ้านผู้นั้นเห็นท่านไม่กลัว ก็เลยพานำทางขึ้นไป สังเกตได้ว่า เขาไม่ค่อยเต็มใจนัก มีทีท่าหวั่นหวาดอยู่ แต่ด้วยความเกรงใจก็จำใจต้องนำไป

กว่าจะไปถึงบนยอดหลังเขาก็เกือบตะวันพลบ ไม่มีเวลาจะทำเสนาสนะแต่อย่างใด ใช้ใบไม้ปูรองนอนบนพื้นดินไปชั่วคราว เช้ารุ่งขึ้น ท่านพระอาจารย์เหรียญนำทางไปบิณฑบาตยังบ้านแม้วอีกดอยหนึ่ง ซึ่งท่านเคยมาพำนักกับหลวงปู่ขาวคราวก่อนนั้น

ท่านพระอาจารย์เหรียญเล่าถวายท่านว่า

เมื่อแรกมาถึงดอยแม้วกับหลวงปู่ขาวนั้น ครั้งแรกต้องไปแนะนำให้เขารู้จักว่าเป็นนักบวช เป็นพระในพระพุทธศาสนา เขาบอกท่านซื่อ ๆ ว่า พวกเขาไม่รู้จักพระ เขาไม่เคยเห็นพระมาก่อนสักองค์เลย การใส่บาตรเขาก็ไม่รู้จัก ญาติโยมที่ไปกับท่านในครั้งนั้นต้องแนะนำให้ วันแรกเขาใส่บาตรแต่ข้าว วันต่อมาก็เอาเนื้อหมูที่ลวกน้ำเกลือกันเน่า ที่เก็บไว้มาใส่บาตรให้ หลวงปู่ขาวและท่านพระอาจารย์เหรียญต้องชี้ให้โยมที่ติดตามไปรับแทนไว้ให้ ไม่ให้ใส่ในบาตร เมื่อบิณฑบาตแล้วโยมผู้ติดตามต้องขอยืมหม้อกระทะขนาดเล็กของเขาไปสู่ที่พัก โยมจัดการทำให้สุก แล้วจึงถวายให้ฉันได้ วันต่อ ๆ ไป ชาวบ้านที่ติดตามไปจากข้างล่างชี้แจงเขา พวกชาวดอยแม้วจึงรู้จักทำอาหารสุกใส่บาตรให้ได้
74#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 20:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่ไปบิณฑบาตกับท่านพระอาจารย์เหรียญคราวนี้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะเขาเคยใส่บาตรหลวงปู่ขาวและท่านพระอาจารย์เหรียญแล้ว และเวลาก็เพิ่งผ่านไปไม่นานด้วย เขาจำท่านพระอาจารย์เหรียญได้ดี ถามถึงหลวงปู่ขาว เมื่อรู้ว่าหลังจากที่ท่านจากเขามา หลวงปู่ขาวไม่ค่อยสบาย เขาก็แสดงความเสียใจ บ่นว่า

ครั้งนี้ ตุ๊เจ้าน่าจะกลับมาพักยังที่พัก ซึ่งเพิ่งสร้างเตรียมไว้ให้ในคราวก่อน มาอยู่กันไม่นานเท่าไรก็จากไปเสียแล้ว

ท่านเล่าว่า ศรัทธาของชาวแม้วดีมาก แม้เขาจะเพิ่งรู้จักพระในพระพุทธศาสนาเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง แต่เขาก็ปวารณารับใช้ทุกอย่าง ท่านชี้แจงว่า เพื่อต้องการความสงัด จึงได้ขึ้นไปบำเพ็ญเพียรภาวนาบนยอดเขาลูกโน้น แต่ก็ยังขอฝากปากฝากท้องกับโยมในดอยนี้

