ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ตะกรุดอาถรรพ์คุ้มดวงคู่บารมี

[คัดลอกลิงก์]




สวดตามกำลังวัน หมายถึง..


วันอาทิตย์ กำลัง 6 ......   สวด 6 จบ

วันจันทร์ กำลัง 15 ......   สวด 15 จบ

วันอังคาร กำลัง 8 .......   สวด 8 จบ

วันพุธ กำลัง 17 .........    สวด 17 จบ

วันพฤหัสบดี กำลัง 19...   สวด 19 จบ

วันศุกร์ กำลัง 21 ........   สวด 21 จบ

วันเสาร์ กำลัง 10 .......    สวด 10 จบ

วันพุธกลางคืน กำลัง 12   สวด 12 จบ


จะได้ 108 จบ ... ใน 7 วัน
173#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-16 19:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

อยากได้ต้องศรัทธา...ศรัทธาไม่มีขายที่ 7-11
น่ะครับต้องทำเอง

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-11-26 10:24

175#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-26 11:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จัดไปครับ จัดไป
176#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-6 01:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาครับ

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x


หลวงพ่อกัสสปมุนี พบ เจ้าแม่วิสาขา

วันนี้อาตมาภาพขึ้นเดิน เริ่มแต่หัวจงกรม (หัวจงกรมเป็นหินนูนสูงราว ๑ ฟุต) ไปจนสุดทางจงกรม เดินไปก็คิดนึกไปว่า จะทนสู้ความหนาวบนนี้ต่อไปอีกไหวหรือ เพราะความหนาวเพิ่มรุนแรงขึ้นทุกวัน วันนี้ถามที่ทหารอากาศก็บอกกว่า ลบ ๐ ลงมา ๕ แล้ว ถ้ามันลบลงมาถึง๑๐ หรือ ๑๕ เรามิแข็งตายหรือ สงสารแต่สามเณร เพราะยังเด็กนัก จะทนได้สักกี่วัน เดินจงกรมแล้วก็ครุ่นคิดวิตกไป จนถึงหัวจงกรมรอบที่สอง พอหันตัวกลับจะลงเดินเป็นรอบที่สาม ก็ต้องชะงักงันอยู่กับที่ เพราะสิ่งที่มิได้นึกฝัน ไม่ได้คิดว่าจะเป็นไปได้ในชีวิต ก็ได้ปรากฏขึ้นอย่างที่ตัวเองก็บอกไม่ได้ อธิบายไม่ถูก คือ พออาตมาภาพหันตัวกลับ จะก้าวลงเดินรอบที่สาม ก็เห็นสตรีคนหนึ่งเดินผ่านหน้าในอาการก้าวเดินเนิบ ๆ แต่ลอยตัว สูงพ้นจากพื้นพะลานหินประมาณสันมือลอดได้ มือพนมอยู่หว่างอกที่ตึงอิ่ม หันหน้ามองมายังอาตมาภาพด้วยควงตาอันดำขลับสดใสเป็นประกาย อาตมาภาพยืนตะลึง มองตามสองมือจับหัวไม้เท้ายันไว้ข้างหน้า จนเธอเดินมาหยุดยืนเยื้องมาทางขวามืออาตมาภาพเล็กน้อย ( เธอเดินผ่านหน้าอาตมาภาพจากซ้ายมาขวา) ห่างกันราว ๒ วา ต่ำกว่าหัวจงกรมที่อาตมาภาพยืน เราคงยืนจ้องกันอย่างนั้นอยู่สัก ๒ – ๓ อึดใจ


ใบหน้า แววตา ริมฝีปาก ที่งามน่าพิศ แม้จะไม่มีอาการยิ้มอย่างคนธรรมคา แต่ก็แสดงให้เห็นว่ายิ้มอย่างละมุนละไม ทรวดทรงองค์เอวนิ้วเท้านิ้วมือ ลำแขนดูเพรียวเต็มอิ่มไปด้วยผิวที่ผุดผ่องนวลกระจ่าง ขณะนั้นดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงกล้า เพราะเป็นเวลา ๑๐.๐๐ น.เศษ แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนทั่วร่างของเธอมีประกายระยิบ ออกมากระทบกับแสงอาทิตย์ อาภรณ์เครื่องแต่งตัวอาตมาภาพพอจะจดจำได้ คือ ผ้าที่นุ่งเป็นเหมือนฝ้ายลายทองเป็นตารางคล้ายร่างแห ระหว่างช่องตารางดูคล้ายกับมีเพชรเม็ดสีต่าง ๆ ผนึกติดไว้เต็ม เชิงปลายผ้าคลุมสูงจากข้อเท้าในราว ๑ คืบ ข้อเท้าสวมกำไลเป็นเม็ดรอบแวววาว สังเกตไม่ได้ว่าเป็นอะไร เชิงผ้าเป็นลวดลายกนกหนากว้างขึ้นมาราวคืบเศษดูระยิบระยับ ผ้าด้านหน้าพับซ้อน รัดด้วยเข็มขัดอ่อนดูคล้ายแก้วปนทองเป็นประกายเลื่อมแวววับ หัวเข็มขัดนูนโต ตรงกลางหัวเข็มขัดฝังคล้ายบุษราคัมเม็ดขนาดหมากสง ท่อนตัวห่มสไบเฉียงสีเดียวกับผ้านุ่ง คือสีเขียวตองอ่อนปนทอง เป็นการห่มเฉียงอย่างแนบเนียนไม่มีรอยย่นรอยจีบอะไร พราวระยับไปทั่วร่าง ข้อมือมีกำไลเช่นเดียวกับข้อเท้าทั้งที่สวมที่ต้นแขน ตอนขลิบริมขอบบนและล่างของกำไลเป็นกนกคล้าย ๆ กนกเปลว คือ เป็นหยัก ๆ ปลายแหลมงอนขึ้น


