ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3324
ตอบกลับ: 4
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ประหาร

[คัดลอกลิงก์]
ประหารชีวิต

    ห่างหายไปหลายเวลา จะว่าไม่ว่างก็ว่าไม่ได้ จริงๆ แล้วผู้เขียนก็ทำงานทุกวันแหละ เว็บไซต์อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ต้องอัพเดทข้อมูลข่าวสารทุกวันอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง บางวันก็หลายครั้ง ทั้งนี้เพราะมีข่าวเข้ามามากเราก็ต้องนำเสนอมากว่ากันไปตามน้ำตามเนื้อ เว้นแต่กรณีจำเป็น เช่นไปต่างเมือง ก็จำเป็นต้องโพสต์ข้อความ "ลากิจ" ต่อท่านผู้อ่านให้ชมอักษรวิ่งเหมือนการแปรอักษรบนอัฒจรรย์ในสนามกีฬาไปพลางๆ
   วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรจะเขียน ไม่ว่าเรื่องการเมืองหรือการศาสนา แต่มีเรื่องโบราณๆ มาเสนอ คือไปค้นดูหนังสือเก่าๆ ก็พบกับภาพเก่าๆ เห็นแล้วก็นึกถึงท่านผู้อ่านที่ยังไม่เคยเห็น จึงคิดว่า "เอ..เราน่าจะส่งไปให้แฟนๆ อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ได้ชมกันบ้าง" สมัยก่อนเรื่องรูปเรื่องร่างนั้นส่งให้กันยาก แต่ปัจจุบันนั้นอะไรก็ดูง่ายไปหมด พวกเว็บ ฮิฮะ หรือHi-5 ที่ให้ใครต่อใครใช้เป็นโฮมเพจเป็นคอลเล็คชั่นส่วนตัว ก็มีการเก็บรูปไว้ดูรวมถึงส่งหรือแชร์ให้แก่เพื่อนๆ ดังนั้นวันนี้ "อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ" จะเอามั่ง แฮ่ม !
เป็นภาพเก่าสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเวลานั้นยังมีการลงโทษประหารชีวิตด้วยการให้เพชฌฆาตใช้ดาบ "ตัดคอ" แถมยังฆ่ากันกลางแจ้งเหมือนหนังกลางแปลงที่มีผู้ชมเข้าไปดูโดยไม่ต้องตีตั๋ว เห็นแล้วก็ขนหัวลุก
ความจริงแล้ว สมัยโบราณนั้นมีการประหารชีวิตในรูปแบบต่างๆ เช่น ทุบด้วยท่อนจันทน์ สำหรับเจ้านายเชื้อพระวงศ์ที่ถูกลงโทษระดับเด็ดขาด ก็จะถูกจับยัดถุงแดงแล้วให้เพชฌฆาตที่ภาษาจีนใน "สามก๊ก" เรียกว่า "บู๋ซู" ใช้ไม้ค้อนทำด้วยท่อนจันทน์ขนาดเขื่อง เล็งเป้าไปที่ต้นคอหรือท้ายทอย จัดการทุบตรงนั้นดับตุ๊บ ก็จะสิ้นใจ นำไปฝังเป็นอันเสร็จพิธี หรือบางทีก็มีการทำพิธีสะกดวิญญาณด้วย ทั้งนี้เพราะผีตายโหงนั้นท่านว่าเฮี้ยนจัด อาจจะอาละวาดเอาคนสั่งฆ่าตนเองให้ตายตกตามกันได้ แบบว่าฆ่าในสมัยเป็นคนไม่ได้ก็ขอเป็นวิญญาณมาหลอน เรื่องนี้หลายคนไม่เชื่อ แต่ก็ไม่กล้าลบหลู่
เรื่องประเพณีการตายนั้น คนไทยสมัยโบราณถือว่า ถ้าตายแบบธรรมดาก็จะทำพิธีเผาด้วยฟืนบนกองฟอน แต่สำหรับเด็กและผู้หญิงตายทั้งกลม ไม่ว่าจะตายทั้งแม่ทั้งลูกหรือตายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กรณีนี้จะไม่นิยมเผา หากแต่ท่านว่าต้องฝัง จะด้วยคตินิยมอันใดก็ไม่ทราบ ทีนี้พอเอาศพไปฝัง พวกขมังเวทย์ก็จะหาฤกษ์งามยามดีไปปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง เอาเทียนไปลนที่คางหรือเต้านมซึ่งมีไขมันมาก วัตถุประสงค์ก็คือน้ำมัน พอได้แล้วก็นำมาเข้าพิธีกรรมทางไสยศาสตร์นำไปขายให้แก่ชายหนุ่มที่หลงรักหญิงสาว แต่ฝ่ายหญิงไม่เล่นด้วย เอาไปแค่หยดสองหยดก็คร้านว่าฝ่ายหญิงจะวิ่งมาหา นี่ท่านโฆษณาว่าอย่างนั้น น้ำมันจากศพนี้ท่านเรียกว่า น้ำมันพราย
ส่วนศพเด็กนั้น ก็จะถูกขุดขึ้นมาทำพิธีสะกดวิญญาณแล้วเลี้ยงไว้ใช้งาน เรียกว่ากุมารทอง กุมารทองดังที่สุดนั้นเห็นจะเป็นกุมารทองในเรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งมีพิธีกรรมที่หวาดเสียวสุดๆ เพราะเป็นการ "ฆ่าแม่เอาลูก" ซึ่งแม่ที่ว่านั้นก็หาใช่ใครไหนอื่น คือนางบัวคลี่ บุตรสาวของหมื่นหาญ ซึ่งขุนแผนเมื่อแรกเห็นนั้นเกิดอกุศลจิตคิดไปไกลว่า "จะต้องจีบนางสาวบัวคลี่มาเป็นเมียให้จงได้ เพื่อจะเอาลูกมาทำ..." เรื่องนี้ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เรียกเป็นภาษาฝรั่งว่า Thriller
    เรื่องก็ดังที่ปรากฏ (ขุนช้างขุนแผนมิใช่เรื่องจริง แต่เป็นนวนิยายที่แต่งขึ้น ฝรั่งเรียกว่า Fiction) คือขุนแผนลวงทั้งหมื่นหาญให้ยอมยก "บัวคลี่" ลูกสาวให้เป็นเมีย พอนางบัวคลี่มีท้องได้ไม่กี่เดือน ขุนแผนก็ออกลายทำทีทะเลาะกับพ่อตา ส่งผลให้ต้องทะเลาะกับเมียไปด้วย และแล้วคืนวันอันสยองก็มาถึง ตรงนี้เสภาขุนช้างขุนแผนแต่งไว้ว่า

