ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต วัดบรรพตคีรี(วัดภูจ้อก้อ) ~

[คัดลอกลิงก์]
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คืนสู่เพศพรหมจรรย์

ปรารภในเรื่องบวชต่อไป การบวชต้องบวชมหานิกายก่อน พระอุปัชฌาย์ที่บวชนั้น คือพระครูคูณ บ้านท่าตูม ได้นิมนต์ท่านมาบวชที่บ้านยาง บ้านยางนั้นมีหลวงพ่อทอง สุวัณณสโร เป็นเจ้าอาวาส และก็เป็นลูกศิษย์ของอุปัชฌาย์หนู บ้านกุดสระด้วย พระครูคูณก็เช่นกัน ได้นิมนต์ท่านอาจารย์เสาร์ บ้านดงลิง มาเป็นอนุสาวนาจารย์ หลวงพ่อทอง สุวัณณสโร เป็นกรรมวาจาจารย์ พระครูคูณเป็นอุปัชฌาย์

ไฉนจึงไม่ไปบวชธรรมยุตเล่า

ตอบว่า มารดากำลังชราภาพหนักเข้า เพราะที่นั้นอยู่ใกล้มารดา ไกลกันเพียงสองกิโลเท่านั้น จะได้เยือนมารดาสะดวกในทางธรรมะ และอุปัชฌาย์และอาจารย์สวดเล่า ก็ได้เคารพนับถือกันมานมนานพร้อมทั้งวงศ์วานด้วย และเมื่อองค์ท่านได้รับทราบข่าวว่าจะบวช องค์ท่านก็เปิดประตูทางกาย วาจา ใจ ด้วย และข้ามกรายไม่ได้ เพราะเกรงกระทบกระเทือน และองค์ท่านเล่าก็มีนิสัยใจคอกว้างขวางมากทุก ๆ ด้าน

พ.ศ. ๒๔๘๖ นั้นเอง เป็นเดือนเมษายน พอบวชแล้วข้าพเจ้าก็ท่องหนังสือสูตรต่าง ๆ คืนมาได้หมดแต่พรรษาแรกตลอดทั้งนวโกวาทและธรรมวิภาค เล่ม ๑ เล่ม ๒ พร้อมทั้งเรียนนักธรรมโทต่อ ก็สอบนักธรรมโทได้ในปีนั้น

ครั้นพรรษาที่สอง ก็เรียนนักธรรมเอกต่อ สอบในสนามหลวงวัดโพธิสมภรณ์ อุดรฯ เพราะสมัยนั้น ทั้งธรรมยุต มหานิกายต้องไปสอบสนามหลวงวัดโพธิสมภรณ์แห่งเดียวกัน และข้าพเจ้าบวชมหานิกายคราวนี้ ได้ปฏิบัติข้อวัตรเคร่งขึ้นบ้างเฉพาะส่วนตัว พระอาจารย์เจ้าอาวาสก็ไม่ขัดข้อง คือฉันหนเดียว มื้อเดียว เอกาสนิกังคะ ไม่ฉันจิ๊บ ๆ แจ๊บ ๆ ตอนก่อนเที่ยงและเที่ยง เว้นไว้แต่เภสัชแก้โรค ฝ่ายขุดดินพรากของเขียวข้าพเจ้าก็งดเว้น มูลค่าข้าพเจ้าก็ไม่เก็บเองเพื่อสะสม มารดาก็มรณะในปีนั้น ท่านมีสติเงียบเรียบร้อย (คือตายคาภาวนาพุทโธ)
12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ไม่ไว้ใจในสังขารทั้งปวง

ฌาปนกิจศพมารดาเสร็จแล้ว ก็กราบลาอุปัชฌาย์อาจารย์สวด ไปหาท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) สมัยนั้นท่านเป็นพระเทพกวี ส่วนอุปัชฌาย์อาจารย์เดิมท่านก็ห้าม แสดงความอาลัยอเนกปริยาย จึงกราบเรียนท่านว่า

“กระผมบวชเมื่อแก่ อายุขั้นสามสิบ ลูกตายเสีย เมียตายจาก ถ้าอยู่ใกล้บ้าน ไม่ได้ปฏิบัติสะดวก โลกจะกล่าวว่าบวชเลี้ยงชีวิต และการบวชคราวนี้ ก็เห็นภัยในสงสารอย่างเต็มที่ ไม่ไว้ใจในชีวิตเลย และไม่ไว้ใจในสังขารทั้งปวงด้วย อยากจะไปปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ในสงสารขอรับ”

ท่านฟังแล้วก็มีกิริยาสังเวช ก็เลยอนุญาต กราบลาท่านแล้ว ก็จัดแจงแต่งบริขารให้หลานชายคนหนึ่งชื่อบุญหลาย บุญมาตุ่น ซึ่งเป็นลูกชายของพี่สาวผู้ที่ชื่อว่านางแก้ว ตามไปส่งถึงวัดโพธิสมภรณ์ มหาสุพัฒน์ อันเป็นหลานของข้าพเจ้า ก็เป็นพระเลขาของท่านเจ้าคุณ พักอยู่ชั้นล่างกุฏิของท่านเจ้าคุณ แล้วก็ขึ้นไปกราบเท้าท่าน แล้วถวายหนังสือรับรองให้องค์ท่าน

หนังสือรับรองนั้น มหาเฉลิมหลานเขยที่เป็นครูสอนโรงเรียนอยู่บ้านยาง เขียนรับรองให้ และมหาเฉลิมก็เป็นพี่เขยมหาสุพัฒน์ เคยได้บวชกับท่านเจ้าคุณมานมนานในวัดโพธิสมภรณ์นั้นแล้ว ทั้งได้เป็นลูกศิษย์อยู่ใกล้ชิดท่านเจ้าคุณ ยุคก่อนมหาสุพัฒน์มา แล้วได้ลาสิกขา ไปสอนโรงเรียนฝ่ายโลก นับว่าเป็นโชคดีที่เหมาะสมทุกประการ แม้ท่านเจ้าคุณเทพกวีก็รู้จักเผ่าพงศ์วงศ์ตระกูลของข้าพเจ้าดีพอแล้ว เพราะเป็นตระกูลที่มีสัมมาอาชีพ องค์ท่านก็รับไว้แบบเบาใจเบาธรรม

