ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ

>> ตะกรุดอาถรรพ์เทพคุ้มดวง คู่บารมี <<

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2013-4-23 07:30 | ดูโพสต์ทั้งหมด

พ่อปู่ตาไฟติคญาโณ



พ่อปู่นารอด หรือปู่ดำ...
โพสต์ 2013-4-23 07:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ตะกรุดหนุนดวงช้างปัจจัยนาเคนทร์-พญานาคา-นาคี







ช้างปัจจัยนาค หรือปัจจัยนาเคนทร์ ในเวสสันดรชาดก



ช้างปัจจัยนาคเป็นลูกนางช้างอากาศจารินี (ช้าง
ที่ท่องเที่ยวไปในอากาศ)นางช้างผู้เป็นมารดาท่องเที่ยวมาถึงแคว้นสีพีได้นำ
ลูกช้างเผือกขาวผ่องมาไว้ในโรงช้างต้นของพระเจ้ากรุงสญชัยในวันเดียวกับที่
พระเวสสันดรประสูติแล้วนางช้างผู้เป็นมารดาก็จากไป
ช้างปัจจัยนาคจึงเป็นช้างคู่บุญบารมีของพระเวสสันดรโดยแท้

แต่ทางราชการกำหนดศัพท์สำหรับเรียกชื่อช้างซึ่งมีลักษณะพิเศษตามพระราชบัญญัติรักษาช้างป่าพุทธศักราช
๒๔๖๔ ไว้ดังนี้

คำว่า "ช้างสำคัญ" ให้พึงเข้าใจว่าช้างที่มีมงคลลักษณะ ๗ ประการ คือ

๑. ตาขาว

๒. เพดานขาว

๓. เล็บขาว

๔. ขนขาว

๕. พื้นหนังขาว หรือสีคล้ายหม้อใหม่

๖. ขนหางขาว

๗. อัณฑโกสขาว หรือสีคล้ายหม้อใหม่


คำว่า "ช้างสีประหลาด"ให้พึงเข้าใจว่าช้างที่มีมงคลลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดใน  ๗ อย่างคือ

๑. ตาขาว

๒. เพดานขาว

๓. เล็บขาว

๔. ขนขาว

๕. พื้นหนังขาว หรือสีคล้ายหม้อใหม่

๖. ขนหางขาว

๗. อัณฑโกสขาว หรือสีคล้ายหม้อใหม่


คำว่า "ช้างเนียม" ให้พึงเข้าใจว่าช้างมีลักษณะ ๓ ประการ คือ

๑. พื้นหนังดำ

๒. งามีลักษณะดังรูปปลีกล้วย

๓. เล็บดำ

มีความเชื่อกันมาแต่โบราณว่าช้าง

เผือกเกิดขึ้นเพราะพระบารมีของพระมหากษัตริย์เป็นที่เชิดชูพระเกียรติยศและ
พระบรมเดชานุภาพช้างเผือกจะเกิดขึ้นในรัชกาลใดถือกันว่าพระมหากษัตริย์
พระองค์นั้นมีพระบารมีสูงส่ง
จะได้รับการยกย่องเลื่องลือในพระราชอำนาจและพระเกียรติยศแผ่ไปยังนานาประเทศดังปรากฏในพระราชพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงได้ช้างเผือก ๗ เผือกได้รับการถวายพระนามว่า
พระเจ้าช้างเผือก เป็นต้น

ช้างเผือกเป็นของหายากและเป็นมงคลสำหรับบ้านเมืองดังนั้นในพระราชบัญญัติรักษาช้างป่าพุทธศักราช ๒๔๖๔ จึงกำหนดไว้ว่า

บรรดาช้างชนิดที่กล่าวมาแล้วนี้ต้องเป็นและคงเป็นสมบัติของแผ่นดินเสมอการที่จะโอนกรรมสิทธิ์แก่กันโดยวิธีซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ปันหรือโดยวิธีอื่นอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดีนับว่าไม่ถูกต้องทั้งสิ้นผู้ที่ยึดถือช้างเช่นนั้นไว้ต้องมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในเมื่อเจ้าหน้าที่บอกให้นำส่งและเจ้าหน้าที่มีอำนาจจะเข้ายึดเอาตัวช้างได้แม้โดยอำนาจหากผู้ที่รักษาช้างอยู่นั้นบิดพลิ้วไม่ยอมมอบตัวให้" และได้กำหนดบทลงโทษไว้

