ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 4128
ตอบกลับ: 8
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ทิพย์อำนาจ

[คัดลอกลิงก์]
ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นที่กล่าวขานเลื่องลือกันมานาน แม้หลวงพ่อท่านจะมรณภาพไปเกือบห้าสิบปีแล้ว (มรณภาพในวันมาฆบูชา ปี พ.ศ. 2508) แต่ความเลื่อมใสศรัทธาก็มิได้ลดน้อยถอยลง ปัจจุบัน ผู้คนยังพากันไปกราบสักการะรูปเหมือนของท่านอยู่เนือง ๆ อธิษฐานขอพรให้ท่านช่วยคุ้มครองป้องกันภัย ให้ประสบความสำเร็จในสิ่งอันปรารถนาต่าง ๆ นา ๆ



พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
วัดท่าซุง จ. อุทัยธานี

เรื่องราวความมหัศจรรย์ของหลวงพ่อจงที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้ บันทึกโดยพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ความว่า...

เมื่อหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคได้มรณภาพไปแล้ว หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านก็แวะมาวัดของหลวงพ่อจงบ่อยขึ้น วันหนึ่ง ขณะที่ท่านกำลังนั่งคุยอยู่กับหลวงพ่อจง ก็พอดีภรรยาของกำนันมากได้มากราบหลวงพ่อจงเพื่อถามถึงสามีของเธอที่ไปธุระทางเมืองเหนือ แล้วก็เงียบหายไปทั้ง ๆ ที่ควรจะกลับถึงบ้านหลายวันแล้ว เธอเกรงว่าอาจจะเกิดอันตราย


พระอธิการจง พุทฺธสโร
วัดหน้าต่างนอก จ. พระนครศรีอยุธยา


หลวงพ่อจงฟังแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบหนังสือตำราพรหมชาติขึ้นมา เปิดปุ๊บก็อ่านปั๊บ ท่านอ่านว่า สิทธิการิยะ เวลานี้ชาวบ้านเขามาขอดูกำนันมาก ว่าเดินทางไปทำไมจึงยังไม่กลับ แต่วันนี้เป็นวันศุกร์ เป็นมหาฤกษ์ ตามตำราท่านทายว่า เวลานี้กำนันมากเอาเรือมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว แล้วท่านก็วางหนังสือลง บอกว่า นี่ ตำราเขาบอกว่ากำนันมากน่ะ เอาเรือมาจอดอยู่ที่บ้านแล้วนะ ลองไปดูสิว่าตำราเขาพูดไว้ถูกหรือผิดประการใด

เมื่อภรรยาของกำนันมากลาไปแล้ว หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็หยิบหนังสือขึ้นมาดู เพราะแปลกใจว่าตำราที่ไหนจะรู้มากขนาดบอกได้ว่ากำนันมากเอาเรือมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว ปรากฏว่าไม่มีในตำรา จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อจงว่า ตำราเขาไม่ได้เขียนไว้อย่างนั้นนี่นา มันเป็นเรื่องอื่น หลวงพ่อจงท่านก็บอกว่าฉันเป็นคนแก่ สายตาไม่ค่อยดี ตามันเห็นอย่างไรก็อ่านไปอย่างนั้น

คุยกับท่านอยู่สักพักใหญ่ ลูกชายกำนันมากก็เข้ามากราบหลวงพ่อจง บอกว่าคุณพ่อกลับมาแล้วขอรับหลังจากคุณแม่มาหาหลวงพ่อประเดี๋ยวเดียวยังไม่ทันจะกลับ !!

เมื่อเล่าเรื่องหลวงพ่อจงแล้ว ก็อดที่จะเล่าเรื่องหลวงพ่อปานด้วยไม่ได้ เพราะหลวงพ่อจงกับหลวงพ่อปานนั้น ท่านผูกพันกันใกล้ชิด ท่านทั้งสองมีอุปัชฌาย์องค์เดียวกัน คือหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ หลวงพ่อจงเป็นศิษย์ผู้พี่ ส่วนหลวงพ่อปานเป็นศิษย์ผู้น้อง


หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ จ. พระนครศรีอยุธยา
พระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค


พระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไว้มากมาย ขอนำมาเล่าสู่กันฟังต่ออีกสักเล็กน้อยดังนี้


พระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน โสนันโท)
วัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา

ครั้งหนึ่ง พระลูกวัดบางนมโคมีหน้าที่ต้องช่วยกันดัดเหล็กให้ได้รูปเพื่อจะนำไปใช้ทำเสาและคานโบสถ์ เหล็กที่ใช้เป็นเหล็กขนาดแปดหุน มีขนาดใหญ่ หลวงพ่อปานท่านเลือกเองเพื่อความคงทนแข็งแรง บังเอิญกุญแจที่ใช้ดัดเหล็กไม่อยู่เพราะวัดอื่นยืมไปใช้และยังไม่ได้ส่งคืน จะไปทวงคืนระยะทางก็ไกล เดินทางทั้งไปทั้งกลับก็จะเสียเวลามาก แต่ถ้าไม่มีกุญแจดัดเหล็กก็ทำงานต่อไม่ได้