เมื่อองค์ท่านเมตตารับแล้ว ก็ให้พักอยู่ชั้นล่างกับพระมหาสุพัฒน์นั้น ประมาณเจ็ดวัน องค์ท่านก็สั่งให้โยมวัดป่าหนองน้ำเค็มมารับเอาไปปฏิบัติ รอญัตติในวัดป่าโพธิ์ชัย บ้านหนองน้ำเค็มนั้น มีหลวงพ่อบุญมีเป็นเจ้าอาวาส ไกลจากวัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานีประมาณสิบสองกิโลเมตร เป็นตำบลเชียงยืน ขึ้นอำเภอเมืองอุดรฯ และวัดป่าโพธิ์ชัย หนองน้ำเค็มนั้น เป็นวัดที่เขาสร้างถวายพระอาจารย์ใหญ่มั่น ในคราวพระอาจารย์ใหญ่มั่นกลับจากเชียงใหม่มาอุดรฯ ที่ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์นิมนต์มาพักฤดูแล้ง พอถึงฤดูฝนปีนั้น หลวงปู่มั่นก็จำพรรษาที่วัดป่าโนนนิเวศน์ ชานเมืองอุดรฯ ทางทิศเหนือของเมืองอุดรฯ เป็นมงคลดี

จะกล่าวถึงหลวงพ่อบุญมี วัดป่าโพธิ์ชัย หนองน้ำเค็ม อำเภอเมืองไว้บ้าง ในส่วนปฏิปทาของท่าน ท่านก็ได้ศึกษาเรียนกับหลวงปู่มั่น ในคราวหลวงปู่มั่นพักอยู่วัดป่าหนองน้ำเค็มนั้น เป็นอย่างจริงจัง รู้จักและอ่านออกข้อวัตรทุกประการบ้างพอควรในการปฏิบัติของหลวงปู่มั่น และท่านก็เคารพรักหลวงปู่มั่นแบบไม่จืดจางได้

หลวงพ่อบุญมีปฏิบัติเคร่งครัดพอควร อายุ ๗๒ ปี พรรษาย่างเข้า ๑๘ พรรษา ท่านมีอุบายสั่งสอนเยือกเย็นแยบคายพอควร ด้วยให้หนักไปในการหลุดพ้นโดยด่วนในสังสารทุกข์ ไม่พาทำงานจุก ๆ จิก ๆอะไร เพราะปัจจัยสี่ในสำนักพอเป็นพอไปได้แล้ว พาเร่งรัดความเพียรโชกโชน กลางวันไม่ให้หลับเคลิ้มเลย ทั้งตรงต่อเวลาด้วยตามกาลของข้อวัตร ตอนกลางคืนก็ให้หลับประมาณสามสี่ชั่วโมงเท่านั้น

13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ญัตติธรรมยุต

ครั้นถึงเดือนกุมภาพันธ์ในฤดูแล้งปีนั้นเอง ท่านเจ้าคุณเทพกวี (จูม พันธุโล) ก็สั่งให้เข้าไปญัตติ พอได้เวลาจัดแจงบริขารเพิ่มพอเพียงแล้ว พร้อมทั้งญาติโยมและพระที่ไปด้วยสององค์ ก็พากันเดินด้วยฝีเท้าไปถึงวัดโพธิสมภรณ์ เมืองอุดรธานี ไปหาท่านที่กุฏิ กราบเท้าถวายนมัสการท่านว่า

“เกล้าต้องทำพิธีลาสิกขาออกจากมหานิกายก่อนหรือประการใดหนอ”

องค์ท่านกรุณาว่า “ไม่ต้องดอก เพราะเจ้าเป็นผู้ตั้งใจดูว่าดีแล้ว นุ่งเหลืองห่มเหลืองตามเดิมเข้าญัตติ มหาสุพัฒน์เอ๋ย เอามีดโกนมาเราจะโกนหัวให้เป็นพิธี ผมจะไม่ยาวพอโกนก็ตาม เราลงมือโกนให้เป็นสิริ”

เมื่อพิจารณาตามพระวินัยแล้ว องค์ท่านทำถูกมาก พระวินัยบอกไว้ว่า อุปัชฌาย์จะโกนหัวให้สัทธิวิหาริกก็ควร เพราะต่างฝ่ายจะได้เคารพรักกันเป็นอตีตารมณ์

ครั้นโกนผมแล้ว องค์ท่านก็ให้พระไปตีระฆังมารวมที่โบสถ์แล้วก็เข้าญัตติ มีพระครูธรรมธร เป็นกรรมวาจาจารย์ พอเสร็จแล้วองค์ท่านก็ออกใบสุทธิให้ เลขนับจำนวนใบสุทธิ ๑๓๑๘ วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๘ เวลา ๑๓ นาฬิกา ๑๕ นาที ส่วนใบสุทธิเดิมใช้ไม่ได้เพราะคนละสังกัด

เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็กราบเท้าลากลับวัดป่าโพธิ์ชัย หนองน้ำเค็มตามเดิม กลับถึงก็พอดีค่ำมืด แก้ปัญหาตอนนี้ได้แล้วรู้สึกเบาใจมากแล้วก็ต่อนิสัยกับหลวงพ่อบุญมีในวันนั้น ต่างก็ตั้งหน้าปฏิบัติไม่มีกังวลทางอื่นเลย

สมัยนั้นสถานที่วิเวกวังเวงดีนัก แต่มีงูกะปะมากเพราะเป็นดงป่าไม้ไร่บ้าง ต้นมะแหนบ้าง ต้นเอ็นหม่อนบ้าง พอถึงเวลาเข้าพรรษามีพระ ๕ รูป สามเณร ๓ รูปด้วยกัน มีการถือธุดงค์พอควร กลับถึงวัดแล้วไม่รับอาหารที่เป็นปัจฉาภัต หวานคาวรวมลงในบาตร องค์ไหนทำอาหารให้เหลือในบาตรในยามฉันอิ่มแล้วเท่าฟองไข่ไก่ ถือว่าไม่รู้จักประมาณในการเอาไว้ก่อนจะฉัน ไม่ถือว่าเป็นของลำบากด้วย ต่างก็รู้สึกสนุกใจด้วยการพอใจทำ เพราะมีแต่ท่านผู้ตั้งใจตามสมควรแท้
14#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การภาวนาพรรษาแรก

การภาวนาเฉพาะส่วนตัว ก็ได้กำหนดลมหายใจออกเข้าเป็นหลักเป็นส่วนมาก แท้จริงได้หัดทำแต่ยังอยู่เป็นฆราวาส คราวภรรยาตายแล้วเป็นต้นมา นิมิตเห็นแสงดาวและนิมิตก้อนเมฆที่ไหลผ่านแล้วแตกสลาย ได้น้อมลงสู่ไตรลักษณ์ เห็นประจักษ์แต่เป็นฆราวาสแล้ว