เวลาถูกแสงแดดดูเป็นเงาวับๆ นิ้วที่เรียวงามสวมแหวนทั้งสี่นิ้วทั้งสองข้าง ปลายนิ้วเรียวจนถึงเล็บงามมาก นิ้วเท้าก็เช่นเดียวกัน บนศีรษะประดับด้วยกรอบหน้าคล้ายละคร แต่เป็นชั้นช้อนขึ้นไปตามลำดับ ๓ ชั้นแต่ละชั้นเป็นกิ่งไหวแพรวพราว คล้ายเส้นลวดดอกไม้ไหว เวลาไหวกระเพื่อมดูพร่างพราวคล้ายฝนพรม ตัวกรอบหน้าคล้ายทองปนแก้วช้องหูที่ครอบรอบใบหู คล้ายเอาเส้นไหมทองคำที่เป็น เงางามมาทำเป็นร่างแหอย่างหนาครอบติดเอาไว้ ดูงามประหลาดอย่างยิ่ง แต่ไม่เห็นเบื้องหลังของเธอ ว่าเส้นผมจะงามเพียงไร ได้จัดเกล้าไว้ หรือปล่อยยาวปะหลังก็ไม่ทราบ คงเห็นแต่ข้างหน้า เพราะยืนประจันหน้ากันอยู่ท่ามกลางแสงแดด เรือนร่างเพรียวระหงอวบอิ่ม ช่วงไหล่ผายผึ่งต้นแขนอวบเต็ม เอวคอดกลม สะโพกผายกลม แล้วเรียวเรื่อยลงไปจนถึงข้อเท้า หลังเท้านูนงาม นิ้วเท้ากลมเรียงเป็นลำดับ ไม่มีปุ่มโปน หรือ ข้อต่อ ข้อกระดูกอย่างเราสามัญมนุษย์เลย


อาตมาภาพอธิบายไม่ถูกว่าเธองามเพียงไร สง่าอย่างมีอำนาจอย่างไร งามจริง ๆ งามอย่างไม่มีอะไรในโลกมนุษย์จะเปรียบ งามอย่างสตรีอายุวัย ๒๕ กลิ่นหอมกระจายโชยมาถูกจมูกกล้ายกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ปนแป้งร่ำทำให้สดชื่นใจ อาตมาภาพใจเต้นระทึก ตะลึงกันอยู่อย่างนั้น สายตาคงจับประสานกัน ดูเหมือนเธอจะยิ้มละไมที่เห็นอาการกิริยาของอาตมาภาพเช่นนั้น ครั้นแล้วอาตมาภาพก็ต้องประหลาดอัศจรรย์ใจอีก ที่เห็นร่างของเธอค่อย ๆ ยอบต่ำลง ๆ แต่มือคงพนม และสายตาคงจ้องมองอยู่เช่นนั้น กายยอบต่ำลงนั้นไม่มีอาการเอนเอียงแต่อย่างใด ต่ำลง ๆ จนเป็นอาการในท่าคุกเข่า คือ เข่าซ้ายจดพื้น (แต่ไม่ถึงพื้นหินคงลอยอยู่เหนือพื้นพะลานหินขนาดสันมือลอด) เข่าขวายกชัน ผ้าที่นุ่งคงเป็นระเบียบ ไม่ย่น ไม่ถลก อย่างที่สามัญชนกระทำกัน อาตมาภาพคงจ้องมองนิ่งอยู่อย่างนั้น สองมือจับหัวไม้เท้าแน่น ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป ครั้นแล้วเสียงแว่ว แต่กังวานแจ่มใสน่าฟังจากเธอพูดขึ้นก่อนว่า

“มีอะไรบอกโยมเถอะ ดูมาหลายวันแล้วรักเหมือนลูกของโยมจริง ๆ “.

เสียงที่ออกมานั้น แม้จะรู้ว่าผ่านออกมาจากริมฝีปาก แต่ก็เห็นริมฝีปากเผยอนิด ๆ เท่านั้น อาตมาภาพได้สติเมื่อได้ฟังคำพูดที่ได้พูดนำขึ้นก่อน ด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ แสดงออกถึงความเมตตา แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร เธอก็พูดอีกว่า

“มีอะไรบอกโยมเถอะ จะจัดการให้”

อาตมาภาพระงับความระทึกใจเป็นปกติแล้ว ก็ตอบเธอว่า “ อากาศหนาวทนไม่ไหวจริง ๆ คุณโยม อาตมาทนไม่ไหว”

คราวนี้ใบหน้าและริมผีปากยิ้มละไมอิ่มเอิบ ดวงตาที่มองจ้องจับเป็นประกายสดใสกระจ่าง เสียงเธอพูดย้ำอีกว่า

“มีอะไรบอกโยมก็แล้วกัน”

อาตมาภาพรู้สึกตัว ได้คิด จึงอนุโมทนาที่เธอให้ความเมตตา แล้วถามว่า

“อาตมาจะเรียกคุณโยมว่าอย่างไร ?”





“เรียกโยมว่า “วิสาขา” โยมอยู่ปกครองที่นี่มาหมื่นปีเข้านี่แล้ว ขอให้ท่านจงปฏิบัติต่อไปตามเวลาที่กำหนด โยมขอนมัสการลาท่าน” พูดแล้วเธอก็ลุกขึ้น แต่เป็นการลุกขึ้นอย่างลอยตัว คือ ค่อยๆ เคลื่อนตัวตรงขึ้นจนยืนตรงมือยังคงพนมอยู่อย่างนั้น งามมาก ถามจริง ๆ ใบหน้ายิ้มผ่องใสกระจ่างทั่งเรือนร่าง อาตมาภาพได้แต่กล่าวพึมพำอนุโมทนาให้พรเธอเบาๆ ขอให้เธอมีความอิ่มเอิบสุขสำราญในทิพสมบัติ และทิพอำนาจ ตราบเท่าพระนิพพานที่ได้มีเมตตากุศลจิตอนุเคราะห์อาตมาภาพครั้งนี้


