ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 9786
ตอบกลับ: 10
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หลวงพ่อบ๋าวเอิง

[คัดลอกลิงก์]

สัตว์โลกทั้งหลายย่อมต้องพบกับสภาวะ ๔ อย่าง คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย..”
ในพระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่าทั้ง ๔ อย่างนี้ล้วน “เป็นความทุกข์” เพราะเมื่อสิ้นจากโลกมนุษย์ไปแล้วก็ยังต้องไป “เวียนว่ายตายเกิด” ในภพชาติต่างๆ หาสูญสิ้นไม่....
การทำบาปด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี แม้จะกระทำในที่ลับไม่มีผู้ใดรู้ ก็ยังมีผู้หนึ่งรู้จนได้ ผู้นั้นคือ....ตนเอง....”
กรุงเทพมหานครย้อนหลังไปประมาณ ๗๐ ปี ชื่อของ องสรภาณมธุรส (หลวงพ่อบ๋าวเอิง)” อดีตเจ้าอาวาส “วัดสมณานัมบริหาร” หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “วัดญวน สะพานขาว” เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในฐานะที่ท่านเป็นพระสงฆ์ญวน สังกัดอนัมนิกาย ที่มีการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามหลักของพุทธศาสนา
ความเมตตาของท่านนอกจากการให้ความช่วยเหลือและสงเคราะห์ช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บแล้ว สิ่งที่ทำให้ท่านเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในยุคสมัยนั้นคือ การอัญเชิญวิญญาณ” และ “การติดต่อสื่อสารกับสิ่งเร้นลับ” เช่น เทพ เทวดา วิญญาณของนักบวชที่ล่วงลับไปแล้ว ฯลฯ.....



วัดสมณานัมบริหาร..เป็นวัดฝ่ายอนัมนิกาย..” เดิมชื่อ “วัดเกี๋ยงเพื้อกตื่อ” ตั้งอยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษม ชาวญวนที่อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้สร้างขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดสมณานัมบริหาร"



อนัม....แปลว่า ญวน หรือเวียดนาม คนที่มีเชื้อสายของประเทศเวียดนามเราเรียกว่าคนญวน หรือคนอนัม ซึ่งเมื่อคนเหล่านั้นอพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในเมืองไทยและมีการสร้างวัดขึ้น
เราจึงเรียกวัดเหล่านั้นว่า วัดญวน หรือวัดอนัม ซึ่งคำว่า อนัม หรือ ญวน หรือ เวียดนาม” จึงเป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน ดังนั้นคำว่า “อนัมนิกาย” จึงสามารถแปลได้ว่า...

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-17 07:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การถือพระพุทธศาสนาอย่างเมืองญวน
แต่เนื่องจากพระญวนในประเทศเวียดนามกับพระญวนในประเทศไทยไม่ได้มีการติดต่อกัน  โดยต่างฝ่ายต่างก็ถือคติและธรรมเนียมตามประเทศที่ตนเองอาศัยอยู่ ดังนั้นพระญวนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย จึงหันมายึดถือตามแนวของพระสงฆ์ไทยในบางเรื่อง เช่นการไม่ฉันข้าวเย็น การครองผ้าสีเหลือง ฯลฯ
ซึ่งลักษณะแบบนี้จะแตกต่างจากพระสงฆ์ในประเทศเวียดนามหรือประเทศจีน คือพระสงฆ์ที่นั่นสามารถฉันข้าวเย็นได้ การครองผ้าจีวรมีทั้งสีเทา สีแดงฝาด สีเหลือง และสีอื่น ๆ เพียงแต่ข้อวัตรปฏิบัติอย่างอื่นและกิจของสงฆ์ที่พึงทำ”ก็ยังคงปฏิบัติตามแบบในประเทศเวียดนามเหมือนเดิม เช่น ประเพณีการทำกงเต็ก หรือการให้ความเคารพและเชื่อถือในเรื่องของเทพเจ้าต่างๆ
หลวงพ่อบ๋าวเอิง ท่านเป็นพระที่ได้รับการยอมรับของลูกศิษย์และคนทั่วไปว่ามีความสามารถในการเชิญวิญญาณ ซึ่งท่านเคยเล่าให้ฟังว่าตัวท่านเองมีความสนใจในเรื่องของจิตและวิญญาณ ท่านจึงได้เริ่มค้นคว้าและทดสอบอยู่หลายปี จนท่านสามารถเชิญวิญญาณลงมาประทับบนร่างทรงได้...
ท่านอธิบายว่าการประทับทรงนี้เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์สามารถติดต่อกับวิญญาณได้โดยตรงและเป็นวิธีการแต่เพียงอย่างเดียวที่ทำให้เราเห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณได้ชัดเจนกว่าวิธีการในแบบอื่นๆ
ผลของการเชิญวิญญาณ จะทำให้เราพบว่าวิญญาณนั้นๆ มีสภาพอย่างไรและวิญญาณเหล่านั้นได้รับผลกรรมที่ตนเองเคยกระทำไว้เมื่อครั้งสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างไร...”
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงได้ตรัสรู้พระธรรมอันประเสริฐสุด คือ อริยสัจ ๔” ซึ่งเป็นทางที่ทำให้พระองค์ทรงหลุดพ้นจากมวลทุกข์ ไปสู่จุดหมายปลายทางคือ “พระนิพพาน” คือไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดใน “วัฏฏะสงสาร” อีกต่อไป...
เรื่องของ การเวียนว่ายตายเกิด” หรือ “การสืบภพชาติ” มีกล่าวไว้ในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาและก็มีเรื่องจริงให้พวกเราได้เห็นเป็นตัวอย่าง เช่น การระลึกชาติ ฯลฯ
จะว่าไปแล้วถึงเรื่องเหล่านี้จะฟังดูแล้วเหมือนเป็นนิทานหรือนวนิยายสำหรับใครบางคน แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่คงเชื่อถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริง.....
อาตมาภาพได้พยายามค้นคว้าหาวิธีที่จะนำเรื่องเหล่านี้มาแสดงให้ประจักษ์แก่คนทั่วไป โดยการเรียนรู้จากวิญญาณหรือที่เราเรียกกันว่า “สิ่งไม่มีตัวตน” ซึ่งถ้าเราปฏิบัติให้ถูกวิธีแล้วก็จะได้รับผลที่ปรากฏตามมา ส่วนว่าใครจะเชื่อแค่ไหนก็แล้วแต่ความวินิจฉัยของแต่ละคน...”
หลวงพ่อบ๋าวเอิงมักจะถ่อมตนเสมอว่าท่านเองเป็นเพียงนักปฏิบัติและชอบศึกษาค้นคว้าหาความจริงตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ในฐานะที่ท่านเป็นพุทธบุตรของพระพุทธเจ้าในลัทธิ..
มหายานแห่งอนัมนิกาย...”
ท่านได้ใช้หลักที่ว่า...
เชื่อเป็นแม่บทแห่งความสำเร็จ
สำหรับเป็นหลักในการปฏิบัติ
และท่านก็เชื่อต่ออีกว่ามนุษย์เราทุกคนล้วนตกอยู่ในอำนาจสามประการคือ กิเลส กรรม และวิบาก” ด้วยหลักที่ว่าเมื่อชีวิตและร่างกายแตกดับแล้ว จิตวิญญาณย่อมเกิดสืบภพชาติต่อไปอีก อดีตวิญญาณของคนเราต้องมีแน่ ซึ่งสิ่งนั้นเองเป็นมูลเหตุให้ท่านมีความคิดที่ว่า “การติดต่อกับวิญญาณ” สามารถกระทำได้
พูดถึงเรื่องของการติดต่อกับวิญญาณหรือที่เราจะเรียกง่ายๆ ว่าการติดต่อกับภูตผีอะไรทำนองนี้ ผมเคยเรียนถามกับท่านพระสมณานัมธีราจารย์(ติ่นเรียน) เจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร องค์ปัจจุบัน ว่าท่านเชื่อหรือไม่ว่าเรื่องผีมีจริง แทนคำตอบท่านกลับถามผมว่า..
