ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3991
ตอบกลับ: 7
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

พระอุปคุต "พระบัวเข็ม"

[คัดลอกลิงก์]



ประวัติพระอุปคุต

   พระอุปคต ผู้เป็นพระอรหันตสาวกที่ทรงมหิทธานุภาพ  ชอบความวิเวกวังเวงและอยู่ตามลำพังผู้เดียวไม่ชอบเกี่ยวข้องกับผู้อื่น  เป็นพระอรหันต์หลังสมัยพุทธกาลเพราะไม่พบประวัติของท่านในพระไตรปิฏก แต่ปรากฎอยู่ในจารึกพระอโศกมหาราช  ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีหลังพุทธปรินิพพานและปรากฎอยู่ในพระปฐมสมโพธิกถา ซึ่งเป็นพระนิพนธ์กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสโดยอยู่ปริจเฉทที่ ๒๘ ที่มีชื่อว่า "มารพันธปริวรรต"  เรื่องชื่อของท่านนั้นนอกจากจะเรียกว่า "พระอุปคุตเถระ" แล้วยังมีชื่อเรียกเป็นอย่างอื่นอีก เช่น"พระเถรอุปคุต" ชื่อนี้เรียกเป็นภาษาชาวบ้านโดยนำเอาคำว่า "เถระ" อันเป็นสัญลักษณ์ที่ชี้บอกถึง "ความมั่นคง" ในพระธรรมวินัย หรือ บวชพระครองเพศสมณะมาแล้วตั้งแต่ ๑๐ พรรษาขึ้นไป

  "พระนาคอุปคุต" ชื่อนี้ใช้เรียกเพื่อกันมิให้ซ้ำกับชื่อของพระเถระรูปอื่นและมีความหมายว่า พระอุปคุตผู้ประเสริฐ

  "พระกีสนาคอุปคุต" ชื่อนี้เป็นชื่อเต็มที่เรียกตามนิมิตหมายแห่งร่างกายของท่านคือ ท่านเป็นผู้มีร่างกายซูบผอม (กีสะ แปลว่า ผอมหรือบอบบาง)
   และอีกชื่อหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ของนักสะสมพระเครื่องคือ "พระบัวเข็ม" หรือ "หลวงพ่อบัวเข็ม" ชื่อนี้เรียกกันเป็นภาษาไทยและเหตุที่เรียกอย่างนี้เพราะว่ามีใบบัวคลุมศรีษะและมีเข็มปักอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายท่าน

   แต่ชื่อของท่านที่ใช้เรียกันอยู่โดยทั่วไปนิยมเรียกเพียงสั้นๆ ว่า พระอุปคุต เป็นศัพท์ทางภาษาบาลี หรือ พระอุปคุปต์ เป็นศัพท์ทางภาษาบาลี หรือ พระอุปคุปต์ เป็นภาษาสันสกฤต โดยทั้งสองชื่อมีความหมายว่าผู้มีความคุ้มครองมั่นคง








พุทธพยากรณ์

  กล่าวกันว่า....ก่อนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพานพระองค์ได้มีพราะพุทธดำรัสกับพระอานนท์ว่า...
    "ดูกร  อานนท์ ณนครมถุราอีกร้อยปีแต่ตถาคตนิพพานแล้ว จะมีพ่อค้าขายน้ำหอม ชื่อ คุปตะ เขาจะมีลูกชื่อ อุปคุต ซึ่งจะได้เป็นอนุพุทธที่ปราศจากมหาปุริสลักษณะ (พระมหาปุริสลักษณะ หมายถึง ลักษณะ ๓๒ ประการของมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่) ท่านผู้นี้จะทำงานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไปเทศนาของผู้นี้จะช่วยให้พระภิกษุเป็นอันมากเอาชนะกิเลสมารได้จนเข้าถึงอรหัตตผล..... นอกจากนี้แล้วพระอุปคุตรูปนี้จะเป็นเอตทัคคะในบรรดาธรรมกถึกทั้งหลายของเรา
    อานนท์  เธอแลเห็นสั้นยาวสีคล้ำทางสุดสายตาโน้นไหม นั่นแลอานนท์คือภูเขาชื่อ อุรุมมุณฑะ อีกร้อยปีแต่ตถาคตนิพพานแล้วพระภิกษุรูปหนึ่งชื่ออุรุมมุณฑะ อีกร้อยปีแต่ตถาคตนิพพานแล้วพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ ศาณกวาสิน จะให้สร้างวัดขึ้นที่นั่นแล้วจะให้อุปสบทแก่อุปคต.....