อาตมาภาพเพ่งพินิจมองดูเห็นเรือนร่างอันงามล้ำเฉิดฉาย ค่อย ๆ จางหายไปในท่ามกลางแสงแดด เป็นการเลือนหายจางลงๆ แต่ยังคงอยู่ในอาการเดิม สายตาอันดำขลับเป็นประกายเงางามคงจ้องจับจนหายลับไป สามเณรล้างบาตรเสร็จกำลังคว่ำบาตรผึ่งแดด และตากผ้าเช็ดบาตร เวลาล่วงไปในราว ๑๐ นาที อาตมาภาพถือว่าเป็นเวลาอันมีคุณค่า อย่างไม่มีอะไรมาแลกเปลี่ยนกันได้ในชีวิตคน นับแต่เกิดจากครรภ์มารดาจนกระทั่งมาบวชเป็นภิกษุจนถึงวันนี้ ความสุขใจ ความอิ่มใจ ความผ่องใสมันเต็มเพียบพร้อมอย่างบริบูรณ์ในขณะนั้น คงยืนพินิจอยู่กลางแสงแดดโดยไม่รู้สึกร้อน หรือ หนาว อย่างที่เป็นอยู่เมื่อแรก คงมองไปเบื้องหน้าที่ร่างของคุณโยมวิสาขาได้เลื่อนหายไปอยู่อย่างนั้น ไม่ทราบว่านานเท่าไร จนสามเณรยืนพนมมืออยู่ข้าง ๆ พูดว่า

“หลวงพ่อครับ วันนี้ทำวัตรเช้า หรือเปล่าครับ ?”

จึงได้รู้สึกตัว เหลียวมองดูสามเณร สามเณรเงยหน้ามองอาตมาภาพ ยิ้มอย่างเด็ก ๆ เอ่ยว่า

“วันนี้ไม่ค่อยหนาวนะครับ ผมดูหลวงพ่อสบายกว่าทุกวัน”

“เออ จริงซีนะเณร” อาตมาภาพตอบ “ไปทำวัตรกันเถอะ สายแล้ว

โดยปกติอาตมาภาพฉันแล้ว ออกไปเดินจงกรม ๆ แล้วก็กลับเข้ากุฏิทำวัตรเช้า กับสามเณรทุกวัน (ตอนเย็นเวลา ๕ โมงเย็น ทำวัตรเย็น) อากาศวันนี้อุ่นพอสบาย พอตกราวบ่ายโมง พวกคนงานป่าไม้สามคน หอบเสื่อ หมอน ถังน้ำ กาน้ำ ขันอาบน้ำ ไม้กวาด และเชือก เอามาให้ อาตมาภาพแกล้งพูดสัพยอกว่า

“ทนหนาวแทบตายมาสิบกว่าวัน คอยที่นอนหมอน เสื่อของพวกเธอ”

พวกนั้นพนมมือตอบว่า“ เสื่อมันขาดครับ ต้องเย็บปะ แล้วผ้าห่ม ที่นอนก็เหม็นอับไม่ได้ถูกแดดมานานต้องตากต้องเย็บกันหลายผืนครับ เลยทำให้หลวงพ่อต้องทนหนาวหลายวันหน่อย”

“หน่อยอะไร แทบตายทีเดียว”

พวกนั้นหัวเราะชอบใจ ช่วยกันจัดแจงปูเสื่อปูที่นอน วางหมอน ไม้กวาด กาน้ำ ไว้กับที่เรียบร้อยแล้วก็ลากลับไป เป็นอันหมดกังวลกันที คุณโยมวิสาขาได้ทดลองอาตมาภาพเป็นอย่างดี การจำวัดในคืนนี้ตลอดจนวันลงจากภูอากาศพอสบายจนชาวบ้านเชิงภู และพวกดูแลป่าไม้ออกปากว่า ปีนี้ไม่หนาวเลย

วันหนึ่ง มีทหารอากาศ ๒ นาย จากกองบินจังหวัดอุดร ฯ นำสัมภาระบางอย่างมาที่ริ้งก์ เป็นเรืออากาศตรี ๒ นาย จำชื่อไม่ได้ ได้มาแวะที่กุฏิ เมื่อสนทนาไต่ถามกันพอสมควรแล้ว คนหนึ่งก็เอ่ยถาม จะเป็นเชิงลองหรือถามจริง ๆ ก็ไม่ทราบ คือ ถามว่า

“หลวงพ่อครับ ท่านที่เป็นจ้าวเขาเป็นผู้หญิง หรือชายครับ ?”.

อาตมาภาพก็ตอบออกไปโดยไม่ลังเลว่า

“เป็นผู้หญิง”

ทั้งสองคนหันหน้าพยักให้กัน เอ่ยว่า

“จริงแฮะ หลวงพ่อท่านว่าถูกเป๋งเลย”

“อะไรกัน ถูกเป๋งยังไง ?” อาตมาภาพถามด้วยความสงสัย

“คือยังงี้ครับ” คนหนึ่งเล่า “คือไม่นานมานี้ พวกผมได้ขึ้นมาบนภู แวะค้างที่บ้านป่าไม้ ตอนค่ำก็พูดคุยกันและถามกันว่า จ้าวภูที่นี่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เพื่อนผมเขาก็ว่าเห็นจะต้องเป็นผู้ชาย ผมก็ว่าไปอย่างสนุกว่า ถ้าเป็นผู้ชายเราก็จะถวายเครื่องสังเวย ดอกไม้ ธูปเทียน แต่ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะถวายด้วยดอกบัวตูม ผมก็พูดไปอย่างสนุกเล่น ๆ เท่านั้นแหละครับ แต่ที่ไหนได้พอดึก ขณะที่ผมนอนหลับ จะฝันก็ไม่ใช่จะตื่นก็ไม่เชิง แต่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวสวยมาก แหวกฝาห้องตรงเข้ามาเอาเท้าเหยียบอกผมอย่างแรงจนหายใจไม่ออก ผมพยายามดิ้น อึกอักเท่าไร ก็ดิ้นไม่หลุด เหยียบแน่นจริงๆ คิดว่าตายแน่ ตกใจก็ตกใจ พอนึกถึงคุณพระขึ้นมาได้ ก็ภาวนาว่า “พุทโธ พุทโธ” นั่นแหละครับ ถึงได้ยกเท้าออกจากหน้าอกผม สองมือท้าวสะเอว มองถมึงทึงพูดออย่างโกรธว่า