จิตที่รวมลงในอานาปาฯ ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ ตัดเสียงหมอลำที่เขาลำอยู่ในวัดที่กำลังเป็นพระมหานิกายอยู่ ก็ได้รู้จักรสชาติแล้วไม่สงสัย พอหมดกำลังก็ถอนออกมา ก็ได้คำนึงน้อมสู่ไตรลักษณ์แถมท้ายส่งเดช

ฉะนั้นการปฏิบัติมาแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ ท่านผู้ใดเล่าเรื่องนิมิตต่าง ๆ นานาสารพัดให้ฟัง ก็ฟังได้ แต่ไม่ตื่นเลย เพราะนิมิตทั้งหลายไม่ใช่พระนิพพาน เกิดขึ้นแล้วก็แปรปรวนแตกสลายเท่านั้น เพราะไม่พ้นกองพลของไตรลักษณ์ เพราะนิมิตกับกิเลสมันเป็นคนละรสละชาติ กิเลสต่างจากนิมิตไกลกันริบหรี่เลย

อยู่กับหลวงพ่อบุญมีนิมิตไม่มาก แต่ถึงกระนั้น เตียงที่นอนอยู่พาเหาะลอยไปในอากาศก็มี บางทีเหาะขึ้นไปบนอากาศแล้วตีลังกาพลิกคว่ำพลิกหงายโลดโผน เดินจงกรมในอากาศ นอนกลางอากาศเข้าสมาธิก็มี และในเวลาที่นอนขวางอยู่บนอากาศเช่นนั้น ตอบตนเองว่า “นี้สิจึงเป็นสมาธิ” เมื่อหมดกำลังก็ถอนออกมา เห็นลมเข้าออกตามเดิม

อุปจารสมาธินี้เป็นไปโลดโผนต่าง ๆ นานา กุศลสมาธิชั้นนี้อยู่ใต้อำนาจอนิจจัง ผู้มีปัญญาน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ได้เร็วพลันทันเวลา เป็นทาง(ป้อง)กันความสำคัญตัวว่าประเสริฐได้ เป็นทางไม่ให้นอนใจ ติดอยู่เพียงแค่นั้น ผู้ขาดการศึกษา มักพาให้เพิ่มบ้า ว่าตนภาวนาเก่ง ใครเทศน์ก็ไม่ลง เพราะขาดปัญญาปลงลงสู่อนิจจัง เพราะธรรมอนิจจังเป็นศาลยุติธรรมตัดสินฝ่ายสังขารธรรมไม่ลงบัลลังก์อยู่ทุกกาล ปัญญาญาณต้องรู้ตามเป็นจริงส่งคืน ไม่มีหน้าที่จะต้องไปปล้นไปจี้ว่าเป็น เรา เขา สัตว์ บุคคลอะไร จะกลายเป็นหักดอกไม้บูชาอวิชชา ความมัวความเมาให้บวกทวีคูณทวีขึ้น

นักภาวนาชอบมาติดอยู่ชั้นนี้ แกะยาก จนกว่าจะเห็นคุณและโทษในชั้นนี้ด้วยตนเองชัดเจน แล้วจึงจะข้ามพ้นจากความเข้าใจผิดไปได้สะดวก

http://www.dharma-gateway.com/mo ... /lp-lah-hist-01.htm
15#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ไปหาหลวงปู่มั่น

เมื่อจำพรรษาครบไตรมาสแล้ว สิ้นกาลจีวรเดือนพฤศจิกายน ข้างแรม (แต่ปีนั้นได้รับกฐินอยู่) ก็ลาหลวงพ่อบุญมีไปหาหลวงปู่มั่น แต่การไปจะเที่ยววิเวกไปด้วยฝีเท้า ไม่ไปตามทางถนน เว้นไว้แต่บางบ้านบางถิ่นไม่มีทางลัด หลวงพ่อบุญมีก็ไม่รู้ว่าจะห้ามประการใด ญาติโยมก็เหมือนกัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็อาลัยกัน ตามธรรมเนียมของความวิโยค

ในการไปครั้งนี้มีผู้ร่วมทาง ๔ รูปด้วยกัน เป็นสามเณรองค์หนึ่งอายุสิบห้าปี และตาปะขาวคนหนึ่งอายุราวห้าสิบปี มีพระอีกองค์

พอวันใหม่ ฉันเช้าเสร็จ ได้เวลาก็กราบลาหลวงพ่อและญาติโยมออกจากสถานที่ เดินทางไปทางทิศใต้ ภาวนาพุทโธพร้อมก้าวเดินและวิจารณ์ใน พุทโธ ว่า ไม่เกิดไม่ดับไปไหน เกิดดับ เป็นแต่จิตตสังขารที่บริกรรม ถ้าจะภาวนาพระคุณออกไปข้างนอกก็ไม่มีที่สิ้นสุดได้ เพราะมีมาก ถ้าจะภาวนาย่นเป็นสาม ก็พระวิสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ แต่ก็ใหญ่หลวงไม่มีประมาณอีก

ย่นลงในผู้รู้เล่า ก็ไม่มีประมาณอีก ย่นลงในเอกคุณในปัจจุบัน ก็เป็นเอกคุณในปัจจุบันอันใหญ่หลวงอีก และธรรมเล่า สงฆ์เล่าก็กลมกลืนกันอยู่ในตัวแล้ว เป็นเชือกสามเกลียว เป็นเพียงใช้อักษรย่อบริกรรมเท่านั้น เมื่อตกลงในใจได้ดังนี้ ก็พอใจบริกรรมพุทโธพร้อมก้าวที่เดินไป

ค่ำพอดีก็ถึงบ้านแม่นนท์ พักที่วัดโบราณเก่าร้าง เป็นเขตอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรฯ มีต้นไม้เป็นธรรมชาติของป่าทึบ ไกลบ้าน เงียบสงัด มีโบสถ์ร้างผุพังลง กระจัดกระจายกว่าพันปี เขาบอกว่า “ผีดุมาก” แล้วก็พักอยู่ที่นั้นหนึ่งคืน ก็ไม่เห็นผี ๆ ผา ๆ อะไร ก็คงมีแต่ผีโลภ ผีโกรธ ผีหลงที่ดองสันดานตนอยู่ ยังไม่พ้นไปเท่านั้น