ยืนขึ้นบนเตียงเข้าเคียงข้าง
พินิจนางนิ่งนอนถอนใจใหญ่
ไม่รู้เลยว่าร่างมันร้างใจ
จะฆ่าผัวเสียได้ช่างไม่คิด
แล้วชักมีดตั้งท่าง่าขยับ
ใจกลับมืออ่อนสะท้อนจิต
แล้วกลับนึกขึ้นถึงนางวางยาพิษ
เอาชีวิตเสียเถิดอย่าไว้มัน
เอามีดคร่ำตำอกเข้าต้ำอัก
เลือดทะลักหลวงทะลุตลอดเส้น
นางกระเดือกเสือกดิ้นสิ้นชีวัน
เลือดก็ดั้นดาษแดงดังแทงควาย
แล้วผ่าแผ่แล่แล่งตลอดอก
แหวกหวะฉะรกให้ขาดสาย
พินิจแน่แลเห็นว่าเป็นชาย
ก็สมหมายดีใจไม่รั้งรอ
อุ้มเอาทารกยกจากท้อง
กุมารทองมาเถิดไปกับพ่อ
หยิบเอาย่ามใหญ่ใส่สวมคอ
เอาผ้าห่อลูกชายสะพายไป

     กุมารทองของขุนแผนจึงเป็นลูกที่เกิดจากนางบัวคลี่ เรื่องนี้สมัยก่อนกระทรวงศึกษาธิการเคยกำหนดให้เป็นแบบอ่านเรียนเสริมทักษะภาษาไทยของนักเรียน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นการสนับสนุนให้เยาวชนทำผิดศีลธรรมหรือเปล่า
     นั่นแหละคือ "กุมารทอง" ตัวดังที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-15 09:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2013-5-15 09:15