โยมต้องถามตัวเองก่อนว่าเชื่อเรื่องผีหรือเปล่า
แน่นอนครับคำตอบคือ... เชื่อ
การสนทนาจึงดำเนินต่อไปว่า ตามทัศนคติความเชื่อของชาวญวนพื้นฐานโดยทั่วไปเชื่อในเรื่องของวิญญาณ ซึ่งความเชื่อดังกล่าวจึงเป็นที่มาของพิธีกรรมที่เราเรียกกันว่า กงเต็ก
ท่านว่าพิธีกงเต็กมีมานานเนกาเลแล้ว...ซึ่งผมเองก็คงไม่ต้องอธิบายมากเพราะคติความเชื่อในพิธีกงเต็กนี้ ปัจจุบันก็ยังคงมีการประกอบพิธีอยู่เสมอ นัยว่าเพื่อเป็นเกียรติ เป็นประโยชน์แก่ผู้ถึงแก่กรรม ดังนั้นเราจึงสามารถเห็นพิธีกงเต็กเสมอๆทั้งในงานราษฏร์และงานพิธีของหลวง
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-17 07:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คำว่า กงเต็ก” ประกอบด้วยสองคำรวมกันครับ
คือคำว่า “กง” ในพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน หมายถึง การกระทำในสิ่งที่ถูกที่ชอบซึ่งเป็นประโยชน์แทนวิญญานผู้มรณะ
และคำว่า “เต็ก” หมายถึง กุศลกรรมอันเกิดจากกรรมดี
พิธีกงเต็กตามธรรมเนียมของชาวญวน” จะประกอบไปด้วย ๕ ขั้นตอนคือ ชุมนุมเทวดา เชิญวิญญาณให้มาสถิตอยู่ในโคมจำลอง เปิดมณฑลพิธี สวดแผ่เมตตาและส่งข้ามสะพาน....
และด้วยเหตุที่ว่าพิธีกงเต็ก มี”บทอัญเชิญเทพเจ้าและวิญญาณ” หลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านจึงได้นำวิธีการนี้มาใช้ในการติดต่อกับวิญญาณครับ ความสำเร็จที่ได้จากเคล็ดลับอันนี้จึงเป็นที่มาของเหตุการณ์นี้ครับ เรื่องมีอยู่ว่า....
ในปี พ.ศ.๒๔๘๙ หลวงพ่อบ๋าวเอิง ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปทำพิธีกงเต็กให้แก่ นายฮ้วย แซ่หลือ โดยพิธีเริ่มในเวลาประมาณบ่ายสองโมง หลังจากได้ดำเนินกรรมวิธีตามขั้นตอนต่างๆครบถ้วนแล้ว
ในช่วงเวลาประมาณหกโมงเย็น ท่านได้ตั้งจิตอธิฐานระลึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้า ให้ทรงโปรดประทานโอกาสให้ดวงวิญญาณของนายฮ้วย แซ่หลือมาสิงสถิตย์ในโคมจำลอง(ที่สถิตของวิญญาณ-ตามพิธีกรรม) เพื่อที่ว่าวิญญาณจะได้ฟังธรรมและรับการแผ่ส่วนบุญกุศลจากบรรดาบุตรของนายฮ้วย....
หลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านเล่าว่า ในขณะนั้นเกิดนิมิตเห็นแสงสว่างขนาดเท่าไฟฉายส่องแสงเป็นลำและพุ่งตรงมาที่ท่าน ซึ่งในลำแสงนั้นท่านสังเกตว่ามีจุดเล็กๆเคลื่อนที่เข้ามายังตัวท่าน และมันก็ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ๆ  จนท่านสังเกตเห็นว่ามันเป็น..
"ภาพของวิญญาณในร่างมนุษย์"
ซึ่งภาพนั้นเป็นร่างของมนุษย์สวมเสื้อกุยเฮงและกางเกงปั่งลิ้นสีดำ ลักษณะของร่างกายผอมและหลังค่อมเล็กน้อย เมื่อดวงวิญญาณนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ท่านสักพักก็หายไป ด้วยความประหลาดใจท่านจึงนำเอาลักษณะของชายชราคนนี้ไปถามกับบรรดาลูกๆของผู้ตาย คำตอบที่ได้รับคือชายคนนั้นคือ “...นายฮ้วย แซ่หลือ...” นั่นเอง....
หลวงพ่อเล่าว่า ขณะที่ท่านคิดว่าจะรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณเพื่อใช้เป็นคติสอนคน..
ท่านได้เกิดความวิตกว่ายังมีบุคคลอีกจำนวนมากที่ไม่เชื่อและไม่เลื่อมใสในเรื่องหล่านี้ ดูได้จากปัญหาข้อถกเถียงในเรื่องของ การเข้าทรง” ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ....เชื่อถือได้ขนาดไหน
ครับ...ท่ามกลางมรสุมของความเคลือบแคลงว่า เชื่อได้หรือไม่” ในที่สุดหลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านได้ตัดสินใจนำเรื่องราวเหล่านี้ตลอดจนประสบการณ์ทางวิญญาณที่เกิดขึ้นมาเผยแพร่   
ท่านกล่าวด้วยความมั่นใจว่า.....ท่านไม่กลัวเรื่องที่ว่าคนจะกล่าวหาท่านว่าเป็นพระงมงายไม่มีเหตุผล เพราะเรื่องที่ท่านทำมันไม่ใช่การทำลาย แต่มันเป็นเรื่องของการทำประโยชน์ และที่สำคัญมันเป็นการเผยแพร่ในเรื่องของจิต วิญญาณ การเวียนว่ายตายเกิด ตลอดจนบาปบุญคุณโทษ...
อาตมาเผยแพร่ด้วยความสุจริตใจ ด้วยศีลของพระพุทธองค์ ด้วยสัจจะของพระภิกษุ ถ้าจะมีผู้กล่าวหาว่าอาตมาทำเพื่อสร้างบารมีให้ตัวเอง อาตมาขอเจริญพรเสียก่อนในที่นี้ว่า
อาตมามีบารมีของตัวเองมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องหาอะไรอีกให้เกิดมลทินแก่ตัวเอง บารมีที่ว่านี้คือบารมีขององค์พระพุทธเจ้าที่อาตมาได้อาศัยอยู่ในขณะนี้....”
การสละตัวเข้าเป็นพุทธบุตรของพระพุทธเจ้า และประพฤติตามธรรมของพระองค์ เท่านี้ก็เป็นบารมีที่น่าภูมิใจมากพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหาบารมีอะไรอีกแล้วสำหรับอาตมา...”
ความกล้าหาญของหลวงพ่อบ๋าวเอิงในการเลือกที่จะทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่เสี่ยงต่อการต่อต้านของคนหลายคน ทำให้เรื่องราวที่เป็นเหมือนนวนิยายกลายเป็นเรื่องจริงและเป็นเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมาอีกยาวนาน...
ในช่วงประมาณเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๑ หลวงพ่อบ๋าวเอิงได้รับนิมนต์จากคณะกรรมการศาลเจ้าพ่อกวนอู ที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อไปประกอบพิธีเทวาภิเษกเบิกพระรัศมี เจ้าพ่อกวนอู” โดยมีการตกลงกันว่าหลวงพ่อแค่เพียงแต่ประกอบพิธีทางศาสนาให้ครบถ้วนและถูกต้องตามวิธีการเท่านั้น
ส่วนเรื่องของการเชิญเจ้าพ่อกวนอูเพื่อให้มาประทับทรงลุยไฟเป็นเรื่องของศาลเจ้า โดยท่านให้เหตุผลว่า มันไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ มันเป็นเรื่องของเจ้าพ่อกวนอูเองว่าจะกระทำได้หรือไม่ และถ้าวิญญาณของเจ้าพ่อกวนอูศักดิ์สิทธิ์จริงแล้ว ท่านก็จะดลบันดาลลงประทับทรงลุยไฟเอง...
แต่การณ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเมื่อเสร็จพิธีของท่าน คณะกรรมการศาลเจ้าได้ขอร้องไม่ให้ท่านกลับ และขอร้องให้ท่านเชิญวิญญาณของเจ้าพ่อกวนอูด้วย
เนื่องจากการจัดงานครั้งนี้คณะกรรมการได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจและทุนทรัพย์ลงไปมาก จึงอยากขอชมเป็นบุญตาว่าความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องเทพเจ้าทั้งหลายในโลกโดยเฉพาะเจ้าพ่อกวนอูนั้นมีจริงและศักดิ์สิทธิ์จริง...
เรื่องนี้จบลงตรงที่ท่านไม่สามารถหลีกเลี่ยงการนิมนต์ครั้งนี้ได้ ท่านว่ามันเป็นลักษณะของการเสี่ยง เพราะตั้งแต่เกิดมาท่านยังไม่เคยมีความคิดจะตั้งตัวเป็นอาจารย์ในทางเชิญวิญญาณเจ้าพ่อเจ้าแม่ลุยไฟเลย ครั้นถึงเวลาลุยไฟจริงๆ ท่านว่าแทบจะเป็นลมเพราะนึกว่าถ่านที่นำมาใช้ในพิธีลุยไฟจะใช่แต่เพียงถังสองถัง แต่นี่กลับมีมากถึงหลายเล่มเกวียน...
ข้าพเจ้าตกตลึงและจิตใจเต้นเป็นตีกลอง เหงื่อกาฬไหลทันที ไม่สามารถจะนำมาบอกเล่าได้อย่างไรถูก ยืนงงอยู่กับที่เป็นเวลานาน ขณะที่ผู้คนก็ไม่รู้ว่ามาจากไหนต่อไหนเต็มลานไปหมด มองดูแล้วใจหาย....”
