ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง ~

[คัดลอกลิงก์]
31#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ดีใจซึ่งได้อาหารวันนี้ เพราะเราเข้าใจว่าเป็นอาหารพระพ่อ คือเป็นมูลของพระพุทธเจ้านั่นเอง และเป็นอาหารที่เกิดจากการ บิณฑบาตได้ เมืองนี้ยังไม่เคยมีพระบิณฑบาตเลย เพราะเขามีความอายกันเป็นส่วนมาก แต่ตรงกันข้ามกับเราๆ เห็นว่า คำที่ว่าอายนี้ เราเห็นว่าอายต่อบาป อายต่อความผิดเท่านั้น ซึ่งเป็นความหมายของพระองค์นี้ เป็นความเห็นของเราเอง จะถูกหรือผิดก็ขออภัยจากนักปราชญ์ทั้งหลายด้วย และวันเดียวกันนั้นโยมของเขมธัมโม ทั้งผัวเมียได้ถวายอาหารด้วย ได้ขอฟังเทศน์และฝึกกรรมฐานเป็นพิเศษอย่างเป็นที่พอใจ

หนังสือพิมพ์ได้สะกดรอยไปข้างหลัง แล้วถ่ายรูปเป็น สระยะๆ ในระหว่างการเที่ยวบิณฑบาต เพราะเป็นของแปลกๆ ประชาชนชาวเมืองลอนดอนยืนดูกันเป็นแถวๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

เย็นวันหนึ่งมีหญิงคนหนึ่งมาที่วัดธรรมประทีป ถามปัญหาว่า คนตายแล้วไปอยู่ที่ไหน? และวิญญาณไปอยู่อย่างไร? หลวงพ่อจึงพูดว่า...ปัญหาอย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่ทรงให้ตอบ เพราะเรื่องอย่างนี้มิใช่เหตุ (จำเป็น) ขณะนั้นหลวงพ่อนั่งอยู่บนธรรมาน์มีเทียนจุดไว้ ๒ เล่ม หลวงพ่อจึงถามว่า โยมมองเห็นเทียนนี้ไหม? เขาตอบว่า เห็น หลวงพ่อจึงถามว่า เห็นไฟนี่ไหม? เขาก็ตอบว่า เห็น ทันใดนั้น หลวงพ่อจึงเอาปากเป่าลมให้เทียนเล่มหนึ่งดับแล้วถามว่า เปลวของไฟนี้หายไปทิศไหน? เขาตอบว่า ไม่รู้ รู้แต่ว่าเปลวไฟดับไปเท่านั้น หลวงพ่อจึงถามอีกว่า แก้ปัญหาอย่างนี้พอใจไหม? เขาตอบว่า ยังไม่พอใจ ในคำตอบนี้ หลวงพ่อจึงพูดว่า ถ้าอย่างนั้น เราก็ไม่พอใจในคำถามของโยมเหมือนกัน เท่านั้นเอง กิเลสของเขาก็พุ่งขึ้น เขาทำตาถลึงขึ้น สะบัดหน้าแล้วก็หมดเวลาพอดี...

การพักอยู่ที่วัดธรรมประทีปลอนดอนนั้น ที่ทำประจำ คือ ตอนเช้าออกบิณฑบาต ตอนบ่ายถึงเย็นแสดงธรรมสอบรมกรรมฐานให้ญาติโยมที่มา และตอบปัญหาที่เขาถามเป็นประจำ แม้ไปที่เมืองอื่นๆ ก็ปฏิบัติอย่างนี้อยู่เป็นประจำ แล้วแต่เวลาและโอกาส

ในขณะที่หลวงพ่อไปประกาศสัจธรรมอยู่ในประเทศอังกฤษ ได้มีฝรั่งคนหนึ่ง เรียนถามท่านว่า ชีวิตของพระเป็นอย่างไร? ทำไมชาวบ้านถึงได้เลี้ยงดูโดยที่พระไม่ได้ทำอะไร?

หลวงพ่อจึงตอบแบบให้เขาต้องขบคิดปัญหาของตัวเองว่า ถึงบอกให้ก็ไม่รู้หรอกมันเหมือนกับนกที่อยากรู้เรื่องของปลา ในน้ำ ถึงปลาจะบอกความจริงว่า อยู่ในน้ำนั้นเป็นอย่างไร นกก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ ตราบใดที่นกยังไม่ได้เป็นปลา
32#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คำพูดที่ซึ้งใจ จับใจของหลวงพ่อมันเข้าไปติดอยู่กับใจของคนเหล่านั้นอีกนาน ดังนั้นเมื่อหลวงพ่อกลับสู่เมืองไทยแล้ว ในระหว่างพรรษาปี ๒๕๒๐ นั้นเอง หลวงพ่อจึงได้รับหนังสือจาก คณะผู้จัดทำภาพยนตร์เพื่อการศึกษาของสถานีวิทยุ และโทรทัศน์ บี.บี.ซี. กรุงลอนดอน ติดต่อเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะวัดหนองป่าพง ตอนท้ายของหนังสือติดต่อฉบับนั้นมีข้อความอยู่ประโยคหนึ่งที่เขาพูดเน้นว่า หวังว่าท่านอาจารย์ คงจะเป็นปลาที่เห็นประโยชน์ (เกื้อกูล) แก่นก

