ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3829
ตอบกลับ: 6
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

นาคราชผู้อาภัพ

[คัดลอกลิงก์]



นาคราชผู้อาภัพ เขียนโดย สืบ ธรรมไทย
ครั้งหนึ่งในสมัยของสมเด็จพระบรมศาสดา “ กัสสปะ ” สมัยนั้นอายุของมนุษย์เราหากจะนับเป็นจำนวนปีเหมือนดังกับในยุคปัจจุบัน มนุษย์ยุคนั้นจะมีอายุยืนยาวถึง ๒ หมื่นปีเลยทีเดียว ในช่วงระหว่างที่พระองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น พุทธศาสนาของเราถือได้ว่ามีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ เทพเทวดา อินทร์พรหมยมยักษ์ หรือแม้แต่กระทั่งสัตว์เดรัจฉานก็ตามเถอะ พวกเขาล้วนต่างได้รับคุณประโยชน์จากพระพุทธศาสนาด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

สัตว์ตนไหนที่มีปัญญาหน่อยก็สามารถเข้าถึงซึ่งมนุษย์สมบัติ ตนไหนที่มีปัญญามากขึ้นไปอีกก็ได้ครองสวรรค์สมบัติหรือพรหมสมบัติ แลหากตนไหนมีปัญญาถึงขั้นรู้แจ้งแทงตลอด เห็นสัจธรรมประจักษ์ใจจนตัดขาดกิเลสออกไปได้ เขาก็สามารถครอบครองสิ่งอันเป็นเป้าหมายสูงสุดของศาสนาพุทธเรานั่นคือนิพพานสมบัติได้ ตัดขาดชาติภพไปเลย ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดให้มันยุ่งยากทุกข์ใจอีกตลอดกาล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นใครจักได้ถึงขั้นไหนระดับไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของเจ้าของเองว่าจะมีมากมีน้อยแค่ไหน

ดังนั้นบรรดาสรรพสัตว์ที่เกิดในยุคนั้น จึงต่างมีความเบิกบานชุ่มชื่นในธรรมกันโดยถ้วนหน้า ครั้งนั้นยังมีบุรุษอยู่ผู้หนึ่ง เขาเป็นผู้ที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้าในหลักธรรมคำสอนแห่งองค์พระบรมศาสดาเป็นอย่างยิ่ง

วันหนึ่งมิทราบว่าเป็นด้วยบุญหรือกรรม อยู่ๆจิตใจของเขาก็เกิดรู้สึกเบื่อหน่ายเรื่องราวทางโลกขึ้นมา ปรารถนาจักออกไปให้พ้นจากกองทุกข์ในวัฏสงสาร ดังนั้นจึงทำการสละเพศฆราวาสออกไปบวชเป็นภิกษุอยู่ในบวรพระพุทธศาสนา

หลังจากอุปสมบทแล้วภิกษุรูปนี้ก็ได้พยายามตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญสมณธรรมอย่างยิ่งยวด หวังจักขจัดกิเลสที่สุมอัดแน่นอยู่ในใจให้หมดไปให้จงได้ แต่มิว่าท่านจักเพียรพยายามสักเท่าใดก็ยังไม่สามารถที่จะพัฒนาจิตใจให้เจริญก้าวหน้าขึ้นไป อาจจักเป็นเพราะว่าสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่นั้นไม่เอื้ออำนวยต่อการเจริญวิปัสสนากรรมฐานอันเป็นหนทางเอกที่จักทำให้ท่านเข้าถึงซึ่งมรรคผลนิพพานก็เป็นได้

ดังนั้นท่านจึงคิดจะออกไปหาสถานที่อันสงบเงียบตามป่าตามเขา เพื่อปฏิบัติธรรมยังความเพียรให้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยไม่ต้องคอยกังวลกับสิ่งรอบข้าง

เมื่อตัดสินใจเป็นที่เรียบร้อยจึงว่าจ้างเรือลำหนึ่งให้พาล่องไปตามลำน้ำ ออกเที่ยวเสาะหาสถานที่อันเป็นสัปปายะเหมาะต่อการบำเพ็ญภาวนา โดยจักต้องเป็นที่ที่ไม่ห่างไปจากแหล่งชุมชนมากนัก สามารถบิณฑบาตหาเลี้ยงชีพได้ไม่ยากลำบาก

ระหว่างนั่งเรืออยู่ด้วยความเผลอสติเนื่องจากไม่มีสิ่งใดจักทำ ท่านจึงเอื้อมมือออกไปราน้ำเล่นเพลินๆโดยที่มิได้มีความคิดใด แต่บังเอิญว่าท้องน้ำบริเวณนั้นมีต้นตะไคร้น้ำขึ้นอยู่หนาแน่นพอดี ขณะที่มือของท่านกำลังราน้ำอยู่อย่างเพลิดเพลิน จู่ๆก็รู้สึกว่านิ้วของตนไปโดนเข้ากับอะไรสักอย่างลักษณะลื่นๆนิ่มๆ ดังนั้นด้วยความตกใจจึงรีบยกมือขึ้นจากน้ำทันที แหละมองสำรวจดูว่ามือตนไปถูกเข้ากับสิ่งใด