หลวงพ่อบ๋าวเอิงเล่าว่า...ท่านจุดธูปสวดมนต์ภาวนาตั้งเป็นหลายชั่วโมง ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าเจ้าพ่อกวนอูจะเสด็จลงมาประทับทรงสักที และเมื่อหันกลับไปมองดูคนที่เข้ามาร่วมพิธี ท่านว่าถ้าแทรกแผ่นดินได้ก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเลย...
อีกอย่างถ้าเจ้าพ่อกวนอูไม่ยอมเสด็จลงมาลุยไฟเห็นทีจะต้องกราบถวายวัดและคืนตำแหน่งสมภาร คิดไปคิดมาท่านก็คิดถึงพระคาถาอัญเชิญวิญญาณในพิธีกงเต็ก..
ท่านว่าพระคาถานี้มีเพียง ๑๔ คำและสำหรับพระญวนแล้วนับว่าเป็นหญ้าปากคอกเลยทีเดียว ท่านจึงสั่งให้พระที่มาด้วยสวดขึ้น ขณะที่ตัวท่านได้ถือธูปสำรวมจิตและส่งกระแสจิตไปที่รูปเจ้าพ่อกวนอู...
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-17 07:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2013-9-17 07:53

จิตและส่งกระแสจิตไปที่รูปเจ้าพ่อกวนอู...
ถ้ามีความศักดิ์สิทธิ์จริงแท้ ขอให้เข้าประทับร่างทรงคนหนึ่งคนใดลุยไฟให้เป็นที่ประจักษ์แก่ตาประชาชนในกาลบัดนี้เถิด....”
สรุปรวบรัดว่าหลวงพ่อบ๋าวเองสามารถอัญเชิญวิญญาณเจ้าพ่อกวนอูให้ประทับทรงและลุยไฟได้สำเร็จ แต่ท่านว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นยังไม่ได้ทำให้ท่านมั่นใจ เพราะมันอาจเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบบังเอิญชั่วครั้งชั่วคราว
ดังนั้นเมื่อท่านกลับมาถึงวัดท่านจึงได้จัดการบวงสรวงบูชาเจ้าพ่อกวนอูที่ศาลภายในวัดสมณานัมบริหาร และเมื่อท่านทำพิธีเชิญ ผลที่ได้รับคือท่านสามารถอัญเชิญดวงวิญญาณเจ้าพ่อกวนอูได้จริง...ครับเล่าลือกันว่าหลังจากเหตุการณ์ที่ปากน้ำโพ
ถนนทุกสายล้วนมุ่งตรงสู่วัดญวน
จะว่าไปแล้วปัญหาที่ว่า วิญญาณมีจริงหรือไม่” ได้เป็นข้อถกเถียงกันมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว..
การถกเถียงกันนี้เราสามารถแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมีความเชื่อว่าวิญญาณมีจริง ปัญหาที่ตามมาจึงไม่เกิด แต่อีกฝ่ายหนึ่งสิครับไม่เชื่อว่าวิญญาณมีจริง แน่นอนมีปัญหาข้างเคียงเหมือนเงาตามตัว
ตามความคิดของผม ผมเชื่อว่าวิญญาณมีจริง เพียงแต่การที่เราจะค้นคว้าหาความรู้และความจริงในเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่นอกเหนือไปจากความสามารถของมนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเรา เพราะอะไรหรือครับ ตอบง่ายมาก....
เพราะวิญญาณเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อ
ถึงแม้ว่าเราจะใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาจับในเรื่องของวิญญาณ(ตามที่เห็นในรายการโทรทัศน์) มันก็ยังไม่สามารถทำให้เราเห็นวิญญาณหรือได้ข้อสรุปอะไรที่ชัดเจน ดังนั้น...
วิญญาณจึงเป็นสิ่งเร้นลับแก่มนุษย์ตลอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงบัดนี้...”
จะว่าไปแล้วพระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศานา ได้กล่าวรับรองความจริงในเรื่องของวิญญาณไว้...
แต่ก็สอนให้เราไม่ยึดถือในเรื่องดังกล่าวเพราะเรื่องของวิญญาณเป็นเรื่องที่จะทำให้มนุษย์ต้องติดตรึงอยู่ในสงสารวัฏ....
ว่ากันว่า เมื่อรูปร่างกายดับ ชีวิตดับ จิตวิญญาณนั้นจะต้องไปสร้างภพใหม่ หาร่างใหม่ตามกำลังบุญและบาปที่ได้กระทำไว้….”
พูดถึงเรื่องวิญญาณ” คำว่าวิญญาณเป็นภาษามคธ แปลว่า “รู้แจ้งหรือรู้ชัดและมีอยู่ในคนหรือสัตว์ทั่วไป” จัดเป็นนามธรรม ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ เทวดา ผีสางนางไม้ ล้วนแล้วแต่มีวิญญาณครองและมีลักษณะที่เรียกว่า “เกิดและดับ..”
และเมื่อเราพูดถึงวิญญาณ ก็คงต้องพูดถึงเรื่องจิตด้วยครับ เพราะคำสองคำนี้ใช้ผสมผสานปนเปกันไปหมด บางคนก็ว่าจิตกับวิญญาณคือคำๆเดียวกัน บางคนก็ว่าจิตและวิญญาณ ความหมายหรือนัยยะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมเองก็ภูมิความรู้ต่ำไม่สามารถอธิบายได้ คงต้องรอผู้ที่รู้มาให้คำจำกัดความที่ชัดเจนน่าจะเหมาะสมกว่าครับ..
แต่อย่างไรก็ตามผมเคยอ่านบทความหนึ่ง เขียนไว้ว่า
จิตเปรียบเหมือนน้ำ” และ
วิญญาณเปรียบเหมือนคลื่น
คลื่นเกิดจากอำนาจลมและอากาศ เกิดขึ้นแล้วยุบดับลง ไปเกิดเป็นคลื่นลูกใหม่ แล้วก็ดับไปอีก นัยยะนี้วิญญาณก็เช่นกัน เกิดขึ้นแล้วดับไป ถ้าเกิดกับอารมณ์ก็จะดับไปพร้อมอารมณ์ แต่จิต.....จิตเป็นตัวยืน เปรียบเหมือนกับน้ำที่ยืนทรงตัวเป็นแดนเกิดของลูกคลื่น...ฉะนี้แล.....
ผมได้สอบถามจากลูกศิษย์เก่าๆของหลวงพ่อบ๋าวเอิง เขาว่าหลวงพ่อท่านเก่งมากในเรื่องสมาธิจิต สามารถอัญเชิญวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วให้มาเข้าทรงได้ พิธีกรรมในการอัญเชิญ หลวงพ่อจะให้ญาติพี่น้องของผู้ถึงแก่กรรมเข้ามาร่วมพิธีหลายๆคน ยิ่งมากยิ่งดี

ท่านว่าหนึ่งคือเหมือนเป็นพยาน
สองคือเมื่อวิญญาณมาถึงจะสามารถหาร่างที่ลงได้อย่างเหมาะสม....
แน่นอนครับว่าไม่ผิดหวังเพราะมีการลงทรงทุกครั้งที่เชิญ คนที่วิญญาณลงในร่างจะมีความรู้สึกวูบวาบและดำดิ่ง ซึ่งหลวงพ่อบ๋าวเอิงบอกว่าหากวิญญาณได้ลงครบอาการทั้งสามสิบสอง นั่นแหละคือการลงทรงที่สมบูรณ์..
นอกจากการอัญเชิญวิญญาณลงร่างแล้ว ทีเด็ดอีกอย่างหนึ่งของหลวงพ่อคือการอัญเชิญให้วิญญาณมาปรากฏเป็นรูปร่างบนนิ้วหัวแม่มือ...
สิ่งที่น่าแปลกใจอย่างมากคือ"อำนาจจิตและบารมี"ของท่านที่มีมาก จนทำให้ท่านสามารถที่จะจิ้มให้ภาพนี้ปรากฏขึ้นที่นิ้วมือของใครก็ได้ พูดง่ายๆ คือ
"จิ้มตรงไหนขึ้นตรงนั้น.."ทำนองนี้ครับ
การอัญเชิญวิญญาณให้มาปรากฏบนนิ้วมือนั้นได้ก่อให้เกิดเรื่องสำคัญของวงการแพทย์ขึ้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่าเพื่อนๆบางท่านอาจจะไม่ทราบว่าเรื่องนี้โดยแท้จริงแล้ว..
ณ วัดญวน สะพานขาวแห่งนี้แหละ.....คือจุดกำเนิด....
