ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2320
ตอบกลับ: 4

ตำนานบั้งไฟพญานาค

[คัดลอกลิงก์]


ในวันออกพรรษาของทุกๆ ปีมีประชาชนมากมายต่างแห่แหนกันไปเฝ้าชมบั้งไฟพญานาคเพื่อเป็นบุญตาสักครั้งผู้ที่เคยเห็นแล้วเกิดความประทับใจกลับมาชมซ้ำก็มี

ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยเห็นบ้างมาเพราะเชื่อและศรัทธาในพญานาคจึงอยากมาร่วมบุญด้วยเพราะเชื่อว่าพญานาคพ่นบั้งไปออกมาเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าแต่บ้างก็มาเพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตาตนเองว่ามีจริงหรือไม่ มีลักษณะเป็นอย่างไรจะเป็นฝีมือของพญานาค ฝีมือธรรมชาติ หรือฝีมือมนุษย์กันแน่

แม้ความคิดความเชื่อจะแบ่งแยกแตกต่างแต่หลายปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นทุกปีและจะมีเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

หลักฐานมาพุทธประวัติกล่าวถึงเหตุเบื้องต้นว่า...

ในพรรษาที่ 7 (นับแต่พระองค์ตรัสรู้เป็นต้นมา) พระพุทธเจ้าได้เสด็จจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพราะต้องการที่จะแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา คือ พระนางสิริมหามายาซึ่งเมื่อสิ้นพระชนม์ไปแล้วได้เสด็จบังเกิดที่สวรรค์ชั้นดุสิต

เมื่อพระอินทร์ทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาจำพรรษาที่นี่ก็ทรงป่าวประกาศแก่หมู่เทพยดาในสวรรค์ให้มาร่วมชุมนุนเพื่อฟังธรรมพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพุทธมารดาทั้งพรรษาจนพุทธมารดาบรรลุโสดาปัตติผลในที่สุดส่วนเทพนอกนั้นได้บรรลุมรรคผลตามสมควรอุปนิสัยแห่งตน

เมื่อครบพรรษาพระองค์ก็เสด็จกลับลงมา โดยพระอินทร์ได้เนรมิตบันไดขึ้น3 บันไดเป็นที่เสด็จลง คือ บันไดทอง บันไดเงิน และบันไดแก้วมณีบันไดทองสำหรับหมู่เทพอยู่ด้านขวา บันไดเงินสำหรับท้าวมหาพรหมอยู่ด้านซ้ายและบันไดแก้วมณีอยู่ตรงกลางสำหรับพระพุทธเจ้า

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-3 06:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด


ในระหว่างที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึวส์นั้นพระองค์ได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์ขณะประทับยืนอยู่ที่บันไดแก้ว โดยได้ทรงทอดพระเนตรไปทางทิศเบื้องบน แล้วเทวโลกและพรหมโลกก็เปิดมองเห็นโล่งจากนั้นก็ทรงทอดพระเนตรไปในทิศเบื้องต่ำ นิรยโลกทั้งหลายก็เปิดโล่งอีกเช่นกัน ครั้งนั้นสวรรค์ มนุษย์ และสัตว์นรก ต่างก็เห็นซึ่งกันและกันทั่วจักรวาลชาวพุทธเรียกเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า “เปิดโลก”

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-3 06:30 | ดูโพสต์ทั้งหมด


ผู้อาศัยอยู่ในสามโลกมองเห็นกัน มนุษย์เห็นเทวดา เทวดาเห็นมนุษย์มนุษย์และเทวดาเห็นสัตว์นรก สัตว์นรกเห็นเทวดาและมนุษยืแล้วต่างเหลียวมองดูพระพุทธเจ้าผู้เสด็จลงจากสวรรค์ด้วยพระเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ในคัมภีร์ธรรมบทที่พระพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้แต่งถึงกับกล่าวไว้ว่า“วันนี้คนทั้งสามโลกได้เห็นแล้ว ที่ไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้านั้นไม่มีเลยสักคน”

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้มีตำนานเล่าต่อกันมาว่า... ขณะนั้นเองพญานาคซึ่งเฝ้ามองพระองค์อยู่ก็มีความปรารถนาดุจเดียวกันจนเกิดความปีติและศรัทธาอย่างแรงกล้าประกอบกับบุญบารมีที่ได้ถืออุโบสถศีลมาตลอดทั้งพรรษาทำให้พญานาคสามารถกลั่นดวงประทีปที่สุกใสที่เกิดจากใจอันเป็นกุศลออกมาได้และได้พ่นดวงประทีปหรือบั้งไฟพญานาคเหล่านั้นขึ้นสู่ท้องฟ้าดวงแล้วดวงเล่าดวงแล้วดวงเล่าเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแก่พระองค์

นับจากนั้นเป็นต้นมาพญานาคก็ยึดเอาวันออกพรรษาของทุกปีออกมาพ่นบั้งไฟอย่างพร้อมเพรียงกันเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและรำลึกถึงวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากเทวโลก

แต่ก็ใช่ว่าพญานาคทุกตัวจะสามารถพ่นบั้งไฟได้ พญานาคที่พ่นบั้งไฟได้ คือพญานาคที่มีความเลื่อมใสศรัทาในพระพุทธศาสนาและถืออุโบสถศีลตลอดทั้งพรรษา เท่านั้นถึงจะมีกำลังบุญและแรงปิติมากพอสร้างบั้งไฟขึ้นมาได้ซึ่งขนาดของลูกไฟจะใหญ่หรือเล็กก็ตามแต่กำลังบุญของพญานาคตัวนั้นๆ

ส่วนจำนวนบั้งไฟพญานาคในแต่ละปีจะมีจำนวนมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าปีนั้นมีพญานาคถืออุโบสถศีลมากน้อยเพียงใด เพราะพญานาคนั้นแม้จะเกิดขึ้นในชั้นของสวรรค์ก็ยังมีกิเลสและบริโภคกามอยู่บ้างมัวเพลิดเพลินในทิพย์สมบัติ บ้างศีลขาดเพราะทนคิดถึงนางนาคมาณวิกาไม่ไหวก็มีโดยการจำศีลของพญานาค ขณะจำศีลจะมีพุทธานุสติเป็นอารมณ์ คือระลึกถึงเหตุการณ์ใน วันเทโวโรหนะ(แปลว่า วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก)โดยพวกที่เคยเห็นในวันนั้นจะบอกเล่าแก่ผู้ที่มาภายหลังให้ระลึกถึงตามไปด้วย

ดังนั้นความศรัทธาและความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าจึงยังไม่เสื่อมคลายไปตามกาลเวลาที่พ้นผ่านเพราะมีการสืบทอดสิ่งต่างๆ จากรุ่นสู่รุ่นเช่นเดียวกับมนุษย์รวมถึงความสามารถระลึกชาติได้เองของพญานาคอีกปัจจัยหนึ่งทำให้การพ่นบั้งไฟพญานาคเปรียบเหมือนประเพณีที่เหล่าพยานาคต่างยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาจะมีคลาดเคลื่อนจากเดิมไปบ้างก็คือเรื่องเวลาเท่านั้น คือเปลี่ยนจากกลางวัน(ตามพุทธประวัติ) เป็นเวลากลางคืนแทน ก็เพราะ ประการแรก พญานาคจะยึดเวลาตามจันทรคติใช้ดวงจันทรืเป็นเครื่องกำหนดรู้โดยยึดวันเข้าและออกพรรษาตามปฏิทินของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาซึ่งตรงกับวันออกพรรษาของลาว คือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของปฏิทินไทย ประการที่สองดวงจันทร์วันเพ็ญจะมีอิทธิพลต่อจิตใจของพญานาคมาก เมื่อได้เห็นดวงจันทร์เต็มดวงจะยิ่งทำให้เกิดความปิติมากขึ้นไปอีกจนสามารถพ่นบั้งไฟพญานาคออกมาได้ประการที่สามคือเดือนเพ็ญเป็นคืนที่เทวดาและมนุษย์สามารถรับกระแสบุญจากพระนิพพานได้อย่างเต็มที่

ส่วนสถานที่พ่นบั้งไฟทำไมถึงมีปรากฏอยู่แค่บริเวณลุ่มน้ำโขงเท่านั้นเชื่อกันว่ามีสาเหตุมาจากพญานาคที่อาศัยอยู่ในลุ่มแม่น้ำโขงเป็นพวกเดียวที่มี สัมมาทิฐิคือ นับถือพระรัตนไตรเป็นที่พึ่ง เหมือนกับที่ผู้คนสองริมฝั่งโขงนับถือและศรัทธาในพระพุทธศาสนาซึ่งในท้องถิ่นอื่นๆ บ้างมีการเปลี่ยนไปนับถือสาสนาอื่นแล้วหรือไม่ก็หันไปนับถือพระเจ้าแทนพอมนุษย์เหล่านั้นเวียนว่ายตายเกิดเป็นเทวดาหรือพญานาค ก็ยังคงมีความเชื่อเหมือนเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทุกประการทำให้พญานาคเหล่านั้นไม่สามารถพ่นบั้งไฟได้นั่นเอง

จากเรื่องเล่าและหลักฐานต่างๆแม้จะยังไม่ได้รับการยืนยันว่าบั้งไฟพญานาคเป็นฝีมือของพญานาคหรือไม่แต่อย่างน้อยก็ยังมีสิ่งยืนยันได้ว่าพญานาคมีตัวตน หากเชื่อตามพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงความเกี่ยวข้องระหว่างพระพุทธเจ้ากับพญานาคในหลายๆเหตุการณ์ รวมถึงอดีตชาติของพระพุทธเจ้าที่เคยเสวยชาติเป็นพยานาค

ที่มา - http://payanakara.blogspot.com/2012/06/blog-post_9782.html

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
โพสต์ 2013-12-14 22:49 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณครับ
โพสต์ 2014-6-29 03:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้