ตำราคชศาสตร์ คือ ตำราว่าด้วยช้างเผือกมี ๒ ตำรา คือ

๑.คชลักษณ์ กล่าวถึงรูปพรรณสันฐานของช้างต่าง ๆ ทั้งดีและชั่ว ถ้าได้ไว้จะให้คุณและโทษตามแต่ลักษณะช้าง

๒.คชกรรมคือ ตำราที่รวบรวมเวทมนตร์คาถากระบวนการจับช้างรักษาช้างและบำบัดเสนียดจัญไรต่าง

โพสต์ 2013-4-23 07:46 | ดูโพสต์ทั้งหมด
autsadakornโพส

ช่วงนี้ผมศึกษาเกี่ยวกับตะกรุดขอเกจิต่างๆตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอยู่พอดีครับ ตั้งแต่อดีตเป็นร้อยปีที่ผ่านมาเครื่องรางที่ได้ชื่อว่าตะกรุดนั้นจะหมายถึง แผ่นโลหะบางๆ ที่ม้วนกลมลงอักขระ บางคณาจารย์จะพอกผง ลงรัก ถักเชื่อกอย่างเช่น ตะกรุดหลวงปู่เอี่ยมวัดสะพานสูง ซึ่งในวงการยอมรับกันว่าเป็นอันดับหนึ่งในเบ็ญจภาคีเครื่องราง แต่ก็ไม่อาจจะยุติได้ว่าตะกรุด จะตบแต่งเพิ่มเติมออฟชั่นมากน้อยเพียงใด แล้วแต่ ท่านพระคณาจารย์ ต่างๆ จะสรรค์สร้างเช่นไร

         ตะกรุดไม่ทราบแน่ชัดว่าเริ่มสร้างตั้งแต่สมัยใด แต่มีหลักฐานปรากฎชัดในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงสร้างเหรียญเสมา จปร. เพื่อแจกเด็ก เมื่อ พ.ศ. 2444 พระองค์ทรงพระราชทานเหรียญเสมา จปร. ด้านบทเจาะรูสำหรับร้อยด้าย (สำหรับห้อยคอ) และด้านซ้าย-ขวาของเส้นด้ายร้อยไว้ด้วย "ตะกรุด" ไม่ทราบว่าพระคณาจารย์รูปใดปลุกเสก เพราะสมัยในยุคของพระองค์มีพระคณาจารย์โด่งดังหลายรูป แต่ทรงโปรดฯมาก คือ หลวงปู่ปั้น วัดเงิน (รัชฏา-ธิฐาน) ตลิ่งชัน

         ซึ่งหลวงปู่ได้รับพระราชทานจีวรลายดอก จปร. หลักฐานจากรูปถ่ายหลวงปู่ปั้นนุ่งห่มจีวรลายดอก จปร. แต่หลวงปู่ไม่ปรากฎนามในทำเนียบพระคณาจารย์ เพราะไม่ได้สร้างพระเครื่องแต่อย่างใด แต่เป็นพระที่มีวิชาอาคม รุ่นเดียวกับ หลวงปู่เอี่ยมวัดหนัง กรุงเทพมหานคร

         ตะกรุดยุคโบราณ หรือ ตะกรุด ยุคเก่า ส่วนมากทำด้วยเนื้อตะกั่วสังขวานร คือตะกั่วที่รีดบางและลงอักขระ ส่วนโลหะอื่นๆนั้นเป็นยุคหลังลงมา มีด้วยกันหลายขนาด บางองค์มีความยาว 1 เซนติเมตรถึง 3-5 นิ้ว ดังเช่น ตะกรุดขนาดเล็กจิ๋วบาง ที่ฝังในเนื้อคนก็มีของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ จังหวัดนครราชสีมาเป็นต้น

                      แต่มีตะกรุดชนิดหนึ่งซึ่งหลายคนกำลังตามหาและถูกจัดให้เป็นหนึ่งในท๊อปเท็นของตะกรุดหายากของเมืองไทยนั่นก็คือตะกรุดหลวงพ่อกุนวัดพระนอน เนื่องจากว่ารอยจารของตะกรุดท่านได้ถูกกล่าวขานกันในหมู่คนเล่นเครื่องรางว่าท่านมิได้จารอักระใดๆในตะกรุดซักเท่าไหร่แต่กับวาดเป็นรูปหนุมานกำลังร่ายมนต์สะกดให้ทศกัณฑ์และนางมณโฑให้หลับไหลเพื่อจะได้ขโมยของไปช่วยพระลักษณ์ซึ่งถูกหอกกบิลภัทธ์ของทศกันบาดเจ็บอยู่