“มึงอยากพูดชั่วนัก ระวังปากของมึงให้ดี” พูดแล้วก็หายไป นั่นแหละครับผมถึงว่า หลวงพ่อพูดถูกเป๋งทีเดียวจ้าวเขานี้ก็คือ “จ้าวแม่ภูกระดึง”

อาตมาภาพหัวเราะต่อท้ายให้ว่า

“ดีแล้ว รู้จักเสียบ้างก็ดี จะได้ไม่ประมาท ถูกเหยียบดีกว่าถูกกระทืบ” สองคนหัวเราะ ยกมือไหว้บอกว่า

“เข็ดละครับ อกแทบพัง”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-6-6 13:35

สิ่งที่ไม่เคยเห็น









ในราวกลางเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๐๗ ตอนค่ำประมาณ ๒ ทุ่ม ขณะที่อาตมาภาพกำลังนั่งเจริญสมาธิอยู่ในกุฏิ ได้ยินเสียงคนเดินอยู่รอบกุฏิ ฟังดูคิดว่าคงจะมีใครคนหนึ่งมาหา แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงเรียก และมีเสียงไอก็ถามออกไปว่า
“นั่นใคร มาเดินอยู่ทำไม ?”

”ผมเองครับ ชื่อสงบครับ” เสียงตอบ

อาตมาภาพก็บอกไปว่า “นี่ก็ค่ำมืดแล้ว อาตมาต้องการความสงบ อย่าเพิ่งรบกวนเลย เอาไว้พรุ่งนี้เถอะ”

“ครับ” เสียงตอบรับ แล้วก็เดินเงียบหายไป

รุ่งเช้า อาตมาภาพไปรับบิณฑบาตกับสามเณรที่ริ้งก์ ทอ. ตามเคย ได้อาหารพอสมควรแล้ว ก็พากันเดินกลับ มาได้เกือบครึ่งทางก็แลเห็นชายสองคนแต่งตัวอย่างนักท่องเที่ยว กำลังเดินตรงมาข้างหน้า พอใกล้จำกันได้อาตมาภาพก็เอ่ยทักก่อนว่า
"อ้อ ! คุณวิชากับคุณสงบนั่นเอง คุณมาตั้งแต่เมึ่อไร ?” (ทั้งสองท่านคือ คุณวิชา เศรษฐบุตร อธิบดีกรมโลหกิจ และ คุณสงบ แก้วไพฑูรย์ นายช่างเอกของกรม ฯ )

ทั้งสองต่างรีบหลีกลงข้างทาง ด้วยความประหลาดใจ ยกมือไหว้ คุณวิชาพูดขึ้นว่า

“ผมไม่ทราบว่าเป็นท่าน ทราบแต่ที่ทหารอากาศเขาบอกว่า มีหลวงพ่อธุดงค์มาอยู่ ผมมาถึงเมื่อวานเกือบค่ำแล้ว ก็ให้คุณสงบเขามาดู แต่ท่านปิดกุฏิแล้ว เสียดายครับ ถ้าทราบว่าเป็นท่านก็จะได้ฝากของเพิ่มมากกว่านี้ ของผมได้ฝากไว้ที่ป่าไม้ให้ถวายท่านแล้วครับ”

อาตมาภาพตอบว่า “ไม่ต้องวุ่นวายหรอกท่านอธิบดี ๆ เท่าที่ให้ก็พอแล้ว ขออนุโมทนา และขอให้เดินทางด้วยความสวัสดี” แล้วท่านทั้งสองก็ได้ลาจากไป และทั้งสองท่านนี้ ทางแห่งบุญได้นำมาให้พบกับอาตมาภาพที่วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดียครั้งหนึ่ง ดังที่ได้เล่าไว้ในหนังสือ “ปัญจมาสในชมภูทวีป” แล้ว

วันนี้หลังจากฉันและทำกิจต่าง ๆ เสร็จแล้ว ก็เป็นเวลาเที่ยงเศษ อาตมาภาพก็นั่งพูดเชิงสนทนาในทางธรรมกับสามเณรในปัญหาต่างๆ ที่ทางธรรมและทางปฏิบัติที่อาตมาภาพได้อบรมไปแล้ว สามเณรก็ตอบและอธิบาย บางอย่างก็สาธยายสวดให้ฟัง พูดจาไปทำให้เพลินนานพอสมควรก็หยุดพัก คิดว่าจะลุกออกเดินยืดเส้นยืดสายเสียที หันไปหยิบไม้เท้าก้าวลง แต่ไม่ทันสังเกตก้าวหมิ่นไปเหยียบเอาขอบม้าเข้า ม้าก็กระตุกไปข้างหน้า ทำให้หน้าคะมำลง อาตมาภาพเอาไม้เท้ายันเก้ ๆ กังๆ เซแซ่ด ๆ ไปพะเอาริมกุฏิ สบงที่นุ่งก็จะหลุด ขณะที่กำลังเก้กังดึงผ้านุ่งจะหลุดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงหัวเราะกิ๊กใสแจ๋ว ทำเอาอาตมาภาพสะดุ้ง ขายหน้าเต็มที่ พูดกับสามเณรแก้เก้อว่า

