ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 6420
ตอบกลับ: 16
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

"หลวงพ่อคูณ"' ตำนานที่เป็นอมตะตลอดกาลนิรันดร์

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2015-5-17 10:01

'ปราชญ์แห่งที่ราบสูง' พระนักปฏิบัติผู้ยิ่งใหญ่
ชาติภูมิ


                           หลวงพ่อคูณ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2466 ตรงกับแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน ที่บ้านไร่ หมู่ 6 ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ในครอบครัวของชาวไร่ชาวนาที่อยู่ห่างไกลความเจริญ บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง มารดาชื่อ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน คือ พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทโธ) นางคำมั่น วงษ์กาญจนรัตน์  และนางทองหล่อ เพ็ญจันทร์

                           นางทองขาว เล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า ก่อนตั้งครรภ์ กลางดึกของคืนวันหนึ่งเวลาประมาณตีสาม ฝันเห็นเทพองค์หนึ่ง มีกายเรืองแสงงดงาม ลอยลงมาจากสวรรค์ มาที่บ้านของนางและกล่าวว่า “เจ้าและสามีเป็นผู้มีศีลธรรม เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ประกอบการงานอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งยังสร้างคุณงามความดีมาตลอดหลายชาติ เราขออำนวยพรให้เจ้า และครอบครัวมีแต่ความสุขสวัสดิ์ตลอดไป” และเทพองค์นั้นยังได้มอบดวงแก้วใสสะอาดสุกวาวให้แก่นางด้วย “ดวงมณีนี้ เจ้าจงรับไปและรักษาให้ดี ต่อไปภายหน้าจะได้เป็นพระพุทธสาวกหน่อเนื้อพระชินวร เพื่อสืบพระพุทธศาสนา เป็นเนื้อนาบุญ ที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งปวง”



การศึกษา


                           บิดามารดาของหลวงพ่อคูณ เสียชีวิตลงในขณะที่ลูกทั้ง 3 คน ยังเป็นเด็ก หลวงพ่อคูณกับน้องๆ จึงอยู่ในความอุปการะของน้าสาว สมัยที่หลวงพ่อคูณอยู่ในวัยเยาว์ 6-7 ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือกับพระอาจารย์เชื่อม วิรโธ พระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หลี ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม นอกจากนี้พระอาจารย์ทั้งสามยังมีเมตตาอบรมสั่งสอนวิชาอาคมเพื่อป้องกันอันตรายต่างๆ ให้แก่หลวงพ่อคูณด้วย นับว่าหลวงพ่อคูณรู้วิชาไสยศาสตร์มาแต่เยาว์วัย



อุปสมบท


                           หลวงพ่อคูณอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เมื่อวันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2487 ปีวอก หลวงพ่อคูณได้รับฉายาว่า ปริสุทโธ หลังจากที่หลวงพ่อคูณอุปสมบทเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้ว ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์ ต.สำนักตะคร้อ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ อย่างเคร่งครัด และทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนและลูกศิษย์เป็นอย่างมาก

                           หลวงพ่อคูณ ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อแดงมานานพอสมควร หลวงพ่อแดงจึงพาหลวงพ่อคูณไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร ซึ่งหลวงพ่อทั้งสองรูปนี้ เป็นเพื่อนกันต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีโอกาสได้พบปะ มักแลกเปลี่ยนธรรมะ ตลอดจนวิชาอาคมแก่กันเสมอ

                           เวลาล่วงเลยนานพอสมควร กระทั่งหลวงพ่อคงเห็นว่า ลูกศิษย์ของตนมีความรอบรู้ชำนาญการปฏิบัติธรรมดีแล้ว จึงแนะนำให้ออกธุดงค์จาริกไปตามป่าเขาลำเนาไพร ฝึกปฏิบัติธรรมเบื้องสูงต่อไป แรกๆ หลวงพ่อคูณก็ธุดงค์ จาริกอยู่ในเขต จ.นครราชสีมา จากนั้นจึงจาริกออกไปไกลๆ กระทั่งถึงประเทศลาว และประเทศกัมพูชา มุ่งเข้าสู่ป่าลึก เพื่อทำความเพียรให้เกิดสติปัญญา เพื่อการหลุดพ้นจากกิเลส ตัณหา และอุปาทานทั้งปวง
        สู่มาตุภูมิ

                           หลังจากที่พิจารณาเห็นสมควรแก่การปฏิบัติแล้ว หลวงพ่อคูณจึงออกเดินทางจากประเทศกัมพูชาสู่ประเทศไทย เดินข้ามเขตด้าน จ.สุรินทร์ สู่ จ.นครราชสีมา กลับบ้านเกิดที่บ้านไร่ จากนั้นจึงเริ่มดำเนินการก่อสร้างถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนา โดยเริ่มสร้างอุโบสถ พ.ศ. 2496 นอกจากการก่อสร้างอุโบสถแล้ว หลวงพ่อคูณยังสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดสระน้ำไว้เพื่ออุปโภคและบริโภค และที่สำคัญยังสร้างโรงเรียนไว้เพื่อเด็กบ้านไร่อีกด้วย

         

บำเพ็ญสาธารณประโยชน์


                           หลวงพ่อคูณ ถือว่าเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ของ จ.นครราชสีมา มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือใช้ภาษาพูดสมัยโบราณ โดยมีคำว่า “มึง” และ “กู” เป็นคำติดปาก และมักจะชอบนั่งยองๆ อีกทั้งยังเป็นพระนักเทศน์สอนประชาชนด้วยคำง่ายๆ แต่ได้เนื้อหาธรรมะอันลึกซึ้ง ด้วยจริยวัตรที่เรียบง่าย และเป็นกันเอง ท่านจึงเป็นที่เคารพศรัทธาของลูกศิษย์ และพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ

                           ขณะเดียวกัน ท่านยังเป็นพระเกจิอาจารย์ ที่สร้างวัตถุมงคลมากมาย ซึ่งล้วนมีพุทธคุณด้านเมตตา มหานิยม และแคล้วคลาด จนวัตถุมลคลของท่านกลายเป็นที่นิยมของเซียนพระและนักสะสมทั่วประเทศ ด้วยความที่มีลูกศิษย์จำนวนมาก จึงมีผู้นำเงินมาบริจาคให้ท่านมากเช่นกัน ซึ่งเงินที่ท่านได้มาก็จะนำไปสร้างสาธารณประโยชน์มากมายทั่วทั้ง จ.นครราชสีมา อาทิ โรงพยาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัย ถนน และมอบทุนการศึกษาให้ลูกหลานชาวโคราชอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมอบเงินสร้างวัด โรงเรียน และมหาวิทยาลัย หลายแห่ง ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ หลวงพ่อคูณยังเคยได้ทูลเกล้าฯ ถวายเงิน กว่า 100 ล้านบาท แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อใช้ตามพระราชอัธยาศัยอีกด้วย



สมณศักดิ์


                           12 สิงหาคม พ.ศ.2535 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระญาณวิทยาคมเถร

                           10 มิถุนายน พ.ศ.2539 เป็นพระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระราชวิทยาคม อุดมกิจจานุกิจจาทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี

                           12 สิงหาคม พ.ศ.2547 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระเทพวิทยาคม อุดมธรรมสุนทร ปสาทกรวรกิจ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี



ประวัติอาการอาพาธ


                           หลวงพ่อคูณ เริ่มมีอาการอาพาธตั้งแต่ปี 2543 ด้วยโรคหัวใจ ซึ่งแพทย์ได้ผ่าตัดทำบายพาสหัวใจให้ท่าน จนอาการดีขึ้นตามลำดับ

                           วันที่ 25 ตุลาคม 2547 อาพาธอีกครั้งด้วยอาการเลือดคั่งในสมอง ต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร ให้แพทย์ผ่าตัดสมองเพื่อเอาลิ่มเลือดออก จนอาการปลอดภัย และมีสุขภาพดีเรื่อยมาจนกระทั่ง วันที่ 26 เมษายน 2552 หลวงพ่อคูณ อาพาธด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด ส่งผลให้มีอาการซึมเศร้า และต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาหลายวัน จนกระทั่งอาการดีขึ้นและสามารถกลับวัดบ้านไร่ได้ ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 หลังจากนั้นสุขภาพร่างกายของท่านก็อ่อนแอมาอย่างต่อเนื่อง

                           วันที่ 4 พฤษภาคม 2554 มีอาการอาพาธด้วยวัณโรคปอด เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาอีกกว่า 4 เดือน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2556 มีอาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และมีอาการแทรกคือ หลอดลมอักเสบ รวมทั้งเกิดภาวะเสมหะลงคอ ทำให้ปอดเกิดการอักเสบติดเชื้อ คณะศิษย์ต้องนำตัวส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จนกระทั่งอาการท่านเริ่มดีขึ้นตามลำดับ ก่อนที่คณะแพทย์จะได้นำตัวหลวงพ่อคูณกลับวัดบ้านไร่ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2556 เพื่อพักรักษาตัวอยู่ภายในห้องกระจก ที่มีแพทย์และพยาบาลเฝ้าดูแลอาการอย่างใกล้ชิด โดยไม่อนุญาตให้ญาติโยมเข้าเยี่ยม เพื่อป้องกันการติดเชื่อ

                           ตลอดเวลาที่พักรักษาตัว หลวงพ่อคูณมีอาการดีขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเมื่อเวลา 05.40 น. วันที่ 15 พฤษภาคม 2558 มีอาการหัวใจหยุดเต้น ต้องนำตัวส่งรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา อีกครั้ง และมรณภาพลงในเวลา 11.45 น. วันที่ 16 พฤษภาคม 2558


ที่มา..http://www.komchadluek.net/detail/20150517/206406.html

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-5-17 10:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2015-5-17 10:04






                           "เทพเจ้าแห่งด่านขุนทด" เป็นฉายาที่เหล่าบรรดาลูกศิษย์ขนานนามให้ พระเทพวิทยาคม หรือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา พระสงฆ์ผู้มีแต่ให้ กิตติคุณแห่งอำนาจบารมีของหลวงพ่อคูณที่ร่ำลือระบือไกลแทบจะทั่วโลกก็ยังรู้จัก

                           ประวัติของท่านมีการทำเป็นสารคดี เป็นหนัง เป็นหนังสือออกมาสารพัด มีเครื่องรางของขลังสารพัด ผลิตออกมาเพื่อให้หลวงพ่อปลุกเสก วางจำหน่ายในราคาจากสิบยี่สิบ จนไปถึงหมื่นถึงแสน มีเงินสะพัดทั้งในและนอกระบบ ยากจะจินตนาการได้ และในทางสายนี้ น่าจะสร้างความมั่งคั่งอย่างมหาศาลให้ใครไปหลายต่อหลายคน

                           อย่างไรก็ตาม ผลจากเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่สะพัดที่วัดบ้านไร่ ผู้เฒ่าผู้แก่เด็กเล็กเด็กแดง ตลอดจนข้าราชการประชาชนตาดำๆ คนอีสาน ต่างได้อานิสงส์จากการเป็นผู้ให้ของเทพเจ้าแห่งที่ราบสูงนี้ จากการสร้างและต่อยอดให้ เกือบทั้ง จ.นครราชสีมา จนไกลออกไปสู่หลายส่วนในประเทศ

                           สารพัดวัตถุมงคลที่ผ่านการเป่ามนต์คาถาโดยเทพเจ้าแห่งด่านขุนทด ได้กลายสภาพมาเป็นโรงพยาบาล โรงเรียน สถานีตำรวจ มหาวิทยาลัย ถนน สะพาน วัดวาอาราม แม้กระทั่งห้องน้ำ รวมถึงกองทุน ที่เก็บกินดอกเบี้ย เพื่อใช้ทำกิจการสาธารณะอีก จนยากจะนับไหว น่าจะไม่ต่ำกว่าหลักหมื่นล้าน ชนิดที่เรียกว่า เป็นอมตะตลอดกาลนิรันดร์ ตายแล้วเกิดอีกกี่ชาติก็คงอยู่



         เมื่อวัดต่างๆ มาขอสร้างเพื่อนำไปสร้างวัดนั้น หลวงพ่อคูณจะเมตตา "อนุญาต" ให้สร้างหมด


จนยอดพระเครื่องของหลวงพ่อคูณพุ่งขึ้นไปกว่า 1,000 รุ่น หลังจากนั้น เมื่อของชักจะมากเข้า


แต่ผู้คนยังมุ่งมาขอหลวงพ่อจัดสร้าง ท่านจึงเมตตาบอกว่า...


"อย่าทำเลยไอ้นายเอ๊ย มันขายบ่ออกดอก ของกูก็แทบจะล้นกุฏิอยู่แล้ว เห็นไหม


มึงอยากได้พระก็เอาไปโลด




หรือถ้าจะสร้าง มึงขอเงินกูไปเลยจะดีกว่า กูไม่อยากให้มึงขาดทุน"


                           ด้วยประสบการณ์ในพระเครื่องของท่าน จึงทำให้เกิดศรัทธาในองค์หลวงพ่อคูณมากขึ้น ในช่วง พ.ศ.2535-2538 ชื่อเสียงของหลวงพ่อคูณดังไปทั่วประเทศ นอกจากวัตถุมงคลแล้ว ยังมีหนังสือหลวงพ่อคูณพิมพ์ออกมาวางขายนับร้อยๆ เล่ม แม้แต่ แอ๊ด คาราบาว ยังมีเพลงหลวงพ่อคูณ ออกมาอีกด้วย

                           พระเครื่องหลวงพ่อคูณเริ่มเป็นที่นิยมในหมู่มหาชน แม้แต่เซียนพระรุ่นใหญ่ยังมีเหรียญรุ่นแรก พ.ศ.2512 เหรียญหลวงพ่อคูณ ครึ่งองค์วัดสระแก้ว ออก พ.ศ.2517 และเหรียญสร้างบารมี 2519 ไว้ในร้านพระเครื่องของเซียนใหญ่เหล่านั้น ส่วนเหรียญรุ่นใหม่ๆ ที่นิยมก็เป็นที่ใฝ่หาของศิษยานุศิษย์ของท่านเป็นอย่างมาก เนื่องจากเหรียญสวยๆ ออกปีหลังๆ เหล่านี้ เริ่มมีอนาคต นอกจากจะเป็นเหรียญที่สวยงามแล้ว ยังมีประสบการณ์มากขึ้นๆ โดยไม่ต้องมีแรงเชียร์แรงปั่นใดๆ ทั้งสิ้น