เมื่อก้มลงไปจึงเห็นว่าที่นิ้วตนมีใบของต้นตะไคร้น้ำติดขาดอยู่ใบหนึ่ง พอเห็นเข้าเท่านั้นท่านก็พลันได้สติขึ้นมาทันที พร้อมกับคิดในใจว่า ตนได้ต้องอาบัติข้อห้ามพรากของเขียวออกจากต้นเข้าเสียแล้ว แต่เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการเดินทาง ไม่สะดวกที่จะปลงอาบัติ อีกประการในเรือหรือก็ไม่มีภิกษุอื่นร่วมอยู่ด้วย ไม่รู้จักให้ไปแสดงอาบัติกับใคร ดังนั้นท่านจำต้องปล่อยเลยตามเลย และคิดเอาว่าหลังจากขึ้นฝั่งเมื่อไหร่ค่อยไปหาภิกษุรูปอื่นมาแสดงอาบัติก็แล้วกัน

แต่ทว่าเหตุการณ์มันหาได้เป็นดั่งที่คิดไม่ เวลานั้นเรือได้แล่นผ่านถ้ำใหญ่แห่งหนึ่งเข้าพอดี ตั้งอยู่บนตีนเขาเหนือชายฝั่งขึ้นไป ห้อมล้อมด้วยขุนเขาแลราวป่า พอเห็นแวบแรกท่านก็รู้สึกพึงตาต้องใจขึ้นมาทันที จึงสั่งให้คนเรือหยุดเรือ พร้อมกันนั้นก็บอกให้เขาส่งท่านลงตรงนี้แหละ

หลังจากที่ชำระค่าโดยสารแล้วก็รีบคว้าเอาบาตรเอาย่ามขึ้นสะพายบ่า ออกเดินมุ่งหน้าไปยังถ้ำที่เห็นอยู่เบื้องหน้าทันที เมื่อขึ้นไปถึงจึงเห็นว่ามันเป็นถ้ำที่สะอาดสะอ้าน เหมาะที่จักใช้เป็นที่บำเพ็ญสมณธรรมเสียจริงๆ หน้าถ้ำหันเข้าหาทิศทางลม ฉะนั้นจึงมิได้มีกลิ่นอับชื้นเหมือนดังกับถ้ำทั่วไปแม้แต่น้อย หลังจากเดินดูจนทั่วท่านก็ยิ่งถูกใจมากยิ่งขึ้นไปอีก

พอมาเจอสถานที่ที่ถูกใจอย่างนี้เข้า จิตใจของท่านก็พลันปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้นมาทันใด จนลืมไปเลยว่าตนนั้นได้ต้องอาบัติ และก็ยังมิได้แสดงอาบัติด้วยต่างหาก !

นับจากวันขึ้นฝั่งมาแล้ว ท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมยังความเพียรแต่เพียงถ่ายเดียว มิได้มีใจที่จักไปครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น หวังแต่จักมุ่งกำจัดกิเลสเท่านั้น วันคืนจักผ่านไปเช่นไรท่านก็มิได้สนใจที่จักจดจำ จนกาลเวลาได้ล่วงเลยจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นร้อยปีพันปี จนถึงสองหมื่นปี

ตลอดระยะเวลาอันยาวนานถึงสองหมื่นปีนี้ หากจะคิดตามแบบเราๆท่านๆก็คงจักคิดกันว่าภิกษุรูปนี้คงต้องสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วแน่นอนโดยมิต้องสงสัย หากทว่าความเป็นจริงนั้น มันหาได้เป็นอย่างที่คิดไม่

ระยะเวลาสองหมื่นปีที่ผ่านมาหาได้ช่วยทำให้ท่านสำเร็จมรรคผลแต่อย่างใด ท่านยังคงเป็นแค่ปุถุชนคนธรรมดาดุจดังเช่นกับเราท่านเหมือนเดิม มิได้มีปัญญาญาณหรือว่าความหยั่งรู้ใดๆที่จักลดละกิเลสออกไปจากจิตใจได้เลย

ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าบารมีทั้งสิบของท่านยังไม่แก่กล้าพอก็เป็นไปได้ หรือไม่ก็เป็นเพราะกรรมเก่าที่เคยสร้างไว้ตั้งแต่ปางไหนก็ไม่ทราบตามมาให้ดอกออกผล จึงทำให้ท่านไม่สามารถที่จะเกิดดวงตาเห็นธรรมได้

ดังนั้นเมื่อถึงคราวที่จะละสังขาร เหตุการณ์ในสมัยที่ท่านได้ล่วงอาบัติไว้จึงผุดขึ้นมาในห้วงความคิดคำนึงของท่าน เกิดเป็นกรรมนิมิตรารมณ์ฝ่ายอกุศล ก่อกวนจิตใจมิให้มีความสุขสงบ เป็นผลทำให้ดวงจิตของท่านต้องตกอยู่ในอารมณ์เศร้าหมอง และก็ช่างบังเอิญเสียนี่กระไร ! ท่านได้ถึงกาลกิริยามรณภาพลง ณ ช่วงเวลานั้นพอดี


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-3-11 21:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

การตายในขณะที่ดวงจิตเต็มไปด้วยความทุกข์กังวลนั้นพวกเราก็น่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า ภพใหม่ภูมิใหม่ที่ท่านจักต้องไปเกิดนั้นมันจักเป็นสุคติภพไปได้อยางไร? ดังนั้นพอดวงจิตหลุดจากร่างไป ท่านจึงไปปฏิสนธิในครรภ์ของสัตว์เดรัจฉาน ตระกูลแห่งพญานาคทันที

พญานาคตนนี้เมื่อเจริญวัยขึ้นมาเขาก็รู้ว่าตนนั้นแตกต่างไปจากพญานาคทั่วไป คือเขามีความสามารถที่จักระลึกชาติได้ว่าตนนั้นเคยเกิดเป็นอะไรมาก่อน ดังนั้นพฤติกรรมที่แสดงออกต่อเพื่อนพญานาคด้วยกันเขาจึงดูแตกต่างออกไป ไม่เหมือนดังกับพญานาคตนใดพึงมี