ครั้นบิณฑบาตฉันเช้าเสร็จก็เดินทางต่อไปทางทิศตะวันออกของบ้านนั้น ข้ามทางรถไฟตรงไปริมหนองหาน ผ่านบ้านกุดสระ บ้านพึก เมืองปัง บ้านเหล่านี้มีแต่ทุ่งโล่ง ถึงบ้านโพนทองค่ำพอดี

เวลาเดินทางก็ภาวนาพุทโธตามเคย ไม่จำเป็นไม่ได้พูดกัน พักที่นั้นหนึ่งคืน ฉันเสร็จเดินทางต่อ คำว่า “ฉันเสร็จ” นั้นพูดคำย่อ การบิณฑบาตเป็นวัตร และฉันในบาตรรวมภาชนะบาตรนั้นก็ดีและทั้งหวานคาวรวมนั้นก็ดี มื้อเดียวนั้นก็ดี ไม่ได้ลดละไปทางไหนได้ แม้บุหรี่ก็สมาทานไม่สูบแต่ต้นพรรษาแล้ว ใช้บริขารน้อย สะพายบ่าเดียว และเวลาเดินทางแต่ฉันเสร็จแล้วจนค่ำ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่ดื่มน้ำ กระหายบ้างก็อดเอา เพราะเกรงเท้าแตกที่เรียกว่า ลงพื้น จนกลายเป็นโรคท้องผูกมาจนบัดนี้

วันนั้นเดินทางถึงตัวอำเภอหนองหาน พักหนึ่งคืนที่ศาลา บิณฑบาตฉันเสร็จ เดินทางต่อไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอหนองหาน มีแต่เนินสุดสายหูสายตา เงียบสงัด หมดวันก็ไม่เจอคนสักคนเลย ถึงบ้านคำตานา ค่ำพอดี ไปพักวัดร้างหนึ่งคืน เช้าได้เวลาฉันเสร็จเดินทางต่อ ข้ามบ้านตาด ถึงบ้านโพธิ์

ขณะที่เดินทางวันนี้เวลาเที่ยงแสกๆ กำลังเดินทางอยู่ นิ้วเท้าของข้าพเจ้าทางขาซ้ายนับจากแม่นิ้วมาเป็นนิ้วที่สอง ไปชนกับตอเล็ก ๆ ที่อยู่กลางทาง เล็บหลุดออกหมดเหลือแต่หนังนิดเดียวแขวนแกว่งอยู่

ได้กลั้นใจดึงออกทิ้ง เลือดไหลแดง จึงคว้ากำเอาหินทรายมาพอก ฉีกผ้าเช็ดเท้าที่พันกับตีนบาตรมาพันแล้วก็เดินไป ใจก็นึกสังเวชเรื่องที่ว่า ชาติ ๆ ภพ ๆ ในสงสารมาก

บ้านโพธิ์นี้น้ำจะดื่มจะสรงก็อดกันแท้ ๆ คนจึงมักเป็นขี้กลากกัน และเรื่องที่เล็บหลุดออกมานั้น ก็เลยไม่งอกมาจนถึงทุกวันนี้ กลายเป็นอนุสรณ์ ให้เจ้าตัวได้คำนึงถึงอตีตารมณ์ที่ได้ผ่านทุกข์มาในสงสารอเนกปริยาย เมื่อเป็นดังนี้ ก็เป็นเหตุให้สิ้นความสงสัยในชาติก่อน ๆ ว่าเป็นมาอย่างไร ตลอดจนถึงชาติอนาคตด้วย เพราะชาติปัจจุบันเป็นพยานเอกอยู่แล้ว จะไปหาพยานที่ไหนอีก
16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ต้องยอมจำนนยกธงขาวว่า ชาติทุกข์ เท่านั้น ชรา พยาธิ มรณะ ฯลฯ ไม่ว่าก็ได้ เพราะลงท้ายมีแต่ทุกข์ทั้งนั้น และก็เป็นจริงอย่างนั้น และก็มีรสชาติอย่างนั้น สัมผัสโทรเลขให้รู้อยู่ ส่วนใจจะโศกจะเศร้าหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสติปัญญาแต่ละรายของท่านผู้ปฏิบัติเป็นชั้น ๆไป ไม่เสมอกันหมดได้ แต่เมื่อพ้นจากความหลงโดยสิ้นเชิงแล้ว รสชาติของความพ้นนั้นเสมอกัน ผิดกันแต่ฤทธิ์เดช ลาภ ยศ ทำนายทายทักที่เอาออกมาใช้กับบุคคลและสังคม เทวดา มาร พรหมเท่านั้น

ฉะนั้นพระนิพพานจึงไม่มีวิมานและรูปขันธ์ นามขันธ์ไปเสวยและไม่มีที่นั่ง ที่นอน ที่ยืน ที่เดินเป็นอันดับกัน จะมีอันดับกันก็แต่ขันธวิบากยังไม่นิพพานเท่านั้น ที่เรียกว่าสอุปาทิเสสนิพพาน เมื่อถึงอนุปาทิเสสนิพพานแล้วจะยืนยันว่ายังไงได้ เปลวไฟถูกกำลังลมพัดแล้วดับไป จะยืนยันว่า เปลวไฟไปตั้งอยู่ที่นั้นที่นี่ก็ไม่ได้ หรือยืนยันว่าสูญ สูญก็ไม่ได้อีก เพราะเปลวไฟไม่ได้สำคัญตัวอะไร ผู้ยืนยันสำคัญตัวต่างหาก เป็นธรรมอันลึกซึ้ง ปุถุชนจะเดาด้นคาดคะเนยาก

ครั้นพักอยู่บ้านโพธิ์ที่วัดร้างคืนหนึ่งแล้ว บิณฑบาตฉันเช้าเสร็จ ก็เดินทางต่อ มีแต่โคกเท่านั้น ค่ำพอดีก็ถึงบ้านดุง (อำเภอบ้านดุงปัจจุบันนี้เอง) พักหนึ่งคืน ตื่นเช้าบิณฑบาต ฉันเสร็จเดินทางต่อไป ผ่านบ้านกำแมด ถึงบ้านวังทองค่ำพอดี พักอยู่วัดร้าง บ้านนี้มีสัตว์ป่าชุกชุมเสือและงูเป็นต้น เพราะมีป่าทึบเป็นดงรอบบ้าน บ้านวังทองนี้สุดเขตอำเภอหนองหานไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเพียงเท่านั้น ต่อแดนกับอำเภอสว่างแดนดิน