                           วาทธรรมอมตะของเทพเจ้าแห่งด่านขุนทดที่เราได้ยินจนคุ้นหู กลายเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัว คือ "กูให้มึง" ตั้งแต่ชาวบ้านเดินดิน กระทั่งนายกรัฐมนตรีก็ไม่เว้น รวมถึงเจ้านายฝ่ายเหนือ คำสอนที่หลวงพ่อคูณมักพูดสั่งสอนลูกศิษย์บ่อยๆ คือ

                           1.กูจะทำให้ชาวบ้าน เพื่อตอบแทนข้าวน้ำ ที่เขาให้กูกินทุกวัน

                           2.กูให้พวกมึงรู้จักพอเพียง

                           3.กูทำดีเขาจึงให้ของดีกูมา

                           4.กูไม่เคยยินดียินร้ายในลาภยศสรรเสริญ

                           5.กูดีใจที่เกิดมาเป็นคนจน เพราะได้สร้างทานบารมี ถ้ากูเกิดมาเป็นคนรวย ป่านนี้คำว่า บุญ ก็ไม่รู้จักกัน

                           6.เงินเป็นทาสกู กูไม่ยอมเป็นทาสเงิน

                           7.การทำตัวให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่นั้นง่าย แต่จะสร้างสมบุญให้มีบารมีนั้นเป็นเรื่องยาก...ต้องเป็นผู้ให้ด้วยธรรมอันบริสุทธิ์จริง

                           8.ยิ่งเอามันยิ่งอด ยิ่งสละให้หมดมันยิ่งได้

                           9.เกิดมาแล้ว...รักความสงบ ให้มีศีลธรรมไว้ประจำใจทุกๆ คน โลกจะได้อยู่ชุ่มกินเย็น...

                           10."...พระไม่ได้อยู่กับคนชั่ว แต่อยู่กับคนดี ให้นึกว่าพระมากับเราจะทำชั่วไม่ได้ อย่าทำตัวผิดศีลธรรม ผิดจารีตประเพณี โดยเฉพาะการทำผิดกฎหมายบ้านเมืองให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท"


--------------------


ในที่สุดข่าวลือก็เป็นข่าวจริง


                           ด้วยวัยและสังขารที่ล่วงเลย ทำให้เทพเจ้าแห่งด่านขุนทดต้องเดินทางเข้าออกโรงพยาบาล ทั้งเพื่อตรวจสุขภาพและรักษาอาการอาพาธเป็นประจำ ข่าวหนึ่งที่มาก่อนข่าวจริง หรือที่เรียกว่า “ข่าวลือ” คือ “หลวงพ่อคูณมรณภาพ” หรือ “หลวงพ่อคูณละสังขาร” โดยเริ่มมีข่าวลือเมื่อปลาย พ.ศ.2548

                           “คม ชัด ลึก” ได้รวบรวมและประมวลข้อมูล “ข่าวลือการมรณภาพ และการละสังขารของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ จะเกิดอยู่ 2 ช่วงของเดือนเท่านั้น คือ ช่วงกลางเดือนจะลืออยู่ 3 วัน คือ วันที่ 14 วันที่ 15 และวันที่ 16 ส่วนช่วงปลายเดือนต่อเนื่องต้นเดือนจะลืออยู่ 3 วัน เช่นกันคือ วันที่ 30 วันที่ 31 และวันที่ 1 อย่างไรก็ตาม ในวันที่เกิดข่าวลือทั้ง 6 วันนี้ มีอยู่ 2 วันที่เกิดข่าวลือหนักและบ่อยเป็นพิเศษ คือ วันที่ 1 และวันที่ 16 ของเดือน ซึ่งตรงกับวันหวยออกนั่นเอง   

                           สำหรับข่าวลือที่หนักสุดต้องยกให้ในช่วงระหว่างวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2551 ทั้งนี้ นายสมบูรณ์ โสตถิอนันต์ เลขานุการคณะกรรมการวัดบ้านไร่ ถึงกับออกมาระบุว่า "ตลอด 2-3 วันที่ ผ่านมา มีลูกศิษย์ญาติโยมโทรศัพท์เข้ามาสอบถามจำนวนมาก" ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่คณะกรรมการวัดและลูกศิษย์ใกล้ชิดจะพาหลวงพ่อคูณเดินทางไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการตรวจร่างกายประจำปีตามปกติ ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2551

                           ในขณะที่ข่าวลือหลวงพ่อคูณละสังขารเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2553 ถึงกับทำให้ นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาขณะนั้น ต้องเดินทางไปยังวัดบ้านไร่ พร้อมกับนำกระเช้าเข้านมัสการหลวงพ่อคูณ หลังจากเมื่อวานนี้มีข่าวลือสะพัดว่า หลวงพ่อคูณมรณภาพ และมีโทรศัพท์จากประชาชนไปสอบถามเกี่ยวกับข่าวดังกล่าวเป็นจำนวนมาก เพื่อสยบข่าวลือการมรณภาพ

                           โดยในปีเดียวกันนี้ก็มีข่าวลือ หลวงพ่อคูณมรณภาพ 3 วัน คือ วันที่ 30 กันยายน และวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งเป็นข่าวลือก่อนที่จะถึงวันคล้ายวันเกิดคือ วันที่ 4 ตุลาคม 2553 โดยทางวัดจัดฉลองวันเกิดอายุครบ 87 ปี ย่าง 88 ปี

                           เมื่อครั้งที่หลวงพ่อคูณสุขภาพยังแข็งแรง ทุกครั้งที่เกิดข่าวลือหลวงพ่อถึงกับต้องออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยตนเอง เพื่อสยบข่าวลือ จนกลายเป็นประโยคที่คุ้นหูไปแล้ว คือ

                           "กูยายไม่ตัง กูยังไม่ตาย"

                           “กูยังไม่ตายดอก อยู่ดีสบาย ไม่ต้องห่วงกู”

                           "ลูกหลานเอ๊ย กูไม่เป็นอะไรแล้ว การเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ไม่ถึงคราวตายก็ยังไม่ตาย แต่เวลานี้กูสบายดีขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงดอกลูกหลานเอ๊ย"

                           และ..."กูยังไม่ตายหรอกลูกหลานเอ๋ย ถ้าพวกมึงเป็นห่วงเป็นใยก็ขอให้พากันทำความดี รักกัน สามัคคีกัน อย่าทะเลาะกัน ประเทศไทยถึงจะอยู่รอด พวกมึงทำให้ได้ล่ะ"

                           ในที่สุดข่าวลือก็เป็นข่าวจริง เทพเจ้าแห่งด่านขุนทดมรณภาพในวันหวยออกจริงๆ แต่หวยหลวงพ่อคูณไม่ออกเลยสักเลข ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ในงวดต่อๆ จะไม่ได้รับความนิยม


--------------------

('เทพเจ้าแห่งด่านขุนทด' ตำนานที่เป็นอมตะตลอดกาลนิรันดร์ : โดย...ไตรเทพ ไกรงู)

ที่มา..http://www.komchadluek.net/detail/20150517/206410.html



3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-5-17 10:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้




เปิดพินัยกรรม 'หลวงพ่อคูณ'เปิดพินัยกรรม 'หลวงพ่อคูณ' กู...ไม่อยากให้ใครหาประโยชน์จากตัวกู         


                           กระแสความโด่งดังของ พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทฺโธ) เจ้าของฉายา "เทพเจ้าแห่งด่านขุนทด" มาพร้อมๆ กับผลประโยชน์อันมหาศาล สิ่งที่ตามมาคือ ความไม่ลงตัวเรื่องผลประโยชน์ ซึ่งตามมาด้วยความขัดแย้ง