กำเนิดอุปคุต

    ร้อยปีเศษหลังพุทธปรินิพพาน  เมื่อพระศาณกวาสินเถระให้สร้างวัดบนภูเขาอุรุมมุณฑะเสร็จแล้ว ท่านระลึกได้ว่าเคยมีพุทธพยากรณ์ว่าจะมีพระอุปคุตได้เป็นพระอนุพุทธ และจะได้ประกอบกรณียกิจของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระคุณเจ้าจึงได้กำหนดจิตดูว่า พ่อค้าน้ำหอมที่ชื่อว่า คุปตะ ได้ถือกำเนิดหรือยังและแล้วก็ปรากฏแก่ญาณว่าเขาได้เกิดแล้วพระคุณเจ้าจึงกำหนดจิตต่อไปว่าบุตรของเขาที่ชื่อว่าอุปคุตถือกำเนิดหรือยัง ก็ปรากฏว่าเขายังไม่เกิด
     ด้วยกุศโลบายภายในไม่ช้า คุปตะพ่อค้าน้ำหอมก็มานับถือพระธรรมของพระผู้มีพระภาควันหนึ่งพระศาณกวาสินจึงไปสู่คฤกาสน์ของเขาพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ วันต่อมาพระศาณกวาสินไปกับพระภิกษุรูปหนึ่งครั้นวันที่สามพระคุณเจ้าไปเพียงลำพัง คุปตะเห็นดังนั้นจึงถามว่า... ทำไมท่านมาเพียงลำพัง ?  
พระเณรเจ้าตอบว่าท่านชราภาพแล้ว แต่ไม่มีผู้อุปัฎฐากผู้ติดตาม คุปตะจึงตอบว่าเขายังยินดีในกามคุณทั้ง ๕ ไม่สมควรที่จะออกบวช แต่เมื่อมีบุตรแล้วจะถวายบุตรให้เป็นผู้อุปัฎฐากพระคุณเจ้า

   ต่อมาคุปตะได้บุตรชาย ๒ คนคือ อุศวคุปต์ และ ธนคุปต์ ก็ยังไม่ยอมให้บวชอ้างว่าคนโตต้องไปหาซื้อของจากเมืองไกล คนที่สองต้องคอยเฝ้าบ้านถ้ามีคนที่สามจะถวายพระคุณเจ้า พระศาณกวาสินกำหนดจิต รู้ว่าเด็ก ๒ คนนี้ไม่ใช่ จึงรอบุตรคนที่ ๓
   ในที่สุดอุปตะก็ได้บุตรชายคนที่ ๓ เป็นเด็กน่ารัก งดงาม ก่อให้เกิดความยินดีแก่ผู้พบเห็น มีรูปลักษณ์ดีกว่าใครๆ เมื่อกำหนดทำขวัญเนื่องในวันเกิด ได้ตั้งชื่อว่า อุปคุต (อุปคุปต์)
   
   เมื่ออุปคุตเจริญวัย พระศาณกวาสินได้ไปยังบ้านคุปตะพ่อค้าน้ำหอม แล้วกล่าวขอให้อุปคุตบวช  แต่คุปตะกลับกล่าวว่า "ถ้าบุตรคนนี้ไม่เป็นผลในทางกำไรหรือขาดทุนอีกแล้ว จะอนุญาตให้เขาบวชได้"
   
   เมื่อตกลงกันเช่นนี้ไม่นานพญามารได้เข้ามาทำนครมถุราให้เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น ชาวเมืองจึงมาซื้อน้ำหอมจากอุปคุต ซึ่งขายได้มาก พระศาณกวาสินได้ไปหาอุปคุตผู้ขายน้ำหอมอยู่ และกล่าวธรรมมิกถากับอุปคุต เขาฟังธรรมมิกถาของพระเถระแล้วเกิดสังเวชคือ ความสลดใน และมีดวงตาเห็นธรรม หรือที่เรียกว่าได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลขั้นต้นในพระพุทธศาสนา


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-29 22:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระปฐมสมโพธิกถา


ใน “พระปฐมสมโพธิกถา” ได้บันถึงถึงเรื่องพระอุปคุตและพญามารไว้ต่างกันดังนี้...
ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น พระองค์มีพระราชประสงค์จะกระทำมหกรรมการฉลองพระสถูปเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๘๔,๐๐๐ องค์ จึงทรงดำริว่า... “เราจะกระทำการฉลองพระสถูปเจดีย์ทั้งหลาย ทั้งจะกระทำการสักการบูชาให้ครบกำหนด๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน จึงจะสมควรกับศรัทธาของเราทำอย่างไรจึงจักไม่มีอันตรายในการบำเพ็ญกุศล ครั้งนี้จะมีอุบายวิธีประการใดบ้างที่จะช่วยป้องกันอันตรายได้ทางที่ดีเราควรจะไปถามเหตุผลกับพระอริยสงฆ์”

    พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้เสด็จไปสู่พระวิหารและตรัสกับพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระให้ช่วยค้นหาพระภิกษุผู้มีมหิทธานุภาพ เพื่อป้องกันอันตรายในงานมหกรรมการกระทำสักการบูชาฉลองพระสถูปเจดีย์ของโยมที่จะจัดให้มีขึ้นถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระจึงรับหน้าที่ในการแสวงหาและเลือกพระภิกษุผู้ทรงอิทธิฤทธิ์มาช่วยการกระทำมหกรรมจากนั้นพระโมคคัลลีบุตรพร้อมคณะสงฆ์จึงร่วม ด้วยช่วยกันพิจารณาหาเหตุแห่งอันตรายนั้นพบว่าจะมีพญามารมาทำลายพิธีกรรมในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศล จึงขอให้พระสังฆเถระมาช่วยในการป้องกันพญามารที่จะมาขัดขวางการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครั้งนี้ พระสังฆเถระกล่าวปฏิเสธรวมถึงพระอนุเถระรองๆลงมาเป็นลำดับไปจนกระทั่งถึงพระภิกษุผู้บวชใหม่
ในขณะนั้น มีพญานาคราชตัวหนึ่งขึ้นมาจากนาคพิภพเพื่อจะนมัสการพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงแต่ในเวลาที่พญานาคราชถวายวันทนาการ พญาครุฑตัวหนึ่งแลเห็นพญานาคราชจึงจะจับกินฝ่ายพญานาคราชจึงเลี้ยวหลบเข้าไปในระหว่างของพระสังฆเถระร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีพระสงฆ์รูปใดสามารถช่วยเหลือได้
ในสถานที่สังฆสันนิบาตนั้นได้มีสามเณรอาคันตุกะรูปหนึ่ง อายุประมาณ๗ ขวบมานั่งอยู่ที่หน้าอาสนะของพระสงฆ์ พระสงฆ์เห็นเหตุร้ายจะเกิดขึ้นเช่นนั้นจึงถามสามเณรน้อยรูปนั้นว่าจะช่วยป้องกันอันตรายให้พญานาคพ้นจากการเบียดเบียนของพญาครุฑได้หรือไม่ ทีแรกสามเณรกล่าวออกตัวแกมปฏิเสธพระภิกษุสงฆ์จึงกล่าวขอร้องสามเณรอีกหลายครั้ง ในที่สุดสามเณรผู้มีอิทธิฤทธิ์ยิ้มหน่อยหนึ่งแล้วจึงกล่าวตกลง
พอพญาคุรฑบินโฉบต่ำลงมาสามเณรก็เข้าฌานสมาบัติ อธิษฐานให้บังเกิดลมพายุอันร้ายแรงเหมือนลมยุคันตวาตพัดพญาครุฑให้ปลิวปลาตนาการไป เมื่อพญานาคราชรอดตามมาได้ จึงกล่าวสรรเสริญคุณของสามเณรน้อยนั้นแล้วจึงชำแรกแผ่นดินกลับไปสู่นาคพิภพ

