ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าโคกมน ~

[คัดลอกลิงก์]
101#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 20:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


สำหรับเรื่องที่หลวงปู่ได้เห็นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และไม่ทราบว่าท่านคือ “แม่จ้าวหลวง” ที่ท่านได้รับพระมหากรุณาธิคุณถวายอุปการะเนือง ๆ ก็ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาของพระป่ากันจริง ๆ

ต่อมา จำได้ว่าเป็นคืนวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปเป็นองค์ประธานในการสวดพระอภิธรรมที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระพิธีธรรมสวดให้เป็นการบำเพ็ญกุศลถวายพระคณาจารย์ที่มรณภาพด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก ณ วัดพระศรีมหาธาตุ

เมื่อทรงทราบว่า หลวงปู่ได้มาในงานนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถก็เสด็จฯ จากพระเก้าอี้ที่กำลังประทับอยู่ ไปทรงกราบนมัสการด้วยความเคารพ ประทับบนลาดพระบาท ทรงหมอบกราบ และทรงประณมพระหัตถ์ตลอดเวลาที่มีพระราชกระแสรับสั่งกับหลวงปู่

ผู้เขียนนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ใจไม่ดีด้วยเกรงว่า จะไม่ทรงทราบว่า หลวงปู่เป็นอัมพาต พูดไม่ค่อยได้ ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ จึงสั่งให้ผู้เขียนไปเฝ้า และกราบถวายบังคมทูลความให้ทรงทราบ เพราะดูท่านสนพระทัยมีพระราชกระแสตลอดเวลา

สมเด็จฯ ทรงพระสรวล รับสั่งว่า มิน่า หลวงปู่ไม่พูดด้วยเลย ท่านได้แต่มองนิ่งอยู่

กราบบังคมทูลว่า นั่นท่านกำลังแผ่เมตตาถวายเพคะ ปกติหลวงปู่จะแผ่เมตตาให้เวลาคนมากราบ ที่ท่านมองนิ่งอยู่อย่างนั้น ท่านกำลังถวายพระพร

สมเด็จฯ ทรงพยักพระพักตร์อย่างเข้าพระทัย เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับไปที่พระเก้าอี้ เพื่อทรงทำหน้าที่องค์ประธานพิธีต่อไป ก็ไม่ทรงลืมที่จะมีพระราชกระแสให้ผู้เขียน อย่าลืมจัดน้ำถวายหลวงปู่ให้ดี

ทรงกราบอีกครั้งหนึ่ง จึงเสด็จกับไปประทับที่พระเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง อยู่ทางนี้ หลวงปู่หันมาถามผู้เขียนเบา ๆ ว่า “ใคร....?”

ผู้เขียนยังตั้งตัวไม่ติด ด้วยไม่คิดว่า หลวงปู่จะไม่รู้จักสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงกราบเรียนถามว่า หลวงปู่ถามถึงใคร

ท่านว่า “ที่มาเมื่อกี้นี้น่ะ เพิ่นงามนะ”

จึงรีบเรียนท่านว่า “สมเด็จฯ เจ้าค่ะ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ”

กราบเรียนไปแล้ว หลวงปู่ก็ยังทำหน้างง คิดว่าเสียงเราคงไม่ชัด จึงเรียนซ้ำไปอีก แต่สีหน้างงของท่านก็ยังไม่ดีขึ้น

ท่านเจ้าคุณเทพเมธาจารย์ แห่งวัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี นั่งอยู่ใกล้ ๆ จึงต้องบอกหลวงปู่เสียงดัง....

“เมียพระเจ้าแผ่นดิน !”

นั่นแล้ว สีหน้าของหลวงปู่จึงบอกความกระจ่าง...เข้าใจอย่างถ่องแท้ ยิ้มแล้วชมซ้ำ “เพิ่นงามน้อ !”

เสียแรงเราเคยภูมิใจว่า ใช้คำราชาศัพท์ได้อย่างถูกต้องตลอดมา แต่คราวนี้ต้องนึกขันตัวเอง ที่ทำให้ไม่เป็นที่เข้าใจแก่หลวงปู่เลย...!