   
                  แต่ก่อนกลับหนุมานได้เอาผมของทศกัณฑ์ผูกเข้ากับผมของนางมนโฑไว้ด้วยกันแล้วเป่าคาถาไว้ไม่ให้ใครแก้ได้ เดือดร้อถึงฤาษีโคตบุตรต้องมาแก้ให้ หลังจากนั้นก็ไม่มีอาจารย์องค์ใดทำตะกรุดลักษณะนี้อีกเลย จนกระทั้งได้มาเห็นอาจารย์เราท่านลงตะกรุดคู่ชีวิตหนุนดวงให้พวกเรานี่แหละครับ ตะกรุดที่รวมคุณพระและคุณเทพจากอดีตสู่ปัจจุบันนับเวลาเป็นร้อยปีได้ถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้ง แถมยังเป็นดอกเดียวในโลก บอกได้คำเดียวครับ

                     ไม่เคยภูมิใจอะไรเท่าได้เป็นศิษย์อาจารย์เลยจริงๆครับ สาธุ





  จุจุ ความลับนะครับ นอกจากอาจารย์จะใส่ใจในรายละเอียดในการจารตะกรุดแล้ว ผงที่จะพอกตะกรุดแต่ละท่าน อาจารย์ท่านก็เตรียมการเอาไว้อย่างดี แมชกับตะกรุดเฉพาะบุคคนของแต่ละคนแบบสุดๆ ทราบว่าอาจารย์รักและเป็นห่วงดูแลศิษย์ขนาดนี้แล้วพวกเราช่วยกันตอบแทนอาจารย์กันอย่างไรดีครับ ซาวเสียงหน่อยคร้าบ

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
โพสต์ 2013-4-23 07:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด



ตามเทวตำนานการกวนเกษียรสมุทรนั้น พระวิษณุได้เสด็จมาเป็นองค์ประธาน แล้วตรัสให้เหล่าเทวาอสูรช่วยกัน ถอนภูเขามันทรคีรี อันเป็นแหล่งกำเนิดแห่งมณีนพรัตน์ มาตั้งลงในท่ามกลางทะเลน้ำนมที่สถิตย์ อยู่ใน ไวกูณฑ์สวรรค์ แล้วให้ช่วยกัน เก็บหาสมุนไพรนานาชนิด มาผสมลงในเกษียรสมุทร และมอบหมายให้จอมนาควาสุกรี ใช้ลำตัวมาเป็น เสมือนเชือกพันรอบมันทรคีรีต่างสายชักโยง โดยออกอุบายยกยอให้เกียรติอสูร ว่าพวกใดมีกำลังเข้มแข็งที่สุดใน ไตรภพ(สามโลก) ให้มาชักทางฝั่งเศียรนาค เหล่าอสูรหลงกลรีบตรง เข้ายึด ชักทางเศียรพญานาควาสุกิทันที ฝ่าย เทวดาก็มาชักทางหาง ทั้งเทวดาและอสูรช่วยกัน ชักดึงมันทรคีรีกันอย่างเต็มกำลัง ให้ภูเขานั้นหมุนเพื่อกวนสมุนไพรให้ เข้ากับน้ำนมในทะเล ระหว่างนั้น พญาวาสุกรีนาคราชซึ่งเจ็บและเหนื่อยล้า จากการ ที่ร่างกาย ถูกเสียดสีจากการพัน รอบภูเขา ตลอดเวลา ก็อ้าปากคายพิษเป็นไฟกรดออกมาทีละน้อย ยังผลให้เหล่าอสูรอ่อนแรงไปตามๆ กัน พวกอสูร สำรอกพิษออกมา พระศิวะ ต้องกลืนพิษไว้เองหมด เพราะถ้าพิษ ลงไปโลกมนุษย์แล้ว สัตว์โลก จะตาย กันหมด เหล่าเทวดาที่ไม่โดนไอร้อนของไฟกรด เพราะฉุดทางฝั่งหาง ซ้ำยังมีพระลักษมีปติช่วยบันดาลฝน ให้โปรยปรายชุ่มชื่น ตลอดเวลา