ส่วนผู้หญิงที่ตายทั้งกลมมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดนั้นก็เห็นจะไม่มีใครเกิน "แม่นาคพระโขนง" ไปได้ สมัยผู้เขียนเป็นเด็ก ตอนที่อำเภอฝางเริ่มมีไฟฟ้าและทีวีขาวดำที่ต้องใช้ระบบหมุนเสาหาคลื่นอยู่ทุกๆ 15 นาทีนั้น หนังแม่นาคพระโขนงถือว่ามีเรตติ้งเป็นอันดับหนึ่ง เพราะไม่ว่าใครๆ ก็กลัวผี เรื่องนี้มีบันทึกอยู่ในประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม ดังนี้

ครั้นเมื่อ
นางนาค บ้านพระโขนง เขาตายทั้งกลม
ปีศาจของนางนาคกำเริบ เขาลือกันต่อมาว่า
ปีศาจนางนาคมาเป็นรูป คนช่วยผัววิดน้ำเข้านาได้
จนทำให้ชายผู้ผัวมีเมียใหม่ไม่ได้ปีศาจ นางนาค

เที่ยวรังควานหลอนหลอก คนเดินเรือในคลองพระโขนงไม่ได้
ตั้งแต่เวลาเย็นตะวันรอนๆ ลงไป ต้องแล
เห็นปีศาจนางนาคเดิมห่อสีบ้างโหนตัว
บนต้นโพธิ์ต้นไทรย์บ้าง พระสงฆ์ใน
วัดพระโขนงมันก็ล้อเล่น จนกลางคืน
พระภิกษุสามเณรต้องนอนรวมกัน
ถ้าปลีกไปนอนคนเดียว เป็นต้องถูกปีศาจ
นางนาคไปหมด จนชั้นพวกนักเลงเที่ยว
กลางคืนก็ต้องหยุดเซาลง เพราะกลัวปีศาจนางนาค
พวกหมอผีไปทำเป็นผู้วิเศษตั้งพิธีผูกมัดเรียกภูตมัน
มันก็เข้ามานั่งแลบลิ้นเหลือกตา เอาเจ้าหมอ
ต้องเจ็งมันมา หลายคน จนพวกแย่งชิงล้วง
ลักปลอมเป็นนางนาคหลอกลวงเจ้าของบ้าน
เจ้าของบ้านกลัวนางนาคเลยมุดหัวเข้ามุ้ง
ขโมยเก็บเอาของไปสบายค่ำลงก็ต้องล้อมบ้าน

ต้องนั่งกองกันยังรุ่งก็มี

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านรู้เหตุปีศาจนางนาค
กำเริบเหลือมือหมอ ท่านจึงลงไป ค้างที่วัดมหาบุศย์
ในคลองพระโขนง พอค่ำท่าน ก็ไปนั่งอยู่ปากหลุมแล้ว
ท่านเรียกนางนาคปีศาจขึ้นมาสนทนากัน
ฝ่ายปีศาจนางนาคก็ขึ้นมาพูดจาตกลงกันอย่างไรไม่ทราบ

ท้ายที่สุดท่านได้เจาะเอากระดูกหน้าฝากศพนางนาค
ที่เขาฝังไว้มาได้แล้ว ท่านมานั่งขัดเกลาจนเป็นมัน
นำขึ้นมาวัดระฆัง ท่านลงยันต์เป็นอักขรไว้ตลอด
เจาะเป็นปั้นเหน่งคาดเอว ไปไหนท่านก็เอาติดเอวไปด้วย
ปีศาจในพระโขนงก็หายกำเริบ ซาลง
เมื่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว. เจริญ)

ยังเป็นสามเณรอยู่ในกุฎีสมเด็จพระพุฒนาจารย์ (โต)
นางนาคได้ออกมารบกวน ม.ร.ว.เณรๆ ก็ร้องฟ้องสมเด็จฯ

ว่า สีกามากวนเขาเจ้าข้า สีกามากวนเขา

สมเด็จพระพุฒนาจารย์ (โต) ท่านร้องว่า..