ภายหลังมีโอกาสได้เฝ้าเบื้องพระยุคลบาท จึงได้กราบบังคมทูลเรื่องทั้งหมด รวมทั้งที่หลวงปู่ชมพระโฉม “เพิ่นงามน้อ” ด้วย

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถแย้มพระสรวลเมื่อทรงรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น รับสั่งว่า “คืนนั้นไม่ทราบว่า หลวงปู่ท่านพูดไม่ใคร่ได้ แต่นั่นแหละ....กราบพระอริยเจ้าอย่างหลวงปู่แล้วชื่นใจ”

http://www.dharma-gateway.com/mo ... lp-chob-hist-38.htm

102#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 20:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๓๙. พระธาตุมาปรากฏกับรูปหลวงปู่



วันหนึ่งในเดือนมกราคม ปี ๒๕๓๕ กำลังรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเขียนประวัติให้สมบูรณ์อยู่นั้น มีศิษย์ของหลวงปู่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล เธอเป็นศิษย์ผู้หนึ่งซึ่งเคารพ รัก ศรัทธา หลวงปู่อย่างสูงสุด ระหว่างเจ็บ นอนใส่เฝือกอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ก็มีรูปหลวงปู่ไว้กราบบูชาโดยตลอด มีทั้งรูปหล่อเหมือนในท่ายืน...รูปหล่อเหมือนในท่านั่ง...และรูปภาพถ่าย

วันนั้น เธอได้ยกรูปหล่อเหมือนที่ยืนขึ้นมาทำความสะอาด มีห่อกระดาษเก่า ๆ วางอยู่ใต้ฐานรูป เธอจึงแกะออกมาดู เห็นเป็นพระธาตุจำนวนหลายสิบองค์ เธอก็โทรศัพท์ละล่ำละลักมาเล่าให้ผู้เขียนฟัง เธอยืนยันอย่างแน่นแฟ้นว่า ไม่มีทางที่จะมีใครนำห่อพระธาตุนั้นไปซุกไว้ใต้ฐานรูปหล่อเหมือน เพราะฐานนั้นโปร่ง กลวง และเมื่อวันที่อัญเชิญมา เธอก็จัดทำความสะอาดแล้ว ด้วยความเคารพทะนุถนอมอย่างที่สุด พลิกดูให้สะอาดเอี่ยมทุกแง่ทุกมุม แทบไม่มีฝุ่นละอองชิ้นใดจะผ่านสายตาไปได้

ห่อกระดาษบรรจุพระธาตุนั้นไม่มีแน่ที่ใต้ฐานรูปหล่อเหมือนนั้น

แล้ววันนี้มีพระธาตุวางอยู่ใต้ฐานรูปหล่อเหมือนของหลวงปู่ได้อย่างไร

ขอให้พี่ช่วยไปดูด้วย เธอว่า

ผู้เขียนยังไม่ทันมีเวลาว่างผ่านไปดู ต่อมาอีก ๒ – ๓ วัน เธอก็โทรศัพท์มาใหม่...ก้อจากห้องผู้ป่วยนั่นแหละ เล่าอย่างตื่นเต้นว่า

พระธาตุเหล่านั้นเธอได้เก็บใส่ผอบบูชาไว้ อย่างที่พี่แนะ แต่ระหว่างนี้ก็อดไม่ได้ที่จะนำมาให้เพื่อนที่มาเยี่ยม ๒ คน ซึ่งรู้ว่ารู้จักหลวงปู่และเคารพท่านได้ดูกันเป็นขวัญตา

วันนั้นดูกันแล้วก็เก็บกลับใส่ผอบเรียบร้อย แล้วหยิบรูปภาพหลวงปู่มาดูอย่างชื่นชมอีกวาระหนึ่ง

ประหลาดที่รูปภาพโปสการ์ดหลวงปู่แผ่นนั้น ซึ่งพอวางลงกลับมองเห็นแสงแปลบออกมาตรงดวงตาทั้งสองของท่าน มองไปชัด ๆ ก็เห็นเป็นพระธาตุ ๒ องค์ อยู่ ณ ที่ดวงตาของท่านข้างละองค์ เธอและเพื่อนเอะอะโวยวายขึ้นด้วยความปีติ

ครั้นพิจารณาต่อไป ก็เห็นพระธาตุองค์ที่สามอยู่ตรงจีวร และมีองค์ที่สี่ตกอยู่ใกล้ ๆ อีก

ทั้งสามคนช่วยกันยืนยันกับผู้เขียนว่า น่าอัศจรรย์จริง ๆ และถ้าจะคิดว่าจัดเก็บพระธาตุ (ซึ่งก็มาปรากฏในรูปหล่อเหมือนของท่าน) ไม่เรียบร้อย ทำให้ตกหล่นอยู่นอกผอบ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีพระธาตุหลงเหลือไปปรากฏบนรูปภาพโปสการ์ด ซึ่งอยู่อีกแห่งหนึ่ง และหยิบรูปภาพโปสการ์ดมาวางภายหลังจากปิดผอบแล้ว

พระธาตุนั้น แน่ละ... !