ขณะที่กำลังเอะอะโวยวายกันอยู่นั้น หลวงพ่อปานท่านเดินมาพอดี ท่านก็ถามว่าเกิดเรื่องอะไร เมื่อพระลูกวัดกราบเรียนท่านว่ากุญแจดัดเหล็กไม่มี วัดสุธาโภชน์ยืมไปใช้ ยังไม่ได้เอากลับคืนมา จึงไม่สามารถดัดเหล็กเสาโบสถ์ได้ หลวงพ่อปานท่านก็เลยว่า ไม่มีกุญแจก็ใช้มือดัดแล้วกัน ว่าแล้วท่านก็ให้เอาเหล็กขึ้นพาดบนที่ดัดและให้พระลูกวัดใช้มือง้าง ปรากฏว่าวันนั้นเหล็กขนาดใหญ่กลายเป็นเหล็กอ่อน ง้างได้สบาย ๆ จะดึงให้ตรงก็ตรง จะดัดให้คดให้งอไปทางไหน ก็เป็นไปดังที่ต้องการทุกอย่าง คล้าย ๆ กับกำลังดัดเทียนอ่อน ๆ เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

พระลูกวัดทั้งหมดประมาณสี่สิบรูปก้มลงกราบหลวงพ่อปานพร้อมกัน เรียนถามท่านว่าทำได้อย่างไร ท่านก็บอกว่าพลังอะไรจะสูงไปกว่าพลังจิตน่ะไม่มี พลังจิตนี้มีกำลังมาก ฉะนั้น หากได้ฝึกฝนจิตไว้ดีแล้ว จะนำไปใช้อย่างไรก็ได้ พระลูกวัดก็เลยกราบเรียนถามท่านต่อว่านี่เป็นอำนาจของอภิญญาใช่หรือไม่ ท่านบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะตอบ


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-1-21 15:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เรื่องถัดมา คัดลอกมาจากข้อเขียนของคุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต เกี่ยวกับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ซึ่งท่านอาจารย์องค์หนึ่ง ใช้ชื่อย่อว่า ท่านอาจารย์ "ย" เป็นผู้ประสบด้วยตนเองและนำมาเล่าสู่กันฟัง ความว่า..


หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย


สมัยที่หลวงปู่ชอบ พำนักปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดผาแด่น อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยพระเณรที่ตามขึ้นไปอยู่ทำความเพียรบนยอดเขา วันหนึ่งเป็นวันพระ ท่านกับพระเณรต้องลงจากเขาเพื่อไปร่วมลงอุโบสถที่วัด หลวงปู่ท่านก็นำพระเดินลงจากผาแด่น ถึงลำธารแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าน้ำกำลังไหลเชี่ยวมาก ด้วยคืนที่ผ่านมาฝนตกลงมาอย่างหนักและตกติดต่อกันเป็นเวลานาน

พูดถึงฝนที่ตกตามป่าเขา เป็นที่ทราบกันดีว่า พอฝนหายจะมีน้ำป่าไหลบ่าอย่างรุนแรง บางทีธารน้ำเล็ก ๆ ก็อาจกลายเป็นแม่น้ำขนาดย่อมได้

คราวนี้ก็เช่นกัน จากยอดเขาผ่านลำธารเพื่อไปยังวัดที่จะไปร่วมลงอุโบสถนั้น ทางเดินได้ถูกตัดขาดไปเสียแล้ว ด้วยลำธารนั้นถูกกระแสน้ำไหลบ่าท่วมล้นตลิ่งจนกลายเป็นแม่น้ำขนาดย่อม ไม่มีใครกล้าเดินข้าม เพราะน้ำลึกและไหลเชี่ยว ถึงจะลอยคอข้าม ก็ไม่แน่ว่าจะสู้กระแสน้ำได้ อาจถูกพัดพาไปกระทบโขดหินเกาะแก่งข้างล่างได้

หลวงปู่ชอบไปยืนพิจารณาอยู่เพียงอึดใจเดียว กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก จนท่านอาจารย์ "ย" เล่าว่า ไหลเสียงดังซู่ ๆ ก็กลับหยุดกึกลงทันที

พระเณรที่ร่วมคณะต่างตกตะลึงกันหมด คิดกันว่า เคยได้ยินเรื่องอัศจรรย์ของหลวงปู่ชอบมาก็มากแล้ว แต่เพิ่งจะได้เห็นประจักษ์กับตาตนเองก็คราวนี้

หลวงปู่ชอบก้าวข้ามลำธารไปก่อน เห็นศิษย์แต่ละคนยังไม่แสดงอาการคลายจากความงวยงง ท่านก็เร่งให้ตามไป