ดังนั้นเมื่อประมาณต้นเดือนตุลาคมของปีนั้นเอง คณะของเขาจึงได้เดินทางเข้ามาเพื่อทำภาพยนตร์ดังกล่าวซึ่งเป็นเรื่องราวสารคดีเกี่ยวกับชีวิต และกิจวัตร ประจำวัน และข้อวัตรปฏิบัติทั้งปวงของพระป่า อันมีนามว่า พระกรรมฐานโดยตรง หลังจากนั้นไม่นานภาพยนตร์สารคดี เพื่อการศึกษาเรื่องนั้นก็ได้กระจายออกไปค่อนโลก

ในคราวออกไปประกาศสัจธรรมสู่ภาคพื้นตะวันตกของหลวงพ่อครั้งนี้ นอกจากที่ประเทศอังกฤษแล้วในระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ถึงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๒๐ นั้น หลวงพ่อ ยังได้แผ่เมตตาไปถึงชาวปารีสประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย ช่วยให้ คนของประเทศนั้น และผู้พึ่งย้ายเข้าไปอยู่ร่วม เขาได้ดื่มด่ำในรส แห่งพระสัทธรรม อันพรั่งพรูออกจากโอษฐ์ของหลวงพ่อเป็นเวลา ตั้ง ๙ วัน หลวงพ่อพูดให้ฟังว่า เป็นที่เกิดความสังเวชน่าสงสาร ชาวลาว เขมร ญวน อพยพเหล่านั้นบ้านแตกสาแหรกขาด เป็นคนพลัดถิ่นเหินห่างดินแดนมาตุภูมิส เพราะไฟกิเลสที่คนเราก่อขึ้นทำลายกัน คนที่เคยร่ำรวยอยู่ดีสบายมากลับกลายเป็นคนจนขัดนพลัดจากบ้านเกิดเมืองนอนมีผิวพรรณหมองคล้ำ น้ำตานองหน้า ความพลัดพรากจากของที่รักที่พอใจมันก็ เป็นทุกข์ คนตาดีเท่านั้น จึงจะมองเห็นธรรม ส่วนคนตาบอด (ตาใน) ย่อมมองไม่เห็นธรรมเลย

ตอนหนึ่งท่านได้ให้โอวาท เป็นการปลอบใจ ของผู้พลัดถิ่น เหล่านั้นว่า เลิกคิดเสีย อย่าไปคิดถึงมัน เรื่องที่ผ่านไปแล้วมัน ก็ผ่านไปแล้ว เหมือนวันวาน อย่าไปเก็บเอามาเป็นหนามทิ่มแทงตัวเองอีกเลย ให้ถือว่าเราเกิดใหม่แล้ว บ้านของเรานั้นอยู่ที่ไหนเล่า อยู่ที่นี่ตรงนี้แหละ ญาติมิตรของเราก็อยู่มีที่นี่แล้ว ที่เราจากมามันไม่ใช่บ้านของเรา ถ้าเป็นบ้านของเราจริงเราก็ต้องอยู่ได้ซิ...อย่าไปคิดอะไรมากจะลำบากตัวเองเปล่าๆ จงอุตส่าห์ทำมาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริตดำรงชีวิตสร้างความดีต่อไป ให้มีความสามัคคีเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือกันมีเมตตาอารีต่อกัน จะอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีใครอยู่ได้นานเท่าไหร่หรอก เดี๋ยวเราก็พากันจากมันไปหมดนั่นแหละ

ธรรมโอสถของหลวงพ่อ คงจะเป็นดั่งทิพย์วารีชำระล้างจิตที่เศร้าหมองระทมทุกข์มาแรมปี พอได้ร่างซาความเร่าร้อนลงได้บ้าง คงจะเป็นผ้าสำลีแผ่นน้อยๆ คอยซับน้ำตาในยามทุกข์ได้บ้าง คงจะทำให้เขาเหล่านั้นพอมีทางมองเห็นเข็มทิศชี้ทางให้เขาเหล่านั้น ไม่คิดสั้นเกินไปกระมัง...