แต่ว่า พระธาตุ ของใคร ? ของท่านองค์ไหน ?

ผลสุดท้าย ผู้เขียนทนคะยั้นคะยอไม่ได้ ก็ไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง นัยว่าเพื่อจะได้กราบชมพระธาตุปาฏิหาริย์ทั้งสองครั้งนั้นด้วย
103#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 20:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เธอหน้าชื่นอย่างดีใจ รีบนำพระธาตุมา “ให้พี่ได้กราบ” โดยแยกเป็นทั้งพระธาตุรุ่นแรกหลายสิบองค์ และอีก ๔ องค์ที่ปรากฏภายหลังบนรูปภาพภาพโปสการ์ดหลวงปู่ด้วย

เธอเล่าว่า ได้เห็นเส้นเกศามาด้วยสามสี่เส้น

อย่างไรก็ดี พอเปิดผอบพระธาตุชุด ๔ องค์ เธอก็อุทานเสียงดัง “ตาย...เส้นเกศาหายไปไหนหมดแล้ว !”

ผู้เขียนฟังเรื่องเส้นเกศาอย่างไม่สนใจมากนัก เพราะกำลังพิจารณาดูพระธาตุทั้งหมดนั้นมากกว่า

พระธาตุนั้น...แน่ละ !

แต่ว่า พระธาตุของใคร ? ของท่านองค์ไหน ? ผู้เขียนก็มิได้มีความรู้พิเศษเสียด้วย

“ตายพี่ เส้นเกศาหายไปหมดเลยค่ะ” เธอบ่นซ้ำด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ “วันก่อนนั้นก็ยังอยู่ หนูโทรไปบอกพี่ครั้งสุดท้าย แล้วก็ไม่ได้ให้ใครดูอีกเลย ทำไมท่านหายไปคะ ?”

ผู้เขียนก็ได้แต่ปลอบใจเธอว่า ไม่เป็นไร ถึงไม่มีเส้นเกศาปาฏิหาริย์ แต่หนูก็มีพระธาตุปาฏิหาริย์แล้ว ควรจะพอใจ ภูมิใจการภาวนาของตัวเองมากกว่า

เธอยังไม่เลิกเสียใจ...เสียดาย เห็นเธอยกรูปหลวงปู่ขึ้นกราบ บ่นดัง ๆ ว่า หลวงปู่เจ้าขา ลูกขอให้พี่เขามาดูพระธาตุ กราบพระธาตุกับเส้นเกศา แต่เวลานี้เส้นเกศาหายไปเจ้าค่ะ หลวงปู่ช่วยให้พี่เขาได้กราบบูชาเส้นเกศาเป็นมงคลหน่อยซีเจ้าคะ

เสียงเธอแสดงความเสียใจ ผิดหวัง แต่ก็คาดคอยอย่างเปี่ยมด้วยความหวัง

“นะเจ้าคะ หลวงปู่ ขอเส้นเกศาเจ้าค่ะ”

ประหลาดจริง ๆ ผู้เขียนเองก็อดร้องออกมาเบา ๆ ไม่ได้ เมื่อมองเห็นเส้นเกศาทั้งสีขาวและดำ ราว ๗ – ๘ เส้น ผุดขึ้นในผอบแก้วที่ใส่พระธาตุอย่างน่าอัศจรรย์

เธอน้ำตาคลอเต็มเบ้า พูดซ้ำซากแต่ว่า “พี่...หนูไม่ได้ร้องไห้นะ...แต่หนูปีติ...ปีติเหลือเกิน”

เราทั้งสองคน ต่างมองเห็นเส้นเกศาที่ผุดขึ้นมาใหม่นิ่งอยู่อย่างอัศจรรย์ใจ แล้วเราก็หมอบกราบลงพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