“บ๊ะ ยั้งตัวไม่อยู่ ผ้าผ่อนจะหลุดจนโยมหัวเราะ”
สามเณรหน้าเหลอรับว่า “นั่นซีครับ หลวงพ่อเสียงใครก็ได้รู้ ผมก็ได้ยิน
อาตมาภาพตัดบทว่า“ เอาละ ๆ พอดี ขายหน้าจะตาย”
ตั้งแต่วันนั้นมา ทำให้อาตมาภาพได้สำนึก จะทำอะไรต้องระวังไว้เสมอ เพราะประจักษ์แล้วว่า ณ ที่นั้นแม้จะไม่มีตามนุษย์เห็น แต่ตาอีกคู่หนึ่งหรือหลายคู่คอยเผ้าติดตามดูอยู่ จะทำอะไรสะเพร่าไม่ได้ เพราะเท่าที่ได้ทราบมาว่า ไม่มีพระอาจารย์ใดที่จะอยู่บนภูกระดึงได้นานติดต่อกันถึง ๑ เดือนเลย แม้แต่สัก ๒๐ วันก็ทั้งยาก อย่างมากก็เพียง ๗-๑๐ วันก็ลง เท่าที่เห็นกันก็คือ ความหนาวอย่างเยือกเย็นเข้ากระดูกดำ ๑ ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ๑ ความเงียบเหงาอย่างยิ่ง ๑ เสียงลมที่พัดคึ่ก ๆ สนั่นหวั่นไหว ๑ (เวลาดึกเสียงลมน่ากลัวมาก) เวลาฝนตก ทั้งเสียงฝนเสียงลมและเสียงฟ้าผ่าลงมาอย่างกึกก้อง ๑ (เสียงฟ้าผ่านี้ อาตมาภาพได้เห็นกับตา

คือ วันหนึ่งฝนตกพรำ ให้สามเณรต้มน้ำริมขอบพะลานหิน ฟ้าได้ผ่าเปรี้ยงลงมา แสงสว่างวาบจนตาพร่า ต้นสนสองใบสูงลิ่วแบะออกเป็นสองซีกตลอดต้น ห่างจากที่อาตมาภาพยืนอยู่ตรงข้ามราวครึ่งกิโลเมตร ซึ่งหนึ่งล้มกระเด็นไป อีกซีกหนึ่งยังยืนต้นอยู่) ๕ อย่างนี้ ถ้ามิใช่ผู้ที่ตั้งใจมั่นในการบำเพ็ญเพียรแล้ว ก็อยู่ไม่ได้นาน ถ้าขึ้นไปพักชั่วครู่ชั่วคราวก็ไม่เป็นไร อาตมาภาพได้ประสบเหตุการณ์แหล่านี้ด้วยสติอันมั่นคง น้อมใจให้มีความผูกพันกับสิ่งเหล่านั้น.อยู่บนนี้ได้เจอฝนลูกเห็บ ที่ชาวบ้านแถบนั้นเรียกว่า ฝนห่าแก้วมันอัศจรรย์จริง ๆ ตกซัดลงมาเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดก้อนกรวดเต็มไปทั้งพะลานหิน สามเณรเอาผ้าอาบซ้อนคลุมหัวออกกวาดเก็บใส่ขันอย่างสนุก เหมือนน้ำแข็งทุบ

ความเงียบก็เงียบชัฎชนิดอย่างที่เรียกว่า อ้างว้าง เยือกเย็น และว้าเหว่ ต้นสนที่สูงลิ่วไม่ใช่สนทะเลยอดแหลมเป็นเจดีย์อย่างที่เราเห็นอย่างเจนตาตามบ้านตามสวนสาธารณะ แต่เป็นต้นสนที่เรียกว่า “สนสองใบ” และ“สนสามใบ” ความสูงตกในราว ๒๐ เมตร เวลาลมพัดแรงเสียงลมตัดผ่านหมู่สน จะดังคึ่ก ๆ เหมือนเสียงรถจักรวิ่งสักร้อยคัน และมีไม่ใช่ต้นสองต้น ทั่วทั้งพื้นยอดภูมีเป็นพัน ๆ ต้นทีเดียว ที่บ้านพักป่าไม้ อาตมาภาพได้ไปเห็นต้นสนที่มหาบพิตรพระราชสมภารเจ้าทั้งสองพระองค์ได้ทรงปลูกไว้ ยังได้อธิษฐานถวายพระพรว่า ขอให้ทรงเป็นปิ่นประเทศอันมั่นคงยั่งยืนดุจต้นสนทั้งคู่ที่ทรงปลูกไว้นี้ ป่านฉะนี้คงจะเติบโตสูงตระหง่านแล้ว ด้วยเวลา๑๑ ปี ที่อาตมาภาพได้จากมา

ในตอนบ่าย อาตมาภาพชอบพาสามเณรเดินเลาะลัดไปตามแมกไม้ และใต้ต้นหมดดงสนเหล่านี้ด้วยความเบิกบานใจ ทุกวันที่อาตมาภาพเดินกลับบิณฑบาตผ่านเข้ามาทางช่องประตูโขง เสือจะเดินแกะรอยทุกวัน ทีแรกก็ไม่ทราบ มาทราบเอาตอนที่หมออารมณ์เอาของมาให้ตอนสาย พอมาถึงก็อุทานออกมาก่อนว่า

“หลวงพ่อครับ หลวงพ่อทราบไหมว่าเสือมันเดินแกะรอยตามหลวงพ่อทุกวัน เมื่อกี้ผมก็เจอรอยมาจนพ้นประตูโขง”
อาตมาภาพเกือบจะลืมบอกรูปร่างลักษณะ พ.อ.อ.หมออารมณ์ สอนสมสุข ผู้นี้ (ระยะนี้คงจะเป็นเรืออากาศแล้ว คือเป็นคนร่างใหญ่ กำลังมาก ทั้งบึกบึน เรื่องความกลัวดูเหมือนจะไม่มีในบุคคลผู้นี้ ลงภู ขึ้นภู ตอนค่ำคืนได้อย่างสบาย เดินก็เร็ว ใจเย็น พูดจามีเมตตาผิดกับรูปร่างทีเดียว พวกป่าไม้และพวกชาวบ้านชอบหมอมาก เอาใจใส่รับใช้อาตมาภาพเป็นอย่างดีตลอดเวลา คราวหนึ่งอาตมาภาพหยุด ไม่ไปบิณฑบาต ๔ วัน ให้สามเณรบิณฑบาตฉันที่บ้านป่าไม้องค์เดียว เพื่อจะบำเพ็ญอยู่อย่างสงบ ไม่ฉัน อุทิศให้แก่คุณโยมวิสาขา และคณะหมู่เทพ และปวงภูตบนภูนี้ พอถึงวันที่ ๕ หมออารมณ์เดินฝ่าหมอกมาแต่เช้า หิ้วกระติกกาแฟมาด้วย อาตมาภาพนั่งอยู่หน้ากุฏิรอสามเณรต้มน้ำร้อน หมออารมณ์มาถึงวางกระติกกาแฟ แล้วก้มลงกราบ บอกว่า
“ผมเกรงหลวงพ่อจะหิว เพราะท้องว่างมากเกินไป จึงรีบนำกาแฟดำร้อนมาถวายแล้วค่อยไปบิณฑบาต” ว่าแล้วก็รินกาแฟใส่ถ้วย อาตมาภาพรับมาดื่มหมดสองถ้วยรู้สึกว่า ความอุ่นของน้ำกาแฟร้อนไหลเรื่อยลงไปตามลำไส้ จนถึงกระเพาะหน้าท้อง ในราว ๑๐ นาทีรู้สึกถ่วงที่ทวารหนักก็ลุกขึ้น บอกกับหมออารมณ์ว่า เห็นจะต้องไปถ่ายเสียก่อนไปบิณฑบาต พอลุกขึ้นจะตวัดจีวรพาดบ่า ก็มีน้ำหยดออกจากทวาร ก้มลงดูเห็นเป็นน้ำสีดำหยดลงบนพื้นกระดาน ๓-๔ หยด คือน้ำกาแฟนั่นเอง หมออารมณ์ตาลุก อุทานออกมาว่า