เมื่อกลับคืนสู่วัดพระธรรมประทีป กรุงลอนดอนแล้ว หลวงพ่อก็ได้ประกาศธรรม และทำศาสนกิจประจำดังเช่นวันก่อนๆ จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๒๐ หลวงพ่อได้เขียนไว้ในสมุดบันทึกว่า
33#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตอนกลางคืนวันที่ ๑๔ พลอากาศโทชู พร้อมด้วยคุณนาย สุภาพและคุณทองน้อย ซึ่งเป็นคนของไทยอินเตอร์ ได้ไปรวมกับพวกทำกรรมฐาน และได้ร่วมในการเปิด สาขาที่ ๑ (ภาคพื้นยุโรป) นี้ด้วย และในวันที่ ๑๕ ก็ได้ช่วยบริการให้ความสะดวกทุกอย่างบนเครื่องบินตลอดต้นทาง ถึงปลายทางด้วย ทั้งตอนไปก็ให้ความสะดวก และตอนกลับก็ให้ความสะดวก

เราได้เดินทางไปเมืองนอก และเมืองในนอก และเมืองในใน และเมืองนอกนอก รวมเป็น ๔ เมืองด้วยกัน และภาษาที่ต้องใช้ในเมืองทั้งหลายเหล่านี้คือ นิรุตติภาษาจึงเกิดประโยชน์เท่าที่ควร ภาษาทั้งหลายเหล่านี้ ไม่มีครูสอนเป็นภาษาที่ต้องเรียนด้วยตนเองเท่านั้น เมื่อพบกับเหตุการณ์ ภาษาทั้งหลายเหล่านี้จึงจะปรากฏขึ้นเฉพาะ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงแตกฉานในภาษาทั้งปวง และได้เห็นชนชาวยุโรปนี้ เป็นดอกบัว ๔ เหล่าจริงๆ เรามีความรู้สึกอย่างนั้น

เราเป็นพระอยู่แต่ในป่ามานมนาน นึกว่าไปเมืองนอกจะมีความตื่นเต้นก็เปล่า พระพุทธเจ้าตามควบคุมเราอยู่ทุกอิริยาบถ มิหนำซ้ำยังไม่เกิดปัญญาอีกด้วย เหมือนบัวในน้ำไม่ยอมให้น้ำท่วม ฉันนั้น พิจารณาตรงกันข้ามเรื่อยไป

ได้เที่ยวไปดูในมหาวิทยาลัยต่างๆแล้วจึงคิดว่า มนุษยศาสตร์ทั้งหลายมันยิ่งเห็นได้ชัดว่ามีแต่ศาสตร์ที่ไม่มีคมทั้งนั้น ไม่สามารถจะตัดทุกข์ได้มีแต่ก่อให้เกิดทุกข์ศาสตร์ ทั้งหลายเหล่านั้นเราเห็นว่า ถ้าไม่มาขึ้นต่อพุทธศาสตร์ แล้วมันจะไปไม่รอดทั้งนั้น เมื่อเรานั่งอยู่บนเครื่องบิน มีความรู้สึกแปลกหลายอย่าง และได้วิตกไปถึงคำที่ท่านว่า สู ทั้งหลายจงมาดูโลกนี้อันตระการดุจราชรถที่คนเขลาย่อมหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ อันนี้ก็ชัดเจนยิ่งขึ้นและคำที่ท่านตรัสไว้ว่า เมื่อยังไม่รู้การประพฤติและประเพณีของชนในกลุ่มทั้งหลายเหล่านั้น เราอย่าไปถือตัวในที่นั้น อันนี้ก็ชัดเจนขึ้นถึงที่สุด

ยานที่นำประชาชนทั้งหลายไปสู่จุดประสงค์ ก็เป็นยานอย่างหยาบๆ เพราะเป็นยานที่นำคนที่มีทุกข์ในที่นี้ ไปสู่ทุกข์ในที่นั้นอีกสวนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบ และรู้สึกขึ้นว่าเรามาเมืองนอกได้ เพราะอะไรเป็นเหตุ? เพราะอะไรๆ เรา ก็ไม่ได้ศึกษาและมาได้โดยสะดวกทุกอย่างมีผู้บริการทั้งนั้น เมื่อคิดๆดูก็แปลกและรู้สึกขบขันมากๆ (เขียนบนเครื่องบินกำลังบินบนอากาศสูงสุดสองหมื่นฟุต)

ความรู้สึกในเหตุการณ์ ที่ได้ไปเมืองนอกในคราวนี้ ก็น่าขบขันเหมือนกัน เพราะเราเห็นว่าอยู่เมืองไทยมานานแล้ว คล้ายๆกับพญาลิงให้คนหยอกเล่นมาหลายปีแล้ว ลองไปเป็นอาจารย์กบในเมืองนอกดูสักเวลาหนึ่งมันจะเป็นอย่างไร เพราะภาษาเขาเราไม่รู้ ก็ต้องเป็นอาจารย์กบอย่างแน่นอน และก็เป็น ไปตามความคิดอย่างนั้น กบมันไม่รู้ภาษาของมนุษย์ แต่พอมันร้องขึ้นแล้วคนชอบไปหามันจังเลย

เลยเป็นคนใบ้ สอนคนบ้าไปอีกเสียแล้ว ก็ดีเหมือนกัน ปริญญาของพระพุทธเจ้านั้นไม่ต้องไปเรียนไปสอนกับเขาหรอก ฉะนั้นพระใบ้เลยเป็นเหตุให้ได้ตั้งสาขา ๒ แห่ง คือกรุงลอนดอน และฝรั่งเศส เพื่อให้คนบ้าศึกษาก็ขบขันดีเหมือนกันฯ...