                           จากปัญหาความขัดแย้งที่เกิดในวัดบ้านไร่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่หลวงพ่อคูณเริ่มมีชื่อเสียง เมื่อ พ.ศ.2536 โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ต่างๆ ภายในวัดบ้านไร่เอง หลายคนอาจจะคิดว่าท่านเป็นพระแก่ๆ รูปหนึ่ง จะไปรู้เรื่องอะไร แต่แท้ที่จริงแล้วหลวงพ่อรู้เรื่องดังกล่าวถึงขนาดที่ต้องทำพินัยกรรมไว้ล่วงหน้าถึง 2 ฉบับ โดยฉบับแรกทำไว้เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2536 ส่วนฉบับที่สอง ซึ่งเป็นฉบับล่าสุด ทำไว้เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2543

                           “กูเองไม่อยากเป็นภาระกับคนอื่น เมื่อตายไปแล้วก็อยากให้ทุกคนได้ดำเนินการทุกอย่างตามที่ได้ระบุเอาไว้ในพินัยกรรม โดยกูเองก็ได้ให้ลูกศิษย์ทั้งสี่คนเป็นผู้ดูแลทุกอย่าง หลังที่กูตายไปแล้ว ส่วนเหตุผลที่กูให้เผาศพกู ก็เพราะกูไม่อยากให้เป็นภาระ ไม่อยากให้เกิดการแสวงหาประโยชน์ใดๆ จากตัวกู กูไม่ต้องการให้ศิษยานุศิษย์เดือดร้อน หรือเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อยามที่ล่วงลับไปแล้ว และเพื่อไม่ต้องการให้เกิดเป็นปัญหาระหว่างลูกศิษย์ด้วยกัน อย่างน้อยก็เป็นการลดภาระลงไปได้ เพราะเมื่อได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้นมาลูกศิษย์จะได้ไม่ต้องเกิดความขัดแย้งกันเอง” นี่คือเหตุผลการทำพินัยกรรมของหลวงพ่อคูณ ที่พูดผ่านสื่อมวลชนแขนงต่างๆ

                           พินัยกรรมก่อนมรณภาพของหลวงพ่อคูณเขียนเอาไว้เมื่อ 15 ปีก่อนนี้ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2543 โดยพินัยกรรมดังกล่าวมีพยานรับรอง 4 คน คือ 1.รศ.สุขชาติ เกิดผล รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2.นายประทีป วงษ์กาญจนรัตน์ 3.นายธวัช เรืองหร่าย ไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ และ 4.นายเนาวรัตน์ สังการกำแหง นิติกร 8 (ชำนาญการ) มหาวิทยาลัยขอนแก่น

                           เนื้อหาพินัยกรรมดังกล่าวมีข้อความว่า อาตมาหลวงพ่อคูณ อายุ 77 ปี ถิ่นพำนักวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ขอทำพินัยกรรมกำหนดการ เผื่อถึงการมรณภาพ เกี่ยวกับเรื่องการจัดงานศพของอาตมา ภายหลังที่อาตมาถึงมรณภาพลง

                           1.ศพของอาตมา ให้มอบแก่มหาวิทยาลัยขอนแก่นภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากมรณภาพลง เพื่อให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นมอบให้ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น นำไปศึกษาค้นคว้าตามวัตถุประสงค์ของภาคต่อไป

                           2.พิธีกรรมศาสนา การสวดอภิธรรมศพ ให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำพิธีสวดพระอภิธรรมศพที่คณะแพทยศาสตร์ 7 วัน ตั้งแต่ถึงวันมรณภาพลง

                           3.การจัดทำพิธีบำเพ็ญกุศลเมื่อสิ้นสุดการศึกษาค้นคว้าของภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นแล้ว ให้จัดงานแบบเรียบง่าย ละเว้นการพิธีสมโภชใดๆ และห้ามขอพระราชทานเพลิงศพ โกศ และพระราชพิธีอื่นๆ เป็นกรณีพิเศษเป็นการเฉพาะ

                           โดยให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กระทำพิธีเช่นเดียวกับการจัดพิธีศพของอาจารย์ใหญ่นักศึกษาแพทย์ประจำปีร่วมกับอาจารย์ใหญ่ท่านอื่น แล้วเผา ณ ฌาปนสถานวัดหนองแวง พระอารามหลวง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น หรือวัดอื่นใดที่คณะแพทยศาสตร์เห็นสมควรและเหมาะสม โดยทำพิธีเผาให้เสร็จสิ้นที่จ.ขอนแก่น

                           4.เมื่อดำเนินตามข้อ 3 เสร็จสิ้นแล้ว อัฐิ เถ้าถ่าน และเศษอังคารทั้งหมด ให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น นำไปลอยที่แม่น้ำโขง จ.หนองคาย ตามที่เห็นสมควรและเหมาะสม

                           5.ค่าใช้จ่ายและเงินอื่นใดที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการตามนัย ข้อ 2, 3 และ 4 ให้ดำเนินการ ดังนี้

                           5.1 ค่าใช้จ่ายในการจัดงานและบำเพ็ญกุศลศพทั้งหมด ให้นำเงินที่อาตมาบริจาคให้แก่ภาควิชาวิทยาศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อปี 2536 เป็นเงินเริ่มต้นในการดำเนินการจัดงานศพ ถ้าไม่เพียงพอให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทดรองจ่ายไปก่อน

                           5.2 ในการจัดการและบำเพ็ญกุศลศพ ตามนัยข้อ 5.1 หากมีเงินเหลือหรือมีผู้บริจาคสมทบ ให้คืนเงินที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทดรองจ่ายไปก่อนให้เสร็จสิ้น

                           5.3 หากมีเงินเหลืออยู่อีกหลังจากดำเนินการตามนัย ข้อ 5.1 และข้อ 5.2 แล้ว ให้มอบแก่กองทุนพระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฎ์ (หลวงปู่เทสก์) เพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมช่วยเหลือพระสงฆ์ที่อาพาธประจำหอผู้ป่วยหอสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือให้ดำเนินการอย่างอื่นตามที่อาตมา หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เห็นสมควร โดยอาตมาจะแสดงความประสงค์ให้ทราบเป็นลายลักษณ์อักษรเพิ่มเติมแนบไว้ให้ทราบต่อไป หากไม่ดำเนินการให้ถือตามความในตอนต้นเท่านั้น

                           6.ให้นายอำเภอด่านขุนทด ศึกษาธิการอำเภอด่านขุนทด และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกันเป็นผู้จัดการศพ มีอำนาจดำเนินการให้เป็นไปตามพินัยกรรมนี้

                           7.ให้ยกเลิกพินัยกรรม ฉบับวันที่ 15 กันยายน 2536 หรือฉบับอื่นใดที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ และให้ยึดถือพินัยกรรมฉบับนี้แทน

                           8.พินัยกรรมฉบับนี้ ต้นฉบับเก็บรักษาไว้ที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และได้มีการทำสำเนาไว้อีก 3 ชุด เก็บรักษาไว้ที่วัดบ้านไร่  ต.กุดพิมาย อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ศึกษาธิการอำเภอด่านขุนทด และนายอำเภอด่านขุนทด แห่งละ 1 ฉบับ

                           ลงวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2543  









4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-5-17 10:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้