“โอ้โฮ ! ลำไส้ของหลวงพ่อเกลี้ยงเลย”

อันที่จริง สภาพและบรรยากาศบนภูกระดึงนี้ (หมายถึงในระยะที่อาตมาภาพขึ้นไปบำเพ็ญระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๖-๒๕๐๗ นั้น เหมาะแก่ผู้ประพฤติพรตบำเพ็ญเพียรอย่างยิ่ง) น่ารื่นรมย์ ยากที่จะหาที่ใดเปรียบได้ อาตมาภาพกับสามเณรพากันออกเดินไปตามทางที่การป่าไม้ได้สร้างเลาะไปตามริมขอบภู นั่งพักบนแท่นหินตามหน้าผานกแอ่น มองดูเฮลิคอปเตอร์บินร่อนอยู่เบื้องล่างบ้าง เมฆที่ลอยจับกลุ่มแน่นคล้ายแผ่นดิน ชวนให้น่าลงไปเดิน ลอยนิ่งย่ำลงไป บางวันก็เดินดั้นฝ่าหมอกอันหนาทึบไปทางผาหล่มสัก ห่างจากกุฏิราว ๑๕ - ๑๖ ก ม. ยืนมองลงไปที่เขาว่ากันว่า ถ้าลงจากผานี้ไปแล้วก็เข้าเขตอำเภอหล่มสัก บางครั้งเดินวกมาทางซ้าย นั่งพักดูทิวทัศน์ที่ผาหมากดูก ห่างจากกุฏิราว ๘ ก.ม. ใต้ผาหมากดูกลงไปเป็นที่นอนคอยเหยื่อของเสือ อาตมาภาพลองลงไปดูกลิ่นสาปฟุ้งทีเดียว ธรรมชาติของเสือล่าเนื้อเป็นอาหารทำให้สัตว์พวกนี้รู้จักทำเลที่ชุ่มจับเหยื่อ คือ มองลงไปแล้วจะเห็นภาพข้างล่างได้ทั่วทั้งแถบ แต่ข้างล่างมองขึ้นมาจะไม่เห็นอะไรเลย อาตมาภาพจำได้ว่า ในวันเพ็ญเดือน ๓ คือ วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๐๗ นอนในราวห้าทุ่มเศษ นั่งอยู่ที่โขดหินข้างกุฏิกับสามเณร ดูพระจันทร์ลมเงียบ ท้องฟ้าโปร่ง แสงเดือนสาดสว่างดั่งกลางวัน เสียงนกกระแตร้องแก๊ ๆ ดังมาจากผานกแอ่นและลานพระแก้ว


แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-6-6 13:36

ขณะที่นั่งพูดกันเบาๆ เพลินอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคล้ายเสียงหง่าวแหลมกระหึ่มสะท้านเข้าไปในอก พอสิ้นเสียงทำให้บรรยากาศของบริเวณนั้นเงียบงันน่าสยอง อาตมาภาพจับบ่าสามเณรให้นิ่งคอยฟังให้แน่อีก สามเณรนั่งนิ่งประมาณสัก ๑ นาทีเห็นจะได้ เสียงหง่าวแหลมก้องกระหึ่มก็ดังมาอีก แต่มาทางพงหญ้าคาตรงข้ามหน้ากุฏิ ซึ่งกลุ่มโขดหินบังคั่นไว้ ห่างจากที่เรานั่งไกลโขอยู่ อาตมาภาพแน่ใจว่าเป็นเสียงพยัคฆ์เจ้าป่าแน่ จึงค่อยลุกขึ้นยืนกวาดสายตาเพ่งดูผ่านแนวหว่างต้นสน เพ่งมองกวาดสายตาดูทั่วบริเวณ จนสายตาชินกับความสว่าง ก็แลเห็นสิ่งหนึ่งกำลังเคลื่อนห่างออกไป เป็นก้อนขาวหม่น พงหญ้าคาแหวกกระเพื่อม อาตมาภาพกลั้นหายใจนิ่งเงียบมือซ้ายยันไม้เท้ามือขวาเกาะบ่าสามเณร ส่วนสามเณรตัวเล็กมองไม่เห็น ในท่ามกลางแสงเดือนเช่นนี้ ทำให้สภาพของเสือเปลี่ยนสีกลมกลืนกันได้เป็นอย่างดี นี่เองการหากินในราตรีกาลของสัตว์เพชฌฆาตเหล่านี้ จึงสะดวกอย่างนี้เอง เสียงหง่าวแม้จะกระเดียดไปทางเสียงแมว แต่ก็มีอำนาจร้ายทีเดียวที่สามารถหยุดอาการของป่าให้เงียบงันไปได้อย่างชงัด บางวันก็เดินดั้นเข้าไปนั่งเล่นแถวน้ำตกวังกวาง น้ำตกโผนพบ น้ำตกโผนพบใหม่บางวันก็นังสงบท่ามกลางอากาศโปร่งหน้าพระปฏิมาองค์ใหญ่ เหนือบ้านพักป่าไม้