นาคเอ๊ย อย่ารบกวนคุณเณรซี

ปีศาจนั้นก็สงบไป นานๆ จึงออกมารบกวน

ครั้นท่านชรามากแล้ว ท่านจึงมอบปั้นเหน่งกระดูกหน้าผาก

นางนาคประทานไว้กับหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์


มอบหม่อมราชวงศ์สามเณรเจริญให้ไปอยู่กับ


หม่อมเจ้าพระพุทธล่านปิลันทน์ด้วย นานๆ


นางนาคออกหยอกเย้าหม่อมราชวงศ์สามเณรเจริญ

   


ศพเด็กที่ตายทั้งกลมนั้นท่านเรียกว่า
ลูกกรอก เวลาล้างป่าช้าทีหนึ่งมักจะขุดพบอยู่หลายศพ ทั้งนี้เพราะท่านว่าศพเด็กยังเล็กจึงง่ายต่อการแข็งตัวไม่เน่าเปื่อย แม้จะถูกฝังนานหลายปีก็ไม่มีผุพัง

    นักโทษประหารในสมัยโบราณนั้นท่านว่าต้องเป็นคดีอุกฉกรรจ์หรือสะเทือนขวัญ ผิดศีลธรรมจรรยาอย่างร้ายแรง โทษหนักสุดก็คือประหารชีวิตและต้องนำเอาศีรษะไปเสียบปลายไม้ประจานไว้ที่ทางสี่แพร่งด้วย เพื่อให้ประชาชนเห็นเป็นการเตือนว่า "อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง" ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูตัวอย่างต่อหน้านี้ การประหารชีวิต อีกแบบหนึ่งนั้นคือการใช้ขวานบั่นร่างกายออกเป็น 2 ท่อน ซึ่งมีไม่บ่อยนัก


     ลานประหารในกรุงเทพฯ สมัยโบราณนั้นมิทราบว่ามีที่ไหนบ้าง อย่างกรณี "หม่อมไกรสร" ในสมัยรัชกาลที่ 3 นั้น ท่านว่า "ประหารด้วยการทุบท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคา" เยาวราช ส่วนบ่าวไพร่ของหม่อมไกรสรจำนวน 4 คนให้นำไปตัดคอที่ตะแลงแกงสำเหร่ ถึงสมัยรัชกาลที่ 4 กรณี "หม่อมทับทิมกับพระภิกษุแดง-วัดราชประดิษฐ์" เล่นชู้กันนั้น ท่านระบุว่า "ประหารชีวิตที่วัดสระเกศ" มีอีกหลายที่ เช่น วัดมักกะสัน วัดโคก (วัดพลับพลาชัย) เป็นต้น ส่วนหัวเมืองหรือต่างจังหวัดก็คงจะมีทุกเมือง ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ มีทุ่งนาแห่งหนึ่งผู้เฒ่าผู้แก่เรียกชื่อว่า "ทุ่งหัวคน" หมายถึงเป็นแดนประหารมีหัวคนตกเกลื่อนไปในสมัยก่อน บริเวณนั้นไม่มีใครกล้าเข้าไปทำไร่ไถนา เพราะถือว่าเป็นอวมงคล มีเลือดของนักโทษเดนตายกระจายอยู่ทั่ว ปัจจุบันน่าจะกลายเป็นหมู่บ้านจัดสรรไปแล้ว


   ภาพที่นำเสนอในวันนี้ มาจากหนังสือ "เปิดกรุภาพเก่า" ของคุณเอนก นาวิกมูล ความจริงผู้เขียนก็ไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของหนังสือหรอก ถือวิสาสะนำมาโพสต์ให้ท่านผู้อ่านได้ศึกษา คิดว่าคงไม่โดนฟ้องข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญานะอาจารย์เอนกนะ

    ท่านบรรยายว่า เป็นการประหารนักโทษคนหนึ่งที่มณฑลนครไชยศรี ปัจจุบันคือจังหวัดนครปฐม แต่ไม่ทราบชื่อนักโทษประหารขั้นเด็ดขาดคนนั้น สำหรับปีที่ประหารคือ วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ.2444 นับถึงปี พ.ศ.2552

ก็เป็นเวลา
108 ปี

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-15 09:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


หามนักโทษออกมาจากคุก

ประหาร







   
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้