วันที่ ๑๙ ก.ค. ๒๕๒๐ เดินทางกลับจากกรุงลอนดอน สู่ประเทศไทย
34#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การจาริกไปต่างประเทศครั้งที่ ๒

ในการจาริกครั้งที่ ๒ นี้เนื่องจากหลวงพ่อได้บันทึกไว้ ในสมุดเหมือนครั้งแรกท่านคงพิจารณาเห็นว่าครั้งที่หนึ่งบันทึกไว้ข้าง นอกเพื่อผู้อื่นได้ทราบผลงานจินตนาการบางอย่างของท่าน เหมือนกับเปิดไฟให้มีแสงสว่างหน้าบ้าน เพื่อเป็นประโยชน์แก่ คนทั่วไป ที่ใคร่ในการเดินทาง...

แต่การไปครั้งที่สองของท่านนี้ หลวงพ่อบันทึกไว้ข้างในมากกว่า ผู้รวบรวมจึงไม่สามารถที่จะนำมาเสนออย่างละเอียดแก่ผู้อ่านได้ จึงมีเพียงย่อๆ เปรียบเหมือนหลวงพ่อได้เปิดไฟสว่าง ในห้องนอน แต่แสงสะท้อนซึ่งส่องออกมา ก็ทำให้ผู้อยู่ข้างนอก ได้รับแสงสว่างส่องทางเดินแห่งชีวิตของเขาเหล่านั้น ตามสมควรแก่ฐานะภาวะของตน

ดังนั้นจึงมีชาวสังฆทรัสต์ แห่งประเทศอังกฤษ ได้ติดต่อขอนิมนต์หลวงพ่อชา สุภัทโท ให้จาริกไปเผยแพร่ธรรมะที่นั่นเป็นครั้งที่ ๒ ในปี ๒๕๒๒ หลวงพ่อจึงได้ออกเดินทางไปตามคำนิมนต์ของเขา พร้อมกับพระปภากโรอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๒ นั้นเอง เมื่อเดินทางถึงประเทศอังกฤษแล้วก็ได้ ให้การอบรมกรรมฐาน แสดงธรรมและสนทนาธรรมกับผู้มาพบเป็นจำนวนมากขึ้นกว่าการไปครั้งแรกหลายเท่า นอกจากนั้นท่านยังได้ไปดูสถานที่ที่เขาถวาย เพื่อจัดตั้งเป็นสำนักถาวรขึ้น ในที่แห่งใหม่นี้เป็นธรรมชาติน่ารื่นรมย์ใจ เหมาะสมแก่การปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะบริเวณกว้างขวางดี รู้สึกว่าไม่คับแคบเหมือน แฮมป์สะเตท ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางเมืองลอนดอน ไม่เพียงพอแก่จำนวนคนผู้ใคร่ต่อการปฏิบัติธรรม ส่วนสถานที่แห่งใหม่นี้เป็นป่าธรรมชาติของเมืองหนาวมีทะเลสาบอยู่ใกล้ๆมีตึกเก่าหลังใหญ่อยู่หลังหนึ่ง ใช้เป็นที่พักพาอาศัย และประกาศสัจธรรมของพระภิกษุสามเณรซึ่งล้วนเป็นชาวตะวันตก ผู้ได้รับการบรรพชาอุปสมบท ไปจากวัดหนองป่าพง จึงเป็นอันกล่าวได้ว่าพระสงฆ์ผู้เป็นลูกศิษย์ ของหลวงพ่อคณะนั้นได้เข้ามาอยู่อาศัยที่แห่งใหม่นี้เพื่อปฏิบัติธรรม และประกาศสัจธรรมเรื่อยมา คณะกรรมการของธรรมประทีป เป็นเพียงผู้อุปถัมภ์ตามสมควรแก่ฐานะเท่านั้น ปัจจุบันนี้ได้รับความสนใจจากชาวไทยและชาวต่างประเทศ ให้การสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นับว่าท่านสุเมโธและคณะลูกศิษย์ ซึ่งเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ ในนามหลวงพ่อชาแห่งวัดหนองป่าพงได้ถ่ายทอดหลักปฏิบัติธรรม ให้ดำรงอยู่ในภาคพื้นตะวันตกนั้นได้อย่างดียิ่ง

เมื่อหลวงพ่อได้พักอยู่ที่ซัสเซ็คพอเป็นที่อุ่นใจแก่บรรดาสานุศิษย์แล้วจึงกลับมาพักที่แฮมป์สะเตทระยะหนึ่งเพื่อเตรียมตัว ออกเดินทางไปสหรัฐอเมริกา
35#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จาริกสู่อเมริกา