เป็นที่ทราบกันดีครับว่า ชีวกโกมารภัจจ์” คือนายแพทย์ที่รักษาพระพุทธเจ้า ในอดีตเรามักจะลืมเลือนและไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับท่านนัก เรื่องราวของท่านจึงค่อนข้างถูกกลืนหายไปจากความทรงจำ...
อยากให้เพื่อนๆลองตั้งคำถามกับตัวเองดูครับ..
เคยเห็นรูปของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ไหมครับ”...
แน่นอนอีกเช่นกันรอยยิ้มริมมุมปากแทนคำตอบว่าเคยเห็น.....แต่รูปนี้มีที่มาที่ไปครับ
รูปนี้และรูปหล่อนี้เกิดจากการที่หลวงพ่อบ๋าวเอิง อัญเชิญให้มาปรากฏบนนิ้วมือเพราะท่านต้องการปั้นพระพักตร์ของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ไว้สำหรับเคารพบูชาในฐานะที่ตัวหลวงพ่อเองท่านเป็นพระที่รักษาโรคแก่คนทั่วไปด้วย..
ท่านเล่าว่าได้ติดต่อช่างปั้นคนหนึ่งชื่อว่า นายโชติ สโมสร” ขณะนั้นนายโชติกำลังรับปั้นรูปหล่อหลวงพ่อคง ของสำนักท่านอาจารย์ชุม ไชยคีรี
นายโชติได้ตกลงรับงานนี้และได้นำดินน้ำมันมาลองปั้นโดยหะแรกเข้าใจว่าท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นชาวจีน เพราะเห็นว่าหลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านเป็นคนญวน รูปปั้นจึงน่าจะออกมาในลักษณะแบบนั้น และด้วยเหตุผลที่เกิดจากการคิดไปเอง  นายโชติจึงได้ปั้นพระพักตร์ของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ออกมาเป็นหน้าตาแบบคนจีน
เมื่อทราบว่าตนเองปั้นผิดเพราะท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นพราหมณ์ หน้าตาต้องเป็นแบบอินเดีย ครั้นจะเริ่มใหม่...ก็เกิดปัญหา...คือนายโชติจินตนาการไม่ออก
หลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านจึงตัดสินใจที่จะอัญเชิญท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์มาปรากฏบนนิ้วมือของท่านเพื่อให้นายโชติได้เห็นอย่างชัดเจน โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น นายโชติได้บันทึกไว้ดังนี้ครับ...
ผมได้ชวนคุณเฉลิมและคุณจุไรรัตน์ มาเป็นเพื่อนเพื่อพิสูจน์ความจริง เมื่อมาถึงวัดหลวงพ่อได้ให้พวกผมขึ้นไปบนกุฎิพร้อมกับท่าน หลวงพ่อได้ทำพิธีอัญเชิญ ผมได้สนใจเฝ้าดูหลวงพ่อทุกอิริยาบถและรู้สึกว่าการทำพิธีอัญเชิญนั้นง่ายเหลือเกินและแปลกกว่าความคาดหมายของผม..
หลวงพ่อได้จุดธูปและปักตามที่บูชาต่างๆในกุฏิ จากนั้นท่านได้ว่าคาถาเป็นภาษาญวนปนไปกับภาษาบาลี ซึ่งผมเองก็ฟังไม่รู้เรื่อง จิตใจของผมในขณะนั้นอยากจะเห็นภาพและทำการปั้นเพื่อพิสูจน์ความจริง คุณเฉลิมและคุณจุไรรัตน์ ได้ขึ้นมานั่งดูอยู่ด้วย...
หลวงพ่อได้นั่งบนอาสนะ มือถือธูปที่จุดแล้วกำมือและหัวแม่มือชูขึ้น สายตาของผมจ้องจับอยู่ที่หัวแม่มือของหลวงพ่อ ในไม่ช้าก็ปรากฏเห็นเป็นจุดขาวและจุดขาวนั้นได้ขยายตัวโตขึ้นๆ จนเห็นเป็นภาพ แต่ไม่ชัด ผมตอนนั้นจิตใจรู้สึกตื่นเต้นเพราะได้ประจักษ์สิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน...
หลวงพ่อได้เปลี่ยนที่นั่งใหม่ ซึ่งมีแสงสว่างน้อย คราวนี้ภาพที่หัวแม่มือของหลวงพ่อได้ปรากฏแจ่มชัด ผมเริ่มปั้นตามภาพใบหน้าที่เห็นในภาพนั้นทันที ใจผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ได้ปั้นตามภาพที่ปรากฏให้เห็นนั้น..
ผมใช้เวลาถึงสองชั่วโมงจึงปั้นเสร็จเรียบร้อย คุณเฉลิมและคุณจุไรรัตน์ ที่ผมชวนมาด้วยก็เห็นภาพนั้นเช่นเดียวกับผมและยืนยันว่า ภาพที่ปรากฏที่หัวแม่มือหลวงพ่อเหมือนกับรูปที่ผมปั้นทุกประการ....
เชื่อกันว่ารูปท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ที่ถือกำเนิดจากฝีมือของนายโชติ สโมสร และอำนาจพลังจิตของหลวงพ่อบ๋าวเอิง ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปว่าเป็น...
รูปหมอชีวกโกมารภัจจ์ที่ปรากฏเป็นลักษณะองค์จริงครั้งแรกของโลก...”
หลวงพ่อบ๋าวเอิงได้ขนานนามรูปหล่อท่านชีวกโกมารภัจจ์ว่า
บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัจจ์...”
พ่นมาขนาดนี้ เชื่อว่าเพื่อนๆคงจะคุ้นกับคำว่า บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัจจ์”เป็นอย่างดี...
ดังนั้นจงอย่าแปลกใจเลยครับที่ทุกวันนี้จะมีชาวต่างชาติที่ให้ความเคารพท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์แวะเวียนเข้ามากราบไหว้ สักการะ ขอพรกับรูปหล่อขนาดเท่าองค์จริงของท่าน ณ วัดญวน สะพานขาวแห่งนี้เสมอๆ
ปัจจุบันหลวงพ่อบ๋าวเอิง ท่านได้มรณภาพไปนานหลายปีแล้วครับ สรีระของท่านถูกฝังไว้ในวิหารโดยมีรูปหล่อเหมือนเท่าองค์จริงของท่านตั้งทับเอาไว้...
เพื่อนๆ ท่านใดใคร่เข้าไปขอพรจากท่านก็เชิญได้เลยครับ แล้วท่านอาจจะพบกับคำว่า "ความศักดิ์สิทธิ์มีจริง.."
ตลอดชีวิตของหลวงพ่อ..ท่านได้ทุ่มเทกับเรื่องราวของจิต วิญญาณและการปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องราวที่เกิดขึ้นท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือและมีการพิมพ์เผยแพร่แจกเป็นวิทยาทาน โดยมีจุดมุ่งหมายให้คนอ่านเข้าใจในเรื่องพวกนี้และเชื่อมั่นในเรื่องของ"บาปบุญคุณโทษ..."
พูดถึงเรื่องการทำบุญ จะเอาบุญมาล้างบาปเห็นเป็นไม่ได้ ทำกรรมใดกรรมนั้นก็ติดตัวไป ใช้หนี้กรรมเรื่อยไป..
การทำบุญทุกครั้งไม่ต้องขอร้องวิงวอนให้ผลบุญสนองอย่างนั้นอย่างนี้ ผลแห่งการสร้างบุญที่ได้สร้างไปในทางใดก็ให้ผลในทางนั้น....
และจุดมุ่งหมายหรือทางที่บุญจะให้ผลดีที่สุดคือพระนิพพาน ไม่มีการเกิดมาใช้หนี้กรรมอีกต่อไป....”
ครับ...หากเพื่อนๆ เชื่อว่า"ชาตินี้มีจริง"ก็คงจะไม่ปฏิเสธและเชื่อว่า"ชาติหน้าก็มีจริง"เช่นกัน....
ชาวพุทธมีความเชื่อว่าหากได้ปฏิบัติตามพระธรรม จะทำให้บุคคลผู้ที่ปฏิบัตินั้นสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด และบางทีอาจสามารถก้าวเข้าไปสู่สภาวะอันสูงสุดคือ นิพพาน
การที่ได้เรียนรู้ในเรื่องของวิญญาณอย่างถ่องแท้ถือว่าเป็นประโยชน์ ซึ่งพวกเราควรศึกษาและรับทราบไว้บ้าง เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะตามคติชาวพุทธเชื่อมั่นว่า...
การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นถือว่าพวกเรามีบุญเป็นอันมาก สามารถที่จะกระทำความดีได้ตลอดเวลา
ว่ากันว่า.."อานิสงส์ของการทำความดีมีมาก" ..เพราะ
ความดีถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มครองตัวเรา
ดังนั้นพวกเราจึงควรรีบปฏิบัติธรรมและสร้างสมบุญกุศลไว้เป็นเครื่องประดับวิญญาณของตัวเรา เพราะความดีเท่านั้นที่จะเป็นสีแสงติดดวงวิญญาณของเราตลอดไป....สวัสดีครับ
ขอกราบขอบพระคุณ พระสมณานัมธีราจารย์(ติ่นเรียน) เจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร หลวงพี่จักรพันธุ์(เถี่ยนเหว่) ที่เมตตาให้ข้อมูลและคำแนะนำ / คุณพรชนก สุขพงษ์ไทย สำหรับภาพถ่าย เพื่อนต่อกับคำแนะนำที่มีประโยชน์ คุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรี สำหรับกำลังใจทีมีให้เสมอครับ

บทความโดย ศิยษ์กวง

เครดิต http://www.oknation.net/blog/sitthi/2009/01/23/entry-1


5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-17 08:01 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



เทพยเจ้าสุวรรณรัตน์ ได้ทราบจิตเจตนาอันเปี่ยมด้วยเมตตาจิต ซึ่งมีต่อญาติโยมทั้งหลายของ อง สุตบทบวร เช่นนั้น ยินดีอนุญาตให้นำพระคาถานี้ออกเผยแพร่แก่บรรดาญาติโยม เพื่อได้มีโอกาสใช้สวดภาวนาต่อไป แต่ได้ตัดเติมพระคาถาเดิมออกบางตอน คงเหลือแต่ตอนที่จะใช้สวดภาวนาได้เป็นการทั่วไป และเหมาะสมแก่บรรดาญาติโยมจะได้ใช้สวดภาวนา ดังนี้
“โอม นะโม ชีวะโก สิระสาอะหัง กรุณิโก สัพพะสัตตานัง โอสะถะ ทิพพะมันตัง ปะภาโส สุริยาจันทัง โกมาระวัตโต ปะกาเสสิ วันทามิ ปัณฑิโต สุเมธะโส อะโรคา สุมะนาโหมิ ฯ”

เทพยเจ้าสุวรรณรัตน์ได้กล่าวสรรเสริญคุณแห่งพระคาถาบทนี้ไว้ว่า ผู้ใดได้เจริญพระคาถาบทนี้ จะบังเกิดมีอานุภาพป้องกันสรรพโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวงได้ เป็นผู้ไม่มีโรค ซึ่งเป็นลาภอันประเสริฐ หาได้ยาก และถ้ายิ่งได้ช่วยเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รู้กันแพร่หลายออกไป ผลที่ได้ คือ ความไม่มีโรคจะบังเกิดมียิ่งขึ้น
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-17 08:06 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
บันทึกปฐมเหตุที่ได้พบและการปั้นหล่อรูป
บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต



เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเมีย อาตมาภาพขณะนั้นมีสมณศักดิ์เป็นที่ อง พจนสุนทร (ต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นที่ อง สุตบทบวร และบัดนี้เป็นที่ อง สรภาณมธุรส) ได้กระทำพิธีเชิญวิญญาณคุณพูนเพ็ญ จำรูญจันทร์ ภรรยา ร.ต.อ. ทวี จำรูญจันทร์ (ขณะนี้มียศเป็น พ.ต.ต.) ซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปนานแล้ว มาประทับร่างทรงบนกุฎีของอาตมา ต่อหน้าสานุศิษย์ ๒ - ๓ คน
เมื่อครั้งคุณพูนเพ็ญยังมีชีวิตอยู่ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของอาตมาภาพ และเป็นพุทธมามกะที่ดีในพระบวรพุทธศาสนา อาตมาภาพได้รับไว้ด้วยความเต็มใจ เพื่อสนองความตั้งใจของคุณพูนเพ็ญ จากนั้นไม่นาน คุณพูนเพ็ญได้ถึงแก่กรรม หลังจากได้ฌาปนกิจศพแล้ว ร.ต.อ. ทวี จำรูญจันทร์ได้นำกระดูกของภรรยามาบรรจุไว้ในเจดีย์เล็ก ซึ่งทำไว้ที่ชานชั้นบนกุฎีของอาตมาภาพ ตามความประสงค์ของคุณพูนเพ็ญ ซึ่งได้สั่งไว้ก่อนที่จะถึงแก่กรรม แต่นั้นมาวิญญาณคุณพูนเพ็ญก็ได้วนเวียนอยู่ใกล้กับอาตมาภาพตลอดมา
วิญญาณคุณพูนเพ็ญมาประทับทรงในร่างของ ร.ต.อ ทวี จำรูญจันทร์ เมื่อเวลา ๒๑.๓๐ น ได้กล่าวกับอาตมาภาพตอนหนึ่งว่า “ที่หนูมานี่น่ะ หนูจะมาบอกหลวงพ่อว่า หลวงพ่อเป็นหมอรักษาโรคต่าง ๆ แต่หนูลืมบอกให้หลวงพ่อทูลเชิญท่านชีวกโกมารภัตมาประสิทธิ์ประสาทความรู้ในการรักษาโรค ให้หลวงพ่อถวายตัวเป็นศิษย์ท่านเสีย”
อาตมาภาพได้ถามว่า “ท่านชีวกโกมารภัตเป็นใคร ?”
วิญญาณคุณพูนเพ็ญได้อธิบายแก่อาตมาภาพว่า “ท่านชีวกโกมารภัต เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ เป็นนายแพทย์ที่ได้ถวายการรักษาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อคราวประชวรที่พระชงฆ์ และถวายพระโอสถเป็นประจำพระองค์เลยทีเดียว”
อาตมาภาพมีความสนใจทันทีและได้ถามต่อไปว่า “จะเชิญท่านมาวันไหนจึงจะเหมาะ ส่วนเครื่องสักการบูชานั้น จะจัดทำเช่นไร จึงจะถูกความประสงค์ของท่าน”
วิญญาณคุณพูนเพ็ญตอบว่า “ให้หลวงพ่อทูลเชิญท่านในวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง ส่วนเครื่องสักการบูชานั้นจัดเป็นขันธ์ ๕ ถวายแก่องค์ท่าน”
คุณวิทย์ ศิวะดิตถ์ เจ้าของห้างเสรีวัฒน์ สะพานหัน พระนคร ซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้นด้วย เป็นผู้ทราบเรื่องขันธ์ ๕ ดี รับจะจัดการให้
ครั้นวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ ๒๔๙๗ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะเมีย เวลา ๒๒.๑๐ น คุณวิทย์ ศิวะดิตถ์ ได้จัดขันธ์ ๕ มาให้ตามที่ได้รับปากไว้ อาตมาภาพได้นำเครื่องสักการบูชาขันธ์ ๕ ตั้งบนโต๊ะ ซึ่งได้จัดไว้ที่ระเบียงด้านหน้าชั้นบนกุฎี อาตมาภาพได้ทำพิธีสวดสดุดีและอัญเชิญวิญญาณของบรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต ให้รับทราบว่า อาตมาภาพขอฝากฝังตัวเป็นศิษย์ของท่านในทางรักษาโรค พร้อมกับขอสักการบูชาด้วยขันธ์ ๕ เป็นการแนะนำตัวเองให้ท่านได้รับทราบไว้
ต่อมา เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ตรงกับวันอาทิตย์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะเมีย เวลา ๑๒.๑๕ น ขณะที่อาตมาภาพกำลังปรารภอยากจะหาช่างมาปั้นพระพักตร์ของบรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต ซึ่งอาตมาภาพจะได้อัญเชิญให้มาปรากฏที่หัวแม่มือ เพื่อจะได้นำมาเป็นแบบปั้นรูป และหล่อไว้เป็นที่เคารพบูชาต่อไป คุณโชติ สโมสร (ได้ถึงแก่กรรมแล้ว) ซึ่งมีความสามารถในการปั้นรูป ได้มาหาอาตมาภาพ อาตมาภาพจึงได้นำคุณโชติขึ้นบนกุฎิชั้นบน เพื่อปั้นรูปที่อาตมาภาพจะได้อัญเชิญให้มาปรากฏที่หัวแม่มือ คุณโชติไม่เชื่อว่าอาตมาภาพจะอัญเชิญภาพให้มาปรากฏได้ อาตมาภาพจึงได้บอกกับคุณโชติว่าจะทำให้ประจักษ์
อาตมาภาพได้ทำพิธีอัญเชิญบรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต ให้ปรากฏภาพพระพักตร์ เพื่อให้คุณโชติปั้นไว้เป็นแบบ เมื่อภาพได้มาปรากฏที่หัวแม่มืออาตมาภาพ คุณโชติมีความแปลกใจถึงกับอุทานว่า “ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตนเองแล้ว จะไม่เชื่อเลย”
คุณโชติทำการปั้นรูปพระพักตร์บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต ตามที่ได้เห็นที่หัวแม่มือของอาตมาภาพทันที เวลาล่วงไป ๒ ชั่วโมง การปั้นรูปพระพักตร์ของบรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต ก็ได้สำเร็จอย่างเรียบร้อย ท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของคุณโชติผู้ปั้น และเพื่อนฝูงของเขาเป็นอันมาก ที่ได้มาพบเห็นปรากฏการณ์ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ภายในโลกนี้ จากการทำพิธีอัญเชิญของอาตมาภาพ
กับศิษย์คนหนึ่งของอาตมาภาพ คุณโชติ สโมสร ได้เปิดเผยความในใจ หลังจากได้เห็นพิธีที่อาตมาภาพได้อัญเชิญภาพพระพักตร์บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัตให้มาปรากฏที่หัวแม่มือ และได้ปั้นรูปพระพักตร์ขององค์ท่านเสร็จแล้วว่า :-
“เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาวัดนี้ (วัดสมณานัมบริหาร) ด้วยอารมณ์อันเลื่อนลอยที่เกิดขึ้นภายในตัวของผมเอง เพราะงานที่ผมทำให้กับอาจารย์ชุม ไชยคีรี ยังค้างอยู่บ้าง ผมมาดูงานปั้นรูปอาจารย์คง ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ
เมื่อผมเดินเข้าไปในวัด ก็เลยไปที่ศาลาร่วมบุญ ผมได้พบท่าน อง พจนสุนทร กำลังทำการเสกเป่าคนไข้อยู่ ขณะนั้นผมก็เกิดศรัทธาในองค์ท่านขึ้นมาทันที ซึ่งผมเรียกท่านว่า หลวงพ่อ ผมเลยนั่งดูท่านทำการรักษาคนไข้อยู่พักหนึ่ง หลวงพ่อได้หันมาถามผมว่า
“คุณปั้นรูปได้ใช่ไหม ?”