ในระหว่างการกวนเกษียรสมุทรอยู่นั้น มันทรคีรี ซึ่งได้ถูกแรงดึงเสียดสีมานานก็เริ่มเอียงคลอน พระนารายณ์ ทราบความ จึงรีบ อวตารไปเป็น เต่า กูรมาวตาร เพื่อหนุนก้นภูเขาให้ตั้งตรงขึ้นดังเดิมอีกครั้ง พิธีระหว่างเทวดา และ อสูร นี้กินเวลายาวนานนับพันๆ ปี การกวนเกษียรสมุทร ทำให้เกิดของ ทิพย์วิเศษสุด 14 อย่างทยอยกันผุดขึ้นมา ตามลำดับ สิ่งที่ 13 และ 14 ที่ผุดขึ้นมาพร้อมๆ กัน คือ ธันวันตริ ผู้เป็นแพทย์สวรรค์ ผุดขึ้นมาทูนหม้อน้ำทิพย์อมฤต ในขณะที่เหล่าเทวดาและอสูรต่างแย่งชิง ของวิเศษ 12 อย่าง ที่ผุดขึ้นมาก่อนหน้านี้ พระนารายณ์ก็ทรงแบ่งอวตารพระกาย เป็นสตรีรูปงามราวกับพระศรีลักษมี นามว่า โมหิณี ตรงมาคอยยั่วยวน เหล่าอสูร เป็นกุศโลบายให้เหล่า เทวดาได้ดื่มน้ำยมฤตหนึ่งในสี่ส่วนก่อน แล้วที่เหลืออีกสามในสี่ส่วน จะให้เหล่าอสูรได้ดื่มบ้าง ในภายหลัง ในฝ่ายอสูรนั้นมีเพียง ราหู ตนเดียวที่ไม่สนใจนางอัปสร และได้แปลงร่างเป็นเทพเข้ามาดื่มน้ำอมฤต แต่พระอาทิตย์และพระจันทร์ซึ่งเห็น ราหู ปลอมตัวมาเป็นเทพจึงได้ไปฟ้องพระนารายณ์ เมื่อพระนารายณ์ทรงทราบ จึงขว้างจักรสุทรรศน์ออกไปตัดร่างราหูออกเป็นสองท่อน ในขณะที่กำลังดื่มกินน้ำอมฤตอยู่ แต่ราหูก็ไม่เสียชีวิตด้วยได้ ดื่มน้ำอมฤตเป็นอมตะไปแล้ว ดังนั้น ราหู จึงโกรธแค้นพระอาทิตย์และพระจันทร์มาก และจะจับกินทุกครั้งที่เจอกัน จากนั้นพระนารายณ์จึงมอบหม้อน้ำอมฤตที่ยังเหลืออยู่ให้แก่พระอินทร์ เพื่อนำไปเก็บรักษายังสวรรค์ ห้ามมิให้ผู้ใด แตะต้องอีก สุดท้ายฝ่ายเทวดาซึ่งได้ดื่มน้ำอมฤตเรียบร้อยแล้ว ก็ขับไล่ฝ่ายอสูรทั้งหมดลงจากสวรรค์ไปได้สำเร็จของทิพย์วิเศษสุด 14 อย่าง

1. ดวงจันทร์ พระศิวะหยิบมาปักไว้บนเกศ
2. เพชรเกาสตุภะ
3. ดอกบัวลอยขึ้นมาพร้อมพระลักษมี
4. วารุณี เทวีแห่งสุรา
5. ช้างเผือกเอราวัณ
6. ม้าอุจฉัยศรพ
7. ต้นปาริชาติ
8. โคสุรภี หรือ โคอุสุภราช พร้อมของหอม
9. หริธนู
10.สังข์
11.ปวงเทพีอัปสรสวรรค์
12.พิษร้าย ฝูงนาคและงูสูบพิษไว้
13.ธันวันตริ แพทย์สวรรค์
14.หม้อน้ำทิพย์อมฤต
โพสต์ 2013-4-23 08:31 | ดูโพสต์ทั้งหมด






โพสต์ 2013-4-23 08:40 | ดูโพสต์ทั้งหมด
"ของบางอย่าง มันมีกำหนดกาลอุบัติขึ้นในตัวของมันเอง
ห้วงเวลาของการสร้างสรรค์มันไม่ได้มีมากมายอย่างใจคิด"

Sarayut
โพสต์ 2013-4-23 08:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โพสต์ 2013-4-23 08:45 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โพสต์ 2013-4-23 08:57 | ดูโพสต์ทั้งหมด
worapath โพสเมื่อ 2011-10-12 14:16