เขามีความสามารถที่จักควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีกว่าพญานาคตนอื่นๆพึงจักกระทำได้ เขาเป็นผู้ที่มีกิริยามารยาทสุภาพอ่อนน้อม สุขุมสำรวม เกินกว่าพญานาคตนใดจักเสมอเหมือน นอกจากนั้นหากจักพูดกันถึงรูปร่างหน้าตา เขาก็เป็นพญานาคที่มีรูปร่างหน้าตาที่คมสันสง่างามเหนือกว่าพญานาคใดๆทั้งหมดที่มีอยู่ในบาดาลพิภพ ( เพิ่งจะรู้นะเนี่ยว่าพญานาคก็มีสวยมีหล่อเหมือนกัน )

ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจักเป็นเพราะว่าชาติที่แล้วเขาเคยบวชเป็นพระมาก่อนก็เป็นได้ ดังนั้นตัวเขาจึงมีสิ่งต่างๆเหล่านี้เหนือกว่าพญานาคอื่นใด แหละพอท้าวนาคราชผู้เปรียบเสมือนราชาแห่งนาคทั้งปวงองค์ปัจจุบันสิ้นชีพลง บรรดาพญานาคทั้งหลายต่างก็มีความเห็นตรงกัน ยกให้เขาขึ้นเป็นราชาของพวกตนแทนราชาองค์ก่อนทันที พร้อมกันนั้นก็ได้ตั้งนามให้เขาใหม่ว่า “ พญาเอรกปัตนาคราช ” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

จอมนาคราชตนนี้พอได้เป็นราชาแทนที่เขาจะมีชีวิตที่สนุกสนานเบิกบาน แต่ที่ไหนได้ เขากลับมิได้มีความสุขเหมือนดังที่คิดกัน บ่อยครั้งที่เหล่าพญานาคบริวารเห็นเขามีสีหน้าเศร้าหมอง ไม่สดชื่นแจ่มใสดั่งที่ควรจักเป็น ทั้งนี้ก็เพราะเจ้าความสามารถพิเศษนั่นเอง ที่ทำให้เขาต้องเป็นเช่นนี้

คราวใดก็ตามที่เขาเกิดหวนระลึกนึกถึงอดีตชาติของตนขึ้นมาทีไร เขาก็จักรู้สึกโศกเศร้าเสียใจทุกครั้งไป เพราะว่าทั้งๆที่เคยเกิดเป็นถึงมนุษย์ มิหนำซ้ำยังเคยได้บวชเป็นภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา แถมยังเคยถือศีลปฏิบัติธรรมมาถึง ๒ หมื่นปี แต่ไฉนเขาจึงมามีอัตภาพที่ต่ำต้อยด้อยค่าถึงปานฉะนี้? ต้องมาถือกำเนิดเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งถือว่าเป็นชาติภพที่ต่ำทรามห่างไกลจากมรรคผลนิพพานเป็นอย่างยิ่ง ทำไมมันจึงเป็นเช่นนี้ได้ ?

ดวงจิตของเขาคอยแต่กระหวัดนึกถึงแต่เรื่องเหล่านี้อยู่เนืองๆ จึงเป็นผลสืบเนื่องทำให้จิตใจต้องหมองไหม้ทุกข์ตรม มิเคยจะแช่มชื่นสุขสมเหมือนดังกับพญานาคตนอื่นๆเลย เขาเฝ้าแต่รอว่าเมื่อไรหนอ ? จึงจะมีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้ที่ยังโลกมนุษย์สักที วันนั้นคงจักเป็นวันที่เขามีความสุขมากที่สุด เขาจะเข้าไปกราบพระองค์ เขาจะขออาราธนาให้พระองค์ทรงแสดงธรรมให้เขาฟัง เขาจะกลับไปปฏิบัติธรรมยังความเพียรใหม่เพื่อจักได้ขุดถอนกองทุกข์ให้หมดไปจากจิตใจ จักได้กลับมามีความสดชื่นแจ่มใสใหม่อีกครั้งเสียที

และความปรารถนาอื่นๆอีกมากมายที่เขาวาดฝันเอาไว้โดยหารู้ไม่ว่า การที่ตนถือกำเนิดเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานั้น แม้ว่าเร่งจักทำความดีมากมายสักปานใด หรือว่าจะพากเพียรพยายามปฏิบัติธรรมสักแค่ไหน มันก็ไม่มีทางที่จะทำให้เขาเข้าถึงซึ่งมรรคผลนิพพานได้ในขณะที่ยังมีสภาพเป็นสัตว์เดรัจฉานได้หรอก แต่ทว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้มันคือความสุขเพียงหนึ่งเดียวของเขา ที่จักทำให้เขามีพลังในการต่อสู้ชีวิตต่อไปในกาลข้างหน้าได้

จนวันหนึ่งเขาเกิดความคิดขึ้นมาว่า“โอ้หนอ ! การที่เรามัวแต่เฝ้ารออยู่อย่างนี้ถ่ายเดียวคงมิเป็นการดีแท้ เพราะเราจักรู้ได้อย่างไรเล่าว่าบัดนี้ได้มีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้แล้วหรือยังบนโลกมนุษย์ ? อย่ากระนั้นเลย ! จำเราจักต้องขึ้นไปดูให้รู้แน่ด้วยตนเอง จึงจักเป็นการดีกว่า ” เมื่อคิดดังนี้แล้ว ท้าวนาคราชจึงชวนนางนาคมาณวิกาซึ่งเป็นธิดาแห่งตน พากันขึ้นมายังโลกมนุษย์ทันที