ผมตอบท่านว่า “พอจะปั้นได้ครับ ถ้ามีแบบให้ผมดู หลวงพ่อจะให้ผมปั้นรูปอะไรครับ ?”
หลวงพ่อได้พูดตอบผมว่า “อาตมาภาพอยากจะให้คุณปั้นรูปของท่านชีวกโกมารภัต”
เมื่อผมได้ยินหลวงพ่อพูดเช่นนั้น ก็รู้สึกงงเป็นกำลัง เพราะไม่ทราบว่าท่านชีวกโกมารภัตเป็นใคร เมื่อหลวงพ่อเห็นผมมีสีหน้าแสดงความงงเช่นนั้น หลวงพ่อจึงได้อธิบายให้ฟังว่า
“ท่านชีวกโกมารภัต คือ นายแพทย์ที่ทำการรักษาพระพุทธองค์และประจำตัวของพระองค์ อาตมาภาพจะอัญเชิญภาพของท่านให้มาปรากฏที่หัวแม่มือเป็นแบบให้คุณปั้น”
พอผมได้ฟังหลวงพ่ออธิบาย ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเคยได้รู้เรื่องนี้มาก่อนแต่ลืมไป รู้สึกขันขึ้นมาทันทีและไม่เชื่อเลยว่า หลวงพ่อจะอัญเชิญให้มาปรากฏที่หัวแม่มือได้
ขณะนั้น ท่านอาจารย์ประสาน เปรมปรีชา ผู้มีความชำนาญทางเข้าฌาน ดูทางใน ได้เพ่งมองมายังผม แล้วก็หันไปพูดกับหลวงพ่อว่า
“คนนี้ทำได้แน่”
ผมได้ยินดังนั้น รู้สึกไม่ตื่นเต้น และไม่เชื่อเอาทีเดียว จากนั้นสักครู่หนึ่งผมก็ได้กราบลาหลวงพ่อกลับไป โดยไม่มีเรื่องนี้อยู่ในความสนใจของผมตามไปด้วยเลย ผมจำได้ว่าวันนี้วันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๗
คืนวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ ๒๔๙๗ ผมได้มาเที่ยวที่วัดนี้อีก เมื่อประมาณ ๑๖.๐๐ น ผมได้พบกับหลวงพ่อ หลวงพ่อถามผมว่า
“พรุ่งนี้คุณว่างไหม ? อาตมาภาพจะอัญเชิญท่านชีวกโกมารภัตให้มาปรากฏที่หัวแม่มือให้คุณดูเป็นแบบปั้น”
ผมรีบบอกท่านว่า “ว่างครับ” แล้วผมก็รับคำหลวงพ่อที่บอกให้ผมปั้นรูปท่านชีวกโกมารภัต
ผมไปธุระที่อื่นอีกและกลับถึงบ้านเวลาประมาณ ๒๔.๐๐ น เมื่อเข้าไปในบ้านนั่งพักผ่อนอยู่สักครู่หนึ่ง ผมรู้สึกว่าเจตสิกของผมเริ่มมือาการพิกล ผมได้เดินไปหยิบดินน้ำมันในสำนักงานออกมาคลำเล่น พร้อมกับนึกว่า รูปท่านชีวกโกมารภัตที่หลวงพ่อจะให้ปั้นนั้น คงจะมีรูปลักษณะไปทางคนจีน ผมจึงเริ่มปั้นเป็นเค้าคนจีนเพราะเชื่อแน่ว่าหลวงพ่อคงถนัดทางจีนมากกว่า ขณะนั้นฝนเริ่มโปรยลงมาตลอดเวลา ผมปั้นรูปนั้นเสร็จประมาณตีหนึ่งเศษ
รุ่งเช้าผมได้ชวนคุณเฉลิม และ คุณจุไรรัตน์ ซึ่งเป็นนิสิตของมหาวิทยาลัยศิลปากรมาด้วยเพื่อพิสูจน์ความจริง มาถึงวัดเวลาประมาณ ๑๒.๐๐ น เมื่อผมได้พบหลวงพ่อแล้ว ผมก็เอารูปปั้นเป็นแบบจีนออกมาถวายให้ดู หลวงพ่อก็บอกว่า
“ไม่ใช่ รูปร่างที่แท้จริงของท่านเป็นแขกพราหมณ์ ไม่ใช่จีน”
หลวงพ่อได้บอกให้ผมขึ้นไปบนกุฏิพร้อมกัน
หลวงพ่อได้ทำพิธีอัญเชิญ ผมได้สนใจเฝ้าดูหลวงพ่อตลอดเวลาทุกอิริยาบถและรู้สึกว่าการทำพิธีอัญเชิญนั้นง่ายเหลือเกิน และแปลกเกินกว่าความคาดหมายของผม หลวงพ่อได้จุดธูป และปักตามที่บูชาต่าง ๆ ในกุฎี และได้ว่าคาถาเป็นภาษาญวนปนไปกับภาษาบาลี ซึ่งผมเองก็ฟังไม่รู้เรื่อง จิตใจของผมในขณะนั้นอยากจะเห็นภาพและทำการปั้น เพื่อพิสูจน์ความจริง คุณเฉลิม และ คุณจุไรรัตน์ ได้ขึ้นมานั่งดูอยู่ด้วย
หลวงพ่อได้นั่งบนอาสนะ มือถือธูปที่จุด แล้วกำมือและหัวแม่มือชูขึ้น สายตาของผมจ้องจับอยู่ที่หัวแม่มือของหลวงพ่อ ในไม่ช้า ก็ปรากฏเห็นเป็นจุดขาว และจุดขาวนั้นได้ขยายตัวโตขึ้น.ๆ จนเห็นเป็นภาพ แต่ไม่ชัด ผมตอนนั้นจิตใจรู้สึกตื่นเต้นเพราะได้ประจักษ์สิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
หลวงพ่อได้เปลี่ยนที่นั่งใหม่ ซึ่งมีแสงสว่างน้อย คราวนี้ภาพที่หัวแม่มือของหลวงพ่อได้ปรากฏแจ่มชัด ผมเริ่มปั้นตามภาพใบหน้าที่เห็นในภาพนั้นทันที ใจผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ได้ปั้นตามภาพที่ปรากฏให้เห็นนั้น ผมใช้เวลาถึง ๒ ชั่วโมงจึงปั้นเสร็จเรียบร้อย ขณะที่ปั้นอยู่นั้น ผมชักสนุกและรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะบ้าไปทุกขณะ มานั่งปั้นรูปโดยไม่มีเหตุผล
คุณเฉลิม และ คุณจุไรรัตน์ ที่ผมชวนมาด้วย ก็เห็นภาพนั้นเช่นเดียวกับผมและยืนยันว่า ภาพที่ปรากฏที่หัวแม่มือหลวงพ่อเหมือนกับรูปที่ผมปั้นทุกประการ เมื่อผมปั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมพร้อมด้วยคุณเฉลิม และ คุณจุไรรัตนได้กราบลาหลวงพ่อกลับ แต่ผมไม่กล้าเอารูปที่ผมปั้นกลับไปบ้านด้วย.