ท่านอาจารย์ "ย" เล่าว่า ท่านเองขณะที่ก้าวข้ามลำธารนั้น ยังอยู่ในอาการกึ่งกลัวกึ่งกล้าอยู่ กึ่งกลัวคือกลัวว่าภาพที่มองเห็นน้ำหยุดไหลและแห้งผากนั้นจะเป็นภาพลวงตา กึ่งกล้าคือคิดว่า เราเองก็ศิษย์มีอาจารย์ เรามากับท่านอาจารย์ พระคุณท่านคงคุ้มกันเราได้แน่นอน

มัวนึกกันอยู่ว่า น้ำที่หยุดไหลกึกนี้ หากเรากำลังเดินข้ามอยู่ จู่ ๆ มันพรวดพุ่งมาประดุจเทออกจากกระบอก ร่างกายเราจะไม่แหลกไปหรือ กว่าพระจะได้สติกัน ก็ข้ามลำธารกันมาได้หมดทุกองค์ และเมื่อเดินพ้นมาเพียงอึดใจเดียว กระแสน้ำก็ไหลบ่าเชี่ยวกรากต่อไปดังเดิม

ท่านอาจารย์ "ย" เล่าว่า ท่านเองอดใจไว้ไม่ได้ ต่อมาเมื่อมีโอกาส จึงได้กราบเรียนถามหลวงปู่ชอบว่า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทำอย่างไรน้ำจึงหยุดได้ หลวงปู่ตอบด้วยอารมณ์ดีว่า "มีบทบริกรรมนะซิ" เมื่อถามหลวงปู่ว่า "บทบริกรรมมีว่าอย่างไรขอรับ" ท่านก็ตอบว่า "ภาวนาไปก็รู้เอง"



สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เสด็จมากราบนมัสการหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
ในวาระที่หลวงปู่มาเยือนวัดบวรนิเวศวิหาร
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2536
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-1-21 15:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บันทึกโดยหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เป็นเรื่องหนึ่งที่กล่าวขวัญกันมากในบรรดาศิษย์ของท่าน เรื่องมีอยู่ว่า...

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
ในระหว่างที่หลวงปู่ฝั้น อาจาโร พำนักอยู่ในถ้ำพระบนภูวัว ครั้งนั้น ท่านได้ประสบอุบัติเหตุที่นับว่าร้ายแรงที่สุดในชีวิตของท่าน กล่าวคือ วันหนึ่ง ได้มีญาติโยมบ้านดอนเสียดและบ้านโสกก่ามพากันขึ้นไปนมัสการ หลวงปู่จึงได้ขอให้ญาติโยมพาชมภูมิประเทศบนภูวัวและเพื่อจะแสวงหาสมุนไพรบางชนิดด้วย

เมื่อฉันจังหันเสร็จก็ออกเดินทาง มีโยมสองคนเดินนำหน้า หลวงปู่ฝั้นและพระภิกษุเดินตามหลัง ส่วนสามเณรนั้นท่านให้เฝ้าอยู่ที่พัก

ทั้งหมดเดินขึ้นไปตามลำห้วยบางบาด พอถึงลานหินที่ลาดชันขึ้นไปข้างบน ระยะทางยาวประมาณสิบกว่าวา บนลานมีน้ำไหลรินและมีตะไคร่หินขึ้นอยู่ตามทางชันนั้นโดยตลอด โยมสองคนเดินนำหน้าไปก่อน หลวงปู่ท่านเดินตามขึ้นไปและตามด้วยพระภิกษุเดินรั้งท้าย โยมทั้งสองไต่ผ่านลานหินอันชันลื่นขึ้นไปได้แล้ว ส่วนหลวงปู่ก็ไต่จวนจะถึงข้างบนอยู่แล้ว กะว่าเหลือเพียงก้าวเดียวก็จะพ้นไปได้

พอท่านก้าวข้ามร่องน้ำ พลัน ท่านก็ลื่นล้มทั้งยืน ศีรษะฟาดกับลานหินดังสนั่น เสียงเหมือนมะพร้าวถูกทุบ จากนั้นก็ลื่นไถลลงมาตามลานหิน เอาศีรษะลงมาก่อน

พระลูกศิษย์ที่เดินรั้งท้ายตกใจตัวสั่น ยืนนิ่งอยู่กับที่ จะเข้าไปช่วยอะไรก็ไม่ได้ เพราะท่านเองก็ประคองตัวแทบไม่อยู่เหมือนกัน ได้แต่ยืนตัวสั่น มองดูพระอาจารย์ไถลผ่านหน้าไปด้วยความตกตะลึง

ร่างของหลวงปู่ลื่นไถลไปได้ประมาณหกวา ก็ไปตกหลุมหินซึ่งเป็นแอ่งแห่งหนึ่ง แต่ด้วยความลื่นของตะไคร่ ท่านจึงไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น กลับหมุนตัวในลักษณะเอาศีรษะขึ้นแล้วลื่นไถลลงต่อไปอีก