เมื่อขึ้นมาถึงโลกมนุษย์แล้วพญานาคสองพ่อลูกคู่นี้ก็ได้ไปแสดงกายให้เป็นที่ปรากฏต่อสายตาประชาชน ณ บริเวณชายฝั่งของแม่น้ำคงคา ในย่านใกล้ๆกับแหล่งชุมชน ครานั้นท้าวนาคราชเขาได้ลอยตัวแผ่พังพานอันใหญ่โตมโหฬารของตนอยู่เหนือผิวน้ำ มีนางนาคมาณวิกาธิดาสาวแปลงกายเป็นหญิงที่มีรูปโฉมโศภา งามราวกับเทพนารีก็มิปาน ยืนร้องเพลงอยู่บนเศียรอีกทีหนึ่ง ก่อเกิดเป็นภาพอันแสนประหลาดมหัศจรรย์ เรียกร้องความสนใจจากผู้คนจนพากันมายืนมุงดูกันให้เนืองแน่นล้นหลาม เนื้อหาในเพลงที่ขับขานนั้น เป็นคำถามปริศนาที่ถามผู้คนว่า :

“ ผู้เป็นใหญ่เยี่ยงไรหนอ จึงจักได้ชื่อว่าเป็นพระราชา
พระราชาเยี่ยงไรหนอ จึงจักได้ชื่อว่ามีพระเศียรเต็มไปด้วยธุลี
พระราชาเยี่ยงไรหนอ จึงจักได้ชื่อว่ามีพระเศียรปราศจากธุลี
ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนพาลนั้น มีพฤติการณ์เยี่ยงไรหนอ ”

สองพญานาคพ่อลูกคู่นี้เฝ้าเพียรถามผู้คนอยู่อย่างนี้เรื่อยมาในทุกๆวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ จนกาลเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปไม่รู้ว่ากี่ปีต่อกี่ปีก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถที่จักตอบคำถามของพวกเขาได้

จนผ่านไปถึงหนึ่งพุทธันดรเข้าสู่ยุคของสมเด็จพระสมณโคดมดม บรมครูของเราท่านทั้งหลายนี่เอง วันหนึ่งก่อนอรุณรุ่ง พระองค์ได้ทรงปฏิบัติพุทธกิจเหมือนเคย คือทรงเล็งพระญาณสอดส่องดูว่าบรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย จักมีสัตว์ตนใดบ้างที่เข้าข่ายบรรลุธรรม

ในเช้าวันนั้นพระองค์ก็ได้ทรงเห็นภาพของมานพหนุ่มผู้หนึ่งนามว่า "อุตร" ปรากฏขึ้นมาในมโนทวารอย่างเด่นชัด ด้วยพุทธวิสัยพระองค์ทรงทราบทันทีว่าอุตรผู้นี้หลังจากที่ได้ฟังธรรมจากพระองค์แล้วเขาก็จะบรรลุโสดาปัตติผล สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นต้นทันที จากนั้นเขาก็จักไปทำการไขปริศนาของนางนาคมาณวิกา ที่ไม่มีผู้ใดสามารถไขได้มาเป็นเวลาช้านาน ให้ผู้คนทั้งหลายได้รับทราบกัน

ดังนั้นพอถึงกาลปัจจุสมัย พระองค์จึงเสด็จไปประทับรออยู่ ณ โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งยืนทอดต้นอยู่ข้างทางก่อนที่จะลงสู่ฝั่งแม่น้ำ

จากนั้นในเวลามิช้ามินานเท่าใดก็ปรากฏภาพของขบวนผู้คนเป็นจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามายังโคนไม้ที่พระองค์ประทับอยู่ พวกเขาต่างปรารถนาจักไปดูความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ของพญานาคสองพ่อลูกที่กำลังทำการแสดงอยู่ ณ ชายฝั่งคงคามหานที และในกลุ่มคนเหล่านี้ก็มีอุตรร่วมทางมากับเขาด้วยผู้หนึ่ง

ขณะที่ขบวนผู้คนกำลังจะผ่านโคนไม้ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคกำลังประทับนั้น พระองค์ได้ตรัสเรียกให้อุตรหยุดอยู่ก่อน เพื่อจักทรงแสดงธรรมให้เขาฟัง

อุตรหนุ่มซึ่งกำลังเดินตามผู้คนอยู่นั้น ครั้นจู่ๆได้ยินเสียงเรียกให้ตนหยุด จึงหันไปยังทิศทางของเสียงเรียกทันที เพื่อจักดูว่าใครหนอที่มาเรียกให้ตนหยุด ? พอหันไปจึงพบว่าที่โคนไม้ห่างจากทางเดินออกไปไม่มากมีสมณรูปหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ผิวพรรณของท่านจากที่เห็นนั้น ช่างดูผ่องใสเปล่งประกาย มีสง่าราศีเสียนี่กระไร ผิดจากสมณอื่นใดที่เขาเคยเห็นมา กิริยาท่าทางหรือก็ดูสงบสำรวม เห็นแล้วชวนให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสเสียยิ่งนัก โดยเฉพาะแววตา มันช่างเป็นแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตาเกินกว่าที่มนุษย์ปุถุชนคนใดจักพึงมีจริงๆ

พอเห็นดังนั้นเขาจึงเดินแยกออกไปจากกลุ่ม คิดจักไปสนทนากับท่านสักเล็กน้อยก่อนที่จะไปดูนางนาคมาณวิการ้องเพลง ก็ไม่เห็นจักน่าเสียหายอันใด