หลวงพ่อชาออกเดินทางสู่สหรัฐอเมริกามีท่านปภากโร เป็นปัจฉาสมณะ ได้ไปพักที่สำนักกรรมฐานของนายแจ๊ค ผู้เป็นศิษย์ฝรั่ง ซึ่งเคยมาบวชอยู่ที่วัดหนองป่าพง หลวงพ่อได้พักอยู่ ที่สำนักนั้นเป็นเวลาเก้าวัน ท่านได้อบรมข้อปฏิบัติกรรมฐานแก่ ชนชาวอเมริกันเป็นจำนวนมาก ทำให้เขาเหล่านั้นได้รับปีติสุข เกิดความสนใจในหลักปฏิบัติตามแนวหลวงพ่อสั่งสอน แล้วจึงออกจากแมซาชูเทเดินทางไปเมืองซีแอ๊ตเติ้ล ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของท่านปภากโร ภิกขุ ออกจากซีแอ๊ตเติ้ลแล้วเดินทางเข้าสู่ชิคาโก แล้วก็เดินทางไปสู่ประเทศแคนาดา จากนั้นก็ได้ย้อนกลับมาที่แมซาชูเท แล้วเดินทางต่อไปที่นครนิวยอร์ค แต่ละสถานที่ที่หลวงพ่อได้ไปเยี่ยมนั้นๆ ท่านก็ได้แนะนำหลักปฏิบัติธรรมได้สนทนาธรรมและตอบปัญหาแก่ผู้ที่สนใจจนเป็นที่ซาบซึ้งตรึงใจของเขาเหล่านั้น

เมื่อหลวงพ่อกลับจากสหรัฐคืนสู่อังกฤษแล้ว พักที่ แฮมป์สะเตทท่านได้อยู่ดูแล การเคลื่อนย้ายบริขารของพระสงฆ์สานุศิษย์เพื่อเดินทางไปสถานที่แห่งใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ต่อจากนั้นท่านก็ได้เดินทางไปเยี่ยมบ้านของ มิสเตอร์ซอร์ เศรษฐีชาวพม่าอยู่ที่โอ๊คเก็นโฮล์ท ได้ร่วมสังฆกรรมบวชนาคกับท่านมหาสียาดอว์ ซึ่งเป็นพระเถระพม่าเป็นอุปัชฌาย์ ให้การอุปสมบทกุลบุตร

ต่อมาหลวงพ่อก็ได้รับนิมนต์ให้เดินทางไปยังสก๊อตแลนด์พักอยู่ที่นั้นสองคืน มีผู้สนใจในการปฏิบัติธรรม ซึ่งเคยมาฝึกภาวนาธรรมกับท่านสุเมโธก็มีอยู่ไม่น้อยและมีผู้สนใจคิดอยากจะให้ตั้งสำนักสาขาของหลวงพ่อขึ้นอีกที่นั่น
สักหนึ่งแห่งแต่ท่านยังพิจารณาอยู่ว่าจะมีความเหมาะสมเพียงใดหรือไม่

การเดินทางไปประกาศสัจธรรมในต่างประเทศของ หลวงพ่อชา สุภัทโท ทั้งสองครั้งนี้นั้น จึงถือได้ว่าหลวงพ่อได้นำหลักปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนา ไปเผยแพร่ยังต่างประเทศ ในนามของคณะสงฆ์และปวงชนชาวไทย ให้เป็นที่รู้จักของชนชาวตะวันตก เพื่อจะได้ดำรงคงอยู่ในภาคพื้นส่วนนั้นตลอดชั่วกาลนาน

หลวงพ่อได้เดินทางกลับคืนสู่ประเทศไทย เพื่อกลับมาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของสานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๒
36#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงพ่ออาพาธ

สังขารร่างกายของหลวงพ่อก็เกิดก่อมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งมีใจครอง เหมือนเราๆท่านๆนี่แหละ เมื่อสังขารผ่านมานานวัน ยิ่งใช้งานมากความทรุดโทรมก็เร็วขึ้นกว่าปกติ สมัยข้าพเจ้ามาอยู่กับท่านปีแรกๆ เคยนั่งสนทนาธรรมกับหลวงพ่อตั้งแต่สองทุ่ม จนกระทั่งถึงตี ๓ ตี ๔ บางโอกาส เคยเห็นท่านนั่งสนทนาธรรม กับญาติโยม ผู้สนใจในธรรมซึ่งเดินทางมาจากถิ่นไกล จนกระทั่งถึงรุ่งเช้าก็มีหลายๆครั้ง ชีวิตของท่านเกิดมาเพื่อผู้อื่นสมองเห็นประโยชน์เกื้อกูลแก่หมู่มนุษย์ผู้มาสู่ แม้จะอ่อนเพลียเมื่อยล้าสักปานใด ท่านก็ไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอให้เห็น เพราะอาศัยความเมตตาเป็นที่ตั้ง แม้ลูกศิษย์จะอยู่ในสำนักสาขาใดๆ จะไกลหรือใกล้ก็ตาม ท่านยังอุตส่าห์เดินทางไปให้กำลังใจและแนะนำการปฏิบัติสนับสนุนอย่างทั่วถึงแต่สังขารร่างกายทุกอย่างก็มี ความ แก่ เจ็บ ตาย ไปเป็นธรรมดา