     เวลาต่อมาพระภิกษุสงฆ์ได้ซักถามสามเณรนั้นว่า“เหตุไฉนเธอจึงไม่กระทำตามคำของพระภิกษุสงฆ์ในตอนแรก แต่กลับยิ้มเสียก่อนแล้วจึงกระทำในภายหลังการกระทำอย่างนี้นับว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรเธอควรจะต้องถูกลงทัณฑกรรม” และกล่าวชี้แจงว่า “พระเจ้าอโศกมหาราชจะทรงกระทำมหกรรมการฉลองพระมหาสถูปเจดีย์โดยมีกำหนด๗ปี ๗ เดือน ๗ วันเกรงว่าพญามารจักกระทำอันตรายในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เธอจงช่วยป้องกันอันตรายในครั้งนี้”สามเณรเห็นว่าตนไม่เหมาะจึงแนะนำ พระภิกษุรูปอื่นที่มีมหิทธิฤทธิ์ที่อาจจะทรมานให้พญามารปราชัยได้...ซึ่งพระภิกษุรูปนั้นคือ พระกีสนาคอุปคุตเถระ นั่นเอง
พระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงได้ฟังคำบอกเล่าของสามเณรจึงใช้ให้พระภิกษุ ๒ รูป ผู้ได้อภิญญาสมาบัติไปนิมนต์พระอุปคุตเถระซึ่งจำพรรษาอยู่ในท้องมหาสมุทร เพื่อหลบหนีความวุ่นวายสับสนอลหม่านมาสู่สังฆสมาคมนี้ตามสังฆมติ


3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-29 22:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อพระภิกษุทั้ง ๒ รูปลงไปอาราธนาท่านมาแล้ว ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวง ได้กล่าวกับพระอุปคุตว่า...

“ท่านไม่ได้ร่วมสามัคคีอุโบสถกับพระภิกษุสงฆ์ ไม่ช่วยเหลืองานพระศาสนา หลบไปหาความสงบสบายแต่ลำพังผู้เดียวขาดความเคารพในสงฆ์ เป็นการขัดกับพระพุทธประสงค์ แม้แต่พระมหากบิลเถระพระผู้มีพระภาคเจ้ายังตรัสติเตียน เพราะเหตุที่ไม่เคารพในสงฆ์ ฉะนั้นท่านสมควรที่จะถูกพระภิกษุสงฆ์ลงทัณฑกรรม”
พระอุปคุตเถระฟังเหตุผลของภิกษุสงฆ์ทั้งปวงแล้ว ก็ยอมรับความผิดนั้นด้วยดี พระภิกษุสงฆ์จึงบอกให้ท่านช่วยทำงานป้องกันอันตรายถวายแด่ พระเจ้าอโศกมหาราชผู้ทรงเป็นสังฆอุปัฏฐาก ซึ่งมีพระราชศรัทธาที่จะกระทำมหกรรมการฉลองพระสถูปเจดีย์ และพระวิหารที่ทรงสร้างไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ แห่ง พร้อมกับมหาสถูปในพระนครนี้โดยกำหนดจะกระทำอธิสักการบูชาเป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน และคอยป้องกันพญามาร อย่าให้มากระทำอันตรายในการทรงบำเพ็ญพระราชมหากุศลครั้งนี้

เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทราบข่าวว่าพบพระภิกษุผู้มีฤทธิ์สามารถป้องกันอันตรายแล้ว จึงลองทดสอบพระมหาเถระดูโดยการปล่อยช้างตกมันไปหาพระอุปคุต เพื่อทดลองกำลังฤทธานุภาพ พระอุปคุตซึ่งทราบว่าพระราชาต้องการทดลองอิทฤทธิ์ของท่านจึงอธิษฐานจิตว่า “ขอให้ช้างนี้จงกลายร่างเป็นช้างศิลาอยู่ที่นี้ ”ช้างตัวนั้นจึงหยุด นิ่งแข็งราวกับศิลา เมื่อเห็นดังนี้ พระเจ้าอโศกจึงหมดห่วงและกล่าวขอขมากับพระเถระ พอถึงวันอันเป็นกำหนดการงานฉลอง พระเจ้าอโศกมหาราช พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี ประชาชนทุกหมู่เหล่าและ ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากมาย มีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นต้น ได้พากันมาสันนิบาต คือประชุมพร้อมกันในพระอารามนั้น เพื่อจะนมัสการพระมหาเจดีย์
ในขณะนั้น วสวัตดีมาร ทราบว่าพระเจ้าอโศกมหาราชจะทรงกระทำมหาสักการบูชา และการฉลองพระมหาเจดีย์กับพระอารามเป็นงานมโหฬาร มีจิตเกิดความคิดริษยา คิดที่จะมาขัดขวางทำลายล้างพิธีจึงแสดงอิทธิฤทธิ์บันดาลให้ท้องฟ้ามีลักษณะมืดมัวและสร้างลมพายุใหญ่พัดมาแต่ไกล ส่วนพระอุปคุตเถระ ผู้รับหน้าที่ป้องกันอันตรายในงานมหกรรมนั้นรู้แน่ชัดว่า พญามารเริ่มทำลายการบำเพ็ญกุศล จึงใช้อิทธิฤทธิ์ปัดเป่าให้พายุใหญ่ของพญามารนั้นอันตรธานหายไป