พระธาตุนั้นแน่ละ...และเส้นเกศา ก็แน่อีกจริง ๆ

ที่สงสัยว่าเป็นพระธาตุของท่านองค์ใด เส้นเกศาของหลวงปู่ท่านไหน...นั้นเห็นจะไม่น่าต้องพูดกันอีกแล้ว
104#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 20:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผู้เขียนเลยคิดว่า จะกลับไปถ่ายรูป นำพระธาตุทั้งหมดและภาพเส้นเกศาที่มาปรากฏครั้งใหม่ต่อหน้าเราสองคน มารวมลงพิมพ์ในหนังสือประวัติฉบับพิมพ์ครั้งใหม่นี้ด้วย เพราะคิดว่า อย่างไร ๆ ก็คงจะต้องถ่ายภาพเส้นเกศาของท่านที่เริ่มรวมตัวจะเป็นพระธาตุใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะภาพที่ลงในการพิมพ์ครั้งแรกนั้น บัดนี้ของจริงได้แปรสภาพมากขึ้นกว่าเก่าอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ดี เมื่อเรากลับไปเพื่อถ่ายภาพพระธาตุที่ห้องคนเจ็บในโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างเปิดผอบ พระธาตุ ๔ องค์ และเส้นเกศาออก และจัดวางให้เข้าที่ เพื่อให้ช่างภาพได้เก็บภาพอย่างชัด ๆ นั้น ก็พลันเห็นพระธาตุแก้วใสปรากฏขึ้นอีกองค์หนึ่ง...!

ทุกคนยังไม่หายตื่นเต้นดี ...อ้าว ผุดขึ้นมาอีกองค์หนึ่งแล้ว สีน้ำตาลอ่อน...!

เป็นองค์ที่ ๖

ความจริงเราไม่ได้สงสัยกันแล้ว หากก็อดชอบคิด “ทำไม” กันไม่ได้...แต่ครั้งนี้...ครั้งนี้....

นอกจากเลิกสงสัยแล้ว ควรจะเลิก “คิด” ด้วยเช่นกัน

เพราะจำได้ว่า เคยกราบเรียนถามหลวงปู่หลุยในเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจทำนองนี้...ทำไม ? เกิดขึ้นได้อย่างไร ?

ท่านมองผู้เขียนอย่างเมตตา “เรื่องอย่างนี้ เป็น อจินไตย ไม่ควรคิด”

เรียนถามท่านว่า อจินไตย แปลว่าอย่างไร

ท่านตอบเรียบ ๆ ว่า “พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เป็นเรื่องไม่ควรคิด ควรสงสัย คิดไปจะเป็นบ้า” แล้วท่านก็เสริมด้วยหน้ายิ้ม ๆ มองผู้เขียนอย่างเวทนาในความแสนจะไม่เดียงสา “เรื่องของพระอรหันต์ อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เป็นอจินไตย”

http://www.dharma-gateway.com/mo ... lp-chob-hist-39.htm
105#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 20:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๔๐. พระเทวานัมปิยเถระ

ชีวประวัติและปฏิปทาของ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้ดำเนินมาแต่เมื่อเริ่มกำเนิด วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๔ ...จนกระทั่งวันสุดท้าย คือวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๓๘ ได้ดำเนินมาเป็นมิ่งขวัญของประเทศ เป็นที่พึ่งทางจิตใจให้แก่ปวงศิษย์ ทั้งบรรพชิต และฆราวาส และประชาชนทั่วไปอีกนานเท่านาน

ยามเมื่อดำรงชนม์ชีพอยู่ องค์ท่านเจ้าของประวัติเอง...มิได้สนใจกับ “อดีต” ที่ผ่านมาแล้วของท่าน...ท่านมิได้สนใจกับ “อนาคต” ที่จะเป็นไป ซึ่งหากเป็นปุถุชนคนธรรมดาย่อมไขว่คว้าปรารถนาหาเกียรติยศ ชื่อเสียง ทรัพย์ศฤงคาร แม้กระทั่งปรารถนาแดนพ้นทุกข์ ท่านก็มิได้สนใจแล้ว...ท่านมิได้สนใจแม้แต่ “ปัจจุบัน” ซึ่งก็อีกน่ะแหละ หากเป็นบุคคลธรรมดา ย่อมเร่งประกอบการงาน เร่งหาเลี้ยงชีพ หาชื่อเสียง ยศศักดิ์ เป็นนักบวช ก็เร่งทำความเพียร เร่งทำกิจอันควรกระทำ...ทำปัจจุบัน ให้สร้างอนาคต

ท่านมิได้ต้องสนใจ ทั้งอดีต ทั้งอนาคต และทั้งปัจจุบัน

ท่าน “วาง” แล้ว ดังที่ท่านกำลังสอนอยู่ ให้เรา “วาง” บ้าง

กิจอันควรกระทำของท่านคงจะได้เสร็จสิ้นแล้ว

ท่านดำรงธาตุขันธ์อยู่ ท่านก็มีเมตตาธรรมเป็นเครื่องอยู่...โปรดศรัทธาญาติโยมตามกาละอันควร ตามเทศะอันควร จากเหนือจดใต้ จากตะวันออกสู่ตะวันตก ...ทั่วประเทศเขตแคว้น ทั้งต่างแดนใกล้และไกล ที่เมตตาของท่านประพรมโสรจสรงจิตใจคน