ดังนั้นในปี ๒๕๒๐ ถึงแม้ความผิดปกติของร่างกายจะปรากฏขึ้นบ้าง แต่เพราะหลวงพ่อมุ่งประโยชน์เพื่อส่วนรวม ท่านก็ยังอดทนสู้ได้เดินทางไปประกาศสัจธรรมในต่างประเทศถึงสองครั้ง เป็นการนำธรรมโอสถจากดินแดนภาคตะวันออก ไปสงเคราะห์ชาวตะวันตก ให้ได้รับประโยชน์อย่างดียิ่ง นี่คือพลังแห่งเมตตาธรรม ซึ่งมีประจำอยู่ในหทัยของท่าน

หลวงพ่อเริ่มอาพาธ และเริ่มมีอาการปรากฏขึ้นทีละน้อยๆ จนกระทั่งได้รับการผ่าตัดทางสมอง แต่ก็เป็นที่น่ายินดีที่ได้มีคณะแพทย์หลายท่าน หลายโรงพยาบาลได้ถวายการรักษาจนสุดความสามารถ ซึ่งบรรดาคณะศิษย์ทั้งหลายขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ และตามหนังสือรายงานแพทย์ ซึ่งนายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา และนายแพทย์สุพัฒน์ โอเจริญ แห่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จ.กรุงเทพฯ ได้บันทึกไว้ว่า

หลวงพ่อชาอายุ ๖๔ ปี แข็งแรงเป็นปกติดี จนเริ่มมีอาการครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๐ ขณะเดินทางไปประเทศอังกฤษ ด้วยรู้สึกโงนเงน การทรงตัวไม่ค่อยดี ไม้เท้าซึ่งใช้ถืออยู่เป็นประจำ อยู่แล้ว รู้สึกว่าจำเป็นต้องใช้มีอาการหนักบริเวณต้นคอด้วย

ตั้งแต่นั้นมา อาการโงนเงนทรงตัวไม่ค่อยดี ก็เป็นมาตลอด บางระยะก็เป็นมาก บางระยะก็น้อย พ.ศ.๒๕๒๓มีอาการคลื่นไส้มักเป็นตอนดึกๆมีน้อยครั้งที่เกิดอาเจียนด้วย อาการโงนเงนยังเป็น เช่นเดิม ไม่เคยถึงกับล้ม

พ.ศ.๒๕๒๔ ราวเดือนกรกฎาคม เริ่มมีอาการความจำ ไม่ดี อาการโงนเงนทรงตัวไม่ดี ก็ทรุดลง มีอาการเมื่อย และอ่อนเพลียด้วยมีอาการหนักตึงต้นคอ แต่เมื่อฉันยาหม้อสมุนไพร อาการหนักต้นคอนี้หายไป ตอนนี้ตรวจพบว่าเป็นเบาหวานด้วย นายแพทย์สุเทพ และแพทย์หญิงประภา วงศ์แพทย์ ได้จัดยาถวาย ส่วนอาการอื่นยังคงอยู่ จนถึงกลางเดือนกันยายน รู้สึกอ่อนเพลียมากขึ้น และเบื่ออาหาร นายแพทย์อุทัย เจนพานิชย์ ได้ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจให้ พบว่าปกติดี
37#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อาการทรุดมากขึ้น ในวันที่๑๔ตุลาคม๒๕๒๔จึงเดินทางไปกรุงเทพฯ เข้าโรงพยาบาลสำโรง ขณะนั้นยังเดินเองได้ แต่ต้องช่วยพยุงบ้าง ได้ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ซ้ำ พบว่า ช่องภายในสมองขนาดเล็กลงกว่าครั้งแรกจนถึงกลางเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๕ เมื่อเดินทางกลับไปยังจังหวัดอุบลราชธานียังมีอาการทรงตัวไม่ค่อยดี เดินต้องพยุงและเดินไกลๆไม่ได้ ผู้ดูแลสังเกตว่าขาข้างซ้ายยกไม่ค่อยถนัด สู้ข้างขวาไม่ได้ ความจำและการพูดบางวันดีพอสมควร บางวันเลอะเลือน บางระยะรู้สึกเพลียและ ไม่อยากพูดหรือทำสิ่งใดอาการเป็นมากขึ้นในระยะ๓สัปดาห์หลังนี้ บางวันเพลีย และพูดไม่มีเสียง เดินได้เพียงระยะไม่กี่ก้าว ต้องใช้รถนั่งเข็นไปในบริเวณวัดวันละสองครั้ง อาหารฉันได้น้อยลง

เมื่อปี ๒๕๒๕ อาการของหลวงพ่อทรุดลง ศิษย์จึง อาราธนาให้หลวงพ่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม รับหลวงพ่อไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ได้อยู่ในห้องชุดพิเศษ ที่ตึกจงกลณี อยู่โรงพยาบาลนาน ๕ เดือน มีศาสตราจารย์ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา ในขณะนั้นเป็นผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นหัวหน้าคณะแพทย์ถวายการรักษา เมื่ออยู่จนอาการทรงและพ้นระยะอันตรายแล้วแพทย์ให้พยากรณ์โรคว่าจะค่อยๆ ทรุดลงคณะสงฆ์เห็นพ้องต้องกันว่าควรจะนิมนต์ หลวงพ่อกลับวัดหนองป่า พงทางกองทัพอากาศได้จัดเครื่องบินเที่ยวบินพิเศษถวาย