ข้างล่างมีช่องหินใหญ่ ครือ ๆ กับตัวคน น้ำที่ไหลลงมาจากหน้าผาไปรวมหล่นอยู่ในช่องนั้น กลายเป็นหลุมน้ำวน หากท่านไถลไปถึงช่องนั้น แล้วไหลพรวดลงในช่องหิน คงถึงแก่มรณภาพโดยมิต้องสงสัย

เหลือเชื่อ.. คงเป็นด้วยอำนาจบุญ ก่อนร่างท่านจะถึงช่องหิน หลวงปู่กลับตั้งหลักลุกขึ้นได้

แล้วท่านก็เดินขึ้นไปตามทางเดิมที่ร่างท่านร่วงหล่นลงมาด้วยท่าทางปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พระลูกศิษย์ร้องขอให้ท่านอ้อมไปขึ้นทางอื่น แต่ท่านไม่ยอมและบอกว่า เมื่อมันตกมาตรงนี้ ก็ต้องขึ้นไปตรงนี้ให้ได้

หลวงปู่ฝั้นเดินขึ้นไปตามทางเดิมด้วยความง่ายดายอย่างเหลือเชื่อ น่าอัศจรรย์ก็ตรงที่ว่า ร่างกายของหลวงปู่มิได้ปรากฏบาดแผลให้เห็นแม้แต่เล็กน้อย ถึงจะมีรอยถลอกบนข้อศอกก็เพียงรอยเท่าหัวไม้ขีดไฟ ไม่น่าจะเรียกว่าบาดแผล

ตกเย็น เมื่อกลับมาถึงที่พัก หลังจากสรงน้ำเสร็จแล้ว หลวงปู่ก็ออกเดินจงกรมตามปรกติ ตกค่ำ พระภิกษุได้เข้าไปถวายการปฏิบัติ แล้วถามอาการของท่านว่า ขณะที่ศีรษะท่านกระแทกหินดังสนั่นนั้น ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง

หลวงปู่ตอบว่า"อาการก็เหมือนสำลีตกลงบนหินนั่นแหละ"


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
เสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์
ทรงสนทนาธรรมกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ณ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515
พระภิกษุรูปนั้น ขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ มีความเห็นว่า ในขณะที่ท่านกำลังลื่นล้ม ก่อนศีรษะฟาดลาดหินนั้น ท่านสามารถกำหนดจิตได้ในชั่วพริบตา ทำให้ตัวท่านเบาได้ดังสำลีโดยฉับพลัน



เพราะท่านเคยเทศน์สั่งสอนเสมอว่า จิตของผู้ที่ฝึกดีแล้ว ย่อมมีสติพร้อมอยู่ทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง หรือนอน ถึงแม้จะหลับอยู่ ก็หลับด้วยการพักผ่อนในสมาธิ


http://thaprajan.blogspot.com/2011/03/blog-post_18.html
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-1-21 15:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-1-21 15:28

การเดิน' ของพระอริยเจ้า

อภิญญา แปลว่า ความรู้ยิ่ง (supernatural knowledge) คือความสามารถรู้สิ่งที่คนธรรมดารู้ไม่ได้
สามารถทำสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้ แต่เป็นของธรรมดาสำหรับท่านผู้ได้บรรลุแล้ว



อภิญญามีหกประการ ได้แก่..

1.  อิทธิวิธี  การแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ เช่น คนเดียวทำเป็นหลายคนได้ ทำที่มืดให้สว่างได้ เมื่อต้องการจะไป ณ ที่ใดไม่มีอะไรขวางได้ เดินบนน้ำได้เหมือนเดินบนดิน ไปในอากาศได้เหมือนนก ย่นระยะทางได้ ฯลฯ
2.  ทิพโสต  ฟังได้ทั้งเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งระยะใกล้และไกล
3.  เจโตปริยญาณ  การล่วงรู้จิตใจผู้อื่นว่ามีจิตอย่างไร คิดอะไร
4.  ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ระลึกชาติแต่หนหลังได้
5.  จุตูปปาตญาณ  สามารถมองเห็นสัตว์ทั้งหลายผู้จุติอยู่เป็นอันมาก ใครไปเกิดที่ไหนด้วยกรรมอะไร
6.  อาสวักขยญาณ  ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ คือญาณในอริยสัจสี่ หรือปฏิจจสมุปบาท

อภิญญาห้าประการแรกเป็นโลกียอภิญญา ปุถุชนก็มีได้ ส่วนประการสุดท้ายเป็นโลกุตรอภิญญา มีได้เฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น

พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
วัดท่าซุง  จ.อุทัยธานี
พระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้เคยเล่าให้ลูกศิษย์ของท่านฟังว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2484 ท่านได้มีโอกาสเดินธุดงค์ไปถึงป่าแถบเมืองเชียงตุง ได้พบเจดีย์ยอดด้วนองค์หนึ่ง เป็นเจดีย์เก่า อยู่ใกล้ต้นยางใหญ่  ท่านและเพื่อนสหธรรมิกร่วมธุดงค์ด้วยกันอีกสองรูปตัดสินใจว่าจะอาศัยเขตเจดีย์เป็นที่จำวัด เนื่องด้วยรอบบริเวณนั้นมีต้นไม้ใหญ่เป็นที่ร่มรื่นและอยู่ใกล้ภูเขา  เมื่อท่านเดินเข้าไปใกล้องค์เจดีย์ ก็ปรากฏพระภิกษุรูปหนึ่งออกมาต้อนรับท่านและคณะด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้ถามพระคุณเจ้ารูปนั้นว่าอยู่ที่นี่นานแล้วหรือ ท่านตอบว่าอยู่นานแล้ว ถามว่าแถบนี้มีบ้านเรือนผู้คนหรือไม่ ท่านตอบว่าไม่มี  จึงถามว่าแล้วอาหารบริโภคของพระคุณเจ้าได้มาจากที่ใด ท่านตอบว่าได้มาจากบ้าน ท่านเดินจนชินแล้ว จะไกลเพียงใดท่านเดินสักพักหนึ่งก็ถึงแล้ว

พอเวลาเช้า พระคุณเจ้ารูปนั้นก็ห่มจีวร สะพายบาตรเดินออกไปหลังเขา หายไปสักสิบกว่านาที ก็กลับมาพร้อมกับอาหารหลายอย่าง มาอยู่กับท่าน 2-3 วัน ท่านก็ออกบิณฑบาตมาเลี้ยงทุกวัน

เมื่ออาศัยอยู่กับท่าน ก็ได้คุยกันในฐานะนักปฏิบัติด้วยกัน รู้สึกว่าท่านมีความรู้ดีมาก มานั่งนึกในใจว่า นี่เราพบพระอรหันต์เข้าแล้วหรือนี่ พอนึกเพียงเท่านี้ ท่านก็ยิ้ม บอกว่านึกอย่างนั้นไม่ถูก เราไม่ควรนึกว่าคนอื่นเขาจะเป็นอะไร ใครเขาจะเป็นอะไรก็ช่างเขา ข้อสำคัญเราชำระจิตใจของเราให้สะอาดเป็นพอ

วันที่ลาท่านกลับ ท่านถามว่าจะไปไหน ก็ตอบไปว่าตั้งใจจะไปขึ้นรถไฟที่ลำปาง  ท่านก็ชวนออกมานอกถ้ำที่ท่านอาศัยอยู่ แล้วชี้ให้ดูยอดเจดีย์ บอกว่าเจดีย์องค์นี้เป็นเจดีย์เก่ามาก  ต่อจากนี้ไป ถ้าจะมาเยี่ยมเยียนท่าน ก็ให้สังเกตยอดเจดีย์ให้ดี เจดีย์ตั้งอยู่ตรงนี้ เขาตั้งอยู่หลังเจดีย์ แล้วต้นยางต้นนี้ตั้งอยู่ด้านขวาของเจดีย์ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ท่านชี้ให้ดูยอดเจดีย์จนเพลิน แล้วจู่ ๆ ท่านก็พูดว่า ถึงสถานีลำปางแล้ว

พอท่านพูดขึ้นมาว่าถึงสถานีลำปางแล้วเท่านั้น ก็มองเห็นรถไฟวิ่งไปวิ่งมา กำลังสับเปลี่ยนราง ก็ตกใจ พูดคุยกันเบา ๆ กับเพื่อนสหธรรมิกว่า พระองค์นี้เป็นพระอรหันต์ทรงปฏิสัมภิทาญาณ  เพียงพูดกันเบา ๆ เท่านั้น ท่านก็หันมายิ้ม เตือนอีกว่าอย่าสนใจกับคนอื่นสิขอรับ สนใจใจของท่านเองดีกว่า ชำระจิตให้สะอาดเป็นดี คนอื่นจะดีจะชั่วก็เรื่องของเขา

เมื่อถึงสถานีรถไฟลำปาง ท่านก็พาแวะเข้าไปในร้านขายอาหารแห่งหนึ่ง เมื่อฉันเสร็จ เจ้าของร้านก็บอกว่ามีเจ้าภาพชำระค่าอาหารให้แล้ว เมื่อจะขึ้นรถไฟ ก็มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาถวายตั๋วรถไฟมาลงที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตรงตามที่พระคุณเจ้าท่านบอกไว้ล่วงหน้าทุกประการ เป็นเรื่องอัศจรรย์

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ขณะจำพรรษาอยู่ ณ วัดบางนมโค  อ.เสนา  จ.พระนครศรีอยุธยา
พ.ศ. 2481
อีกเรื่องหนึ่งที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้เล่าให้ฟัง เป็นเรื่องหลวงพ่อจงเดินจากวัดหน้าต่างนอกมาวัดบางนมโค  เรื่องมีอยู่ว่า...