“เรา” ต่างหากที่เมื่อกราบองค์ท่านแล้ว ด้วยความเคารพรัก เลื่อมใส ศรัทธา อย่างสุดซึ้งแล้ว ก็ยังมิได้พอใจเพียงนั้น ยังอาจเอื้อมขอความเมตตามากขึ้นไปอีก ขออนุญาตให้ได้นำ “อดีต” ของท่าน ที่ท่านทิ้งร่องรอยไว้ในความทรงจำของศิษย์ทุกคน นำมารวบรวมเรียบเรียงเป็นชีวประวัติ อ้างด้วยว่า เพื่อเป็นประโยชน์แก่อนุชนคนไทยรุ่นหลัง เพื่อเป็นตัวอย่างให้ผู้สนใจได้ศึกษา เพื่อให้ผู้เคารพรักได้เทิดทูน เพื่อเป็นกำลังใจ เป็นแนวทางให้ผู้ใคร่ในธรรมเร่งปฏิบัติทำความเพียร

สารพัดจะอ้าง...

ท่านก็เมตตา...

แต่แรกผู้เขียนก็ตื่นเต้น ดีใจ ตามประสากบในกะลาครอบ...เราเคยกราบท่าน เคยเรียนถามท่าน ท่านเมตตาเล่าให้ฟังเพิ่มเติม...คงเขียนได้...คิดดูไม่ยากเลย

แต่เมื่อเริ่มรวบรวมข้อความ เริ่มลงมือเขียน จึงได้รู้ว่า จริง ๆ แล้ว ไม่ง่ายเลย

เป็นการยากที่จะนำ “อดีต” อันยาวนาน ผ่านมาตลอดเวลากว่า ๙๐ ปีนี้ มาบันทึกไว้ให้ได้ทุกบททุกตอน แม้จะให้เลือกเฉพาะที่ควรบันทึก ควรสนใจก็เถอะ...!

“อดีต” ที่ดำเนินมาของท่าน....

...แต่วัยเด็ก ที่โลดเต้นไปตามประสาเด็ก แต่ก็มีความกตัญญูรู้คิด ทำหน้าที่ลูกที่ดี พี่ที่ดีของครอบครัว รู้คิด...เริ่มคำนึงหาทางออกจากทุกข์ จนออกบวช เป็นผ้าขาวน้อย เป็นสามเณร

...ผ่านวัยหนุ่ม ที่บวชเป็นภิกษุ แล้วก็ออกธุดงค์ บำเพ็ญความเพียรอย่างมอบกายถวายชีวิตให้ธรรม พยายามห้ำหั่นฟันกิเลสด้วยอุบายวิธีนานา...ทั้งที่ได้รับแนวทางคำสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ และที่เกิดปัญญาคิดค้นขึ้นมาได้เอง ผ่านสัตว์ร้ายในป่าลึก พบช้าง ผจญเสือ ทรมานงูพิษ พญานาค พบสิ่งลึกลับอันเกินสายตามนุษย์ธรรมดาจะพึงพบ พึงเห็น พึงรู้จัก....

...ผ่านวัยกลาง ที่เปรียบประดุจพญาราชสีห์กำลังทรงพลังอันแข็งแกร่ง เมื่อถึงเวลา...ก็บันลือสีหนาทก้อง...สยบป่าให้สิโรราบลง ท่านได้นำความองอาจ เด็ดเดี่ยว ความรู้ ความสงบ และดวงปัญญาที่สะสมดำเนินมาเป็นลำดับ ๆ ออกใช้เป็นดาบเพชร สยบตัดกิเลสอาสวะ ให้ขาดกระเด็นสิโรราบลงโดยราบคาบ

...สู่วัยปลาย ที่ท่านดำรงอยู่ด้วยทิฏฐธรรม วิหารธรรม เป็นที่ยกย่องสรรเสริญของหมู่เทวดา และมวลมนุษย์ เป็นที่เคารพรัก สักการะของปวงชนชาวไทย
106#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 20:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จริงแท้ เป็นการยากอย่างยิ่ง ที่จะสามารถบันทึก “อดีต” อันยาวนาน ที่งดงามน่าเลื่อมใส น่าเรียนรู้ น่าถือเป็นครู ให้ได้เทิดทูนบูชา ถือเป็นแบบอย่าง ให้เป็นกำลังใจ ได้มุ่งบำเพ็ญตาม...เหล่านี้มาบันทึกให้เป็นภาพประวัติที่งดงาม น่าเลื่อมใส น่าเรียนรู้ น่าถือเป็นครู ให้ได้เทิดทูนบูชา ถือเป็นแบบอย่าง ให้เป็นกำลังใจ ได้มุ่งปฏิบัติบำเพ็ญตาม...เช่นดั่งความจริงที่ผ่านมา