ระยะทางจากยอดดอยที่พำนักบำเพ็ญภาวนากับดอยแม้วที่บิณฑบาตนั้น ระยะทางไกลมาก ประมาณ ๔ กิโลเมตร แถมเป็นทางขึ้นเขาลงเขา บิณฑบาตเสร็จ กว่าจะกลับถึงที่พักก็สายมาก โยม ๒ คนที่หาบของไปส่ง ก็ช่วยทำกระท่อมให้องค์ละหลัง เขาตั้งใจทำกันมาก ไม่ใช่ว่ารับจ้างมาแล้ว ก็สักแต่ว่า ทำ...ทำให้เสร็จไป เขาประดิษฐ์ประดอยทำให้เป็นอย่างดี จนสามวันจึงเสร็จ แล้วก็ลากลับบ้านไป เหลือแต่พระ ๒ องค์ ทำประโยคความเพียรบนยอดเขาเพียง ๒ องค์

คืนหนึ่ง ท่านภาวนาเสร็จแล้วก็จำวัดอยู่ในที่ของท่าน พอเคลิ้มไปเท่านั้น ก็ปรากฏว่ามีอุบาสกนุ่งขาวคนหนึ่งมากราบ บอกท่านว่า คืนนี้จะมีเสือใหญ่มา ขอท่านอย่าได้ประมาท

พอทราบอย่างนั้น ท่านก็รีบลุกขึ้นนั่งสมาธิคอยฟังอยู่ว่า มันจะมาอย่างไรกัน นั่งอยู่ตั้งนานไม่เห็นเสือมาสักที ก็จำวัดต่อไป ตื่นขึ้นตีสี่ นั่งทำสมาธิต่อ รอฟังอยู่ก็ไม่เห็นวี่แววของเสือตามคำเตือนในนิมิต

ตอนเช้าท่านพระอาจารย์เหรียญมาปฏิบัติท่าน แล้วก็เรียนขอโอกาสถามท่านว่า เมื่อคืนนี้ ท่านอาจารย์ได้เห็นอะไรบ้าง ครั้นท่านเล่าให้ฟัง ท่านพระอาจารย์เหรียญก็เรียนบ้างว่า ตัวท่านเอง เมื่อคืนนั้นนั่งสมาธิก็เกิดความรู้ขึ้นในจิตเหมือนกันว่า ระวัง อย่าประมาท คืนนี้เสือใหญ่จะมา ท่านก็คิดว่าได้ถวายชีวิตบูชาพระรัตนตรัยแล้วจึงมาอยู่ในที่เช่นนี้ หากกรรมเวรมีก็ขอรับกรรมไป ถ้าหากกรรมเวรไม่มีก็ขอให้ปลอดภัย ท่านนั่งสมาธิรออยู่เช่นเดียวกับหลวงปู่เหมือนกัน สงบจิตรอฟังอยู่ว่า เสือมันจะมาทำอย่างไร แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลกเกิดขึ้น

จะว่านิมิตหลอกเล่น ก็ทำไมมาเกิดตรงกัน

เพื่อพิสูจน์ความจริง ท่านจึงพากันไปสำรวจดูรอบบริเวณที่พักซึ่งเป็นป่าหญ้าแฝกล้อมรอบอยู่ ทันใดก็เห็นรอยเสือคุ้ยดินเป็นขุม ๆ เป็นระยะ ๆ ไปในป่าหญ้าแฝกนั้น รอยเท้าก็ดี รอยคุ้ยดินก็ดี เป็นขุมใหญ่มาก แสดงถึงขนาดของเจ้าของรอยทั้งหมดเป็นอย่างดี

ท่านว่า เสือคงจะมานั่งเฝ้าท่านทั้งสองอยู่อย่างเงียบ ๆ ตลอดคืน โดยไม่กระโตกกระตากหรือทำอะไรเลย

ครั้นท่านครองผ้าไปบิณฑบาต พอเดินตามทางก็เห็นรอยเสือใหญ่ปรากฏนำหน้าไปเรื่อย ๆ ลงเขาไปถึงลำธาร ปรากฏว่า น้ำในลำธารตรงที่รอยมาหยุดนั้นยังขุ่น ๆ อยู่ แสดงว่ามันล่วงหน้ามาโดยเพิ่งข้ามน้ำไปไม่นานนัก