พญามารเห็นดังนั้นจึงโกรธแค้น บันดาลให้ห่าฝนทรายกรด เมล็ดกรวดกรด ห่าฝนก้อนศิลา ห่าฝนถ่านเพลิง ห่าฝนลมกรด ห่าฝนน้ำกรด ห่าฝนอาวุธต่างๆ ห่าฝนเถ้ารึง๓ ห่าฝนเปือกตม ให้ตกลงมา และยังบันดาลให้เกิดความมืดมิดอันน่ากลัว พระมหาเถระก็อธิษฐานอิทธิปาฏิหาริย์หอบเอาห่าฝนเหล่านั้นและความมืดมิดของพญามารไปทิ้งเสียนอกขอบจักรวาล
เมื่อเห็นดังนั้น พญามารจึงโกรธจัด จึงเนรมิตร่างกายเป็นสัตว์ดุร้ายต่างๆ เช่น เป็นโคใหญ่วิ่งไปจะชนทวีปทั้งสิ้นให้พินาศ พระมหาเถระก็เนรมิตร่างกายเป็นรูปพยัคฆ์ใหญ่วิ่งไล่ไปจะจับโค จนโคพ่ายแพ้ล้มลง ร่างก็กลับกลายเป็นรูปพญานาคราชมีเศียร ๗ เศียร ตรงเข้าคาบเอากายพยัคฆ์ใหญ่ พยัคฆ์ใหญ่ก็กลับกลายร่างเป็นพญาครุฑแล้วคาบศีรษะของพญานาคราชลากไปมาจนปราชัย พญามารรีบแปลงร่างจากพญานาคราชมาเป็นยักษ์ใหญ่ตัวโต มือถือตะบองทองแดง พระมหาเถระจึงเปลี่ยนแปลงร่างจากพญาครุฑมาเป็นรูปยักษ์ที่ใหญ่ขึ้นไปกว่ายักษ์พญามารนั้น ๒ เท่า มือทั้งสองถือตะบองที่มีเปลวไฟตรงเข้าตีที่ศีรษะของยักษ์พญามาร สุดท้ายพญามารจึงยอมรับความพ่ายแพ้ แสดงตัวให้ปรากฏเป็นรูปพญามาร ยืนอยู่ตรงหน้าของพระมหาเถระ
พระอุปคุตเถระก็แปลงกายจากรูปยักษ์กลับมาเป็นพระมหาเถระอย่างเดิม และได้เนรมิตสุนัขเน่ามีกลิ่นเหม็นคลุ้ง เต็มไปด้วยหนอน น่าขยะแขยง เอาผูกติดไว้ที่คอของพญามารพร้อมกับอธิษฐานจิตว่า “ไม่ว่าบุคคลใดผู้หนึ่งหรือจะเป็นเทพยดาหรือพรหมเป็นต้นก็ตามที ขออย่าสามารถที่จะปลดเปลื้อง หรือแก้ออกได้” ก่อนจะไล่พญามารให้จากไป
พระยาวสวัตดีมารอับอายในซากหมาเน่ามาก ทว่าไม่มีใครสามารถปลดซากนั้นให้แก่ท่านได้ สุดท้ายจึงเข้าไปกราบแทบเท้าของพระมหาเถระ แล้วกล่าวรับสารภาพผิดและกล่าวอ้อนวอนด้วยวาจาอันสุนทรีภาพนานาประการ พระมหาเถระเห็นว่าควรจะมัดพญามารไว้ก่อน จึงมัดพญามารติดกับภูเขา เป็นการประจานด้วยโทษฐานเป็นผู้มีใจบาป คอยขัดขวางและทำลายการกระทำความดีของผู้อื่น ฝ่ายพระอุปคุตเถระ
งานมหกรรมการฉลองพระมหาเจดีย์และพระอารามของพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อปราศจากพญามารมาขัดขวาง จึงดำเนินไปอย่างเรียบร้อยครบกำหนด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วันด้วยประการฉะนี้...