ยังมี “อดีต” ที่ไม่ได้ทราบ...ที่ ทราบแล้ว แต่ไม่ได้เขียน...ที่ เขียนแล้ว แต่คนเขียนไม่มีความสามารถจะถ่ายทอดความจริงได้

ประดุจใบไม้อันเขียวขจีจับตาในป่า ยากอย่างยิ่งที่จะนำมาจัดลงประดับในแจกันเล็ก ๆ เพียงแจกันเดียว ใบไม้มาจนลานตาประการหนึ่ง เก็บที่สวยมาไม่ได้หมดประการหนึ่ง ผู้จัดไม่ได้มีสุนทรียจิตพออีกประการหนึ่ง ฉันใด แจกันเล็กใบนั้น...ก็ฉันนั้น หนังสือเล็ก ๆ เล่มนี้ จะเก็บ คัด อย่างไรก็ไม่อาจเป็นตัวแทน “อดีต” อันงดงามของท่านได้

จึงขอประทานอภัย ท่านผู้รู้ทุกท่านไว้ ณ ที่นี้

โดยเฉพาะองค์ท่านเจ้าของประวัติเอง

บันทึกมาเพียงแค่นี้ (บันทึกครั้งแรก ใน พ.ศ. ๒๕๒๙) ก็มีน้อง ๆ มาซัก

“พี่คะ ในโลกนี้ ยังมีพระอย่างนี้หรือคะ”

“มีจริงหรือคะ”

ต้องอธิบายไว้ด้วย ว่าการจัดทำหนังสือเล่มนี้นั้น ในช่วงหลังของหนังสือกว่าครึ่ง เป็นการเขียน “ผ่อนส่ง” คือเขียนไป ส่งต้นฉบับให้โรงพิมพ์ไป เพื่อให้พิมพ์เป็นเล่มเสร็จทันเวลา ฉะนั้น เขียนไปก็จะถูกเร่งต้นฉบับ เกรงช้า แต่ระยะหลัง การเร่งมิใช่เร่งเพราะกลัวช้า เพราะผู้พิมพ์ตัวคอมพิวฯ ซึ่งมีหลายคนอยากอ่าน อยากรู้เรื่อง มีคนซึ่งปกติไม่มีหน้าที่ตรวจปรู๊ฟพิสูจน์อักษร ขอช่วยตรวจปรู๊ฟ แย่งกันพิมพ์ แย่งกันช่วยปรู๊ฟ

เธอเหล่านั้น บอกว่า อ่านแล้ว ขนลุก น้ำตาคลอ....

บางคนน้ำตาคลอ สงสารตอนท่านเป็นเด็ก ๗ ขวบ อยากหาเงินช่วยพ่อแม่หาบขี้ครั่งไปขายจนสองบ่าแตกเป็นแผล ...บางคนสงสารตอนท่านมีชีวิตอยู่ในป่า อกอยาก ยากแค้น ทนอด ทนหิว ทนหนาว ตากแดด ตากฝน มีชีวิตเหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง บางคนจับใจตอนท่านเมตตาสั่งสอนเสือ สั่งสอนงูพิษ บางคนอัศจรรย์ ความรู้ความเห็นที่ลึกลับของท่าน บางคนตื่นเต้นตอนเทวดามาใส่บาตร เทวดามาคอยรักษา คอยอนุเคราะห์ บางคนสะดุ้งกลัวเรื่องภพชาติที่ต้องมาเกิดเวียนว่ายในวัฏวนของชีวิต

“ขนาดท่านยังเคยต้องเกิดเป็นสัตว์ แล้วเราล่ะ...!”

“ผมคงไม่กล้าทำบาปฆ่าสัตว์อีก ! ”

107#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 20:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“ท่านเป็นพระอย่างไร.....”

“ท่านเป็นพระอรหันต์ใช่ไหมครับ”


ท่านเป็น...ใช่ไหม ? หนูเอ๋ย ไหนเลยจะตอบได้ ธรรมของท่านอยู่ในจิตของท่าน ท่านผู้รู้เสมอด้วยท่านเท่านั้น จะตอบได้....