ท่านพระอาจารย์เหรียญบ่นว่า มันข้ามน้ำไปไม่นาน อาจจะพบกันระหว่างทางนี้ก็ได้

อย่างไรก็ดี เมื่อท่านเดินไปกันถึงป่าเหล่าแก่แห่งหนึ่ง เห็นรอยเสือแวะเข้าไปในป่านั้น จึงออกปากลากันว่า เจ้าจงไปเป็นสุขเถิด อย่ากลับไปหาเราอีกเน้อ

ท่านว่า แต่วันนั้นมา ก็ไม่มีวี่แววของเสืออีกเลย

ท่านเล่าว่า หลังเขาดอยสูงแห่งนั้นเป็นที่ภาวนาได้ดีมาก มีพวกกายทิพย์มากราบคารวะท่านมาก บ้างก็ขอมาฟังธรรม

วันหนึ่ง ภาวนาไป จิตสงบลง เกิดแสงสว่างพุ่งไปสู่ทางจงกรม ขณะนั้นปรากฏเห็นพญานาคตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาที่หัวทางจงกรมนั้น
75#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 20:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ท่านถามพญานาคว่า มาจากไหน

เขากราบเรียนท่านว่า ข้าพเจ้าอยู่ที่เขาลูกนี้เอง แต่อยู่ที่เชิงเขา แล้วก็เรียนชีแจงต่อไปว่า ในเขาลูกนี้ มีลำธารลอดมาจากใต้ภูเขา ลำธารนี้ไหลผ่านเชิงเขาแล้วไหลออกไปสู่ทุ่งนาของชาวบ้านที่อยู่เบื้องล่างโน้น พระคุณเจ้าเดินทางมาก็คงได้ผ่านข้ามลำธารนี้มาหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ

ท่านรับคำ แล้วพญานาคก็บอกต่อไปว่า ลำธารนั้นแหละเป็นทางเดินของข้าพเจ้า

ท่านถามถึงชื่อของพญานาค

เขาก็เรียนท่านว่า “ข้าพเจ้าชื่อ เทพนาคา”

ท่านเล่าว่า พญานาคตัวนี้ เมื่อโผล่หัวขึ้นที่ทางจงกรมแล้วก็เอาหางพาดเขาอีกลูกหนึ่งให้ท่านดู รู้สึกว่าตัวใหญ่ยาวมาก ท่านบอกว่า พญานาคตัวนี้มาแสดงตัวให้ท่านดูในลักษณะของพญานาคเต็มตัว คือมีหงอนสีแดง และมีแผงเหมือนกับของม้าเช่นนั้น ลำตัวใหญ่ยาว เกล็ดเป็นสีดำมันเลื่อม

พญานาคกราบเรียนท่านว่า เขามีความสงบเย็นใจมากที่ได้มีพระกรรมฐานผู้ประเสริฐอย่างพวกท่านมาภาวนา แผ่ความสุข สงบ เมตตา ให้แก่ปวงสัตว์โลก เสียงที่ท่านสวดมนต์และเจริญเมตตานั้นทำให้เย็นอกเย็นใจ มีแต่ความสุขสงบ วันนี้อดรนทนไม่ได้ จึงขอขึ้นมากราบชมบารมี เพราะพระบรมศาสดารับสั่งไว้ว่า สมณานญฺจ ทสฺสนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การได้เห็นพระสมณะผู้ประเสริฐ เป็นมงคลอันสูงสุด

พญานาคขึ้นมาปรากฏตัว กราบแสดงคารวะและชื่นชมท่านระยะหนึ่งแล้วก็ลาจากไป ท่านว่า การลาของพญานาคครั้งนี้ มิใช่หายตัวไป หรือเหาะลอยไป แต่เป็นการจมลงไปในทางจงกรมนั้นเอง