ที่บ้านวังทองนั้น เขาวิงวอนและนิมนต์ให้พักอยู่นานบ้าง เพราะมีที่พักวิเวกเหมาะสมทุกประการ และชาวบ้านเขาเล่าให้ฟังว่า มีเสือโคร่งโลดโผนมาก พอตกกลางคืนเดือนหงายด้วยซ้ำ กระโดดข้ามรั้วเข้าคอกโคกระบือ เข้ามากัดโคและกระบือในคอกใกล้เรือนคนในบ้าน แล้วกระโดดออกวิ่งหนีไป

จึงปรึกษากันว่า “พวกเราเดินทางมาติดต่อจนค่ำ นับแต่จากที่จำพรรษามาจนบัดนี้เป็นเวลาหลายวัน ถึงแม้ว่าสนุกในการเดินภาวนาก็จริง แต่ร่างกายมิได้พักผ่อนพอควร เราต้องหยุดพักทำความเพียร เขาจะเล่าเรื่องเสือ ๆ สา ๆ ก็ตาม บางทีเขาจะลองพวกเราว่าเป็นผู้ขลาดกลัวเกินไปหรือไม่ ก็อาจเป็นได้ และเขาก็ปวารณาว่าจะทำร้านให้พักองค์ละร้าน ที่ในป่าอันไกลบ้านพอควร ถ้าเราไม่พักให้เขา ก็จะเสียตระกูลปฏิบัติ”

เมื่อปรารภกันเห็นดีแล้ว ถึงวันใหม่เขาก็มาทำร้านให้ในดงอันใกล้ห้วยที่มีน้ำ มีต้นยางใหญ่ ๆ ร่มครึ้ม เขามาทำให้หมด บ้านเสร็จในวันนั้น สูงห้าสิบเซ็นต์ กว้างยาวพอดีกับกลด และพอนอนสุดเท้า เอาไม้กลมเล็กมาเรียงกัน เอาตอกมัดท้ายหัวปูต่างฟาก ไม่ต้องกั้นและมุง เอากลดและมุ้งและร่มไม้ ขณะนั้นเป็นฤดูหนาว พอถึงตอนเช้ากลดก็เปียก มุ้งก็เปียก

พักทำความเพียรกันอยู่ที่นั้นประมาณยี่สิบวัน ก็สะดวกพอควรและไม่มีอันตรายใด ๆ ด้วย เสือ ๆ สา ๆ ไม่เห็นมีมา พบแต่งูกะปะบ้างเท่านั้น เห็นแต่เม่นตัวหนึ่งตอนกลางคืน มันเข้ามาหาที่ใกล้มุ้ง แล้วมันก็วิ่งหนีเสียงดังกริ่ง ๆ ไปทางอื่นเพราะขนของมันกระทบกัน ด้านจิตใจหนักเข้าหาธรรมติดต่อ

วันหนึ่งจึงปรึกษากันว่า “เรามาพักอยู่ที่นี้ ก็เป็นเวลา ๒๐ กว่าวันแล้ว พอคุ้มค่าเขาทำร้านให้แล้ว และจะจวนเวลาข้างหน้า การจะไปต่อไปครั้งนี้ ต้องแยกกันเป็นสองพวกจึงจะเหมาะดี เพราะการไปสำนักหลวงปู่มั่นคราวเดียวสี่คนนั้นไม่ถูกกับความประสงค์ของหลวงปู่มั่น เพราะเราหวังจะไปอยู่ด้วย ไม่ใช่ไปฟังเทศน์เฉย ๆ แล้วก็ลาไปทางอื่น หรือกลับ”

ปรารภแล้ว ก็เห็นดีกัน ไม่ขัดกัน ตาปะขาวตกลงจะไปกับพระทางหนึ่ง จะไปบ้านดงเย็น หาพระอาจารย์พรหม อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ส่วนเณรบุปผาจะไปกับข้าพเจ้า เพราะเณรได้สัญญาไว้แต่ต้นทางก่อนออกจากอุดรฯ ว่าถ้าไปถึงธาตุพนมแล้วจะกลับไปเรียนหนังสือนักธรรมวัดโพธิสมภรณ์ อุดรฯ

และเมื่อตกลงกันแล้ว ตื่นเช้าฉันเสร็จแล้ว ก็พากันลาญาติโยม โยมก็ไปส่งพอไม่หลงทางแล้วก็บอกให้กลับ ข้ามบ้านบ่อเมืองไพร เดินไปตามริมสายดง ค่ำพอดีก็ถึงวัดป่าบ้านโคกคอนเข้าไปกราบเจ้าอาวาสปราศรัยถามไถ่รู้ความประสงค์แล้วก็จัดแจงที่พัก
17#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การปวารณาปัจจัยสี่ตลอดชีวิต

ครั้นเป็นวันใหม่บิณฑบาต ฉันเสร็จก็กราบลาเดินทางผ่านดงบ้านโคกคอน พักวัดบ้านดงบังสักครู่ ลาจากนั้นก็เดินทางต่อ เดินทางก็คือเดินภาวนา มิได้คุยกันไปพลาง เว้นไว้แต่มีเหตุจำเป็น เดินตามทางคนบ้าง ทางเกวียนบ้าง ค่ำพอดีก็ถึงบ้านถ่อน พักวัดร้าง เช้าฉันเสร็จเดินทางต่อ ข้ามป่าบ้านถ่อน ค่ำพอดี ถึงบ้านหนองฮาง พักหนึ่งคืน ตื่นเช้าบิณฑบาต ฉันเสร็จเดินต่อ ข้ามบ้านตาลเดี่ยว ข้ามป่าไปอีกประมาณสองชั่วโมงก็ถึงอำเภอวานรนิวาส เป็นเวลาเที่ยงวัน หยุดพักพอหายเหนื่อย เดินทางต่อ ถึงบ้านกุดเรือพอดีค่ำสี่โมงเย็น

โยมพอแลเห็น รีบมารับบาตรและกลด แล้วพาไปพักวัดป่าบ้านเขา วัดนั้นไม่มีพระ เพราะท่านไปวิเวกทางอื่นกันหมด แล้วโยมเขารับต้มน้ำซักผ้าให้ เขาต้มเองซักเอง เขาว่าเขาเคยแล้ว เขาเป็นเองมิได้บอก เขารู้จักปวารณาปัจจัยสี่ตลอดชีวิต จะอยู่ทิศไหนก็ตาม ถ้าต่างฝ่ายต่างมีชีวิตอยู่ ขอให้มีหนังสือมาบอกขอได้ เว้นไว้แต่สิ่งที่เหลือวิสัยก็จะได้กราบเรียนขอยอม