เพื่อนสหธรรมิกผู้เป็นกัลยาณมิตรของท่าน อย่างพระคุณเจ้าหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ พระคุณเจ้าหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่มรณภาพแล้ว ถวายเพลิง และพระราชทานเพลิงศพแล้ว อัฐิธาตุต่างปรากฏเป็นพระธาตุแล้ว ท่านเหล่านั้นต่างเคยชมจิตของหลวงปู่เสมอ เฉพาะหลวงปู่ขาวนั้น ถ้าชาวจังหวัดเลยไปกราบ ท่านมักบอกเสมอ “....เสียค่ารถมาทำไมให้ลำบาก บ่อเพชรอยู่ที่จังหวัดเลย กลับไปกราบท่านอาจารย์ชอบเด้อ !”

สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระพุทธดำรัสแก่สามเณรอจีรวตะ ผู้อัคคิเวสนโคตร ณ เวฬุวัน ใกล้กรุงราชคฤห์ ความว่า

“ภิกษุนั้น รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว กิจควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่ต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก

ภิกษุนั้น ย่อมเป็นผู้อดทนต่อความเย็น ความร้อน ความหิว ความกระหาย และสัมผัสอันเกิดจาก เหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เสือกคลานทั้งหลาย เป็นผู้มีชาติแห่งบุคคลผู้อดกลั้นได้ต่อถ้อยคำกล่าวร้าย กล่าวมาไม่ดี อดทนได้ต่อทุกขเวทนาทางกายอันเกิดขึ้นแล้วอย่างกล้าแข็งแสบเผ็ด หมดความสำราญเบิกบานใจ ปลิดเสียได้ซึ่งชีวิต ภิกษุนั้นเป็นผู้มีราคะ โทสะ โมหะ อันกำจัดเสียสิ้นแล้ว มีกิเลสอันย้อมใจดุจน้ำฝาด อันตนสำรอกออกเสียได้แล้ว เป็นอาหุเนยยบุคคล เป็นปาหุเนยบุคคล เป็นทักขิเนยยบุคคล เป็นผู้ควรแก่การอัญชลีกราบไหว้ เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นใดยิ่งไปกว่า”


หลวงปู่ย่อมรู้ชัดว่า ชาติของท่านสิ้นแล้วหรือไม่ พรหมจรรย์จบแล้วหรือไม่ กิจควรทำของท่านได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่ต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีกหรือไม่

ท่านได้แสดงให้ประจักษ์ตลอดมาว่า ท่านเป็นผู้อดทนต่อความเย็น ความร้อน ความหิว ความกระหาย และสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เสือกคลานทั้งหลาย เป็นผู้มีชาติแห่งบุคคลผู้อดกลั้นได้ต่อถ้อยคำกล่าวร้าย กล่าวมาไม่ดี ท่านอดทนได้ต่อทุกขเวทนาทางกายอันเกิดขึ้นแล้วอย่างกล้าแข็งแสบเผ็ด หมดความสำราญเบิกบานใจ ปลิดเสียได้ซึ่งชีวิต

ท่านคงเป็นผู้มีราคะ โทสะ โมหะ อันกำจัดเสียสิ้นแล้ว มีกิเลสอันย้อมใจดุจน้ำฝาดอันตนสำรอกออกเสียได้แล้ว

ท่านคงเป็นอาหุเนยยบุคคล เป็นปาหุเนยยบุคคล เป็นทักขิเนยยบุคคล เป็นผู้ควรแก่การอัญชลีกราบไหว้ เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นใดยิ่งไปกว่า

ท่านเป็นพระอย่างไร...เป็น...ใช่ไหม ? หนูเอ๋ย ดูเหมือนพระพุทธองค์จะเคยตรัสไว้เป็นสัจวาจาว่า “ดูก่อน อานนท์ ...ถ้าผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรมยังมีอยู่ พระอรหันต์ย่อมไม่สูญไปจากโลก...”
108#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 21:05 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่ท่านปฏิบัติธรรมแล้ว สมควรแก่ธรรมแล้วแค่ไหน เราจะทราบได้อย่างไร

นึกถึงที่ครูบาอาจารย์เคยเทศนา สาธกพระพุทธดำรัสขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาให้ฟัง ยังจำได้ เนื่องด้วยคิดว่า ไพเราะนัก ท่านว่า “พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ในที่ใด เป็นบ้านก็ตาม เป็นป่าก็ตาม ที่ลุ่มก็ตาม ที่ดอนก็ตาม ที่นั้นย่อมเป็นภูมิสถานน่ารื่นรมย์แท้...”