วันรุ่งขึ้น ผมได้ไปที่บ้านท่านอธิบดีกรมเจ้าท่า คือ คุณพระพิจารณ์ชลกิจ ขณะที่นั่งคุยอยู่นั้น ผมได้จับหัวแม่มือของผมลูบคลำอยู่ไปมา อัศจรรย์นักเมื่อผมมองดูที่หัวแม่มือของผมเอง เริ่มเห็นปรากฏเป็นภาพของท่านชีวกโกมารภัต เหมือนกับที่ผมได้เห็นที่หัวแม่มือของหลวงพ่อ เสร็จธุระแล้วผมก็ได้กลับจากบ้านท่านอธิบดีกรมเจ้าท่า
ผมได้ไปที่วัดสมณานัมบริหารทันที เมื่อเข้าไปในโบสถ์ ผมพบหลวงพ่ออยู่ในโบสถ์แล้ว ผมได้เอาหัวแม่มือให้หมออินเทวดา (ยศ ร.ต.ต. ตำรวจน้ำ) ดู แล้วถามว่า “ในนี้มีอะไรหรือเปล่า?”
หมออินเทวดาดูสักพักหนึ่งก็บอกว่า “มี เห็นหน้าคนมีหนวดคางแพะ” และเห็นเด่นชัดขึ้นประมาณ ๒ นาที ผมทราบได้ทันทีว่าเป็นรูปของท่านชีวกโกมารภัต
หลวงพ่อนั่งหัวเราะเมื่อหมออินเทวดาพูดดังนั้น แล้วชวนผมกับหมออินเทวดาไปที่กุฏิ หลวงพ่อหยิบรูปที่ผมปั้นมาให้หมออินเทวดาดู หมออินเทวดาเห็นรูปปั้นก็ร้องเสียงดังว่า “ใช่แล้ว ๆ ” แล้วก้มลงกราบรูปนั้นทันที ผมเห็นดังนั้นชักงง และเริ่มเชื่อว่า เท่าที่ได้เห็นภาพ และปั้นรูปจนสำเร็จนั้นเป็นความจริง ผมก้มลงกราบรูปปั้นของท่านที่ผมได้ปั้นไว้ด้วยคารวะอันสูง
อา  บัดนี้ผมได้พบกับความมหัศจรรย์ และหลักไสยศาสตร์อันยิ่งใหญ่พร้อมกับหมออินเทวดาเข้าให้แล้ว หมออินเทวดาก็ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อทันทีพร้อมกับกล่าวว่า
“ผมมาที่นี่ด้วยจิตใจเลื่อนลอย หรือด้วยอำนาจอะไรผมก็บอกไม่ถูก แต่ตามความจริงใจแล้ว ผมไม่ต้องการมา เมื่อผมได้มาแล้ว เห็นแล้ว ผมก็ภูมิใจ”
ยังอีกครับ ยังไม่เชื่อถนัดนัก วันรุ่งขึ้น เวลาประมาณ ๑๒.๐๐ น ผมได้มาที่วัดสมณานัมบริหารอีก ผมให้คนงานที่กำลังแต่งรูปอาจารย์คงอยู่ มาดูที่หัวแม่มือของผม เขาว่าผมชักจะบ้าเสียแล้ว แต่เมื่อนั่งดูอยู่ประมาณ ๕ นาทีก็ปรากฏเป็นภาพท่านชีวกโกมารภัตขึ้นมา เขาไม่เชื่อ และปกปิดผมด้วย แต่ผมได้มารู้ทีหลัง
เมื่อผมเห็นเขาไม่เชื่อ ผมก็เจ็บใจ ให้เขาจับหัวแม่มือของเขาดูเอง คราวนี้ด้วยอำนาจของความศักดิ์สิทธิ์ เขาได้เห็นภาพปรากฏขึ้นที่หัวแม่มือของเขา แต่เห็นด้านข้าง ผมถามเขาว่า เห็นเป็นรูปร่างลักษณะอย่างไร และให้เขาสเก็ตภาพคร่าว ๆ ให้ดู แล้วผมก็หยิบกระดาษข้าง ๆ ตัว นำมาตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยม เพื่อนำมาเขียนภาพที่ปรากฏในหัวแม่มือของคุณอำไพ นักเรียนเตรียมศิลปากร ผมได้เขียนภาพที่ปรากฏนั้นประมาณ ๑๐ นาทีก็ได้ภาพของท่านชีวกโกมารภัต ด้านข้าง ขณะที่ผมกำลังเขียนภาพอยู่นั้น ร.ต. ประมวล นั่งอยู่ด้วย ได้กล่าวว่าผมเป็นบ้าไปแล้ว แต่ผมไม่ถือเพราะผมเห็นเช่นนั้น
“คืนวันนั้น ผมได้นำภาพที่ผมเขียนขึ้นไปถวายให้หลวงพ่อดูที่วัด ภาพนั้นเหมือนรูปที่ผมปั้นทุกประการ ผมขอรับรองว่า ภาพท่านชีวกโกมารภัตนี้ สูงเกินกว่าจะมีศิลปินผู้ใดจะมีมโนภาพเห็นได้ขนาดนี้ และยากที่จะทำได้เช่นนี้ถ้าขาดอำนาจศักดิ์สิทธิ์มาดลจิตใจให้เกิดกำลังความคิด และฝีมือที่ปั้น
ส่วนกระดาษที่ผมนำมาตัดเขียนภาพนั้น เมื่อมาถึงวัด ผมสังเกตเห็นอักษรภาษาฝรั่งท้ายภาพนั้น เป็นคำว่า ‘SERVICE MEDICAL’ ผมได้ไปเปิดปทานุกรมภาษาอังกฤษดู ก็ทราบคำแปลเป็นภาษาไทยว่า ‘สถานบริการทางการแพทย์’ ผมรับรองว่า ไม่ได้จงใจให้เหลือคำดังกล่าวนั้นเลย จะเป็นด้วยความบังเอิญหรือเหตุใดผมไม่ทราบ
ตั้งแต่นั้นมา ผมก็เชื่อทันทีว่า วิญญาณนั้นมีจริง และสิงสถิตอยู่ตามขั้นบุญและบาป ที่บุคคลนั้น ๆ ได้กระทำไว้ ที่ผมเชื่อเพราะผมได้เห็นประจักษ์กับตาของตนเองทีเดียว เป็นข้อพิสูจน์ที่มีค่าเกินกว่าข้อพิสูจน์ใด ๆ ทั้งสิ้นในโลก”
คืนวันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ ๒๔๙๗ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเมีย เวลากลางคืน ได้มีศิษย์และผู้รู้จักมักคุ้นหลายคนมาสนทนากับอาตมาภาพที่กุฎี
จนกระทั่งเวลา ๒๒.๐๐ น คุณนายสมาน พงษ์สุวรรณ ได้ปรารภกับอาตมาภาพว่า อยากจะให้อาตมาภาพอัญเชิญเทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์ อันเป็นที่เคารพนับถือมาประทับร่างทรง ด้วยต้องการจะถามกิจการบางอย่าง อาตมาภาพก็รับจะอัญเชิญให้
ทั้งหมดได้ลงมายังศาลาร่วมบุญ อาตมาภาพให้คุณชอุ่ม วัฒนแจ้ง หลานของคุณนายนั่งเป็นร่างประทับทรง อาตมาภาพได้ประกอบพิธีอัญเชิญ สักครู่หนึ่งเทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์ก็เริ่มเข้าประทับทรงในร่างของคุณชอุ่ม แต่ไม่เข้าประทับทรงเต็มที่ ทำให้คุณชอุ่มเหนื่อยอ่อนไปทีเดียว
ขณะนั้น คุณประทุม จันทรสมบูรณ์ ศิษย์หญิงคนหนึ่งของอาตมาภาพ กลัวว่าคุณชอุ่มจะเหนื่อยมาก จึงบอกกับอาตมาภาพขอเป็นผู้นั่งเป็นร่างประทับทรงแทน ถ้ามิฉะนั้นแล้วเทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์จะไม่ยอมออกจากร่างคุณชอุ่มแน่ เมื่อคุณประทุมนั่งเป็นร่างประทับทรงแทนแล้ว สักครู่เทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์ก็เข้าประทับทรงในร่างคุณประทุมทันที คุณชอุ่มก็เป็นปกติ
เมื่อคุณนายสมาน ได้ถามเรื่องราวพอสมควรแล้ว อาตมาภาพถามเทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์ว่า
“อาตมาภาพมีความประสงค์จะอัญเชิญท่านชีวกโกมารภัตมาประทับร่างทรงบ้าง จะต้องปฏิบัติเช่นไร และท่านประสงค์เข้าประทับทรงในร่างของผู้ใด”
เทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์ในร่างประทับทรงบอกว่า
“จะอัญเชิญท่านชีวกโกมารภัตมาประทับร่างทรงนั้น อัญเชิญได้ แต่ต้องให้ท่านนั่งบนผ้าขาวสะอาด เพราะเป็นเทพยเจ้าชั้นสูง”
แล้วชี้มือไปยัง ร.ต.อ. ทวี จำรูญจันทร์ ( บัดนี้เป็น พ.ต.ต. ) ให้เป็นผู้นั่งเป็นร่างประทับทรง เพราะเป็นคนสะอาดพอ