จึงตอบเขาว่า “พวกท่านเป็นพุทธมามกะเต็มภูมิแล้ว อาตมาขออวยพรให้ภิญโญยิ่งจนถึงที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด เวลานี้บริขารทุก ๆ ประการก็บริบูรณ์อยู่ แต่มีความต้องการด้ายเย็บผ้าประมาณสองวา บางทีผ้าขาดค่ำคืนจะได้ชุนและปะทาบ และอีกก็เกลือและพริกขอให้ตำใส่กันให้ละเอียดทั้งเกลือและพริกปนกัน แล้วให้ได้ประมาณสี่ห้าช้อนโต๊ะ หากระบอกไม้ไผ่มาใส่เป็นยาปรมัตถ์ เดินทางไกลจะได้ฉันกับมะขามป้อมและสมอเป็นยาช่วยระบาย เพราะเดินทางวันยังค่ำ ติดต่อจากอุดรฯ มา ท้องผูกไม่ถ่ายได้หกเจ็ดวันนี้แล้วโยม เอ๋ย”

เขาฟังแล้วทำท่าปลงธรรมสังเวช แล้วเขาตอบว่า “เรื่องนิดเดียวขอรับ ไม่เป็นของลำบากแก่ผู้จัดถวาย จะต้องการมากกว่านั้นก็ได้ขอรับ”

ตอบ “เอาไปมากก็หนักและเกินงามของผู้เดินด้วยฝีเท้า เพราะหนทางเล่าก็เดินลัดป่าลัดดงลัดโคก เพียงสี่ห้าช้อนโต๊ะนั้นก็ใช้ได้นานแล้ว เพราะมีสององค์”

ตกลงพักอยู่ที่วัดป่านั้นสามคืน บ้านนั้น สังเกตดูตามธรรมแล้ว สนใจทางปฏิบัติธรรมกันมาก ทั้งผู้เฒ่า ผู้แก่ รุ่นหนุ่มปานกลางมีผิวพรรณผุดผ่องหน้าตาคมคาย มีกิริยามารยาทสุภาพ พากันมารักษาศีลภาวนาตามร่มไม้เต็งรังในวัดเป็นทิวแถว

๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ แม้ว่าจะไม่มีพระก็ตาม ก็พากันมาอย่างนั้น สงบไม่เกรียวกราวอึงคะนึงอันใดเลย เวลาไปบิณฑบาตเขามายืนรวมกันแห่งเดียวที่กลางบ้าน เรียงตัวกันเป็นแถว ประมาณห้าสิบคน และบ้านก็มีหลังคาเรือนประมาณห้าสิบหลังคา อาหารหมกห่อใส่บาตรเรียบ และการนิมนต์ของเขาก็ฉลาดมาก เขาพูดว่า
18#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“การที่พระคุณเจ้าพาสามเณรมาผ่านพักที่บ้านและวัดป่าของพวกข้าพเจ้าโดยมิได้นัดหมาย เป็นของทิพย์มาเองโดยสุภาพ นับว่าเป็นบุญอันล้นเหถือแล้วละ แต่ความประสงค์ของพระคุณเจ้าจะต่อไปในทิศใด ๆ ก็ยังไม่ทราบได้ ถ้าหากว่าต้องการพักปฏิบัติอยู่นี้จนกระทั่งพวกกระผมสิ้นลมปราณจนตราบใด ๆ ก็ดี พวกกระผมก็จะตั้งใจปฏิบัติตามสติกำลังอยู่ตราบนั้น หรือหากว่าจะพักอยู่ต่ำกว่านั้นลงมา ก็มอบให้เป็นสิทธิของพระคุณเจ้า แต่ถ้าจะไปวันไหน เดือนไหน ปีไหน ก็จะตามส่งตามสติกำลังไม่ทอดธุระ ทั้งนี้จะอยู่และจะไป ขอให้พระคุณเจ้าเป็นหัวหน้าในทางที่เป็นธรรมอันสะดวกต่อข้อวัตรปฏิบัติของพระคุณเจ้าเท่านั้นเป็นเกณฑ์ พวกกระผมมีหน้าที่จะปฏิบัติตาม ไม่แซงออกหน้า”

อา ๆ ๆ ๆ ข้าพเจ้าเกิดมา เที่ยวมาเกือบสามสิบจังหวัดแล้ว พร้อมทั้งปัจจุบันที่กำลังเขียนอยู่นี้เอง ยังไม่เคยได้ยินญาติโยมกลุ่มใด พวกใด พรรคใด บุคคลใด ปรารภคำอย่างนี้กับพระเลย หายากในตลาดโลกแล้ว ข้าพเจ้าก้มคำนึงแล้วหาอุบายถามเขาว่า

“พระอาจารย์องค์ใดหนอแลที่ได้สั่งสอนบอกญาติโยมในวัดป่าบ้านนี้ ให้พวกญาติโยมได้แยบคายในธรรมพอควร”

เขาตอบว่า “พระอาจารย์บุญมี น.ธ.เอก บ้านทรายมูล ยโสธร เวลานี้ท่านกำลังไปเยี่ยมบ้าน พระลูกศิษย์และสามเณรก็ตามไปด้วย”

เห็นญาติโยมบ้านกุดเรือนี้ เขาปวารณาปัจจัยสี่ถึงพริกถึงขิงแล้ว ก็ยิ่งเกรงใจเขามากจนถึงบัดเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ได้ขออะไร ๆ ต่อเขาเลย และมิได้ติดต่อเขาอีกเลย ใครตายใครยัง(อยู่) ก็ไม่ได้ทราบข่าวกันเลย ชะรอยจะได้เคยร่วมบารมีกับเขาเพียงนั้นมาในภพก่อน ๆ ก็อาจเป็นได้ เพราะสังขารไม่แน่นอนในกรณีใด ๆ

