ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 5409
ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

สะพานข้ามแม่น้ำโขงมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 2

[คัดลอกลิงก์]





ในราวปีพ.ศ. 2536-2537 ทางการมีข่าวว่าจะสร้าง สะพานข้ามแม่น้ำโขงมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 2 ที่บ้านคำผักหนอก หมู่ 7 ต.บางไทรใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งบริเวณน่านน้ำใกล้สถานที่ที่จะทำการสร้างสะพานนี้ แม่ของคนขับรถของกระผม เล่าว่า เมื่อประมาณ 30-40 ปีก่อนหน้านี้ ในสมัยที่ท่านสาวๆ ได้ออกมานอกระเบียงบ้านในคืนวันเพ็ญ แล้วมองทอดไปยังลำน้ำโขง มองเห็นเรือพายธรรมดาๆลำเล็กๆ ลอยอยู่ไม่ห่างจากริมฝั่งเท่าไหร่นัก ซึ่งเป็นเรือร้างที่ไม่มีคนอยู่ จึงคิดอยากได้เอาไว้ใช้งาน จึงได้ชวนญาติพายเรือออกไปเอา แต่เมื่อพายเข้าไปใกล้ขึ้น..ใกล้ขึ้น เหลืออีกเพียง 10 เมตรจะถึงตัวเรือแล้ว  ทันใดนั้น ทุกคนที่มาในเรือ ต่างตกตะลึงแทบช็อค เพราะอยู่ๆ เรือลำดังกล่าว ได้ขยายใหญ่ สูงขึ้นกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า จึงได้แต่ตาลีตาเหลือกรีบกลับลำแจวเรือหนีขึ้นฝั่งอย่างไม่คิดชีวิต และคนขับรถของผมก็ได้เล่าต่อไปอีกว่า ตรงบริเวณใกล้กับบริเวณที่กำลังสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 2 นี้ เขาเคยเห็นตัวอะไรไม่ทราบ ว่ายข้ามลำน้ำ โดยโผล่ส่วนที่พ้นน้ำมีลักษณะคล้ายครีบหลังของปลาว่ายลอยทวนกระแสน้ำ โดยเริ่มต้นว่ายทวนกระแสน้ำจากฝั่งลาวมายังฝั่งไทย ว่ายมายังปากน้ำห้วย หรือบริเวณที่เรียกว่า ห้วยบ้านทราย ทำให้คนขับรถของกระผมและเพื่อนของเขา วิ่งไปดักดู แต่พอเข้าไปใกล้ๆ ปรากฏว่าว่ายหายไปเสียแล้วครับ...
   
    การสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 2 นี้ แม้จะมีข่าวว่าจะสร้างนานแล้วก็จริง แต่เพิ่งจะลงตัวเรื่องพื้นที่ที่จะสร้าง และเริ่มต้นสร้างจริงๆในปี 2543 ซึ่งขณะเริ่มสร้างได้มีลางร้ายทำลายขวัญคนงานคือ มีคนไปผูกคอตายใน Office ที่เพิ่งสร้างใหม่ ซึ่งยังไม่ได้เริ่มใช้กันเลย ซึ่งการผูกคอตายนี้ไม่มีใครทราบสาเหตุแน่ชัด จนทำให้พนักงานที่จะต้องมาใช้ Office หลังนี้หวาดกลัวมาก จนทำให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบต้องตัดสินใจ สั่งทำการรื้อถอน Office ทั้งหมด แล้วเอาเหล็กกระเบื้องและวัสดุที่เกี่ยวกับการสร้าง Office หลังนี้ ไปบริจาคถวายให้กับวัดของกระผมแทน จากนั้นทางบริษัทผู้รับเหมา ก็ได้สั่งอุปกรณ์ก่อสร้างเข้ามาใหม่ เพื่อสร้าง Office ในพื้นที่ตำแหน่งเดิม หลังจากนั้นอีก 4-5 เดือน ก็มีลางร้ายครั้งที่ 2 อีกคือคนงานก่อสร้างที่กำลังสร้างสะพานอยู่นั้น ได้ตกนั่งร้านตาย และไม่นานต่อมาก็ได้เกิดลางร้ายครั้งที่ 3 เกิดการตายขึ้นอีกคือ คนงานที่ออกไปทำงานสร้างเสาที่กลางลำน้ำ รู้สึกร้อนอยากล้างหน้า จึงได้ก้มลงไปตักน้ำจากลำน้ำโขงมาล้างหน้า ซึ่งก็ได้ตกน้ำตายอีกคน