ถึงเราจะคิดว่า ที่ซึ่งครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่อยู่ เป็นภูมิสถานน่ารื่นรมย์ สงบเย็น แต่ก็อย่าไปนึกสงสัย คาดคิดให้ยุ่งไปเลย...

เราลองนึกถึงความจริงข้อนี้กันดีกว่า...ความจริงที่กำลังเกิดขึ้นจริง ๆ ...!

ในขณะที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ บรรดาศิษย์ผู้เคารพรัก เลื่อมใส เทิดทูนท่าน ได้กราบขอเส้นเกศาของท่านไปกราบไหว้บูชา เป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัว แต่บางคนโชคดี ได้เห็นเส้นเกศาของท่านกำลังรวมตัว ในสภาพจะกลายเป็นพระธาตุแล้ว...!

หรือบางคนนำรูปปั้นเหมือนของท่านบ้าง รูปภาพบ้าง นำขึ้นที่บูชาด้วยเคารพมุ่งมั่น รักเทิดทูนบูชาอย่างสูงสุด วันดีคืนดีจะมีพระธาตุบ้าง เส้นเกศาบ้าง ปรากฏให้เห็นเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจ

ในโลกนี้ ยังมีพระอย่างนี้อีกไหมคะ...?

คงมีซี หนูเอ๋ย แต่อาจจะหายากหน่อย และเมื่อเราโชคดีได้พบแล้ว ก็ควรถือเป็นบุญอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสกราบพระอย่างท่าน

“พระ”     ผู้ยิ่งด้วยวิสุทธิธรรม

“พระ”     ผู้ควรแก่สมมตินามของ “พระ” โดยแท้

“พระ”     ผู้แปลว่า ผู้ประเสริฐ ผู้เลิศ ผู้ปฏิบัติดีแล้ว ผู้ปฏิบัติตรงแล้ว ผู้ปฏิบัติชอบแล้ว ผู้ปฏิบัติเป็นธรรมแล้ว ผู้ปฏิบัติสมควรแล้ว ผู้ควรแก่อัญชลีกรรม ผู้ควรแก่ทักษิณาทาน..ผู้เป็นนาบุญเอกแห่งโลก ยากที่จะมีนาบุญใดมาเปรียบได้

“พระ”     ผู้เป็นที่เคารพ สักการะ และเทิดทูนแห่งมวลมนุษย์

“พระ”     ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ

พระเทวานัมปิยเถระ
109#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 21:05 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผู้เขียนยังจำได้ไม่ลืม เมื่อได้นำหนังสือ “ชีวประวัติพระคุณเจ้า หลวงปู่ชอบ ฐานสโม” ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ไปกราบถวาย พระคุณเจ้าหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฎ์ แห่ง วัดหินหมากเป้ง ท่านก็อ่านอย่างสนใจ เป็นเวลาติดต่อกันหลายวัน และเป็นเวลาติดต่อกันหลายวันเช่นกัน ที่เรียกผู้เขียนไป... ท่านให้คำวิจารณ์โดยละเอียดและมากด้วยเมตตา จนทำให้ผู้เขียนอดรำพึงในใจไม่ได้ว่า

นี่แหละ ท่านผู้เป็นปราชญ์ ! ...ท่านผู้เป็นปราชญ์แท้ ย่อมเป็นดังนี้...!

....หลังจากที่ พระคุณเจ้าหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ได้อ่านจนจบถึงตอน พระเทวานัมปิยเถระ แล้ว ท่านก็รำพึงกับผู้เขียนว่า

“เทวดารักท่านชอบมาก อันที่จริงแล้ว มากกว่าท่านอาจารย์มั่นด้วยซ้ำไป ...ในเรื่องเกี่ยวกับเทวดานี้แล้ว บางครั้งท่านอาจารย์มั่นก็ยังขอให้ท่านชอบช่วยจัดการให้เสมอ”

เมื่อผู้เขียนแสดงความสงสัยว่า “เอ๊ะ หลวงปู่มั่นท่านเป็นอาจารย์หลวงปู่ชอบนะเจ้าคะ เทวดาน่าจะรักและเกรงใจหลวงปู่มั่นมากกว่า”

หลวงปู่เทสก์ ท่านก็อธิบายความว่า “เป็นเรื่องบารมีของแต่ละองค์ ก็เหมือนพระพุทธเจ้ากับพระสิวลี ในเรื่องบารมีทางลาภแล้ว บางครั้งพระพุทธเจ้าท่านก็ยังให้พระสิวลีช่วย”

“พระ” ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ

http://www.dharma-gateway.com/mo ... lp-chob-hist-40.htm
110#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-3 10:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้




ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้