แต่ ร.ต.อ ทวี ได้หนีออกไปจากศาลาร่วมบุญเสียแล้ว อาตมาภาพจึงให้คุณชอุ่ม วัฒนแจ้ง คุณเกษม สวาวสุ และ พ.อ. อร่าม เมนะคงคา แห่งกองพันที่ ๑ ทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์ เป็นผู้นั่งเป็นร่างประทับทรง แล้วอาตมาภาพก็ทำพิธีอัญเชิญท่านชีวกโกมารภัต ทันที
ขณะที่อาตมาภาพกำลังทำพิธีอัญเชิญอยู่นั้น ร.ต.อ ทวี ได้กลับเข้ามาในศาลาอีก แล้วนั่งซึมอยู่ทางอีกด้านหนึ่งเพียงคนเดียว ชั่วครู่หนึ่ง ร.ต.อ ทวี ก็มีอาการผิดปรกติ เอามือตบเตียงดังฉาดใหญ่ จุดสนใจของคนทั้งหมดที่อยู่ในศาลา ก็หันไปทางเดียวกันเหมือนนัดหมาย ท่านชีวกโกมารภัตได้เข้าประทับทรงในร่าง ร.ตอ ทวี แล้ว หนีไม่พ้นเหมือนคำเทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์บอกทุกประการ
เมื่อท่านชีวกโกมารภัตได้เข้าประทับทรงเต็มที่แล้ว อาตมาภาพได้อัญเชิญให้ท่านนั่งบนอาสนะผ้าขาว ซึ่งได้จัดเตรียมไว้แล้ว อาตมาภาพได้กล่าวฝากฝังตัวเองเป็นศิษย์ ศึกษาวิธีรักษาโรคกับท่าน ท่านก็ได้รับไว้ด้วยความเต็มใจ อาตมาภาพก็ได้ถามถึงประวัติของท่าน และเรื่องอื่น ๆ สักครู่ แล้วท่านก็ได้ออกจากร่างประทับทรงไป นับเป็นครั้งแรกที่อาตมาภาพได้พบกับท่านชีวกโกมารภัต ในร่างประทับทรง และได้พูดจากับท่าน
ต่อมา เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ ๒๔๙๗ วันอาทิตย์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเมีย เวลา ๒๓.๒๐ น. อาตมาภาพได้ประกอบพิธีอัญเชิญท่านชีวกโกมารภัตเข้าประทับทรงในร่างของ ร.ต.อ ทวี จำรูญจันทร์ ในพระอุโบสถวัดสมณานัมบริหาร อาตมาภาพได้ขออนุญาตหล่อรูปของท่านเท่าตัวคนจริง ๑ รูป และรูปเล็กขนาดหน้าตัก ๓ นิ้วอีก ๑๐๘ รูป เพื่อทำการสักการบูชา และให้ผู้ที่มีความเคารพนับถือไว้บูชา โดยนำรูปปั้นที่คุณโชติ สโมสร ปั้นไว้ให้ท่านดู
ท่านชีวกโกมารภัตได้พูดว่า “เรื่องนี้จะไม่ใหญ่โตไปหรือ? แต่ถ้าเป็นความประสงค์ของท่านและลูกหลาน ก็อนุญาต” และท่านชีวกโกมารภัตได้ประสิทธิ์ประสาทคาถารักษาโรคให้ว่า “นะอะนะวะ โรคาพยาธิ วินาสสันติ”
เมื่อได้รับอนุญาตจากท่านชีวกโกมารภัตดังกล่าวแล้ว อาตมาภาพได้ให้นายชิ้น ชื่นประสิทธิ์ ปั้นรูปของท่านขนาดองค์จริง ๆ ๑ รูป และรูปเล็กขนาดหน้าตัก ๓ นิ้ว ๑๐๘ รูป การปั้นหุ่นจำลองรูปของท่านชีวกโกมารภัตได้ทำขึ้นด้วยความยากลำบาก และความอุตสาหะ ความยากของเรื่องได้เกิดขึ้นเนื่องจากอาตมาภาพต้องการให้ได้รูปหุ่นที่ปั้นเหมือนท่าน ครั้งเมื่อมีชีวิตอยู่จริง ๆ นายชิ้นได้ปั้นหุ่นอยู่ถึง ๒ ปี จึงสำเร็จ พร้อมที่จะทำการหล่อด้วยโลหะได้
มีความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ที่แทบไม่น่าเชื่อถือได้เลย คือ เมื่อนายชิ้นปั้นหุ่นรูปของท่านชีวกโกมารภัตเสร็จแล้ว อาตมาภาพได้ไปที่โรงงานของนายชิ้น พร้อมด้วยคุณประทุม จันทรสมบูรณ์ อาตมาภาพได้ทำพิธีอัญเชิญเทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์เทพยราชเลขาธิการ ผู้ชำนาญในการปั้นมาประทับร่างทรง เพื่อให้ตรวจดูความถูกต้องของรูปที่นายชิ้นได้ปั้นเสร็จแล้วนั้น วิญญาณเทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์ ซึ่งมาประทับร่างทรงแล้ว ได้บอกเลยทันทีว่าแขนซ้ายและแขนขวา ซึ่งช่างได้ปั้นเสร็จแล้วนั้น ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ไม่มีใครรู้มาก่อนเลย แม้แต่ช่างที่ปั้น เมื่อได้รับคำบอกกล่าวเช่นนั้น ช่างได้ทำการแก้ไข
นอกจากนี้แล้วเทพยเจ้าท้าวใจภักดิ์ยังได้บอกให้แก้ไขส่วนต่าง ๆ ที่ยังไม่ถูกต้องหลายแห่ง บางครั้งก็ลงมือแก้ไขเสียเอง ทั้ง ๆ ที่คนที่ท่านประทับทรงหลับตาอยู่ อาตมาภาพใจหายใจคว่ำด้วยเกรงว่ารูปที่ช่างได้ปั้นเสร็จแล้วจะชำรุดเสียหาย แต่แล้วอาตมาภาพกลับปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่งที่ได้รูปหุ่นที่งามสง่าสมส่วน ถูกต้องตามลักษณะที่แท้จริง และเพศของท่านทุกประการ ด้วยการปั้นที่มิใช่มาจากมโนภาพ ภาพประดิษฐ์ หรือแบบจากที่ใด แต่ได้มาจากอัญเชิญภาพให้ปรากฏที่หัวแม่มืออาตมาภาพ นายชิ้นช่างที่ทำการปั้น ก็ได้ให้คำรับรองว่าถูกต้อง และงดงาม เหมือนมนุษย์มีชีวิตอย่างแท้จริง
เมื่อรูปหุ่นที่ช่างได้ปั้นเสร็จแล้ว พร้อมที่จะทำพิธีหล่อ อาตมาภาพได้ทำพิธีพุทธาภิเษกหล่อรูปท่านชีวกโกมารภัต พร้อมด้วยรูปขนาดเล็กมี ๑๐๘ องค์ ในวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ ๒๔๙๙ วันอังคาร ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖.ปีวอก เวลา ๕.๐๐ น เมื่อหล่อเสร็จแล้ว ช่างได้ทำการตกแต่งรูปของท่านแล้วรมด้วยสีดำ อาตมาภาพได้อัญเชิญท่านชีวกโกมารภัตมาทำพิธีประจุฤทธิ์รูปหล่อขนาดเท่าองค์จริง ๑ รูป และรูปหล่อขนาดเล็กอีก ๑๐๘ รูป เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ ๒๕๐๐ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา เวลา ๒๑.๐๐ น อีกครั้งหนึ่ง เป็นอันว่าอาตมาภาพได้รูปหล่อที่มีลักษณะเหมือนท่านครั้งมีชีวิตอยู่ไว้สักการบูชาตามที่ได้ปรารถนาไว้ และอาตมาภาพได้ขนานนามรูปหล่อท่านชีวกโกมารภัตว่า “บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัต”
รูปหล่อของบรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัตได้ประดิษฐานไว้สักการบูชาทางด้านซ้ายมือของพระประธานในพระอุโบสถวัดสมณานัมบริหาร
(ลงนาม) อง สรภาณมธุรส
เจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร
๒๕ ธันวาคม ๒๕๐๑.
ขอบคุณครับ
สาธุกราบหลวงปู่ครับ

ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้