การบำเพ็ญของอาตมาภาพมาถึงปีใหม่ เดือนมกราคม ๒๕๐๗ พวกที่รักษาป่าไม้ได้ทำความตกลงกับหมออารมณ์ คือขอให้อาตมาภาพไปรับบิณฑบาตสลับกัน คือ ไปบิณฑบาตที่ริ้งก์ ทอ. วันหนึ่ง แล้วไปบิณฑบาตที่บ้านป่าไม้วันหนึ่ง จนกว่าอาตมาภาพจะลงจากภู อาตมาภาพก็ได้ปฏิบัติตามที่นิมนต์นั้นตลอดมา คือวันนี้ฉันข้าวสุก พรุ่งนี้ฉันข้าวนึ่ง (ข้าวเหนียว) การบำเพ็ญได้ปฏิบัติอย่างเข้มงวด ไม่ว่างเว้น สม่ำเสมอตลอดมา

การเอนกายลงนอนกลางวันไม่เลยมีในชีวิตสมณะศากยบุตร เข้ากุฏิเวลา ๑๘.๓๐ น. (คือ ๖ โมงเย็นครึ่ง) หรืออย่างช้าก็ ๓ ทุ่ม เว้นแต่ถ้าเป็นเวลาเดือนเพ็ญ ก็เข้ากุฏิล่าหน่อย ดังที่ได้เล่ามา ตอนนี้ได้ให้สามเณรแยกไปนอนกุฏิทำด้วยฟากหลังคามุงด้วยพง ประตูทำด้วยสังกะสี อยู่โคนไม้ริมพะลานหิน ห่างจากกุฏิอาตมาภาพราว๓๐ เมตร เพราะเห็นว่ามีความคุ้นกับสถานที่และกล้าพอตัวแล้ว เวลาหมอกลงจัดหนาทึบจนมองอะไรไม่เห็น ก็ต้องยืนรอดูส่งจนเห็นสามเณรเข้ากุฏิ ปิดประตูเรียบร้อยแล้ว อาตมาภาพจึงกลับเข้ากุฏิ

คืนวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๗ เป็นวันเพ็ญ ขึ้น๑๕ ค่ำ เดือน ๔ เป็นวันพฤหัสบดี อาตมาภาพได้เจริญเจโตสมาธิด้วยภวังคจิตที่แน่วสนิทเป็นเวลาจนถึงตี ๒โดยนั่งหันหน้าเข้าฝากุฏิหัวนอน ได้ยินเสียงเรียกเข้าหูอย่างแจ่มชัดว่า
“พระคุณท่าน โปรดลุกออกมาข้างนอกหน่อย” น้ำเสียงสำแดงคารวะ

อาตมาภาพประหลาดใจลืมตาขึ้น มองเห็นอุบาสกชรา เส้นผมขาว ใบหน้าผ่องใสเป็นเงากระจ่าง นุ่งผ้าขาวจีบหน้า ห่มเฉียงด้วยผ้าขาวบาง ชายปลิวสะบัดไปตามกระแสลม ถือไม้เท้ายาวเสมอศีรษะ ฝาที่หัวนอนดูเหมือนไม่มี ทั้ง ๆ มุ้งกลดก็บังอยู่ แต่ก็เห็นได้อย่างแจ่มชัด จะเรียกให้ออกไปทำไม อาตมาภาพนึกในใจ ก็มีเสียงเรียกมาอีกว่า

“ลุกออกมาทางนี้แหละครับ ข้าพเจ้ามาคอยรับท่าน ลุกออกมาเถอะครับ”

อาตมาภาพไม่ลังเล ความมั่นใจ ความสดชื่นภายในไม่ทราบว่ามีได้เต็มเปี่ยมอย่างไร รู้สึกว่าอุบาสกชราผู้นี้เป็นมิตรสนิท ไว้วางใจได้โดยไม่ต้องคลางแคลง ออกจากมุ้งกลดหยิบไม้เท้าที่พิงไว้มุมฝาหัวนอน ก้าวออกไป พริบตาเดียวก็ไปยืนอยู่ตรงหน้าอุบาสกชรา ผู้มีใบหน้าอิ่มเอิบผ่องใสผู้นั้น กุฏิของอาตมาภาพตั้งอยู่ระหว่างช่องหิน ขอบหินด้านหัวนอนสูงกว่ากุฏิเกือบครึ่ง และห่างกันเกือบ ๑ เมตร แต่อาตมาภาพก้าวข้ามออกไปได้อย่างไร ตัวเองก็ไม่รู้ อธิบายไม่ได้ เพียงแต่ว่าแวบเดียวถึงอุบาสกชราเดินหลีกจากอาตมาภาพพลางพูดว่า

“นิมนต์ตามข้าเจ้ามา”
“จะพาอาตมาไปไหนกัน ?”
“ไปยังที่ท่านผู้เห็นผู้ใหญ่ ณ ที่นี้ประสงค์ให้พระคุณท่านได้เห็น ตามข้าเจ้ามาเถอะ พระคุณท่านเวลาล่วงไปโขแล้ว” ว่าแล้วอุบาสกชราก็เริ่มเดินนำ เยื้องห่างจากอาตมาภาพไปทางขวาเล็กน้อย ห่างกันประมาณเกือบสองวา คืนวันนี้แสงจันทร์ส่องกระจ่างทรงกลด ดาวเต็มท้องฟ้า สะอาดปราศจากเมฆ สรรพสิ่งทุกอย่างรอบข้างอ้างว้าง เงียบสงัด ลมพัดโชยพอสบาย ทำให้ชายจีวรของอาตมาภาพ และผ้าขาวห่มเฉียงของอุบาสกชราปลิวไหวนิด ๆ