'ในหลวง'พระราชทานโกศหลวงพ่อคูณ'ในหลวง' พระราชทานโกศ-น้ำหลวงสรงศพ 'หลวงพ่อคูณ' หลังละสังขารด้วยวัย 91 ปี เหตุระบบร่างกายล้มเหลว สั่งบำเพ็ญกุศล 7 วันเรียบง่าย ลอยอังคารแม่น้ำโขง ศิษย์ร่วมอาลัย           



                                   16 พ.ค. 58  เมื่อเวลา 12.30 น.  นพ.สมอาจ ตั้งเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และ นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา พร้อมคณะแพทย์ผู้รักษาอาการอาพาธพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ร่วมกันแถลงข่าวว่า หลวงพ่อคูณมรณภาพลงอย่างสงบแล้ว เมื่อเวลา 11.45 น. วันที่ 16 พฤษภาคม หลังจากถูกส่งตัวจากวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด มาเข้ารับการรักษาอาการอาพาธฉุกเฉินจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเป็นเวลา 11 นาที เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม

                                   นพ.สมอาจ กล่าวว่า หลังจากอาการอาพาธของหลวงพ่อคูณทรุดลงอย่างต่อเนื่อง สาเหตุจากภาวะหัวใจหยุดเต้นตั้งแต่เช้าวันที่ 15 พฤษภาคม ทำให้มีผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญของร่างกาย จนระบบการทำงานหลายอย่างล้มเหลว  ซึ่งคณะแพทย์โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาและโรงพยาบาลศิริราชได้รักษาอย่างเต็มที่ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตได้ และท่านได้ละสังขารเมื่อเวลา 11.45 น. ณ ห้องอายุรกรรมผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา สิริรวมอายุ 91 ปี พรรษา 71



ศิษย์สุดเศร้าร้องไห้ระงม


                                   ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังทราบข่าวว่าหลวงพ่อคูณละสังขาร บรรดาศิษยานุศิษย์ที่เฝ้าติดตามอาการอยู่ทั้งที่ห้องแถลงข่าว และบริเวณทั่วไปภายในโรงพยาบาล ต่างพากันร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้า อาลัย โดยที่บริเวณหน้าหอผู้ป่วยหนักอายุรกรรม บรรดาลูกศิษย์พากันไปรอกราบศพ ก่อนจะเคลื่อนย้ายไปประกอบพิธีทางศาสนา แต่ไม่สามารถเข้าถึงได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปในห้องผู้ป่วย ดังนั้น เมื่อเห็นลูกศิษย์ถือผ้าไตรจีวรเดินผ่านมาทุกคนต่างก้มลงกราบ ส่วนกรรมการวัดบ้านไร่ได้ประชุมเกี่ยวกับการจัดพิธีบำเพ็ญกุศล โดยมีนายบุญยืน คำหงษ์ รองผู้ว่าฯ นครราชสีมา เป็นประธาน

                                   นางมาลี ปานหมื่นไวย ญาติธรรมจาก ต.หมื่นไวย อ.เมือง จ.นครราชสีมา กล่าวว่า นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการสงฆ์ ตนและครอบครัวเคารพศรัทธาหลวงพ่อคูณ เนื่องจากเป็นพระผู้ให้มาตลอดชั่วชีวิต ใครทำบุญเท่าไรท่านจะไม่รับไว้หมด จะต้องเหลือคืนทุกครั้ง เงินทุกบาทที่ได้รับจากการบริจาคก็นำไปสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม แม้จะหมดลมหายใจยังมอบร่างให้เป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์อีก



หัวใจหยุดเต้นตี 5 แพทย์ยังยื้อไว้ได้


                                   ก่อนหน้าหลวงพ่อคูณมรณภาพ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โดย นพ.สมอาจ ได้แถลงความคืบหน้าการรักษาฉบับที่ 3 เมื่อเวลา 10.00 น. ระบุว่า  หลวงพ่อคูณมีสัญญาณชีพไม่คงที่ ต้องใช้ยากระตุ้นหัวใจและเครื่องช่วยหายใจ พบภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นจากการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ทำให้เลือดออกในทรวงอกและทางเดินอาหารจำนวนมาก ส่งผลให้การทำงานของหัวใจล้มเหลวเป็นครั้งที่ 4 เมื่อเวลาประมาณ 05.10 น. วันที่ 16 พฤษภาคม ซึ่งคณะแพทย์ได้ช่วยฟื้นคืนชีพเป็นผลสำเร็จ ส่วนภาวะไตไม่ทำงาน ไม่มีปัสสาวะออก ได้รักษาโดยฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมและรักษาประคับประคอง โดยให้ยาเพิ่มขึ้นคือการแข็งตัวของเลือด ซึ่งเป็นยาแรงสูงสุด เนื่องจากการแข็งตัวในเลือดจะทำให้เลือดออกได้ในทุกส่วนของร่างกาย



แพทย์ชี้หลวงพ่อคูณจากไปตั้งแต่ที่วัดแล้ว


                                   นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ประจำตัวหลวงพ่อคูณ กล่าวว่า หลวงพ่อจากไปตั้งแต่อยู่ที่วัดบ้านไร่แล้ว ตั้งแต่มีภาวะหยุดหายใจไปนาน 11 นาที แม้จะช่วยปั๊มชีพจรกลับคืนมาได้ 2 รอบ แต่อวัยวะทุกอย่างไม่มีการตอบสนองใดๆ แล้ว ระบบการทำงานทุกอย่างในร่างกายล้มเหลว เมื่อสมองขาดออกซิเจนเกิน 10 นาที ก็ทำให้ทุกอย่างหยุดทำงานทั้งหมด แต่แพทย์ก็พยายามยื้อชีวิตหลวงพ่อให้นานที่สุด ทั้งกระตุ้นหัวใจ ฟื้นฟูระบบการทำงาน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับสภาพ ถือว่าหลวงพ่อจากไปอย่างสงบ



ศิษย์เฝ้าอาการด้วยใจกังวล


                                   ตั้งแต่หลวงพ่อคูณอาการทรุดหนักและถูกส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา บรรดาญาติโยมและศิษยานุศิษย์ต่างพากันมาเฝ้าติดตามอาการกันอย่างใกล้ชิด และยิ่งเมื่อมีข่าวว่าอาการอาพาธของหลวงพ่อคูณทรุดหนักมากขึ้น ศิษยานุศิษย์จากทั่วสารทิศยิ่งหลั่งไหลเดินทางมาเยี่ยมกันอย่างเนืองแน่น ซึ่งทางโรงพยาบาลสามารถอำนวยความสะดวกได้เพียงจัดสมุดลงนามเยี่ยมไว้ให้ตามจุดต่างๆ เพราะหลวงพ่อคูณนอนรักษาอาการอยู่ในห้องไอซียู โดยไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยม



น้องสาวสุดทำใจหลวงพ่อคูณอาพาธหนัก


                                   แม้แต่นางคำมั่น วงศ์กาญจนรัตน์ อายุ 89 ปี น้องสาวคนที่ 2 ของหลวงพ่อคูณ ที่เดินทางมาพร้อมกับลูกหลาน จากบ้านบัวชุม ต.บัวชุม อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี และได้แค่เฝ้าอยู่หน้าห้องไอซียูด้วยใจกังวล น้ำตาอาบแก้มตลอดเวลา เมื่อมีผู้เข้าไปพูดคุยด้วยนางคำมั่นจะยิ่งร้องไห้ และกล่าวเสียงปนสะอื้นว่า ทำใจไม่ได้ที่เห็นหลวงพ่อคูณเป็นอย่างนี้