ครั้งหนึ่ง สมัยที่หลวงพ่อปานยังมีชีวิตอยู่ วัดบางนมโคได้จัดงานฉลองศาลาและมีสวดมนต์เย็น  พระอื่นมากันครบแล้ว ขาดแต่หลวงพ่อจง  หลวงพ่อปานจึงให้หลวงพ่อฤาษีลิงดำพาคนเรือ นำเรือเร็วไปรับหลวงพ่อจงมาจากวัดหน้าต่างนอก  เมื่อไปถึง ปรากฏว่ามีแขกมารอพบหลวงพ่อจงเพื่อให้ท่านรดน้ำมนต์  ท่านจึงบอกหลวงพ่อฤาษีลิงดำให้นำเรือกลับไปก่อน อีกสักพักหนึ่งหลังจากรดน้ำมนต์ให้ญาติโยมเสร็จ ท่านจะเดินไปวัดบางนมโคเอง

พระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน โสนันโท)
วัดบางนมโค  อ.เสนา  จ.พระนครศรีอยุธยา
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเห็นว่าระยะทางจากวัดหน้าต่างนอกไปวัดบางนมโคก็ประมาณสี่กิโลเมตร เรือเร็ววิ่งประมาณสิบกว่านาที แต่ถ้าเดินก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง อีกทั้งใกล้จะถึงเวลาเริ่มพิธีแล้ว  ท่านจึงจอดเรือรอ แต่หลวงพ่อจงบอกว่าไม่ต้องรอ ให้กลับไปก่อน แล้วหลวงพ่อจะรีบเดินตามไปให้ทันพิธี

เมื่อหลวงพ่อฤาษีลิงดำกลับมาถึงวัดบางนมโค ก็ขึ้นไปกราบรายงานหลวงพ่อปานว่า หลวงพ่อจงกำลังรดน้ำมนต์อยู่ นิมนต์ให้ท่านมาเรือ ท่านก็ไม่มา ท่านจะเดินมา อีกสักครู่ท่านคงจะมาถึง  หลวงพ่อปานได้ฟังก็ยิ้ม หัวเราะชอบใจ บอกว่า นี่เจ้าลิงดำ หลวงพ่อจงเล่นตลกกับแกเสียแล้ว แกไปดูบนศาลาสิ ก็เลยกราบท่านแล้วขึ้นไปดูบนศาลา ปรากฏว่าหลวงพ่อจงนั่งอยู่บนอาสนะ นั่งหน้าพระรูปอื่นทั้งหมด เพราะท่านมีอาวุโสมาก  หลวงพ่อฤาษีลิงดำจึงเข้าไปกราบ ท่านจึงถามว่ามานานแล้วรึ  ก็กราบเรียนท่านไปว่าเพิ่งมาถึง ไปหาหลวงพ่อปานสักสองนาทีแล้วก็ขึ้นมาบนศาลานี่



5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-1-21 15:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เลยมานั่งสงสัยว่าหลวงพ่อจงท่านเดินยังไง คนหนุ่ม ๆ ยังเดินตั้งเกือบชั่วโมง ก็เมื่อไปถึงวัดหน้าต่างนอกตอนนั้น หลวงพ่อจงกำลังจะรดน้ำมนต์ แต่ท่านมาถึงวัดบางนมโคก่อนเรือเร็วของหลวงพ่อฤาษีลิงดำเสียอีก  ขณะที่กำลังคิดสงสัยอยู่นั้น หลวงพ่อจงก็ถามว่าแปลกใจรึ  ท่านบอกว่าไม่มีอะไรแปลก พระในพระพุทธศาสนาถ้าปฏิบัติถึงขั้นก็เดินเก่งกันทุกคน ถ้าปฏิบัติยังไม่ถึงก็ยังเดินไม่เก่ง

พระอธิการจง พุทฺธสโร
วัดหน้าต่างนอก  จ.พระนครศรีอยุธยา
หลวงพ่อจง พุทฺธสโร แห่งวัดหน้าต่างนอกนี้ ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก เชื่อกันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทา ทรงอภิญญาสมาบัติ มีฤทธิ์มาก  ท่านเป็นหนึ่งใน 21 ยอดพระอริยคณาจารย์ที่ได้รับนิมนต์เข้าร่วมพิธีมหาพุทธาภิเษกที่วัดราชบพิธ เมื่อปี พ.ศ. 2481  และในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ท่านเป็นที่พึ่งของชาวบ้านจากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลกันมาขอบารมีท่านช่วยปกป้องคุ้มครองให้รอดพ้นจากภัยสงคราม

มีเรื่องเล่าในทำนองเดียวกันเกี่ยวกับหลวงปู่สี ฉนฺทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์  หลวงตาแว่น พระหลานชายของท่านเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งได้ติดตามหลวงปู่สีไปอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี หลังจากฉันภัตตาหารเช้าเสร็จ ท่านก็ออกเดินทางกลับวัด โดยบอกให้หลวงตาแว่นเดินหน้า หลวงปู่สีเดินตามหลัง พอเดินมาถึงตำบลช่องแค จังหวัดนครสวรรค์ ปรากฏว่ายังไม่เที่ยง ทันเวลาฉันเพลพอดี

จากอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ถึงตำบลช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ระยะทางเกือบสองร้อยกิโลเมตร ถ้านั่งรถยนต์ขับเร็ว ๆ ก็ใช้เวลาร่วมสามชั่วโมง แต่หลวงปู่สีท่าน "เดิน" ถึงช่องแคทันฉันเพลได้ เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่ง

หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ
วัดเขาถ้ำบุญนาค  อ.ตาคลี  จ.นครสวรรค์
หลวงปู่สีท่านเป็นชาวอำเภอรัตนะ จังหวัดสุรินทร์ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2392 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อท่านมรณภาพในปี พ.ศ. 2520 นั้น มีอายุได้ 128 ปี เป็นพระเถระที่มีพรรษากาลสูงมากรูปหนึ่ง วัตถุมงคลของท่านไม่เป็นสองรองใคร


6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-1-21 15:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อีกเรื่องหนึ่ง จากหนังสือ ฐานสโมบูชา บันทึกโดยคุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต  เกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม แห่งวัดป่าสัมมานุสรณ์ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์  อ.วังสะพุง  จ.เลย
คุณหญิงสุรีพันธุ์ท่านเล่าว่า ในราวต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 หลวงปู่ชอบตามคุณหญิงไปพบเพื่อให้ช่วยจัดพิมพ์หนังสือปาฏิโมกข์ เป็นหนังสือเกี่ยวกับพระวินัยที่พระภิกษุจะต้องสวดเวลาลงปาฏิโมกข์ในวันพระ จำนวน 84,000 เล่ม ให้เสร็จทันถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันฉัตรมงคล 5 พฤษภาคม

เมื่อรับคำครูบาอาจารย์แล้ว คุณหญิงจึงรีบเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งท่านเป็นองค์ประธานมหามกุฏราชวิทยาลัย เพื่อทูลขออนุญาตจัดพิมพ์หนังสือตามคำขอของหลวงปู่  สมเด็จฯ ท่านก็ทรงพระเมตตาและประธานคำ "ธรรมทานานุโมทนา" ให้ด้วย
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร  กรุงเทพมหานคร
น่าแปลก..เป็นเพราะบารมีของหลวงปู่โดยแท้ ทั้ง ๆ ที่คุณหญิงและคณะฯ เพิ่งเสร็จจากงานบุญ ทั้งกฐินและผ้าป่าหลายงานติดกัน แต่พอบอกต่อเรื่องงานที่หลวงปู่จะให้จัดพิมพ์หนังสือ เพียงไม่กี่วันก็สามารถหาเงินได้ล้านกว่าบาท พอที่จะเป็นค่าพิมพ์หนังสือ อีกทั้งโรงพิมพ์ก็ช่วยจัดพิมพ์ให้ในราคาพิเศษ ใช้กระดาษอย่างดี หน้าปกทองแถมหุ้มพลาสติกด้วย ประมาณปลายเดือนเมษายน หนังสือก็เสร็จเรียบร้อย

คุณหญิงท่านได้แบ่งหนังสือจำนวนหนึ่งไว้ที่กรุงเทพฯ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเตรียมจะถวายสมเด็จพระสังฆราชและพระเถระชั้นผู้ใหญ่เพื่อทรงแจกจ่ายไปทั่วประเทศ อีกส่วนนำไปถวายหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่วัดโคกมน พร้อมทั้งนำรายชื่อผู้ที่ร่วมกันจัดพิมพ์หนังสือเพื่อให้หลวงปู่แผ่เมตตาให้กับผู้บริจาคทุกท่านด้วย

คณะของคุณหญิงไปถึงวัดโคกมนก็เป็นเวลาเกือบมืดแล้ว พระที่วัดได้ให้ไปรอที่ศาลาซึ่งมีรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่ตั้งอยู่ แล้วชาวบ้านกับพระก็เอาเสื่อมาปูให้นั่ง เป็นเสื่อเก่าที่ผ่านการใช้งานมานานจนขาดและมีกลิ่นอับ คุณหญิงท่านก็นึกแปลกใจเพราะสภาพเสื่อไม่เหมาะที่จะนำมารับแขก แต่ก็คิดว่าคงจะดีที่สุดที่พอจะหาได้ในขณะนั้น

รอที่ศาลาสักครู่ พระก็เข็นรถหลวงปู่มาที่ศาลา คุณหญิงและคณะก็ได้กราบรายงานเกี่ยวกับหนังสือที่จัดพิมพ์และขอให้หลวงปู่แผ่เมตตาให้กับผู้บริจาค  คุณหญิงท่านเล่าว่า ขณะนั้น ภายในศาลามืดมาก มืดจนเพื่อนคนหนึ่งในคณะต้องนำไฟฉายมาส่องขณะอ่านรายชื่อผู้ร่วมบริจาคตั้งแต่หมื่นบาทขึ้นไปให้หลวงปู่ฟัง ก็แปลกใจที่พระท่านยังไม่เปิดไฟทั้ง ๆ ที่ภายนอกศาลาก็มืดแล้ว