เมื่อทุกอย่างสำเร็จลงโดยเรียบร้อย พระอุปคุตเถระจึงไปยังภูเขาที่ผูกมัดพญามารไว้ พญามารนั้นละพยศหมดความดุร้าย รำพึงรำพันว่า... “สมัยเมื่อพระพุทธองค์ประทับเหนือรัตนบัลลังก์ ณ ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ข้าพระบาทมิอาจจะอดกลั้นความโกรธไว้ได้ จึงขว้างจักรอันคมกล้า ที่สามารถจะตัดวชิรบรรพตให้ขาดไปราวกับตัดหน่อไม้ไผ่ ฉะนั้น พระพุทธองค์ทรงพิจารณาพระบารมี ๓๐ ประการ มีทานเป็นต้น และมีอุเบกขาเป็นที่สุด จักรนั้นพลันกลับกลายเป็นดอกไม้กั้นเป็นเพดานอยู่เบื้องบนส่วนพวกพลบริวารได้พากันขว้างอาวุธต่างๆ แล้วอาวุธเหล่านั้นก็กลับกลายเป็นพวงบุปผชาติตกลงยังพื้นดินในที่สุดข้าพระบาทต้องพ่ายแพ้”

“พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณกระทำประโยชน์แก่สรรพสัตว์ และเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวง ผู้หาที่พึ่งมิได้สิ้นกาลนานโขพระพุทธองค์ทรงประเสริฐด้วยคุณ หาผู้เสมอมิได้ จงมาเป็นที่พึ่งของข้าพระบาทในบัดนี้ ในกาลก่อนข้าพระบาทชื่อว่าวัสวดี กระทำอันตรายแก่พระองค์โดยวิธีการหลากหลาย พระองค์ก็ไม่ได้ทรงถือโทษตอบโต้แก่ข้าพระบาท แม้แต่เพียงน้อยก็ไม่เคยมี แต่กาลบัดนี้พระสาวกของพระองค์ ช่างไม่มีเมตตากรุณา ลงโทษหนักแก่ข้าพระบาทให้ได้รับทุกข์แสนสาหัสปานฉะนี้”

“ถ้าหากข้าพเจ้ามีกุศลได้สร้างสมไว้แล้วดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบำเพ็ญบุญบารมีไว้เพื่อการตรัสรู้ในอนาคตกาลฉันใด ขอข้าพเจ้าจงได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลกนี้ฉันนั้น เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งแห่งสรรพสัตว์และกระทำประโยชน์โปรดเวไนยสัตว์ทั้งปวงในสากลโลก”







เมื่อได้ยินดังนั้นพระอุปคุตเถระจึงเดินเข้าไปแก้มัดให้ทันที และกล่าวกับพญามารว่า “ดูก่อนพญามาร ท่านจงอดโทษแก่อาตมาที่อาตมาได้ล่วงเกินท่าน อันว่าประโยชน์ของท่าน คือความปรารถนาพุทธภูมินั้น อาตมาก็ให้บังเกิดได้แล้ว และอาตมาขอห้ามท่านว่าอย่ากระทำอันตรายในการทรงบำเพ็ญบุญของพระบรมกษัตริย์เลย และบัดนี้ท่านได้ถือปฏิญาณที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปตัวท่านจักเป็นปูชนียบุคคล คือ พระโพธิสัตว์ควรที่ชาวโลกทั้งหลายจะกระทำนมัสการบูชา”

ฝ่ายพญามารจึงกล่าวกล่าวอย่างน้อยใจว่า “พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพุทธสาวกช่างกระไรไม่มีจิตใจกรุณาต่อข้าพเจ้าผู้เป็นมารบ้างเลย” พระอุปคุตเถระจึงแสดงเหตุผล ว่าทั้งท่านและพญามารนั้นเป็นคู่ทรมานกัน เพราะเหตุนี้จึงไม่มีกรุณา ที่ท่านลงโทษนั้นก็เพื่อจะทำให้พญามารมีจิตยินดีปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า และพระบรมศาสดาก็ได้ตรัสพยากรณ์ไว้ว่า ตัวท่านนี้จะได้ทรมานพระยาวัสวดีมารให้ละพยศ หมดความอหังการสิ้นความร้ายกาจในอนาคตกาล และพญามารนั้นจะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า



ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-30 00:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อพระมหาเถระพอกล่าวเหตุผลต่างๆ ให้พญามารได้ฟังแล้ว ก็มีความประสงค์จะให้พญามารช่วยเนรมิตตนเป็นพระรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ชมเป็นมิ่งขวัญตาจึงกล่าวขอร้องพญามารให้ช่วนเนรมิตกายให้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอาการทั้งปวงพร้อมทั้งพระอัครสาวกทั้งคู่

พญามารฟังคำขอร้องของพระมหาเถระแล้ว จึงตกลงโดยมีข้อแม้ว่า อย่าถวายนมัสการตัวท่านป็นอันขาด และจึงได้ได้เนรมิตกายเป็นพระรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันประกอบด้วยพระมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ และพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ สว่างรุ่งเรืองด้วยพระฉัพพรรณรังสี คือ พระรัศมี ๖ ประการ มีพระอัครสาวกอยู่ทั้งทางเบื้องขวาเบื้องซ้าย พร้อมกับแวดล้อมด้วยพระอสีติมหาสาวกเป็นสังฆบริวาร แสดงให้ปรากฏแก่มหาสันนิบาตบริษัททั้งปวง

(อนึ่ง พระเจ้าอโศกมหาราชกับมวลหมู่อำมาตย์และราชบริพาร ก็มาคอยทรงทัศนาการอยู่ ณ สถานที่นั้นด้วย )

ฝ่ายพระอุปคุตเถระเมื่อได้แลเห็นพระรูปของพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยพระมหาสาวกทั้งหลายปรากฏขึ้นดังนั้น ก็บังเกิดขนลุกชูชัน ด้วยอำนาจของอจลศรัทธาปสาทะ คือ ความเชื่อและความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว ทำให้ลืมคำปฏิญาณที่ให้ไว้แก่พญามาร จึงก้มลงถวายอภิวาทพระรูปของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเบญจางคประดิษฐ์อย่างสนิทใจ และมหาชนทั้งหลายมีพระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นประธานทรงกระทำนมัสการสักการบูชาโดยพร้อมเพรียงกัน

ขณะนั้นพญามารพลันบันดาลให้พระรูปของพระบรมศาสดา และพระสาวกทั้งหลายหายไป แล้วกลับกลายมาเป็นรูปพญามารพร้อมถามพระอุปคุตเถระว่า ทำไมจึงถวายอภิวาททั้งที่สัญญากันไว้แล้ว...พระอุปคุตเถระกล่าวตอบว่า ท่านไม่ได้กราบไหว้พญามาร แต่อภิวาทพระรูปของพระบรมศาสดา และพระมหาสาวกทั้งหลายต่างหาก
เมื่อทุกอย่างสำเร็จเสร็จสิ้นลง พญามารน้อมกายถวายนมัสการพระมหาเถระ แล้วลากลับสู่เทวสถานวิมานของตน






พระอุปคุตกับความเชื่อ

• เชื่อกันว่า... หากบูชาพระอุปคุตนั้น จะทำให้กิจการเจริญรุ่งเรือง มีโชคมีลาภ หมดหนี้หมดสิ้น มีกินมีใช้ และเป็นที่รักใคร่เมตตาแก่ผู้พบเห็น
• เชื่อกันว่า... บารมีของท่านสามารถปกป้องคุ้มครอง  ให้แคล้วคลาดจากภยันอันตราย รอดพ้นจากภัยพิบัติ ขจัดภูติผี ปีศาจ
• เชื่อกันว่า... พระอุปคุตสามารถช่วยดลจิตผู้ใฝ่ในธรรมให้สามารถ “ปฏิบัติได้ตรงกับจริตของตน” ขจัดหมู่มารที่คอยทำลายหรือรบกวนไม่ให้ปฏิบัติธรรมหรือสร้างบารมีธรรม

กราบท่านครับ
ขอบคุณครับ

ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้