ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 686
ตอบกลับ: 1

พระสารีบุตรสอนการเป็นพระโสดาบัน

[คัดลอกลิงก์]



พระสารีบุตรสอนการเป็นพระโสดาบัน

พระสารีบุตรก็แนะนำด้วยการปฏิบัติตั้งแต่ต้นยันอรหันต์ ว่า "เวลานี้พวกผมเป็นปุถุชน ถ้าต้องการเป็นพระโสดาบันจะทำอย่างไรขอรับ

ท่านก็บอกว่าตัดตัวเดียวคือ สักกายทิฏฐิ สังโยชน์น่ะมันมี ๑๐ นะ ถ้าตัดกิเลสแต่ความจริงให้ตัดเฉพาะตัวหน้าตัวเดียว ถ้าเธอตัดสักกายทิฏฐิได้อย่างหยาบก็จะเป็นพระโสดาบัน

พระโสดาบันตัดร่างกายตัวเดียว

คำว่า "สักกายทิฏฐิ" คือมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา เรามีในร่างกาย
ร่างกายมีในเรา ใช่ไหม ถือว่าร่างกายนี่มันเป็นเราเป็นของเรา เราเป็นเจ้าของกาย นี่เป็นความเข้าใจผิด แต่ความจริงร่างกายนี่มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายจะมีสภาพต้องทอดทิ้งไป ใช่ไหมเถ้าแก่ใหญ่ คนตายแล้วไม่มีใครเอาร่างกายไปเลยใช่ไหม เอาว่าย่อๆ แค่นี้ก่อนประเดี๋ยวไม่ต้องจบ

ให้ตัดสักกายทิฏฐิทิ้ง พิจารณาขันธ์ ๕ ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถ้าพูดเข้าใจง่ายๆ ก็คือ “ร่างกาย” ว่ามันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าความรู้สึกอย่างหยาบเกิดขึ้นประจำใจคือทรงตัวเป็นฌาน ฌานอย่างหยาบ อย่างนี้เธอก็เป็นพระโสดาบัน

พระโสดาบันจะเป็นพระสกิทาคามี

พระก็ถามว่า "ในเมื่อผมเป็นพระโสดาบันแล้วต้องการเป็นพระสกิทาคามีทำอย่างไร"
ท่านบอกว่า "ทำตัวนี้แหละ พิจารณาเรื่อยๆ ไป เมื่อจิตละเอียดลง คือจิตบรรเทาจากโลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง

ไอ้ตัวแรกหมายความว่าทรงศีลบริสุทธิ์ ในเมื่อเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ในเมื่อสภาพร่างกายมันตายเราต้องไป ไปไหนบ้าง ไปอบายภูมิบ้าง ไปสู่สุคติบ้าง เราก็เลือกเฉพาะสุคติ สุคติไปได้อย่างไร ต้องไปได้ด้วยความดี มีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และมีศีลบริสุทธิ์ นี่ตัวแรกนะ อย่างนี้เป็นอย่างหยาบ

( พระสกิทาคามีรักษากรรมบถ ๑๐ ได้ครบถ้วน)

ต่อไปเมื่อต้องการเป็นพระสกิทาคามีทำอย่างไร
ท่านบอกพิจารณาตัวเดิม จิตจะมีความรู้สึกละเอียดลง คือสามารถรักษากรรมบถ ๑๐ ไว้ได้ครบถ้วนนะ

กรรมบถ ๑๐ มีอะไรบ้าง คือ
ทางกายก็คือ
๑.ไม่ฆ่าสัตว์
๒.ไม่ลักทรัพย์
๓.ไม่ประพฤติผิดในกาม

ทางวาจาก็คือ
๑.ไม่พูดปด ไม่พูดมดเท็จ
๒.ไม่พูดคำหยาบ
๓.ไม่พูดส่อเสียด
๔.ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

ทางจิตใจก็คือ
๑. ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของใครโดยไม่ชอบธรรม
๒. ไม่จองล้างจองผลาญใคร
๓. มีความเห็นตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จิตละเอียดลง
“โลภ โกรธ หลง เบาลงมาก
แต่เมื่อจิตเราละเอียดแบบนี้ จิตจะต้องบรรเทาความโลภ ความโกรธ ความหลง ความรู้สึกน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกน้อยเต็มที่ ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี
ฉันเหลือน้อยมากเบามาก จิตมีความละเอียดมาก

( ขั้นต่อไปเป็นพระอนาคามี)

ต่อไปพระก็ถามว่า “ในเมื่อผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว ต้องการเป็นพระอนาคามีทำอย่างไร"
ท่านสารีบุตรก็บอก "ทำตัวเดิมนั่นแหล่ะ ในที่สุดจิตมันตัด
กามฉันทะ ความพอใจในเพศ
ปฏิฆะ อารมณ์ไม่พอใจ คือความโกรธ มันจะตัดไปได้เอง ในเมื่อมันตัดไปได้แล้วก็
เป็นพระอนาคามี

(วางเฉยในร่างกายเป็นพระอรหันต์)

พระก็ถามต่อไปว่า “ในเมื่อผมเป็นพระอนาคามีแล้วผมจะเป็นพระอรหันต์ทำอย่างไร"
พระสารีบุตรก็บอกว่า "ทำตัวเดิมนั่นแหล่ะ ก็ตัดหมด ต่อไปเข้าถึง
สังขารุเปกขาญาณวางเฉยในอาการร่างกายทั้งหมด มันจะมีอะไรก็ตามถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา จิตไม่เป็นทุกข์ก็เป็นพระอรหันต์

( อรหันต์ทำหนักขึ้นเพื่อความเป็นสุข)

พระก็ถามต่อไปว่า "ถ้าเป็นอรหันต์แล้วก็เลิกทำใช่ไหม” นี่มาบทขี้เกียจ
พระสารีบุตรบอกว่า "ไม่ใช่ เป็นอรหันต์แล้วทําหนักขึ้นเพื่อความอยู่เป็นสุข

เห็นไหม นี่พูดให้ฟัง นี่ยังไม่ได้แนะนำพูดให้ฟัง

พิมพ์จากหนังสือธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๒๘ ฉบับที่ ๓๐๙ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙ หน้าที่ ๖๙~๗๐
คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี

 เจ้าของ| โพสต์ 2023-5-25 19:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้