หลวงพ่อคูณเตือนสติเสมอ


                                   นางคำมั่น กล่าวว่า เมื่อทราบข่าวก็ให้ลูกหลานพาเดินทางมา ยังไม่ได้พบหลวงพ่อคูณ ทราบเพียงอาการจากลูกศิษย์ที่บอกเล่าให้ฟัง อาพาธหนักมากกว่าทุกครั้ง ตนและพี่ชายมีความผูกพันกัน ถูกเลี้ยงดูด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์วัย หลวงพ่อพูดเน้นย้ำเป็นประจำ เตือนสติอยู่เสมอ ชีวิตมนุษย์เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ดอก คนเราไม่มีทางรู้วันตายอย่างแน่นอน สังขารย่อมร่วงโรยตามกาลเวลา








5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-5-17 10:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ชาวบ้านขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยหลวงพ่อคูณ


                                   บรรยากาศในเขตเมืองนครราชสีมาก่อนหน้าหลวงพ่อคูณละสังขาร ประชาชนส่วนหนึ่งได้ส่งข้อความทางโลกโซเชียลให้กำลังใจ ขอให้หลวงพ่อคูณหายจากอาการอาพาธ นอกจากนี้ตามศาสนสถาน และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) วัดศาลาลอย สถานที่เก็บอัฐิย่าโม และศาลเจ้าจีน พบว่าประชาชนพากันไปราบไหว้สักการะขอให้หลวงพ่อคูณหายจากอาการอาพาธโดยเร็วด้วย



เปิดพินัยกรรมมอบศพให้ ม.ขอนแก่น


                                   หลวงพ่อคูณทำพินัยกรรมไว้เมื่อปี 2543 โดยมีพยานรับรอง 4 คน ได้แก่ รศ.สุขชาติ เกิดผล รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น นายประทีป วงษ์กาญจนรัตน์ นายธวัช เรืองหร่าย ไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ และนายเนาวรัตน์ สังการกำแหง นิติกร 8 (ชำนาญการ) มหาวิทยาลัยขอนแก่น

                                   เนื้อหาสำคัญในพินัยกรรมฉบับนี้ ระบุว่า อาตมา หลวงพ่อคูณ อายุ 77 ปี  ถิ่นพำนักวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ลงวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2543 ขอทำพินัยกรรมกำหนดการเผื่อถึงการมรณภาพ เกี่ยวกับเรื่องการจัดงานศพของอาตมา โดยภายหลังมรณภาพให้มอบศพให้แก่มหาวิทยาลัยขอนแก่นภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อนำไปมอบให้กับภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ศึกษาค้นคว้าตามวัตถุประสงค์ของภาคต่อไป ส่วนพิธีกรรมศาสนา การสวดอภิธรรมศพ ให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำพิธีสวด พระอภิธรรมศพ ที่คณะแพทยศาสตร์ 7 วัน  



จัดงานศพเรียบง่าย-ลอยอังคารแม่น้ำโขง


                                   พินัยกรรมระบุด้วยว่า สำหรับการจัดทำพิธีบำเพ็ญกุศล เมื่อสิ้นสุดการศึกษาค้นคว้าของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นแล้ว ให้จัดงานแบบเรียบง่าย ละเว้นการพิธีสมโภชใดๆ และห้ามขอพระราชทานเพลิงศพ โกศ และพระราชพิธีอื่นๆ เป็นกรณีพิเศษเป็นการเฉพาะ โดยให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กระทำพิธีเช่นเดียวกับการจัดพิธีศพของอาจารย์ใหญ่นักศึกษาแพทย์ประจำปีร่วมกับอาจารย์ใหญ่ท่านอื่น แล้วเผา ณ ฌาปนสถานวัดหนองแวง พระอารามหลวง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น หรือวัดอื่น และเมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว อัฐิ เถ้าถ่าน และเศษอังคารทั้งหมด ให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น นำไปลอยที่แม่น้ำโขง จ.หนองคาย ตามที่เห็นสมควรและเหมาะสม



ศิษย์ไม่ยื้อยอมมอบสังขารให้ ม.ขอนแก่น


                                   ต่อมาเมื่อเวลา 16.00 น. ที่ประชุมร่วมระหว่าง นายธงชัย ลืออดุลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และคณะกรรมการวัดบ้านไร่ ได้ข้อสรุปเรื่องการจัดการกับสรีระสังขารและการจัดงานศพหลวงพ่อคูณแล้วว่า จะทำตามเจตนารมณ์ในพินัยกรรมที่หลวงพ่อคูณระบุไว้ โดยจะมอบสรีระสังขารให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ภายใน 24 ชั่วโมง แต่วันนี้ (16 พ.ค.) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และคณะกรรมการวัดบ้านไร่ ได้ขอให้ตั้งศพหลวงพ่อไว้ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เพื่อให้ศิษยานุศิษย์และผู้ที่เคารพศรัทธาได้มาสรงน้ำศพ และกราบไหว้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนมอบสังขารให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในเวลา 19.30 น.

                                   นายธงชัย กล่าวว่า การจัดพิธีบำเพ็ญกุศลศพหลวงพ่อคูณ มติต้องเป็นไปตามพินัยกรรม ซึ่งได้เผยแพร่ต่อสาธารณชนรับทราบโดยทั่วกันมาก่อนหน้านี้ หลังสิ้นลมอย่างสงบ ภายใน 24 ชั่วโมง ท่านระบุว่าต้องการมอบร่างให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อเป็นวิทยาทานแก่นักศึกษาแพทย์ ดังนั้นต่อจากนี้จะเคลื่อนศพไปไว้ที่ห้องประชุมหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ชั้น 9 อาคารเฉลิมพระเกียรติ เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกศิษย์ได้สรงน้ำศพ ซึ่งเป็นการจัดแบบเรียบง่าย จากนั้นก็จะเคลื่อนย้ายนำส่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น



ตั้งสวด 7 วัน-เก็บร่างให้ นศ.แพทย์ศึกษา 2 ปี


                                   รศ.นพ.ชาญชัย กล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จะนำร่างหลวงพ่อคูณไปตั้งสวดอภิธรรมที่อาคาร 25 ปี มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นเวลา 7 วัน ตามเจตนารมณ์ของหลวงพ่อ หลังจากนั้นจะนำสรีระสังขารเข้าสู่กระบวนการดองเพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่ ให้นักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ได้ศึกษา เป็นระยะเวลา 2 ปี เมื่อครบ 2 ปีแล้ว ก็จะดำเนินการฌาปนกิจศพ และนำอัฐิไปลอยในแม่น้ำโขง ที่ จ.หนองคาย ต่อไป ส่วนการฌาปนกิจศพจะจัดขึ้นที่วัดใน จ.ขอนแก่น หรือวัดบ้านไร่นั้น ต้องมาร่วมประชุมหารือกันอีกครั้ง



ม.ขอนแก่นเตรียมสถานที่พร้อม


                                   เย็นวันเดียวกัน ที่อาคาร 25 ปี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งอยู่ด้านหลังโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ศิษยานุศิษย์ เจ้าหน้าที่คณะแพทยศาสตร์ ได้ช่วยกันทำความสะอาดสถานที่เพื่อจัดเตรียมไว้สำหรับวางสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ

                                   รศ.ดร.กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้จัดเตรียมสถานที่ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นสถานที่รับสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ โดยจะนำมาไว้ที่อาคาร 25 ปี เป็นการชั่วคราว จากนั้นจะเคลื่อนไปยังศูนย์ประชุมอเนกประสงค์ กาญจนาภิเษก ในวันที่ 17 พฤษภาคม เพื่อสวดพระอภิธรรมตั้งแต่วันที่ 17-23 พฤษภาคม เป็นเวลา 7 วัน ขณะนี้เริ่มจัดเตรียมสถานที่ไว้สำหรับผู้จะมางานศพพร้อมกับที่จอดรถประมาณ 1,000 คัน ไว้พร้อมแล้ว

                                   ด้าน รศ.พิพัฒน์พงษ์ แคนลา รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันจัดเตรียมสถานที่เพื่อรับสรีระสังขารของหลวงพ่อคูณตามที่ระบุในพินัยกรรม โดยจะใช้รูปแบบเดียวกับงานพิธีศพหลวงปู่ศรี มหาวีโร เจ้าอาวาสวัดประชาคมวนาราม จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งจะจัดเป็นการวางสรีระสูงประมาณ 1 เมตร สมเกียรติของหลวงพ่อคูณ



พระราชทานโกศโถบรรจุศพ


                                   นายพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ขณะนี้ทางสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม (มส.) ได้ประสานไปยังสำนักพระราชวังเกี่ยวกับการมรณภาพของหลวงพ่อคูณ ซึ่งทางสำนักพระราชวังรับทราบแล้ว ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโกศโถบรรจุศพพร้อมฉัตรเบญจา เป็นกรณีพิเศษ และพระราชทานน้ำหลวงสรงศพในวันที่ 17 พฤษภาคม เวลา 16.00 น. ณ วัดบ้านไร่ ซึ่งแต่เดิมตามลำดับสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นเทพนั้น จะได้รับพระราชทานหีบทองบรรจุศพ

                                   นายพนม กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ พศ.ยังรายงานให้ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล พศ.ได้รับทราบแล้ว เนื่องจากหลวงพ่อคูณเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่พุทธศาสนิกชนให้ความเคารพศรัทธาเป็นอย่างมาก พร้อมสั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) นครราชสีมา ประสานอำนวยความสะดวกการจัดงานศพอย่างเหมาะสมตามประสงค์ของหลวงพ่อคูณต่อไป

                                   ด้าน นายสมเกียรติ ธงศรี ผอ.สำนักเลขาธิการ มส. กล่าวว่า เบื้องต้นทราบว่า หลวงพ่อคูณได้บริจาคร่างกายให้แก่มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมีการกำหนดแนวทางการจัดงานศพไว้ ดังนั้นกรรมการวัดและศิษยานุศิษย์กำลังดำเนินการหารือกับทางโรงพยาบาลขอนแก่นว่าจะดำเนินการเช่นไรอีกครั้ง

ที่มา..http://www.komchadluek.net/detail/20150516/206390.html
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-5-18 06:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ประวัติ พระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เกจิอาจารย์แห่งอีสาน เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เป็นพระสงฆ์ที่ชาวไทยเลื่อมใสศรัทธามากที่สุดรูปหนึ่งในปัจจุบัน เอกลักษณ์ของหลวงพ่อคูณที่โดดเด่นคือ"การนั่งยอง พูดกูมึง" ดำรงตนแบบสันโดษ จนกลายเป็นภาพที่เห็นกันชินตา




หลวงพ่อคูณนำพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากล่าวเป็นคติธรรมคำสอนสั้นๆ ตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย ลึกซึ้งกินใจและเป็นอมตะ ง่ายต่อการนำไปปฏิบัติ ความเมตตาเปี่ยมล้นที่ตั้งอยู่บนหลักคุณธรรมทำให้ท่านได้รับสมญานามว่า "เทพเจ้าแห่งด่านขุนทดŽ"


หลวงพ่อคูณ เกิดในสกุล ฉัตรพลกรัง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2466 ที่บ้านไร่ ม.6 ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา บิดา-มารดา ชื่อนายบุญ และนางทองขาว ฉัตรพลกรัง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน ครอบครัวประกอบอาชีพชาวไร่ชาวนาในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ

ในวัยเยาว์ท่านต้องสูญเสียโยมบิดามารดาในขณะที่ลูกทั้ง 3 คนยังเป็นเด็ก ท่านกับน้องๆ จึงอยู่ในความอุปการะของน้าสาว เมื่ออายุ 6-7 ขวบ ด.ช.คูณเข้าเรียนหนังสือกับพระอาจารย์ฉายและพระอาจารย์หล ทั้งภาษาไทยและภาษาขอม พระอาจารย์ยังมีเมตตาอบรมสั่งสอนวิทยาคมเพื่อป้องกันอันตรายต่างๆ


กระทั่งอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดถนนหักใหญ่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เมื่อวันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม 2487 ได้รับฉายาว่า ปริสุทโธ







ภายหลังอุปสมบทท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์ ต.สำนักตะคร้อ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา หลวงพ่อแดงเป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระอย่างเคร่งครัด อีกทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมยิ่ง


หลวงพ่อคูณอยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อแดงมานานพอสมควร หลวงพ่อแดงจึงพาหลวงพ่อคูณไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร ซึ่งเป็นสหธรรมิกกัน เวลาล่วงเลยผ่านไป กระทั่งหลวงพ่อคงเห็นว่าลูกศิษย์มีความรอบรู้ชำนาญการปฏิบัติธรรมดีแล้ว จึงแนะนำให้ออกธุดงค์จาริกไปตามป่าเขาลำเนาไพร ฝึกปฏิบัติธรรมเบื้องสูงต่อไป

ครั้งแรก หลวงพ่อคูณท่องธุดงค์จาริกอยู่ในเขตจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นจาริกออกไปไกลถึงประเทศลาวและประเทศเขมร มุ่งเข้าสู่ป่าลึก เพื่อทำความเพียรให้เกิดสติปัญญา เพื่อการหลุดพ้นจากกิเลส ตัณหา และอุปาทานทั้งปวง




หลังจากที่พิจารณาเห็นสมควรแก่กาลแล้ว หลวงพ่อคูณจึงออกเดินทางจากประเทศเขมรกลับสู่ประเทศไทย เดินข้ามเขตด้านจังหวัดสุรินทร์สู่จังหวัดนครราชสีมา กลับบ้านเกิด จากนั้นเริ่มดำเนินการก่อสร้างวัดบ้านไร่ เพื่อเป็นถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนา พร้อมสร้างโรงเรียนไว้เพื่อเด็กบ้านไร่อีกด้วย นับเป็นพระนักพัฒนาที่มีสาธุชนศรัทธายิ่ง


ในด้านการสร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อคูณจัดสร้างวัตถุมงคลมาตั้งแต่บวชแล้ว 7 พรรษา เริ่มทำวัตถุมงคลเป็นตะกรุดโทน ตะกรุดทองคำฝังที่ใต้ท้องแขน ณ วัดบ้านไร่ ราว พ.ศ.2493




การปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อคูณใช้คาถาว่า มะอะอุ นะมะพะธะ นโมพุทธายะ พุทโธ ยานะŽ หลวงพ่อคูณใช้เวลาในการปลุกเสกสั้นมาก


ท่านเคยปรารภว่า เมื่อจะปลุกเสกวัตถุใด ใจต้องเป็นสมาธิ เมื่อใจมีสมาธิปลุกเสกสิ่งใดก็ขลังŽ อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อคูณกล่าวย้ำว่า 

เมื่อมีพระเครื่องของกูติดตัว ให้ภาวนาพุทโธ ทำจิตให้เป็นสมาธิแน่วแน่ ละเว้นถ้อยคำด่าทอด่าพ่อแม่ตนและพ่อแม่คนอื่น อย่าผิดสามีหรือภรรยาผู้อื่น และให้สวดมนต์ก่อนเข้านอนทุกคืน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดŽ

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1431783713

ที่มา..