เมื่อท่านปรารภนิมิตนี้ให้ท่านพระอาจารย์เหรียญฟัง และถามว่า มีนิมิตพญานาคไปเยี่ยมท่านด้วยหรือไม่ เพราะเป็นปกติที่ไปอยู่ในสถานที่สงัด แปลก ๆ เช่นนี้ ท่านผู้อยู่ในวงปฏิบัติด้วยกัน ก็มักจะคุยสอบทานนิมิตภาวนากันอยู่เป็นปกติ

คราวนี้ท่านพระอาจารย์เหรียญ ปฏิเสธว่า ท่านมิได้มีนิมิตตรงกับหลวงปู่ เช่น ในกรณีของเสือ อีก ๒ วันต่อมา ท่านพระอาจารย์เหรียญจึงเล่าถวายท่านว่า

คืนนั้น ท่านนั่งสมาธิรู้สึกปลอดโปร่งดีพอสมควร พออกจาสมาธิแล้วก็นอนตะแคงขวาในท่าสีหไสยาเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถ ท่านว่า ท่านมีสติตั้งมั่นและกระแสจิตก็ผ่องใสดี แต่กลับปรากฏเหมือนมีเงามืด ไหลเข้าสู่กระแสจิตที่ผ่องใสนั้นให้มืดเข้าทีละน้อย เหมือนก้อนเมฆไหลเข้าสู่ดวงจันทร์ ฉะนั้น พอท่านบริกรรมถึงนามรูปที่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กระแสจิตที่มืดนั้น ก็ค่อยคลายสว่างขึ้นทีละน้อย เหมือนเมฆเคลื่อนออกจากดวงจันทร์

“หรือจะเป็นพญานาคที่หลวงปู่นิมิตเห็น มาเยี่ยม” ท่านเรียนหลวงปู่ แต่ท่านไม่มีนิสัย วาสนา บารมีแบบหลวงปู่ จึงพบเห็นได้เพียงแค่นี้

http://www.dharma-gateway.com/mo ... lp-chob-hist-31.htm
76#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 20:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๓๒. แม่ไก่ผู้มาปรากฏตัวในนิมิตภาวนา

วันหนึ่งระหว่างที่หลวงปู่กำลังวิเวกอยู่ที่เชียงใหม่ ตอนกลางคืน ท่านก็เข้าที่ภาวนาตามปกติ ปรากฏภาพนิมิต มีแม่ไก่ตัวหนึ่งมาหาท่าน กิริยาอาการนั้นนอบน้อมอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง มาถึงก็ใช้ปีกจับต้องกายท่าน จูบท่าน ท่านรู้สึกประหลาดใจ ที่สัตว์ตัวเมียมาแสดงกิริยาอันไม่สมควรต่อพระเช่นนั้น จึงได้ดุว่าเอา แต่แม่ไก่ตัวนั้นก็อ้างว่า

เคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมาแต่ชาติก่อน และเคยเป็นภรรยาของท่านมาถึง ๗ ชาติแล้ว ความผูกพันยังมีอยู่ ไม่อาจลืมเลือนได้ แม้จะรู้อยู่ว่า ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ ไม่บังควรที่จะแสดงความอาวรณ์ผูกพันเช่นนี้ ตนมีกรรม ต้องมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานต่ำต้อยวาสนา ก็ได้แต่นึกสมเพชตัวเองอยู่มาก อย่างไรก็ดี เมื่อพระคุณเจ้าผู้เคยเป็นคู่ชีวิตมาอยู่ในถิ่นที่ใกล้ตัวเช่นนี้ อดใจไม่ได้ จึงมาขอกราบ ขอส่วนบุญบารมี

ในนิมิตนั้น หลวงปู่ได้เอ็ดอึงเอาว่า เราเป็นมนุษย์ เจ้าเป็นสัตว์ จะมาเคยเป็นสามีภรรยากันได้อย่างไร เราไม่เชื่อเจ้า

แม่ไก่ก็เถียงว่า ถ้าเช่นนั้นคอยดู..พรุ่งนี้เช้า ตอนท่านออกไปบิณฑบาต ข้าน้อยจะไปจิกจีวรท่านให้ดู