พอเข้าไปใกล้จนเห็นท่านชัดเจนเท่านั้น เขาก็ต้องถึงกับตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกไปทันที เพราะคาดไม่ถึงว่าภาพที่เห็นเบื้องหน้านั้นจักเป็นจริงได้ ที่แท้ผู้ที่เรียกให้เขาหยุดนั้นหาใช่สมณอื่นใดที่ไหนไม่ แต่พระองค์คือสมเด็จพระบรมศาสดาผู้เลิศกว่าใครในโลกหล้านั่นเอง



3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-3-11 21:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขารู้สึกว่าตนนั้นมีอาการขนลุกซู่ขึ้นมาทันใด เกิดความปลื้มปีติใจเหลือที่จักกล่าว รีบย่อตัวคุกเข่าลง พร้อมกันนั้นก็ค่อยๆคลานเข่าเข้าไปหาพระองค์ด้วยอาการที่นอบน้อม จนได้ระยะอันควรจึงก้มลงกราบยังเบื้องพระพักตร์

สมเด็จพระสมณโคดมครั้นทรงเห็นกิริยาอันนุ่มนวลที่เขาแสดงออก พระองค์จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสถามเขาว่า “ ดูก่อนอุตร เธอจักไปยังที่แห่งใดฤา ? พอจักบอกให้เราทราบได้หรือไม่ ? ” อุตรหนุ่มพอได้ฟังพระดำรัสตรัสถามจึงกราบทูลว่า

“ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณอันสูงสุด ข้าพระบาทรู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นล้นพ้นที่พระองค์ทรงมีพระเมตตาตรัสถามข้าพระบาท ข้าพระบาทมีความประสงค์จักไปชมความสนุกครึกครื้นของผู้คน แลปรารถนาจักได้ยลโฉมของนางนาคมานวิกาธิดาแห่งพญาเอรกปัตตนาคราช ผู้ซึ่งผู้คนเลื่องลือกันว่ามีความงดงามดังราวกับเทพนารี ณ ริมฝั่งคงคามหานที พระพุทธเจ้าข้า ”

สมเด็จพระชินสีห์ครั้นได้ทรงสดับถ้อยพาทีของเขาแล้วก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ จากนั้นจึงตรัสถามต่อ “ ดูก่อนอุตร เมื่อเธอปรารถนาจักไปชมนางนาคมานวิการ้องเพลงขับขานถามปัญหาผู้คนแล้ว อย่างนั้นเธอจงตั้งใจฟังเอาซึ่งกถา ที่เราตถาคตจักกล่าวต่อไปนี้ให้ดี เพื่อที่เธอจักได้ไปตอบคำถามของนางได้ ”

อุตรมานพพอได้ฟังองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสดังนั้นเขาจึงพริ้มตาลง ตั้งใจฟังซึ่งพระธรรมกถาที่พระองค์กำลังจะตรัสเทศนาแก่ตนทันที

หลังจากได้ฟังพระธรรมเทศนาจบลง อุตรมานพผู้นี้ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล กลายเป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น ณ ที่นั้นเอง จากนั้นเขาก็ได้สนทนาธรรมอยู่กับพระองค์อีกเป็นเวลาพักหนึ่ง จนเห็นว่าสมควร จึงขอพระราชอนุญาตทูลลาไปตอบคำถามของนางนาคมานวิกาต่อไป

เมื่อเขาเดินทางมาถึงชายฝั่งแม่น้ำ ขณะนั้นปรากฏว่ามีผู้คนเป็นจำนวนมากทั้งชายแลหญิง กำลังดูการแสดงของพญานาคสองพ่อลูกคู่นี้กันอย่างเนืองแน่น จนเขาไม่สามารถที่จักฝ่าฝูงชนเข้าไปให้ถึงชายฝั่งแม่น้ำได้ เพื่อจักไปตอบคำถามของนางนาคมานวิกา เขาจึงกล่าวคำขอทางด้วยเสียงอันดังขึ้นว่า

“ ข้าแต่บรรดาท่านผู้เจริญ ขอพวกท่านจงได้เปิดทางให้กับข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าจักขออาสาเป็นตัวแทนพวกท่านเข้าไปตอบคำถามของนางนาคมานวิกานี้เอง เพื่อจักให้นางได้รู้ว่าคำถามที่ไม่มีผู้ใดในอดีตจวบจนปัจจุบันสามารถตอบได้นั้น บัดนี้ได้มีผู้ที่มีความสามารถตอบคำถามของนางได้แล้ว ”

บรรดาผู้คนที่ยืนมุงอยู่นั้น ครั้นเห็นบุรุษหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์กล่าวคำพูดออกมาด้วยถ้อยคำอันฉะฉาน ต่างก็พากันรู้สึกประหลาดใจกันไปตามๆกัน อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยอมเปิดช่องให้กับอุตรมานพได้เดินผ่านเข้าไปจนถึงชายฝั่งแม่น้ำได้ในที่สุด

เมื่อมาถึงริมตลิ่งแล้วเขาได้แหงนหน้าขึ้นไปสบตากับนางนาคสาวด้วยอาการที่สงบ มิได้มีความหวั่นเกรงใดๆทั้งสิ้น ขณะนั้นนางนาคมานวิกาผู้มีรูปโฉมงดงามดังราวกับเทพนารี เมื่อเห็นบุรุษหนุ่มผู้ยืนเบื้องหน้ามีกิริยาและใจที่อาจหาญถึงปานฉะนี้ หาได้กลัวต่อศักดานุภาพแลฤทธานุภาพแห่งนาคราชแม้แต่น้อย ก็ให้รู้สึกนิยมชมชอบอยู่ในที จากนั้นสักพักจึงได้เริ่มขับขานบทเพลงอันเป็นปริศนาของตนใหม่อีกครั้งเพื่อถามเขา เนื้อหาในเพลงที่นางและเขาถามตอบกันนั้นมีดังนี้ :