โอวาทท่านอาจารย์สีลา


พระอาจารย์สีลา อิสสโร

เมื่อพักอยู่สามคืนแล้วก็ลาไป มีชายสองคนตามไปส่งประมาณสี่ห้าเส้นพอที่จะไม่หลง ก็ให้เขากลับ เพราะไม่ถนัดภาวนา เดินข้ามโคกใหญ่โคกโต จึงถึงบ้านวา เป็นเวลาบ่ายประมาณสามโมงเย็น ไปพักวัดป่าท่านอาจารย์สีลา ทั้งพระทั้งเณรอยู่นั้นประมาณสิบรูป วางบริขารไว้ที่ควรแล้ว นมัสการกราบท่าน องค์ท่านทักทายปราศรัยเยือกเย็น แล้วขอโอกาสองค์ท่าน จะเอาใบสุทธิของตน จะค้นเอาในบาตรมาถวายองค์ท่าน เพราะใบสุทธิเอาไว้ในบาตร

ท่านพูดว่า “อย่าเลยท่านเอ๋ยไม่ต้องดอก ผมดูแพล็บเดียวก็รู้ได้ นั่นรองเท้าของท่านขาดบ้างแล้วจงตัดกับหมู่ชะ”

กราบเรียนว่า “กระผมยังไม่ทันตัดดอก เพราะยังเดินทางอยู่ และการเดินทางบางทีมันดังกั๊บ ๆ กระผมก็ถือเอาไม่ใส่เลย ทางเส้นไหนรกมากจึงใส่”

ท่านบอกสองสามครั้งติด ๆ กัน คงจะให้จริง ไม่พูดเปรย ๆ เป็นพิธี แต่ไม่ตกลงเอาแล้ว ท่านถามต่อไปว่า “ท่านตั้งใจจะไปไหน”
19#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เรียนตอบว่า “จะไปธาตุพนมแล้วจะฝากเณรกับพวกอุดรฯ ที่ไปไหว้พระธาตุ คืนอุดร แล้วกระผมจะไปถ้ำพระเวสองค์เดียวพอสมควรแล้ว จะเดินล่องเขาภูพาน โค้งไปหาพระอาจารย์ใหญ่มั่น แล้วจะมอบกายถวายตัวอยู่กับองค์ท่าน ยอมเป็นยอมตายให้องค์ท่านดุด่าว่าเข่นครับ”

ถาม “ทำไมจึงไปธาตุพนมโค้งนัก มาจากอุดรฯ ก็ต้องตรงมา อ.หนองหาน ทางหลวง อ.สว่างฯ อ.พรรณาฯ อ.เมืองสกล อ.นาแก อ.ธาตุพนม”

ตอบ “เพราะตั้งใจจะวิเวกไปด้วย เพราะไม่ด่วน ต่างสอบดูวิเวกของป่าในสังคมแต่ละบ้านด้วย จะได้สำเหนียกในอนาคตคืนหลังว่าที่ผ่านมาในอดีตว่าบ้านใดบ้าง บุคคลและสถานจะเป็นที่สะดวกในการบำเพ็ญ”

องค์ท่านกล่าวว่า “เออ ก็พอฟังได้ แต่ถ้ำพระเวสนั้นนา ท่านเอ๋ย คือถ้ำกายของเรานี้เอง อันมีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ท่านจงทำความเพียรอยู่ถ้ำนี้ให้มั่น คงจะพบพระอาจารย์มั่นอยู่ในถ้ำนี้” นิสัยวาสนาองค์ท่านกล่าวเยือกเย็นถึงจิตถึงใจ

ตอบ “กระผมไม่มีข้อแซงในส่วนนี้ เมื่อกระผมมานึก ๆ แล้วเมื่อพระอาจารย์มั่นยังมีชีวิตอยู่ในประเทศไทย ผู้ปฏิบัติกรรมฐานที่เป็นฝ่ายธรรมยุตก็มีชีวิตทันองค์ท่านอยู่ แต่ไม่ยอมตัวเข้าไปปฏิบัติศึกษากับองค์ท่าน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เห็นองค์ท่านสักทีด้วย ก็คล้ายกับว่าไร้วาสนาในส่วนนี้ ส่วนผู้ที่ออกปฏิบัติภายหลังองค์ท่านมรณธรรมไปก่อนก็มอบให้เป็นการจนใจไป แม้พระอาจารย์ที่เทศน์อยู่เดี๋ยวนี้ก็ได้ไปศึกษากับองค์พระอาจารย์มั่นแล้ว จึงได้สิ้นกังวลในส่วนนี้ กระผมมีความเห็นอย่างนี้จะเป็นประการใดหนอ ขอรับ”

องค์ท่านก็เลยยิ้มไม่ว่ายังไง

ครั้นตื่นเช้าบิณฑบาตฉันเสร็จ เก็บของมอบเสนาสนะแล้วก็ไปกราบลาองค์ท่าน องค์ท่านก็ให้สามเณรองค์หนึ่งไปส่งบอกทางเพราะเป็นทุ่งโล่ง ไปส่งประมาณหนึ่งกิโลเมตร เพราะมีทางซ้อนหลายเส้นพอจะไม่หลงแล้วก็กลับวัด ก็ตั้งหน้าออกเดินตามเคย

เวลาเดินภาวนาพุทโธเป็นหลัก ติดต่อไม่ขาด พร้อมกับขาก้าวออกเดิน เพราะตีความหมายในพุทโธแยบคายว่า ธรรม สงฆ์ ก็รวมอยู่ในนั้นแล้ว พุทโธเป็นเพียงอักษรย่อเฉย ๆ เปรียบเหมือนเชือกสามเกลียวและเป็นอนันตมหาอนันตคุณอันไม่เกิดไม่ดับอีกด้วย ทั้งไม่มีประมาณอีกด้วย จะเกิดดับก็แต่เจตสิกผู้บริกรรมขาด ๆ วิ่น ๆ ไม่ติดต่อเท่านั้น

พระมหาอนันตคุณของพุทโธมิได้เกิดมิได้ดับไปไหนเลยนา แม้จะย่นลงมาในปัจจุบันคุณก็ตาม ก็เป็นปัจจุบันคุณอันใหญ่หลวงหาประมาณมิได้ หรือจะย่นลงมาในพระวิสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ พระมหากรุณาคุณก็ดี ไม่มีประมาณอีก หรือจะย่นลงในผู้รู้ปัจจุบันก็ดีก็ไม่มีประมาณอีก หรือจะย่นลงในเอกคุณในปัจจุบัน ก็เป็นเอกคุณอันใหญ่หลวงไม่มีประมาณ