ตกเช้าหลวงปู่ก็ครองผ้าออกไปบิณฑบาตตามปกติ ท่านเล่าว่า ท่านไม่ได้นึกอะไรมาก ด้วยคิดว่าเป็นนิมิตที่เหลวไหลไร้สาระ แต่เมื่อท่านเดินเข้าไปบิณฑบาตเข้าไปในหมู่บ้านยาง ที่ชื่อบ้านป่าพัวะ อำเภอจอมทอง ก็มีแม่ไก่ตัวเมียตัวหนึ่ง ตรงรี่เข้ามาจิกจีวรท่านข้างหลัง หมู่เพื่อนที่ไปด้วยกันก็ตกใจ ด้วยเป็นสัตว์ตัวเมีย ท่านจะต้องอาบัติ จึงช่วยกันไล่ แต่แม่ไก่ตัวนั้น แม้ถูกไล่ออกไป ก็ยังพยายามวิ่งเข้ามาอีก

คืนนั้นหลวงปู่พิจารณาซ้ำ ก็รู้ชัดว่า ไก่ตัวนั้นเคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมาแล้วถึง ๗ ชาติจริง ๆ เป็นที่น่าเวทนาสงสารเป็นอย่างยิ่ง...ที่นางทำกรรมไม่ดีไว้ ไม่มีศีลจึงต้องตกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเช่นนั้น

เรื่องนี้เป็นตัวอย่าง ที่หลวงปู่เคยยกเป็นขึ้นมาตักเตือน บรรดาพระผู้เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด ให้เห็นชัดถึงผลของกรรม

สัพเพ สัตตา กัมมัสสกา

กัมมะ โยนิ

กัมมะ พันธุ

กัมมะ ปฏิสรณา

77#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 20:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย

ยัง กัมมัง กริสสามิ

กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา

ตัสสะ ทายาทา ภวิสสันติ


เราทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป จักเป็นทายาท คือว่าจักต้องได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป

ท่านสอนให้ระมัดระวังเกรงบาป เกรงกรรมเป็นที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่เคยเกิดร่วมชีวิตกัน หากมิได้พยายามรักษาจิต ประกอบแต่กรรมดี ไม่มีศีลเสมอกัน ไม่มีธรรมเสมอกัน ในวัฏสงสารอันยาวนาน สายธารชีวิตย่อมจะต้องแตกแยกจากกัน ยากจะหาโอกาสมาพบพานกันได้ หรือหากพบกันก็อยู่ในฐานะที่เหลื่อมล้ำกัน ตามผลแห่งกรรมที่ตนได้ประกอบมา

ยาทิสํ วปเต พีชํ                ตาทิสํ ลภเต ผลํ

กลฺยาณการี กลฺยาฯ          ปาปการี จ ปาปกํ


บุคคลหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น

ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว

http://www.dharma-gateway.com/mo ... lp-chob-hist-32.htm
78#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 20:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๓๓. เรื่องน้ำกับหลวงปู่

เรื่อง “น้ำ” กับหลวงปู่นี้ พวกลูกศิษย์ต่างเคยพบด้วยความอัศจรรย์ เล่าสู่กันฟังต่อ ๆ กันมาก็หลายต่อหลายเรื่อง จะขอหยิบยกนำมากล่าวเฉพาะที่ผู้พบเห็นเป็นพระภิกษุผู้ปฏิบัติธรรม และขณะนี้ก็เป็นครูบาอาจารย์ที่เคารพของประชาชนเท่านั้น

ระยะนั้น ท่านอาจารย์ ฟ. และ ท่านอาจารย์ จ. ได้ติดตามท่านไปวิเวกด้วย มาถึงกลางป่าแห่งหนึ่ง ท่านก็สั่งให้ท่านอาจารย์ทั้งสองไปหาน้ำ

ท่านทั้งสองออกไปหาตามบริเวณใกล้เคียง ก็ไม่พบแหล่งน้ำแต่อย่างใด แม้แต่จะออกไปไกลกว่านั้นเป็นกิโล ๆ ก็ยังไม่พบ จึงต้องกลับมารายงานหลวงปู่ด้วยความผิดหวัง