นาคมานวิกา “ ผู้เป็นใหญ่เยี่ยงไรหนอ จึงจักได้ชื่อว่าเป็นพระราชา ”
อุตรมานพ “ ผู้ที่ไม่ถูกอารมณ์ทั้งมวล อันมีรูปารมณ์เป็นต้นเข้าครอบงำในทวารทั้ง๖ จึงจักได้ชื่อว่าเป็นพระราชา ”
นาคมานวิกา “ พระราชาเยี่ยงไรหนอ จึงจักได้ชื่อว่ามีพระเศียรเต็มไปด้วยธุลี ”
อุตรมานพ “ พระราชาใดที่ยังมีความรักใคร่พอใจในอารมณ์ต่างๆ พระราชาพระองค์นั้นย่อมได้ชื่อว่ามีพระเศียร เต็มไปด้วยธุลี ”
นาคมานวิกา “ พระราชาเยี่ยงไรหนอ จึงจักได้ชื่อว่ามีพระเศียรปราศจากธุลี ”
อุตรมานพ “ พระราชาใดที่ไม่มีความรักใคร่พอใจในอารมณ์ต่างๆ พระราชาพระองค์นั้น ย่อมได้ชื่อว่ามีพระเศียรปราศจากธุลี ”
นาคมานวิกา “ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนพาลนั้น มีพฤติการณ์เยี่ยงไรหนอ ”
อุตรมานพ “ ผู้ใดที่มีความกำหนัดพอใจในอารมณ์ต่างๆ ผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นคนพาล ”

คำถามปริศนาที่นางเฝ้าถามผู้คนมาเป็นเวลาช้านานกว่าพุทธันดร แต่ยังไม่มีผู้ใดใครสักคนสามารถตอบได้นั้น บัดนี้ได้ถูกบุรุษเบื้องหน้านางเฉลยคำตอบออกมาได้อย่างถูกต้องฉะฉาน จนเกิดเป็นเสียงโห่ร้องอื้ออึงไปทั่วบริเวณชายฝั่งของแม่น้ำในทุกๆครั้งที่คำถามแต่ละข้อถูกเฉลยออกมา ยังผลทำให้นางนาคสาวรู้สึกเสียหน้าและขัดเคืองใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นนางจึงกล่าวกับเขาว่า

“ ดูก่อนบุรุษหนุ่ม ! คำถามที่ท่านตอบมาทั้งหมดนั้น จริงๆแล้วมันเป็นแค่เพียงคำถามบทแรกเท่านั้น แต่ทว่าตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันก็ยังไม่มีผู้ใดใครคนไหนสามารถที่จักตอบได้เหมือนดังท่าน ในเมื่อวันนี้ท่านสามารถตอบคำถามบทแรกของเราได้หมดทุกข้อ อย่างนั้นเราจักขอถามคำถามบทที่สองต่อท่านเสียเลยในเพลานี้ก็แล้วกัน แล้วจักขอดูซิว่า ท่านยังจักพอมีความสามารถตอบคำถามบทที่สองของเรา ได้อีกหรือไม่ ! ” ว่าแล้วนางนาคสาวก็เริ่มร้องเพลงอันเป็นคำถามบทที่สอง ถามต่ออุตรมานพทันที :

นาคมานวิกา “ อะไรเล่าหนอที่เป็นตัวพาให้คนพาล ลอยไปในวัฏสงสงสารอย่างไม่หยุด
หย่อน บัณฑิตจักขจัดสิ่งนั้นได้ด้วยอะไร ผู้ที่ได้ชื่อว่ามีความเกษมจาก
โยคะนั้น มีได้ด้วยอาการเยี่ยงไร ”
อุตรมานพ “ สิ่งที่เป็นตัวพาให้คนพาลลอยไปในวัฏสงสารนั้น คือห้วงน้ำทั้ง ๔ อัน
ได้แก่กามเป็นต้น บัณฑิตย่อมตัดห้วงน้ำทั้ง ๔ นี้ได้ด้วยความเพียรโดย
ชอบ บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่เกษมจากโยคะ ก็เพราะจิตใจของเขานั้น
ปราศจากซึ่งโยคะทั้งหลาย อันมีกามโยคะเป็นต้น ”

ครั้นพอสิ้นเสียงของอุตรมานพที่ตอบไปเท่านั้น ปรากฏว่าได้เกิดมีเสียงฟาดหางดังสนั่นหวั่นไหวโครมใหญ่ราวกับฟ้าร้องก็มิปาน กึกก้องสะท้านไปทั่วผืนน้ำแถบนั้น เกิดเป็นกระแสระรอกปั่นป่วนขึ้นมา จนกลายเป็นคลื่นยักษ์ลูกใหญ่พัดเข้าทำลายชายฝั่งแม่น้ำทั้งสองฟาก ยังผลทำให้ชายตลิ่งที่อยู่แถวบริเวณนั้นถึงกับทรุดตัวพังถล่มครืนลงมาในทันใด