หลังจากพักค้างแรมที่วัดหนึ่งคืน คณะของคุณหญิงได้ถวายภัตตาหารเช้าหลวงปู่ และกราบลาท่านกลับกรุงเทพฯ  รถของคุณหญิงแวะเติมน้ำมันจนเต็มถังแถวบ้านสีดาก่อนถึงนครราชสีมา และแวะซื้อผลไม้ที่ปากช่อง ก่อนออกรถ คุณหญิงก็พูดดัง ๆ ขึ้นว่า "ดูซิว่าจากปากช่อง เราจะใช้เวลาเท่าไร นี่เวลานี้หกโมงครึ่งนะ"

เรื่องแปลกเกิดขึ้นคือ ทั้ง ๆ ที่รถของคุณหญิงใช้ความเร็วเฉลี่ย 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และขณะนั้น ย่านรังสิตก็มีการก่อสร้างทาง ทำให้การจราจรติดขัด แต่รถก็วิ่งเข้ากรุงเทพฯ อย่างราบรื่นโดยไม่ติดสัญญาณไฟแดงที่ใดเลย และมาถึงบ้านลาดพร้าวของคุณหญิง เป็นเวลาทุ่มครึ่ง เท่ากับว่าใช้เวลาเดินทางจากปากช่องถึงลาดพร้าวเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น

น้ำมันรถที่เติมไว้เต็มถังที่บ้านสีดา ซึ่งห่างจากกรุงเทพฯ ราว 300 กิโลเมตร ก็ไม่ได้พร่องลงเลย ภายหลังนำรถส่งคืนเจ้าของ เจ้าของรถบอกว่าน้ำมันที่เหลืออยู่ในรถนั้น สามารถใช้ต่อในกรุงเทพฯ ได้อีกเจ็ดวัน

เรื่องนี้ยังมีต่ออีกว่า น้องคนหนึ่งที่ร่วมเดินทางไปด้วย ชื่อคุณศรีเพ็ญ เป็นคนถ่ายรูป ได้ส่งข่าวมาว่า รูปที่ถ่ายวันที่ไปกราบหลวงปู่นั้น ภายในศาลาดูสว่างเหมือนเวลาบ่าย และมีแสงจากดวงไฟบนเพดาน เป็นลำแสงสีฟ้า ซึ่งความจริงแล้วในเวลานั้น บนศาลามืดมาก และพระท่านยังไม่ได้เปิดไฟ กระทั่งจะอ่านหนังสือยังต้องใช้ไฟฉายช่วยส่อง  ที่น่าแปลกคือ ในภาพนั้น คณะของคุณหญิงนั่งบนเสื่อขาดเก่า ๆ ผืนเล็ก ๆ  แต่อีกรูปหนึ่งที่ถ่ายมา กลับเป็นภาพที่คณะของคุณหญิงกำลังนั่งบนเสื่อจันทบูรผืนยาว สีแดง ใหม่เอี่ยม  ทำให้คิดไปว่า คงเป็นผลแห่งบุญที่ได้กระทำ แม้ในโลกแห่งความเป็นจริง จะนั่งอยู่บนเสื่อผืนเก่า แต่ในโลกทิพย์ กำลังนั่งอยู่บนเสื่อจันทบูรสีแดงผืนใหม่เอี่ยม

ความแปลกอีกประการหนึ่งคือ ในรูปนั้นปรากฏใครไม่ทราบนั่งซ้อนทับคณะของคุณหญิงอยู่ กำลังกราบรูปปั้นหลวงปู่ในศาลา ในท่านั่งกระหย่ง เห็นแต่เท้าขนาดใหญ่สามเท้า ซึ่งไม่ใช่ขนาดเท้าของมนุษย์เรา หลายรูปปรากฏภาพแปลก ๆ อย่างเช่น ในความเป็นจริง พระที่ปรนนิบัติหลวงปู่มีอยู่เพียงสองท่าน แต่ในรูปจะมีพระรางเลือนอีกหลายท่าน  คงจะเป็นเทพยดาที่เคยบวชเป็นพระมาก่อน มาเฝ้าปรนนิบัติหลวงปู่อยู่ด้วย ทำให้เริ่มเข้าใจว่า ทำไมหลวงปู่ท่านจึงอยู่ในบริเวณที่มืด ๆ ได้อย่างสบาย เพราะในขณะที่เราเห็นเป็นที่มืดนั้น แต่สำหรับหลวงปู่ กลับเป็นโลกที่สว่างด้วยแสงเทพตลอดเวลา


http://thaprajan.blogspot.com
สาธุครับ
สาธุครับ
ขอบคุณคร้าบ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้