9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-5-19 06:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ไขปริศนา! สละร่างเป็นอาจารย์ใหญ่ 'กายวิทยาทาน'
ความรู้ที่ไม่ได้จากคนเป็นของหลวงพ่อคูณ





"อาจารย์ใหญ่ มีคุณค่ามาก เพราะนักเรียนแพทย์สามารถเรียนรู้การทำงานของร่างกาย
เนื่องจากเราไม่สามารถเรียนรู้จากคนเป็นได้ นักศึกษาแพทย์เองจะได้ประโยชน์สูงสุด..."




นั่นเรียกว่า "กายวิทยาทาน" ร่างของพระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทโธ)


หรือหลวงพ่อคูณ แห่งวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ก็เช่นกัน


แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวกับไทยรัฐออนไลน์ ถึงการบริจาคร่างกายหลังเสียชีวิต เพื่อการศึกษาทางการแพทย์ของนักศึกษาแพทย์ หรือที่เรียกว่า "อาจารย์ใหญ่" นั้น ในระยะหลังการบริจาคไม่ค่อยขาดแคลนมากนัก เพราะมีคนเข้าใจและยอมรับในเรื่องนี้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตอบไป อาจจะไม่ทันสมัย เพราะหมอจะอยู่กับศพที่ผ่ามากกว่าศพที่เรียน

"อาจารย์ใหญ่ มีคุณค่ามาก เพราะนักเรียนแพทย์ สามารถเรียนรู้การทำงานของร่างกาย เนื่องจากเราไม่สามารถเรียนรู้จากคนเป็นได้ นักศึกษาแพทย์จะได้ประโยชน์สูงสุด แต่ว่าโดยหลักๆ การบริจาคเพื่อการเรียน จะต้องมีการเตรียมศพเพื่อการศึกษาก่อน มีรายละเอียดปลีกย่อยไม่น้อย ดังนั้นญาติหรือผู้เกี่ยวข้อง จำเป็นจะต้องรีบแจ้งทางหน่วยแพทย์ทันที เพราะแพทย์จะต้องฉีดสี ถ้าไปไม่ทัน อยู่ไกล รถไปไม่ถึง ก็อาจจะทำได้แค่การดอง"

แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ อธิบายกระบวนการว่า

1. การฉีดสีเพื่อการศึกษา ถ้าเราทำได้ตามเวลา เราจะเรียนรู้จากอาจารย์ใหญ่ที่สมบูรณ์ คือ เมื่อฉีดสีเข้าไป
สีของเส้นเลือดแดงจะเป็นสีแดง สีของเส้นเลือดดำ จะเป็นสีน้ำเงิน นี่คือสิ่งที่ต้องทำก่อนการดอง

2. ก่อนนำไปดอง กระบวนการของการดอง คือการหยุดการเน่า คือจะต้องใช้เวลา

"คนที่ต้องการบริจาคร่าง ก็สามารถเดินเข้าไปแจ้งความประสงค์กับทางโรงพยาบาลที่มีเปิดคณะแพทย์ เขาจะให้เซ็นยินยอม ทำบัตรประจำตัวผู้อุทิศร่างกาย ซึ่งถือเป็นบัตรติดตัวเรา เพราะหากเกิดอะไรขึ้น เขาจะดูบัตร จากนั้นก็จะรีบติดต่อไปทางโรงพยาบาลทันที เพื่อให้ได้อาจารย์ใหญ่ที่สมบูรณ์ สำหรับกระบวนการเรียนรู้จากอาจารย์ใหญ่ 1 ปี คือ นักศึกษา 1 กลุ่ม ต่อศพอาจารย์ใหญ่ 1 ศพ ทั้งนี้หลังจากเรียนรู้เสร็จ ก็ไม่สามารถนำอาจารย์ใหญ่ไปทำอะไรต่อได้ เนื่องจากได้มีการรื้อเส้นเลือด รื้ออวัยวะของอาจารย์ใหญ่แล้ว แต่การบริจาคเป็นอาจารย์ใหญ่ ก็สามารถบริจาคได้เป็นชิ้นส่วน เช่น เฉพาะท่อนอก เป็นต้น"

อย่างไรก็ตาม แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ กล่าวอีกว่า หลังจากกระบวนการเรียนรู้ของนักศึกษาแพทย์เสร็จสิ้น เขาจะนำร่างอาจารย์ใหญ่ไปประกอบพิธีทางศาสนา โดยทำตามวัตถุประสงค์ที่ตกลงไว้ ส่วนกรณีหลวงพ่อคูณ หมอคงตอบไม่ได้ เพราะเราไม่เห็นพินัยกรรมของท่าน เพราะมันมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะ เช่น การเก็บไว้เคารพบูชาก่อน เป็นต้น


ด้าน รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวในข่าวไทยรัฐออนไลน์ไว้ว่า หลังจากที่ได้เปิดให้ประชาชนที่ศรัทธาได้เข้ากราบนมัสการรดน้ำศพ หลวงพ่อคูณที่ รพ.มหาราชนครราชสีมาแล้ว จะได้ขอกราบนำสรีระร่างของหลวงพ่อคูณไปที่ มข. เพื่อฉีดน้ำยาเพื่อรักษาสรีระของท่านให้พร้อมที่จะเป็นครูใหญ่ต่อไป ก่อนจะเคลื่อนไปที่หอประชุมกาญจนาภิเษก และจะบำเพ็ญกุศลสรีระท่านเป็นเวลา 7 วัน ทั้งนี้ ประชาชนสามารถเข้าไปกราบนมัสการท่านได้โดยจะเป็นเจ้าภาพร่วม ระหว่างคณะทำงานที่ทาง มข.ตั้งขึ้น และทางคณะทำงานของ จ.นครราชสีมา ตั้งขึ้น และมีการเชิญส่วนราชการเข้าร่วมเป็นเจ้าภาพ เรามีความตั้งใจที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์เจตนารมณ์ของหลวงพ่อ และทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ส่วนกระบวนการที่จะนำสรีระร่างท่านไปใช้เพื่อการศึกษา คือ จะมีการนำร่างท่านไปดอง 1 ปี เราได้สั่งทำอ่างแก้วเป็นกรณีพิเศษ หากญาติโยมจะเข้าไปกราบก็สามารถเข้ามาได้ จากนั้นจะนำร่างขึ้นมาให้นักศึกษาแพทย์ได้เรียนเป็นระยะเวลา 2 ปีการศึกษา เมื่อครบการศึกษาแล้ว ก็จะเป็นไปตามเจตนารมณ์ใช้เวลาประมาณ 3 ปี ในปีที่ 3 จะมีการพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษสำหรับครูใหญ่ทุกคนที่ทาง มข.ได้ขอไว้ก่อนหน้านี้ โดยจะมีหลวงพ่อคูณและครูใหญ่ทำพิธีพร้อมกันด้วย.

http://www.thairath.co.th/content/499621



คลิปคำสั่งเสีย"พ่อคูณ"เรื่องบริจาคศพ "เมื่อกูหมดลมหายใจ พวกมึงอย่าได้หน่วงเหนี่ยวเลย"

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้