บรรดาผู้คนที่ยืนดูการแสดงของพญานาคพ่อลูกคู่นี้เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ต่างก็พากันตระหนกตกใจ ส่งเสียงหวีดร้องออกไป กันให้ดังลั่นไปหมด ผู้ที่ยืนอยู่ริมตลิ่งเพราะอยากจักเห็นการแสดงให้ถนัดตา ครั้นพอเมื่อชายฝั่งพังทลายลง พวกเขาต่างก็พากันร่วงหล่นลงไปในลำน้ำเชี่ยวกรากเบื้องล่างทันที ต่างคนต่างก็พยายามตะเกียกตะกาย กระเสือกกระสนว่ายน้ำหนีตายกันให้สับสนอลหม่านไปหมด

สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดคลื่นยักษ์พัดเสียจนตลิ่งพังนั้นก็เพราะว่า พญาเอรกปัตนาคราชเมื่อได้ฟังคำตอบของอุตรมานพแล้ว เขาเกิดมีปีติพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างทันทีทันใด จนเกินที่จักหักห้ามใจตนเองได้ จึงเผลอตัวสะบัดหางอันใหญ่โตมโหฬารของตนฟาดลงบนผืนน้ำดังโครมใหญ่ ยังผลทำให้ท้องน้ำบริเวณนั้นเกิดกระแสปั่นป่วนจนก่อตัวเป็นคลื่นยักษ์ พัดทำลายเสียจนตลิ่งพังนั่นเอง

หลังจากที่เห็นผู้คนต่างพากันว่ายน้ำหนีตายกันให้จ้าละหวั่นไปหมดนั้น เขาจึงเกิดมีสติขึ้นมาอีกครั้ง รีบแผ่พังพานอันใหญ่โตมโหฬารของตนเข้าไปโอบอุ้มบรรดาผู้คนเหล่านั้นขึ้นมาจากท้องธาราทันที แล้วนำไปไว้ยังที่ปลอดภัยบนบก

จากนั้นจึงได้แปลงร่างเป็นมนุษย์เดินเข้าไปหาอุตรพร้อมด้วยธิดาสาว เพื่อจักสอบถามถึงที่มาของคำตอบว่าเขาทราบคำตอบเหล่านี้มาได้อย่างไร ? อุตรหนุ่มครั้นพอถูกถามเขาจึงเล่ารายละเอียดทั้งหมดของเรื่องราวให้กับสองพ่อลูกคู่นี้ได้รับทราบโดยที่มิได้ปิดบังอำพรางเลยแม้แต่น้อย


4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-3-11 21:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลังจากที่ทราบเรื่องแล้วท้าวนาคราชจึงได้ขอร้องให้เขาช่วยพาตนแลธิดาไปเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคด้วย เพื่อที่พวกเขาจักได้ทำการกราบนมัสการพระองค์ แลถามถึงปัญหาอันคับข้องใจของตนที่มีอยู่ในเวลานี้ อุตรหนุ่มเมื่อทราบถึงความประสงค์ของพวกเขาก็มิได้อิดเอื้อนหรือบอกปัดแต่อย่างใด รีบอาสาเป็นผู้นำทางให้ทันที ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงได้พากันเดินทางไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระพุทธองค์ในทันใด

ฝ่ายบรรดาฝูงชนที่อยู่ ณ บริเวณนั้น พวกเขาเมื่อได้ยินคำสนทนาของพญานาคสองพ่อลูกกับบุรุษหนุ่มผู้เรืองปัญญา และเห็นพวกเขาออกเดินทางไปเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมศาสดา พวกตนซึ่งไม่มีกิจธุระอันใดจักต้องทำอยู่แล้วในเวลานี้ จึงต่างพากันติดตามไปด้วย หวังจักไปชมความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ของพญานาคสองพ่อลูกคู่นี้กันต่ออีก

หลังจากที่ออกเดินทางไปได้สักพักอุตรมานพก็พาพญานาคสองพ่อลูกพร้อมด้วยขบวนผู้ติดตาม มาถึงโคนไม้ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ขณะนั้นท้าวนาคราชแลธิดาเมื่อเห็นสมเด็จพระพุทธองค์ประทับอยู่ใต้ร่มไม้เบื้องหน้า เขาจึงหยุดคุกเข่าลง ณ ที่อันควร จากนั้นก็ก้มลงกราบนมัสการพระองค์ด้วยกิริยาที่นอบน้อม แล้วค่อยลุกขึ้นถอยออกมายืนอยู่ใต้โคนไม้อีกต้นหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ห่างมากนัก ปล่อยให้อุตรนำพา
ผู้ที่ติดตามทั้งหลายเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมศาสดาแต่เพียงลำพัง

ขณะที่ยืนอยู่ใต้ร่มไม้เขาก็เอาแต่จ้องพระพักตร์ของพระองค์แต่เพียงถ่ายเดียว มิได้ปริปากพูดจาหรือว่าเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดๆออกมาทั้งสิ้น หลังจากที่มองแล้วก็เอาแต่หลั่งน้ำตาออกมานองหน้าโดยไม่ทราบสาเหตุ

สมเด็จพระพุทธองค์ครั้นทรงเห็นเช่นนั้น จึงทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสถามเขาว่า “ ดูก่อน นาคราชผู้ยิ่งใหญ่ ท่านมีความโศกเศร้าเสียใจในเรื่องอันใดฤา ? ไฉนจึงเอาแต่หลั่งน้ำตาด้วยเล่า ? ”