อาจารย์ท่านมีความตั้งใจมากนะครับในการที่จะทำให้ศิษย์นั้นมีวัตถุมงคลดีๆ โดยเฉพาะตะกรุดหนุนดวงนี้ที่พวกเราต่างก็รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ว่าเมื่อไรจะแล้วเสร็จได้นำมาชื่นชมและ ติดตัวใช้กัน อาจารย์ท่านเล่าว่าตะกรุดนี้จะช่วยเสริมดวงชะตาลูกศิษย์ในแต่ละคนเฉพาะตนให้ศิษย์ที่ดวงชะตาวนรอบเรือนชะตาราศีเคลื่อนตัวอยู่ในปีชงก็จะรอดพ้นไปได้และส่งผลให้ดีขึ้น หากรอบชะตาของศิษย์วนเคลื่อนตรงปีสมพงษ์ปีฉูกโฉลก ก็จะยิ่งเสริมดวงให้สูงยิ่งๆขึ้นไป
           แต่การเขียนแผ่นยันต์นั้นเท่าที่สอบถามอาจารย์ว่ามีความยากง่ายอย่างไร เวลาลงมือลงอักขระในแต่ละตัวอักษรลงไปในแผ่นเงิน ท่านก็ตอบว่ามันต้องกดปากกาลงไปบนแผ่นเงินค่อนข้างแรงและเน้นหนักทุกตัวอักขระเท่าๆ กัน ถึงจะออกมาสวยงาม และเป็นการเพ่งให้จิตจดจ่อในอักขระที่จารลงไปความตั้งใจที่เขียนนั้น พลังของจิตก็จะส่งกระแสลงไปในตัวอักขระด้วยเช่นกันพร้อมกับบริกรรมบทของตัวอักษรในแต่ละตัวที่เขียน จะสักแต่จะเขียนไม่ได้ หากแผ่นยันต์ที่จะเขียนนั้นมี 100 อักษรก็ต้องบริกรรมทั้ง 100 คำ ทำจริงๆ สองวันได้หนึ่งแผ่นเท่านั้นเอง เท่าที่ผมถามท่านการเขียนก็ต้องพักมืออย่างน้อยเขียนแผ่นนึง ก็ต้องพัก 3-5 วันถึงจะเริ่มทำใหม่ได้ แต่นี่ท่านทำรวดเดียวตั้งใจทำให้แล้วเสร็จให้ทันออกพรรษา กับต้องมาเป็นทุกข์เรื่องปัญหาข้อมืออีก ( ผมรู้สึกไม่ดีเอามากๆเลย เริ่มไม่อยากได้แล้วล่ะครับ กลัวจะได้ไม่คุ้มเสีย เพราะผมลองเอาปากกามาเขียนชื่อตัวเองลงบนแผ่นดวงเป็นแผ่นเงินแผ่นทองที่บรรตุใต้ฐานพระตามวัดต่างๆที่เราไปทำบุญกัน แค่เขียนแค่ชื่อนั้นก็เมื่อยจะแย่เลย ) ท่านว่าที่ยากลำบากในการทำมวลสารเพื่อนำมาพอกรอบตะกรุดนี้สิ มีแต่วัตถุดิบยังต้องทำให้เป็นผงอีกเหลือที่ต้องทำอีกมาก ที่ต้องทำมวลสารให้เป็นผงนี่ยังอีกนาน บางวันอาจารย์ก็มานั่งทำมวลสารเองคนเดียวท่านเลยไม่มีกำหนดในการแล้วเสร็จแจ้งออกมา แต่ก็ไม่ได้บ่นสักคำ ทำให้ทุกอย่างทุกขั้นตอนเลย
          ช่วงนี้ท่านอยู่ในช่วงพักร่างกายเพื่อฟื้นฟูสภาพร่ายกายส่วนกล้ามเนื้อที่มีอาการอักเสบขึ้นอีก ประมาณหนึ่งเดือนถึงจะเริ่มทำหรือไม่ก็อาจจะนานกว่านั้น ซึ่งเมื่อวานผมได้ไปหา อาจารย์ก็ไม่ได้ปริปากปนให้ฟัง ได้แต่สังเกตุดูมือท่านเท่านั้นที่ยังบวมอยู่ แต่พอเอ่ยปากจะนวดให้อาจารย์ท่านก็ยื่นออกมาให้นวดทันที ก็ปวดทุกครั้งที่นวดให้ ( ดูจากสีหน้าท่านครับ )

โพสต์ 2013-4-23 09:01 | ดูโพสต์ทั้งหมด
toywater โพส เมื่อ 2011-10-14 18:38

วันนี้ เข้ามาเยี่ยม อาจารย์ เห็นอาจารย์..
กำลังนั่งพอกผงตะกรุด อยู่คนเดียว
ต้อยเลยช่วยอาจารย์พอกตะกรุด
ซึ่งยังมีอีกหลายดอกที่ยังไม่เสร็จ
เห็นตะกรุดที่พอกผงสำเร็จแล้ว
เข้มขลังสวยงามมากมาย
เห็นแล้วไม่มีความพูดใดใดนอกจาก

เค้าจะเอ๊าเค้าเอา.. เค้าอยากได้ อ่ะ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้