ก่อนหน้านั้น ทางวัดได้จัดสร้างกุฏิหลังใหม่ไว้คอยท่า ด้วยพระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่โปรดเกล้า โปรดกระหม่อมพระราชทานให้ส่วนหนึ่ง คณะศิษย์ที่เคยอุปัฏฐากสม่ำเสมอโดยตลอด ได้ร่วมสมทบโดยเสด็จพระราชกุศลด้วยอีก ส่วนหนึ่ง ได้ออกแบบให้คล้ายไอซียู ในบริเวณป่าของวัด สร้างเป็นตึกชั้นเดียว หลังเล็ก จัดให้มีที่ทางที่สะดวกกับการถวายการ อุปัฏฐาก และมีเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นต้องใช้ จึงเอื้ออำนวยให้ถวายการดูแลได้ใกล้เคียงกับเมื่ออยู่ในโรงพยาบาล มีแพทย์จากโรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ ประสงค์มาถวายตรวจอาการเป็นประจำทุกวัน บุรุษพยาบาลเปลี่ยนเวรกันมาเฝ้า คณะพยาบาลเอื้อเฟื้อให้ความสะดวกเต็มที่และพระอาจารย์เลี่ยม ิตธมฺโม จัดเวรพระสงฆ์ศิษย์หลวงพ่อทั้งในวัดหนองป่าพงและตามสาขาต่างๆ ให้เข้าเวรวันละ ๒ ผลัดๆละ ๔ องค์ และสามเณรอีก ๑ รูป มิได้ขาด จนมีผู้กล่าว ว่ามหาเศรษฐีก็มิอาจจะจ้างบุรุษพยาบาลได้ถึงวันละ ๑๐ คน หรือผู้มีบุตร ๑๒ คน เมื่อป่วยก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ลูกมาดูแลอย่างดีเท่าหลวงพ่อ ทั้งนี้เพราะหลวงพ่อเป็นผู้เปี่ยมด้วยเมตตา เป็นที่รักและเคารพของบรรดาศิษย์ พระที่เข้าเวรปฏิบัติหลวงพ่อนั้นต่าง ถวายแรงกาย แรงใจ และอุทิศเวลาให้หลวงพ่อเป็นปฏิบัติบูชา ต่อผู้มีพระคุณยิ่งกว่าบิดาบังเกิดเกล้า คณะชีก็ผลัดเวรกันมาประกอบอาหารเหลวตามที่โภชนากรแนะให้ทุกวันมิได้ขาดเลย เมื่อถึงระยะที่หลวงพ่อมีอาการสำลักบ่อยขึ้นขณะให้อาหารทางปาก แพทย์เห็นสมควรให้เปลี่ยนให้ทางสายยางลงกระเพาะเพื่อป้องกัน โรคปอดบวมแทรกจากการสำลักอาหารหรือเสมหะ พระอุปัฏฐาก ก็เรียนวิธีใส่สายยางจนชำนาญมีการซ้อมใส่ตนเองก่อน ด้วยความหวังที่จะลดความระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อในหลอดคอ และหลอดอาหารของหลวงพ่อในการใส่แต่ละครั้งให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ท่านยังเรียนวิธีตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เพื่อดูระดับน้ำตาลเพื่อบันทึกและรายงานต่อแพทย์และปรับขนาดยา ตามสั่งได้ถูกต้องแม้หลวงพ่อจะอาพาธนานนับปีแต่ผิวพรรณก็ดูผ่องใส และไม่เคยมีแผลกดทับอย่างผู้ป่วยเรื้อรังส่วนใหญ่
38#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มีผู้กล่าวว่าการที่หลวงพ่ออยู่เป็นขวัญให้ลูกศิษย์หลายปีนั้นมีผลให้พระสงฆ์เจริญในธรรมและสามัคคี ร่วมแรง ร่วมใจ เร่งปฏิบัติบูชาแด่หลวงพ่อ ทำให้เกิดมีสาขาต่างๆเพิ่มขึ้นทั้งในและนอกประเทศ นอกจากนี้ยังมีการรวบรวมเทปเทศนาของหลวงพ่อ ถอดความออกมาเป็นหนังสือแจกญาติโยมได้มากมายหลายเรื่อง ยังผลให้ฆราวาส ผู้สนใจในคำสอนของหลวงพ่อมุ่งปฏิบัติธรรมมากขึ้น