อาตมาภาพทั้งประหลาดใจและอัศจรรย์ใจในการก้าวเดินของเราทั้งสองในตรงนี้เป็นอย่างสุดที่จะพรรณนา เพราะอะไร ? ก็เพราะการก้าวเดินก็เป็นการก้าวเดินอย่างธรรมดา แต่ฝ่าเข้าไม่สัมผัสพื้น แต่ลอยเรื่อยไปข้ามช่องเขา แล้วมาก้าวเดินเหยียบไปบนยอดพงหญ้าคาที่ขึ้นสูง น้ำค้างบนยอดพงเปียกติดฝ่าเท้า อาตมาภาพชำเลืองดูอุบาสกชราผู้นำทาง ก็เห็นมุ่งหน้าเดินในอาการสำรวมปกติ ไม่หันมามองไม่มีการพูดจา อาตมาภาพก็คงสำรวมเดินตามลิ่ว ๆ ไป ประหลาดจริง ๆ ท่านสาธุชนทั้งหลาย มันไม่ใช่อาการเหาะ ไม่ใช่อาการลอยไปเฉย ๆ แต่มันเป็นอาการก้าวเดินอย่างธรรมดา แต่ทว่าคล้ายเลื่อนไถลลอยไปฉะนั้น เบาและนุ่มนวล ไม่มีอาการเกร็งข้อเท้า หรือ ฝืนกล้ามเนื้อน่อง หรือ ขาอ่อนอย่างไร ก้าวเดินไปอย่างสบายและว่องไว อาตมาภาพได้พบ ได้ถูกต้องแล้วในชีวิตนี้ ซึ่งมิคิดว่าจะได้พบ ภายในใจภาวนานึกอนุโมทนาขอบคุณคุณโยมวิสาขา ที่ได้เอื้อเฟื้อและเมตตาถึงปานนี้

เราพากันเดินเบนเฉียงไปทางขวาเรื่อยไป ใช้เวลาราว ๑๐ นาทีประมาณตีสองเศษ ก็มาหยุดยืนริมชายป่าขอบภูแห่งหนึ่งมองดูทิวทัศน์เบื้องล่างเห็นแต่หมอกบางสลัว แล้วอุบาสกผู้นำทางก็นำเดินลงตามช่องทางเล็ก ๆ พอเดินเรียงเดี่ยว เบื้องบนศีรษะมีพงหญ้าปกคลุมหนาทึบ เราเดินเลี้ยวขวาย่ำลง ๆ ไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดยืนบนแผ่นหิน เบื้องหน้าเป็นช่องกว้างประมาณ ๑ วา สูง ๒ ช่วงคน เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า คล้ายประตู ภายในสว่างกระจ่างแจ้ง ไม่ใช่แสงตะเกียง ไม่ใช่แสงไฟฟ้า แต่มันสว่างกระจ่างใสคล้ายแสงแก้ว อุบาสกชราผู้นำทางหยุดยืน แขนขวายันประตูมีใบหน้าอันยิ้มระรื่นด้วยคารวะและไมตรี มีกลิ่นคล้ายกลิ่นกระแจะอ่อน ๆ รำเพยมา พลางเอ่ยบอกว่า

“บัดนี้ขอพระคุณเจ้าผู้เจริญ จงโปรดเที่ยวชมภายใน รัตนคูหานี้ได้โดยอิสระ เสมือนเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ข้าเจ้าจะคอยท่านจนกว่าจะกลับ”

อาตมาภาพมองดูอุบาสกชราด้วยสายตาอันชื่นบาน เราสบสายตากันอยู่ครู่หนึ่ง อาตมาภาพก็ก้าวเดินเข้าไปพื้นในถ้ำราบเรียบ สภาพภายในร่มรื่นแจ่มกระจ่าง แสงสว่างที่สาดไปทั่วนั้น ทำให้ผิวร่างกายอาตมาภาพรู้สึกสดชื่นอ่อนนุ่มไปทั้งร่าง ตัวเบาอย่างผาสุก มันเบาคล้ายกับกระดูกทุกส่วนเป็นโพรง กลิ่นหอมระรื่นชื่นใจอบอวลไปทั่ว ตักเตือนตัวเองว่า

“อันตัวเรานี้เป็นสมณะ สาวกศากยะบุตร ท่านเห็นว่าเรามีคุณสมบัติพอจะนำมาเหยียบมาเห็นสถานที่แห่งนี้ได้ จึงได้อนุญาตนำให้ได้เห็นได้ชม ใครบ้างที่เป็นมนุษย์ปุถุชนจะได้มีโอกาสดังเช่นเรา ฉะนั้นอย่าเผลอ อย่าผยองร่าเริงว่านี่เป็นของเรา เราดีเหนือกว่าใคร ถ้าคิดนึกเช่นนี้แล้วไซร้ ความหวังได้ซึ่งธรรมวิเศษ หรือการที่จะได้ประสบพบสิ่งอันเป็นมงคลเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่ฐานะจะเป็นไปได้”







อาตมาภาพเดินตรึกรำพึงไปพลาง สายตาก็พินิจพิเคราะห์สถานที่ห้องหับคูหา อันงามรุ่งเรืองตระการตาไปพลาง แสงสว่างพร่างงามนั้นออกมาจากผนังภายในคูหานั้น เหมือนกับฉาบทาไว้ด้วยแก้วมณี หรือว่าผนังนั้นเป็นแก้วมณีเอง เป็นปุ่มเป็นระแหง เป็นช่อ เป็นแผ่นเรียบ เป็นพวงระย้าสลับซับซ้อน ติดพืดกันไปหมดอย่างเป็นระเบียบ ดุจนายช่างวิศวกรอันมีศิลปะที่มือเลิศได้ประดับสลักยึดไว้ ถ้ายืนนิ่งจ้องดูแสงที่ออกมาจากปุ่มจากช่อ ๆ ลฯ เหล่านั้น จะทำอาการวาว ๆ วุบวับ คล้ายกับจะแสดงอาการให้นิ่งพิศ หรือเหมือนกับล้อสายตาเล่นอย่าสนุกฉะนั้น

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้