    เหตุการณ์แปลกๆ อันผิดสังเกตของที่นี่ ทำให้คนงานเริ่มเกิดความสะพรึงกลัว ทีมงานก่อสร้างระส่ำระสาย โดยเฉพาะการสร้างเสาเข็มต้นที่ 11 ของสะพานซึ่งอยู่กลางลำน้ำโขง มีปัญหามากกว่าเพื่อน คือ ตั้งแต่เริ่มทำการตอกเสาเข็มต้นนี้  ตอกยังไง..ก็ตอกไม่ลง แม้ใช้สว่านนำร่องขุดเจาะก็เจาะไม่ลง ซึ่งวิศวกรก็ใช้ความพยายามทุกรูปแบบ เพื่อดันทุรังเจาะต่อให้ได้ จนหัวสว่านหัก วิศวกรจึงตัดสินไปจ้างนักประดาน้ำ ให้ดำลงไปดู เพื่อจะเอาหัวเจาะขึ้นมา และดูว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่พอดำลงไปนักประดาน้ำก็ต้องพบกับความตกใจสุดขีด เพราะเห็นดวงตาอะไรไม่รู้แดงก่ำเป็นคู่ๆอยู่เต็มใต้น้ำไปหมด ซึ่งกำลังจ้องเขม็งมาที่ตน  พอมองต่อไปก็เห็นลำตัวสีเขียวยาวลอยอยู่รอบๆบริเวณนั้น ทำให้เขารีบว่ายหนีขึ้นมาอย่างไม่คิดชีวิต พอขึ้นบกได้ ก็เก็บข้าวของกลับบ้านไปเลย เงินค่าจ้างก็ไม่ยอมรับเลยสักบาท  แต่วิศวกรญี่ปุ่นก็ไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น จึงได้สั่งให้เอาปูนเทลงไปที่ตอม่อของเสาต้นนี้เลย เจาะได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น ซึ่งขณะเทลงไปนั้น ก็ต้องพบแต่ความประหลาดใจสุดขีดอีกครั้ง คือ เทปูนลงไปเท่าไหร่ก็เทไม่เต็มสักที ทำให้เสาต้นนี้ใช้ปูนเป็นจำนวนมากกว่าทุกต้น แต่ในที่สุดก็เทเต็มจนได้

   
    การสร้างสะพานยังคงดำเนินไปท่ามกลางอุปสรรคและความสับสนของเหตุการณ์ประหลาดนานัปการ             จนกระทั่งถึงวัน วิสาขะบูชา ปี2548 ยามที่เฝ้าไซท์ก่อสร้างนี้ได้ฝันว่า มีคนใส่ชุดขาวมาบอกว่า “ในวันพรุ่งนี้เป็นวันเข้าพรรษา ให้ยามช่วยไปบอกหัวหน้าด้วยว่าขอให้หยุดงานก่อน 1 วัน เพราะพวกเขาจะอธิษฐานเข้าพรรษากัน” ซึ่งวิศวกรญี่ปุ่นไม่ยอมหยุดตามที่ขอ เพราะเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ และในวันที่ 22 กรกฎาคม 2548 วันเข้าพรรษานี่เอง วิศวกรชาวญี่ปุ่น 3 คนได้ลงเรือไปดูงานการวางคานของสะพานด้วยตัวเอง ทั้งๆที่ไม่เคยลองนั่งเรือออกไปดูเลยตั้งแต่เริ่มสร้างมา และทันใดนั้นเอง...ขณะคนงานกดสวิทช์ เครนก็ได้ยกแท่นปูนเพื่อนำไปวางบนหัวเสาต้นที่ 11 ต้นที่มีปัญหามากที่สุด แต่ยังไม่ทันวางถึงหัวเสาเลย เหตุการณ์อันเลวร้ายอย่างไม่มีใครคาดฝันก็ได้เกิดขึ้น เครนได้พังถล่มหักออกเป็น 3 ท่อน คานยกแท่นปูนและ Sling ได้เหวี่ยงฟาดตัดร่างวิศวกรคุมงานชาวญี่ปุ่นวัย 45 ปี ขาดออกเป็น 2 ท่อนตายทันที และเครนที่หักตกลงกลางสายน้ำนั้นได้ตกลงกระแทกทับวิศวกรบนเรือ 3 คน จมดิ่งสาบสูญไปในลำน้ำทันที ซึ่งตามข่าวได้รายงานว่า