มีคนเป็นหมู่คณะมากราบเยี่ยมหลวงพ่อเป็นประจำทุกวัน จนต้องกำหนดเวลาเยี่ยมในภาคเช้าและเย็น เพื่อมิให้เป็นการรบกวน หลวงพ่อมากเกินไป พระอุปัฏฐากจะเข็นรถออกมาให้ญาติโยมได้กราบตามเวลาที่กำหนด รถเข็นนี้เป็นรถที่สั่งประกอบพิเศษจากประเทศอังกฤษมีการวัดสัดส่วนของหลวงพ่อส่งให้เขา (ทำนองเดียวกับการวัดตัวตัดเสื้อ) จึงใช้ได้ดีมีที่พยุงคอ แขนขาในสัดส่วนที่เหมาะเจาะ ผู้ที่ไม่เคยมากราบเยี่ยมอาจเข้าใจผิดว่าหลวงพ่อท่านนั่งได้เอง และไม่ได้เป็นอัมพาต

สำหรับโอสถที่ใช้เป็นประจำ ส่วนใหญ่เบิกได้จาก โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ประสงค์ โอสถพิเศษที่ไม่มีในจ.อุบลฯ ก็สั่งมาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้อยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์เสมอมา

ตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ คณะพระสงฆ์ทั้งวัดป่านานาชาติ ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศ มาเยี่ยมถวายสักการะหลวงพ่อทุกวัน พระเป็นประจำมีอุบาสกอุบาสิกาโดยสาร รถสองแถวมาด้วยเสมอ พากันมาสวดมนต์บทสำคัญๆ เช่น วิปัสนาภูมิ และโพชฌงค์ เป็นต้น ถวายหลวงพ่อ เป็นภาพที่ประทับใจแก่ผู้มาพบเห็นเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาเมื่อมีคณะผู้ปฏิบัติธรรมจากกรุงเทพฯมา ก็มีการสวดทำวัตร ถวายหลวงพ่อด้วยเป็นครั้งคราว

ระยะต่อมา หลวงพ่ออาการหนักเป็นพักๆ มักจะเป็นระยะ ที่อากาศเปลี่ยนแปลงราวเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน หลวงพ่อต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ประสงค์ต้องเจาะคอเมื่อเมษายน ๒๕๓๑ เพื่อให้ดูดเสมหะได้ง่ายขึ้น

อาการของหลวงพ่อทรุดลงช้าๆ ตามวัยและสังขารที่เสื่อมลงไป เหมือนกับหลวงพ่อสาธิตให้ศิษย์เห็นภัยในวัฏสงสารเห็นความเสื่อมไปสิ้นไปของสังขารว่า เรามีความแก่ ความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่มีใครจะล่วงพ้นความแก่ ความเจ็บไข้ไปได้ พระอุปัฏฐากเล่าว่าแม้หลวงพ่อจะไม่ได้แสดงธรรมเทศนา แต่ก็ได้เรียนธรรมจากหลวงพ่อเสมอ

เนื่องจากหลวงพ่อไปเข้าไอซียู ของโรงพยาบาล สรรพสิทธิ์ประสงค์อยู่บ่อยๆ จึงมีผู้ปรารภให้คณะศิษย์ร่วมสมทบทุนสร้างตึกไอซียู.ให้แก่โรงพยาบาล ขณะนี้ก็ยังดำเนินการสร้างอยู่ยังไม่แล้วเสร็จเข้าใจว่ายังขาดงบที่จะซื้ออุปกรณ์อีก
39#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มรณะ

มกราคม ๒๕๓๕ หลวงพ่อหอบมากจึงต้องเข้า โรงพยาบาลอีก แพทย์วินิจฉัยว่าหัวใจวาย ต่อมามีอาการไตวายแทรกด้วย แพทย์ให้การรักษาเต็มที่อาการไม่ดีขึ้น คืนวันที่ ๑๕ มกราคม หลังจากที่ทราบว่าอาการของหลวงพ่อทรุดลงเรื่อยๆ คณะสงฆ์เห็นสมควรนิมนต์หลวงพ่อกลับวัด เช้าวันที่ ๑๖ มกราคม เวลา ๕.๒๐ น. หลวงพ่อก็ละสังขารไปอย่างสงบ จากไปอย่าง ครูผู้ยิ่งใหญ่ในวันครู

ระยะนั้นเป็นระยะที่การก่อสร้างในวัดส่วนใหญ่สำเร็จแล้ว และพระสงฆ์ต่างชาติกำลังอบรมกรรมฐานกันที่วัดป่าวนโพธิญาณ มีพระอาจารย์สุเมโธศิษย์ฝรั่งองค์แรกของหลวงพ่อ เป็นผู้อบรมธรรมอยู่ ส่วนพระสงฆ์ไทยก็เตรียมจะประชุมกันในเวลาอันใกล้กันนั้น ศิษย์จึงต่างเตรียมพร้อมที่จะมาชุมนุมกันที่วัดหนองป่าพง อยู่แล้ว เมื่อทราบข่าวหลวงพ่อจึงมากันอย่างพร้อมเพรียงกันมากราบ สักการะร่างของหลวงพ่อที่ทอดลงสอนศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย และต่างพากันปฏิบัติบูชาหลวงพ่ออย่างเข้มแข็ง

ที่มา http://www.watnongpahpong.org/prawatlpc.php
40#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 20:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้




ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้