หลวงปู่บอกสถานที่ที่จะพบน้ำให้ ท่านว่า...อยู่ตรงนั้นเอง

ครั้งแรก เมื่อทราบแห่งหนตำบลใดแน่นอน ไม่ใช่ให้เดินดุ่มเดา หาเปะปะไปเช่นนั้น ท่านอาจารย์ทั้งสองก็รีบตรงไปตามเส้นทางที่ท่านชี้แนะให้

หาอย่างไรก็ไม่พบน้ำ สถานที่นั้นมีลักษณะตรงกับที่ท่านบอกเล่าทุกอย่าง แต่น้ำไม่มี....

กลับมากราบเรียนท่าน ท่านก็ยืนยันว่า มีซี...น้ำมีแน่นอน

ครั้งที่สอง ไปอีก...จะเป็นไปได้ไหมว่า ฟังท่านอธิบายทางไปและสถานที่นั้นไม่ชัด...น้ำนั้นคงจะซอกซอนซ่อนอยู่ตามแอ่งเล็ก ๆ ที่มีโขดหิน พุ่มไม้ปิดบังอยู่ เราจึงไม่ทันสังเกตเห็น คราวนี้คงจะพบแน่

แต่ก็อีกนั่นแหละ หาเท่าไหร่ก็ไม่มี

มากราบเรียนท่านครั้งหลังสุดนี้ ท่านยืนยันแน่นแฟ้นว่า ตรงนั้นมีน้ำแน่ ให้กลับไปดูอีกที

ครั้งสุดท้าย เมื่อท่านอาจารย์ ฟ. และท่านอาจารย์ จ. กลับไปอีก..ก็ที่เดิมน่ะแหละ ! แต่คราวนี้..มีน้ำเต็ม...จริงของหลวงปู่ !!

ทำให้ได้ตักมาใช้ ทั้งอาบทั้งกิน อย่างเพียงพอแก่หมู่คณะ....!

อีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้มิใช่เป็นการปาฏิหาริย์ พบน้ำผุดขึ้น เกิดขึ้น อย่างที่กล่าวถึงมาแล้ว...

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ท่านอาจารย์อีกองค์หนึ่ง ชื่อ ท่านอาจารย์ ย. เป็นผู้ประสบด้วยตัวท่านเอง

ระหว่างนั้นหลวงปู่พักอยู่ที่ผาแด่น จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยพระเณร ที่ตามขึ้นไปอยู่ทำความเพียรบนยอดเขานั้น

วันนั้นเป็นวันพระ จะต้องลงเขาไปร่วมทำอุโบสถที่วัดใกล้ ท่านก็นำพระเดินลงมาจากผาแด่น เวลาเดินไปถึงลำธารแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าน้ำกำลังไหลแรงมาก ด้วยคืนนั้นฝนตกหนักมาก และตกติดต่อกันเป็นเวลานาน

พูดถึงฝน ที่ตกตามป่ายอดเขา เป็นที่ทราบกันดีว่า พอฝนหาย อาจจะมีน้ำป่าไหลบ่ามาอย่างรุนแรง หรือบางทีธารน้ำเล็ก ๆ ก็อาจกลายเป็นแม่น้ำขนาดย่อม มีน้ำไหลเชี่ยวกรากบ่าท่วมท้นตลิ่งสองข้าง จนกลายเป็นแม่น้ำได้ ผู้เขียนเองในการเดินธุดงค์บนลาดเขาคราวหนึ่งยังเคยพบสะพานหินธรรมดา กลายเป็นแผ่นผาที่มีน้ำตกไหลครึกโครม ภายหลังจากที่ฝนตกเพียง ๒ ชั่วโมงเท่านั้น... !
79#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 20:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คราวนี้ก็เช่นนั้น ทางเดินจากยอดเขาที่จะผ่านลำธารนั้น ไปยังวัดที่จะไปร่วมอุโบสถได้ถูกตัดขาดเสียแล้ว ด้วยลำธารนั้นมีกระแสน้ำไหลเอ่อ บ่าล้นตลิ่งจนกลายเป็นแม่น้ำขนาดย่อม กระแสน้ำเชี่ยวกราก ไม่มีใครกล้าข้ามสักคน ด้วยน้ำลึกมากประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งน้ำเชี่ยวมาก ถึงกล้าจะลอยคอข้าม ก็ไม่แน่นักว่าจะสู้กระแสน้ำได้ อาจจะถูกพัดพาไปกระทบหิน เกาะแก่งข้างล่างได้

หลวงปู่ยืนพิจารณาอยู่เพียงอึดใจเดียว....

กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก จนท่านอาจารย์ ย. เล่าว่า “เสียงดัง ซู่ ๆ” ก็กลับหยุดกึกลงทันที...!

ทุกท่านตกตะลึงกันหมด ต่างเล่ากันว่า เคยได้ยินเรื่องอัศจรรย์ของหลวงปู่มาก็มากมายแล้ว แต่ก็ได้พบกับตาตัวเองครั้งนี้เอง !

หลวงปู่ก้าวข้ามลำธารนำไปก่อน เห็นศิษย์แต่ละคนยังไม่แสดงอาการคลายจากความงวยงง ท่านก็เร่งให้ตามท่านไป

ท่านอาจารย์ ย. เล่าว่า ท่านเองขณะที่ก้าวข้ามลำธารนั้น ยังอยู่ในอาการกึ่งกลัวกึ่งกล้าอยู่..กึ่งกลัวว่าภาพที่มองเห็นน้ำหยุดไหลและแห้งผากนั้น จะเป็นภาพลวงตา...กึ่งกล้าว่า เราก็ศิษย์มีอาจารย์ เรามากับท่านอาจารย์ พระคุณของท่านคงจะคุ้มกันเราได้แน่นอน แต่ว่า...น้ำที่หยุดไหลกึกนี้ หากเรากำลังเดินข้ามอยู่ จู่ ๆ มันพรวดพุ่งมา ประดุจเทออกจากกระบอก ร่างกายเราจะแหลกลาญฉันใด...

กว่าจะได้สติกัน ก็ข้ามลำธารกันมาได้หมดทุกคน และเมื่อเดินพ้นมาเพียงอึดใจเดียว กระแสน้ำก็ไหลบ่าเชี่ยวกรากต่อไปดังเดิม...!

ท่านอาจารย์เล่าว่า ท่านอดใจไม่ได้ ต่อมาจึงได้แอบไปกราบเรียนถามหลวงปู่....พ่อแม่ครูอาจารย์ทำอย่างไร น้ำจึงหยุดได้

หลวงปู่ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า มีบทบริกรรมน่ะซี

บทบริกรรมอย่างไรขอรับ

ภาวนาไปก็รู้เอง...
ท่านตอบ

http://www.dharma-gateway.com/mo ... lp-chob-hist-33.htm
80#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 20:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๓๔. ในความทรงจำรำลึกของศิษย์

จริงอยู่ เรื่องราวของหลวงปู่ ในเรื่องความเพียร ในเรื่องความอัศจรรย์ หูทิพย์ ตาทิพย์ เป็นที่รักของพวกกายทิพย์ ฯลฯ เหล่านี้เป็นที่กล่าวขวัญ เลื่องลือ สรรเสริญกันในวงพระกรรมฐานอย่างแพร่หลาย แต่ก็อยู่ในหมู่วงพระกรรมฐานรุ่นผู้ใหญ่ น้อยนักที่พระรุ่นเล็กจะรู้จักท่าน



เรื่องนี้ พระอาจารย์บุญญฤทธิ์ ปัณฑิโต ได้เมตตาเล่าความรู้สึกของท่านให้ฟัง

ท่านจำได้ว่า วันนั้นเป็นวันวิสาขบูชา ปี ๒๔๙๓ (ท่านจำ พ.ศ. ได้ดีเพราะเป็นปีหลังจากงานถวายเพลิงศพท่านพระอาจารย์มั่น) ท่านเพิ่งบวชได้เพียง ๓ พรรษา กำลังมีจิตใจคึกคักอยากออกธุดงค์ เหมือนช้างคึกคะนองออกสนามรบ ท่านกำลังอยู่ที่เชียงใหม่ ได้ยินว่าที่วัดเจดีย์หลวง จะมีพระป่ามาชุมนุมกันมาก ท่านก็รีบไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา

ท่านว่า ท่านตื้นตันจนน้ำตาคลอ ที่เห็นพระป่ามาชุมนุมกัน โดยไม่ได้นัดหมายกันถึง ๙๕ องค์ เห็นผ้าเหลืองอร่ามนั่งเรียงรายเต็มบนอาสนสงฆ์

เป็นภาพที่งามประทับใจมาก และรู้ซึ้งขึ้นมาทันทีถึงพระพุทธวจนะที่ว่า “สมณานญฺจ ทสฺสนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ” การเห็นสมณทั้งหลาย ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด

ท่านก็เที่ยวกระซิบถามเขา ว่า องค์นั้น...ใคร องค์โน้น...ใคร เขาก็บอกให้ท่าน

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ท่านอาจารย์สิม พุทธจาโร...และนั่น....

ท่านเห็นพระองค์หนึ่งนั่งอยู่ในลำดับแรก ๆ ตัวเล็ก ๆ ผอมดำ นั่งยิ้ม ๆ ไม่พูดกับใคร ถามว่าเป็นใคร ก็ไม่มีคนรู้จัก มีคนหนึ่งอธิบายว่า ไม่ทราบชื่อ รู้แต่เขาว่ากันว่า ท่านชอบอยู่กับพวกยาง พวกกระเหรี่ยง กินใบไม้ ใบหญ้าก็ได้ กินลูกหนูก็ได้ ปกติท่านอยู่ป่า นี่เข้าเมืองมาปาติโมกข์วันนี้

ท่านก็นึกในใจ เอ...พระอาไร้...บ้านเมืองเขามีอยู่ ไม่อยู่ ไพล่ไปอยู่ป่า กินใบไม้ กินลูกหนู ทำไมกัน...!

เสร็จทำวัตรสวดมนต์ ก็มีการประกาศเชิญพระอาจารย์ที่ออกมาจากป่าขึ้นธรรมมาสน์เทศน์โปรดญาติโยม

เชิญองค์นั้นเทศน์ องค์นี้เทศน์ ต่างองค์ก็ขึ้นแสดงธรรมกันตามโอกาสที่รับนิมนต์

ต่อมามีเสียงนิมนต์ นิมนต์ท่านอาจารย์ชอบเทศน์ ...เงียบ  ! นิมนต์ท่านอาจารย์ชอบเทศน์ อีกกี่ครั้ง ก็เงียบ…! ท่านถามว่า ท่านอาจารย์ชอบน่ะใคร ปล่อยให้เขาเรียกอยู่ได้ เขาก็ว่า อ้าว ก็พระองค์เล็ก ๆ ผอมดำ ที่นั่งอยู่แถวหน้า ๆ เมื่อสักครู่นี้แหละ ท่านคงไปแล้ว...กลับเข้าป่าไปแล้วกระมัง

ท่านบุญญฤทธิ์ เล่าว่า ท่านฟังแล้ว ยังนึก เอ...ทำไม่กลับไปเร็วนัก ท่านไม่ได้คิดอะไรมาก

ท่านก็กลับมากรุงเทพ พักอยู่วัดบรมนิวาสพักหนึ่ง ระยะนั้น ท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร มาพักอยู่ที่วัดบรมนิวาส ถวายธรรมสมเด็จพระมหาวีรวงศ์อยู่ ท่านกำลังปรนนิบัติท่านพระอาจารย์ลี วันหนึ่งก็ถามขึ้นว่า “เอ...ท่านอาจารย์ครับ ท่านพระอาจารย์ชอบคือใครครับ”

“โอ๊ย...นั่นลูกศิษย์มีอภิญญาของท่านอาจารย์มั่น”

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้