    จากเหตุการณ์ครั้งนี้มีคนจมลงไปในน้ำแล้วหาศพไม่พบรวมทั้งหมด 8 คน เป็นวิศวกรใหญ่ชาวญี่ปุ่น 3 คนที่นั่งเรือออกมาดูงานดังกล่าว เป็นชาวฟิลิปปินส์ 1 คน และคนงานไทยอีก 4 คน นอกนั้นบาดเจ็บเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลอีก 7 คน ซึ่งเรื่องนี้ได้กลายเป็นข่าวดังหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับในช่วงวันเข้าพรรษา 22-23 กรกฎาคม พ.ศ.2548 ซึ่งหลังจากนั้นบริษัทผู้รับเหมาทุกบริษัทที่เข้ารับงานสร้างสะพาน พากันหยุดงานเพื่อทำบุญ  แต่ไม่นานต่อมาในวันที่ 19 สิงหาคม 2548 เวลาประมาณบ่าย4-5 โมงเย็น ได้มีการบวชกันแบบเงียบๆ โดยคนงาน 8-9 คน พากันบวชแก้บนกัน 7 วัน

   
    จากเหตุการณ์อาถรรพ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มมีการสร้างสะพานแห่งนี้นั้น ได้สังเวยชีวิตของคนงานที่นี่ไปทั้งหมด 17 ชีวิตแล้ว จึงทำให้คนงานที่เป็นคนไทยอีสานและคนงานลาว พาหยุดงานไม่ยอมสร้างสะพานต่อกันเลยเพราะกลัวตาย  แต่ก็เหลือคนงานชาวต่างชาติและคนที่ไม่เชื่อยังทำการก่อสร้าง ทำให้การก่อสร้างยังพอขับเคลื่อนไปได้ แต่ถึงกระนั้นเสาเข็มต้นที่ 11 นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้  ไม่มีใครไปแตะต้อง หรือทำการสร้างต่อเลย ได้แต่ดำเนินการสร้างส่วนอื่นไปก่อน และข่าวนี้ได้ทำให้ชาวบ้านบางกลุ่ม ได้ไปหาเจ้าหน้าที่อากรจังหวัด ซึ่งท่านก็ได้ไปหาร่างทรง ร่างทรงบอกว่าให้ตั้งศาลพญานาคใกล้บริเวณที่ก่อสร้าง เพื่อจะได้อัญเชิญพญานาคขึ้นมา แล้วจะได้ทำการสร้างสะพานต่อได้ แล้วร่างทรงยังบอกต่ออีกว่า พญานาคท่านจะให้ พระสุก ขึ้นมาด้วย พระสุก ที่เป็นพระพุทธรูปประจำตัวของธิดาพญานาคที่เก็บรักษาไว้ใต้บาดาล ซึ่งเรื่องราวนี้ได้มาประจวบเหมาะกับการที่ชาวประมงคนหนึ่งในย่านนั้น ได้ออกเรือหาปลา แล้วลากที่ดักปลาขึ้นมาเจอพระพุทธรูปทองสำริด ขนาดหน้าตัก 35 เซนติเมตร  สูง 70 เซนติเมตร เป็นศิลปะแบบเวียงจันทน์ ซึ่งต่างสันนิฐานว่าคือ พระสุก และขณะนี้ก็กำลังทำการพิสูจน์อยู่ว่าจริงหรือไม่ครับ

   
    จากนั้นข่าวการที่จะสร้างศาลพญานาคนี้ได้แพร่สะพัดออกไป ทำให้ก็มีชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการสร้างศาลนี้  เพราะไม่รู้ว่าพญานาคจะพอใจหรือไม่ ซึ่งหากพญานาคไม่พอใจพวกเขาอาจจะต้องมีอันเป็นไป จึงคิดต่อต้านการสร้างศาลแห่งนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย leonado เมื่อ 2013-8-27 10:57

ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ  ผมคนมุกดาหารยังไม่รู้ถึงขนาดนี้เลย.....




3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-28 07:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
leonado ตอบกลับเมื่อ 2013-8-27 10:53
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ  ผมคนมุกดาหารยังไม่รู้ถึงขนา ...

เป็นข่าวดังมากครับช่วงนั้น พี่ลีโอไปอยู่ที่ไหน
รามเทพ ตอบกลับเมื่อ 2013-8-28 07:57
เป็นข่าวดังมากครับช่วงนั้น พี่ลีโอไปอยู่ที่ไหน ...
เป็นข่าวดังมากครับช่วงนั้น พี่ลีโอไปอยู่ที่ไหน


ผมไปศึกษาต่อที่อื่นครับ  รู้แต่ว่าเครนหัก คนตาย  แล้วก็กว่าจะหาศพเจอต้องใช่ร่างทรงหา.....
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้