ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 228
ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

>>>พระเจ้าชัยวรมัน ที่ 7 รุ่น 3 (108 ปี ชาตกาล)<<<

[คัดลอกลิงก์]
                                                                                                                                                        
                        รอ...ข้อมูล  อีกนิดครับ  จะรีบลงให้......





               

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2024-3-22 12:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด
                                                                                                                                                        
                        
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (เขมร: ជ័យវរ្ម័នទី៧)








เป็นกษัตริย์ของอาณาจักรเขมรที่ยิ่งใหญ่ (พ.ศ. 1724 - พ.ศ. 1762) ในบริเวณที่เป็นประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน
เป็นพระโอรสของพระเจ้าธรนินทรวรมันที่ 2 (ครองราชย์ พ.ศ. 1693 - พ.ศ. 1703) และพระนางศรี ชยราชจุฑามณี
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สถาปนานครธม นครหลวงแห่งสุดท้ายของอาณาจักรเขมร
ในประเทศกัมพูชายังมีสระน้ำแห่งหนึ่งที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงใช้เป็นประจำอีกด้วย

พระราชประวัติ
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2 ประสูติเมื่อประมาณ พ.ศ. 1663 หรือ พ.ศ. 1668 พระนามเดิมคือเจ้าชายวรมัน ทรงเสกสมรสตั้งแต่ทรงพระเยาว์กับเจ้าหญิงชัยราชเทวี สตรีที่มีบทบาทและอิทธิพลสำคัญที่สุดเหนือพระองค์ รวมทั้งโน้มนำให้พระองค์หันมานับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน
ราว พ.ศ. 1720 – 1721 พระเจ้าชัยอินทรวรมันแห่งอาณาจักรจามปา ทรงนำทัพจามบุกเข้าโจมตียโศธรปุระ กองทัพเรือจามบุกเข้าถึงโตนเลสาบ เผาเมือง และปล้นสะดมสมบัติกลับไปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งจับพระเจ้าตรีภูวนาทิตวรมันประหารชีวิต เชื่อกันว่า การรุกรานเมืองยโศธรปุระครั้งนั้น เจ้าชายวรมันได้วางเฉยยอมให้เมืองแตก จากนั้นพระองค์จึงกู้แผ่นดินขึ้นมาใหม่ โดยนำทัพสู้กับพวกจามนานถึง 4 ปี จนสามารถพิชิตกองเรือจามผู้เชี่ยวชาญการเดินเรือได้อย่างราบคาบ ในยุทธการทางเรือที่โตนเลสาบ
พ.ศ. 1724 ยโศธปุระกลับสู่ความสงบ พระองค์ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พร้อมกับบูรณปฏิสังขรณ์ราชธานีขึ้นมาใหม่ รู้จักกันในชื่อ “เมืองพระนคร” หรือ “นครธม” หรือ “นครใหญ่” และย้ายศูนย์กลางของราชธานีจากปราสาทปาปวนในลัทธิไศวนิกาย มายังปราสาทบายนที่สร้างขึ้นใหม่ ให้เป็นศาสนสถานในลัทธิมหายานแทน จากนั้นมา ศูนย์กลางแห่งอาณาจักรเขมรโบราณก็คือ ปราสาทบายน หรือนครธม
พระองค์ทรงสถาปนาคติ “พระพุทธเจ้าที่ยังมีชีวิต” หรือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรขึ้นมา ซึ่งหมายถึงตัวพระองค์เอง คือพระโพธิสัตว์ที่เกิดมาเพื่อปัดเป่าทุกข์ภัยให้แก่ราษฎร ภาพสลักรูปใบหน้าที่ปรากฏตามปรางค์ในหลายปราสาทที่ทรงสร้างขึ้น เชื่อว่าคือใบหน้าของพระองค์ในภาคพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรนั่นเอง
หลังจากสถาปนาศูนย์กลางอาณาจักรแล้ว พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จึงทรงแก้แค้นศัตรูเก่าคืออาณาจักรจามปา ใน พ.ศ. 1733 กองทัพของพระองค์ก็สามารถยึดเมืองวิชัยยะ เมืองหลวงของจามปาได้ นอกเหนือจากการสงครามแล้ว พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้สร้างพุทธสถานไว้มากมาย เช่น ปราสาทบันทายคดี ปราสาทตาพรม ที่สร้างถวายพระมารดา ปราสาทพระขรรค์ สร้างถวายพระบิดา ปราสาทตาโสม ปราสาทนาคพัน ปราสาทบันทายฉมาร์ ในเขตประเทศไทยปัจจุบัน พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นผู้บูรณะปราสาทหินพิมายซึ่งสันนิษฐานเป็นเมืองเกิดของพระมารดา และปราสาทเขาพนมรุ้ง ให้เป็นศาสนสถานในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน และยังมีอาณาจักรละโว้ เมืองศรีเทพ อีกด้วย
นอกจากนี้ พระองค์ยังโปรดให้สร้าง “บ้านมีไฟ” หรือที่พักคนเดินทาง ซึ่งก่อด้วยศิลา และจุดไฟไว้ตลอด ศาสตราจารย์ หลุยส์ ฟิโนต์ ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ เรียกอาคารแบบนี้ว่า “ธรรมศาลา”
จารึกที่ปราสาทพระขรรค์ กล่าวถึงที่พักคนเดินทางว่ามีจำนวน 121 แห่ง อยู่ตามทางเดินทั่วราชอาณาจักร และตามทางเดินไปเมืองต่าง ๆ ในจำนวนนั้น มี 17 แห่งอยู่ระหว่างการเดินจากเมืองพระนครไปยังเมืองพิมาย ซึ่งศาสตรจารย์ ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล พบว่าที่พักคนเดินทางเท่าที่ค้นพบแล้วมี 7 แห่ง แต่ละแห่งห่างกันประมาณ 12 – 15 กิโลเมตร จารึกปราสาทพระขรรค์ระบุอีกว่า มีการสร้างโรงพยาบาล หรือที่จารึกเรียกว่า “อโรคยาศาลา” จำนวน 102 แห่ง กระจายอยู่ทั่วราชอาณาจักร ซึ่งมีส่วนหนึ่งอยู่ในเขตประเทศไทย
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เสด็จสวรรคตประมาณปี พ.ศ. 1758 หรือ พ.ศ. 1762 เชื่อกันว่ามีพระชนมพรรษายืนยาวถึง 94 ปี ด้วยฉลองพระนามหลังสวรรคตว่า “มหาบรมสุคตะ” หมายความว่า พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
นครธม
[size=12.3704px]