จอมนาคราชเมื่อได้ฟังพระพุทธฏีกาตรัสถามเช่นนั้น จึงกราบทูลว่า“ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณอันสูงสุดเกินกว่าผู้ใด อันตัวของข้าพระบาทนี้เดิมทีชาติที่แล้วเคยบวชเป็นภิกษุอยู่ในบวรพระพุทธศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระศาสดากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งก็ทรงพระคุณอันสูงสุด เสมอกันกับพระองค์เหมือนเช่นเพลานี้ พระพุทธเจ้าข้า แต่ครั้งนั้นระหว่างที่ข้าพระบาทกำลังแสวงหาที่บำเพ็ญเพียรอยู่นั้น ข้าพระบาทได้เผลอสติทำการล่วงอาบัติข้อห้ามพรากของเขียวออกจากไปต้นโดยไม่ตั้งใจ ด้วยการไปเด็ดเอาใบตระไคร้น้ำหลุดขาดติดมือมาใบหนึ่ง

หลังจากนั้นแทนที่ข้าพระบาทจักรีบปลงอาบัติในข้อดังกล่าวเสีย แต่ปรากฏว่ากลับปล่อยปละละเลยเสียจนตนเองหลงลืม มานึกขึ้นได้อีกทีก็สายเสียแล้ว ไม่สามารถที่จักแก้ไขอันใดได้ ดังนั้นครั้นพอถึงกาลที่ข้าพระบาทสิ้นชีพลง กรรมนี้จึงส่งผลให้ข้าพระบาทเข้าถึงซึ่งทุคติ ต้องมาถือกำเนิดเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ตระกูลแห่งพญานาค เยี่ยงดังที่พระองค์ทรงเห็นอยู่ ณ ขณะนี้ พระพุทธเจ้าข้า

ตลอดระยะเวลาหนึ่งพุทธันดรที่ผ่านมานี้ข้าพระบาทมิเคยเลย ที่จักมีโอกาสได้สดับตรับฟังพระสัทธรรม แม้แต่เพียงสักครั้งเดียว อย่าว่าจักกล่าวถึงพระสัทธรรมอันออกมาจากพระโอษฐ์แห่งพระองค์เลย แม้เพียงพระธรรมเทศนาที่เปล่งออกมาจากปากของพระบรมสาวก ข้าพระบาทก็ยังมิมีโอกาสที่จักได้ยินได้ฟังเลย พระพุทธเจ้าข้า

เพิ่งจักมาวันนี้แลที่ข้าพระบาทได้มีโอกาสทัศนาพระองค์ทั้งๆที่ยังมีพระสรีระร่างกายตัวตนจริงๆ เต็มนัยน์ตาทั้งสองของข้าพระบาท แลข้าพระบาทพร้อมด้วยธิดา ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพระองค์จักทรงเมตตาสงสาร ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดสัตว์เดรัจฉานผู้ที่อาภัพอับวาสนาเยี่ยงข้าพระบาทแลธิดานี้ด้วย พระพุทธเจ้าข้า ”

สมเด็จพระชินสีห์เมื่อได้ทรงสดับถ้อยพาทีอันแสดงออกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจในชาติวาสนาของท้าวนาคราชแล้วพระองค์จึงทรงมีพระเมตตาแสดงธรรมโปรดเขาทั้งสอง ซึ่งเนื้อหาใจความโดยย่อที่ทรงแสดงในครั้งนั้นก็คือ :

การที่จักมีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปโดยยาก
การที่จักมีชีวิตอยู่จนจวบสิ้นอายุขัยแห่งตนของสรรพสัตว์นั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปโดยยาก
การที่จักมีโอกาสได้สดับตรับฟังพระสัทธรรมนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปโดยยาก
การอุบัติเกิดแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปโดยยาก

ครั้นพอเมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมจบลง บรรดาผู้คนทั้งหลายที่อยู่ ณ บริเวณนั้นซึ่งต่างก็ได้สดับตรับฟังพระสัทธรรมพร้อมกันกับพญานาคสองพ่อลูก พวกเขาต่างก็พากันบรรลุคุณธรรมอันวิเศษกันเป็นจำนวนมากในเช้าวันนั้นเอง

ฝ่ายพญาเอรกปัตตนาคราชแลธิดาทั้งๆที่ตนเป็นผู้ปรารถนาจักเห็นสมเด็จพระผู้มีพระภาคยิ่งกว่าผู้ใด มิหนำซ้ำยังมีจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสูงสุด แต่ทว่าพวกเขาทั้งสองกลับมิได้ประโยชน์ใดๆจากการเทศนาสั่งสอนในครั้งนั้นเลย เนื่องจากเขาทั้งสองมีกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งถือว่าเป็นชาติภพที่ต่ำทรามอาภัพอับวาสนา ไม่มีปัญญาที่จะเข้าใจหลักธรรมคำสอนได้

ในที่สุดจึงได้แต่หลั่งน้ำตา กราบนมัสการอำลาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคกลับไปยังบาดาลพิภพอันเป็นที่อยู่แห่งตนต่อไป ตามยถากรรม ...

จากเรื่องที่นำมาเล่าให้ฟังนี้ ท่านผู้อ่านก็น่าจักเห็นแล้วว่าการให้ผลของกรรมนั้นมันเป็นเรื่องที่น่ากลัวสักเพียงไหน กับเพียงแค่การกระทำอันมีโทษแต่เพียงเล็กน้อยหรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ในสายตาของชนชาวโลก แต่ทว่าพอผู้กระทำมีสถานะเปลี่ยนไปผลของมันก็เปลี่ยนตามไปด้วยเช่นกัน ฉะนั้นผู้ที่มีฐานะผิดแผกจากคนทั่วไปจักทำการอันใดก็แล้วแต่ จักต้องคำนึงถึงผลที่ตามมามากกว่าคนธรรมดา อะไรที่มันมีคุณอนันต์ มันก็มีโทษมหันต์ด้วยเช่นกัน .




น่าเศร้า
ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้