ทีนี้จะโอนพระคุณขึ้นถึงคุณพระนิพพานก็ได้ไม่ผิด เพราะเป็นพระมหาอนันตคุณอันไม่เกิดไม่ดับไปไหน ผู้มีสายตายาวก็มองได้ไกล ผู้มีสายตาสั้นก็มองได้ใกล้ ผู้มีเชือกยาวก็ขึงได้ไกล ผู้มีเชือกสั้นก็ขึงได้ใกล้ กำลังกายก็ดี กำลังใจ กำลังปัญญาก็ดี ไม่อยู่ระดับเดียวกันผูกขาด และไม่มีใครจะจับจองเหมาขาดตัวไว้ในวงแขนแต่ตนผู้เดียวได้ นักสติ นักปัญญา มีอิสระจะรู้ได้ทั้งนั้น แต่รู้ดีปฏิบัติดีไปทางโลกุตตระจึงเป็นที่สรรเสริญของพระอริยเจ้า เพราะทรัพย์สินใด ๆ ในโลกาไม่เท่าทรัพย์และศีลทางโลกุตตระ แต่ผู้มีใจสูงธรรมสูงจึงจะพลอยยินดีเลื่อมใสได้ ผู้มีใจต่ำธรรมต่ำ กรรมและผลของกรรมต่ำผูกมัดรัดรึงไว้ก็จำเป็นอยู่นั่นเองป่าเปลี่ยวอันตราย
20#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-25 16:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จงตั้งใจภาวนา

กล่าวเรื่องเดินทางต่อไป ออกจากวัดป่าบ้านวาถึงวัดป่าศรีเวินชัยพอดี พักอยู่สองคืน หรือเรียกว่าถึงสามผงแล้วก็ได้ ฉันเช้าเสร็จเดินทางต่อถึงบ้านดงน้อย เข้าพักวัดป่าบ้านนั้น ไปเจอเขากำลังทำบุญบ้านบุญเรือนเขา มีพระอาจารย์บุญมา สามผง เป็นประธานในการบุญของเขานั้นและมีมหาอาบ เจ็ดประโยค ก็พักอยู่ที่นั้น ท่านมาจากกรุงเทพฯ มาเยี่ยมบ้าน

ข้าพเจ้าพักบาตรบริขารไว้ศาลา แล้วพาสามเณรเข้าไปกราบพระอาจารย์บุญมา ท่านถามข่าวคราวความประสงค์กว้างขวางเยือกเย็น พร้อมทั้งเปิดประตูทางกาย ทางวาจา ทางใจทุก ๆ ประการ

องค์ท่านกล่าวว่า “ต่อไปนี้บ้านห่างนัก เป็นป่าสัตว์ร้ายทั้งนั้น กลางวันแสก ๆ เขาไปเกี่ยวหญ้าเจ็ดคนด้วยกัน เกี่ยวหญ้าอยู่ใกล้ ๆ กันด้วยซ้ำนะ เสือมันเอาไปกินอย่างผึ่งผาย ตะครุบได้แล้วมันตีใส่ดินตูมเดียวตายเลย คาบเดินไปอย่างผึ่งผายไม่สะทกสะท้านเลย จะทำอะไรมันก็ไม่ได้ นี้หัวกวางสด ๆ อยู่นี่ ผมเอามาจากบ้านคำนกกก มันกินวันนี้แหละ ผมเอามาเพื่อเอาเขามัน

นอกจากนี้ยังมีกระบือฝูงใหญ่ประมาณร้อยกว่า มันเป็นกระบือที่เขาไม่ได้ต้อนเข้าคอกได้หลายปี ดุมาก แม้เจ้าของ มันก็ไล่ชนไล่เหยียบ ถ้ามีต้นไม้อยู่ใกล้ก็พอได้ขึ้น ถ้าไปเจอในระหว่างต้นไม้ห่าง หรือมีต้นไม้แต่เป็นต้นไม้ใหญ่เกินไปกอดไม่หุ้ม และไม่มีกิ่งพอที่จะเหนี่ยวขึ้นไปได้ก็ดี หรือขึ้นไม่ทันก็ดี ก็อยู่ในเกณฑ์ตาย เพราะมันหลายตัว รุมหน้ารุมหลังนะท่าน ไม่ใช่ผมขู่ขวัญให้กลัว มันเป็นความจริงนะ

ผมว่าท่านและสามเณรจงพักอยู่ที่นี่สักสามคืนก่อน อย่าด่วนไป ผมจะให้โยมตามส่ง ช่วยงานสวดมนต์เย็นในบ้านกับผมด้วย เพราะพระก็เหลือน้อยแล้ว ถ้าท่านจะไปด่วน ๆ จะหลงทางเพราะมีแต่ดง ทางปีกหน้าปีกหลังสับสนอลหม่านมาก เกรงจะอันตรายมาก”

ก็ตกลงพักอยู่กับองค์ท่านสามคืน แท้จริงวัดป่าบ้านดงน้อยนั้นมีหลวงพ่อรอดอยู่องค์เดียว เขานิมนต์พระอาจารย์บุญมา มาพักวัดป่าบ้านเขาทำบุญเฉย ๆ พอครบสามวันแล้วก็กราบลาองค์ท่านและหลวงพ่อรอด องค์ท่านจะให้โยมตามส่งไปทางบ้านคำนกกก

กราบเรียนองค์ท่านว่า “จากนี้ไปไกลขนาดใดหนอขอรับ”

“เออ ก็ค่ำพอดี เพราะผมจะส่งลงเรือล่องไปจนถึงธาตุพนม”

ก้มหน้าลง ยกมือกราบเรียนว่า “กระผมมา ไม่ได้เหตุไม่ได้ผลอะไร มาให้พระอาจารย์ยุ่งยากด้วย น่าละอายเทวดามากขอรับ และกระผมเริ่มออกจากอุดรฯ มาก็ได้ตั้งใจไว้ว่าจะเดินด้วยฝีเท้าไม่ขึ้นรถเรือใด ๆ ถ้าคำตั้งใจนี้ล้มเหลวก็เกรงว่าจะไม่ปลอดภัยแก่กระผมในอนาคต จะอย่างไรก็ฝากฝังชีวิตกับพุทธ ธรรม สงฆ์ผูกขาดจองขาด เลือดทุกหยดจะถวายบูชาต่อพุทธ ธรรม สงฆ์ ทุกเมื่อนั่นแหละขอรับ คงจะไม่เป็นวาจามุทะลุหรือประการใด”

องค์ท่านพูดกับพระและโยมเบา ๆ ว่า
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้