นครธม (เขมร: អង្គរធំ)
เป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขะแมร์ สถาปนาขึ้นในปลายคริสต์ศวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 9 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางทิศเหนือของ นครวัด ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างมากมายนับแต่สมัยแรก ๆ
และที่สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และรัชทายาท ใจกลางพระนครเป็นปราสาทหลักของพระเจ้าชัยวรมัน เรียกว่า ปราสาทบายน
และมีพื้นที่สำคัญอื่น ๆ รายล้อมพื้นที่ชัยภูมิถัดไปทางเหนือ
จุดเด่นที่สุดคือทางเข้าด้านใต้ ที่มีลักษณะเป็นหน้า 4 หน้า ก่อนจะเข้าสู่บริเวณนี้ จะเป็นแถวของยักษ์ (อสูร) ทางด้านขวา และเทวดาทางด้านซ้าย
เรียงรายแบกพญานาคอยู่สองข้างสะพาน เมื่อเข้าสู่ใจกลางนครธมจะพบสิ่งก่อสร้างต่างๆ บริเวณประตูด้านใต้นี้ได้รับการอนุรักษ์ฟื้นฟูไว้ได้ดีกว่าบริเวณอื่น ๆ
อีก 3 ด้าน

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2024-3-22 12:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด
จากหนังสือ....“พระไภษัชยคุรุ (เภสัชคุรุ) และตันตระศาสตร์ ในอโรคยาศาลาสมัยวรมันที่ 7” (Bhaisajyaguru and tantric medicine in JayavaramanVII’s hospitals) สมมติฐานเกี่ยวกับโยคศาสตร์สมัยชัยวรมันที่ 7 ส่วนที่เป็นความสงสัย ได้ถูกคลี่คลายโดยเฌ็ม คีธ ฤทธี ศาสตราจารย์ด้านรังสีและมานุษยวิทยา (สิกขาจักร/Journal of the Center for Khmer Studies : 2548)  ทว่าบทความซึ่งเน้นประเด็นอัตลักษณ์ของพระไภษัชยคุรุและตันตระวิทยานี้ แม้จะไม่เชื่อมโยงกับโยคศาสตร์ในเชิงลึก    แต่ก็ไม่ทิ้งประเด็นว่า ทั้งกระบวนโยคะและวิปัสสนาคือองค์ประกอบของตันตระวิทยา
            แต่ก่อนจะไปถึง สมมติฐานเชิงจินตนาการว่าด้วยท่าโยคะในบางอาสนะเหล่านี้ คือต้นแบบพื้นฐานในงานประติมากรรม (บางชิ้น) สมัยเมืองพระนคร แต่ด้วยเหตุหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่มีปรากฏเชิงประจักษ์
เห็นทีต้องเริ่มไปที่ “ตันตระแพทย์” หรือ “แพทย์แนวพุทธ” ของนิกายมหายาน ที่พระเมธีไภษัชยคุรุนำไปเผยแพร่ในอาณาจักรเขมรเมื่อกว่า 800 ปี และเป็นสมมติฐานย่อยว่า   นี่อาจเป็นจุดแรกของปฏิสัมพันธ์ตันตระเวทย์วิทยา ก่อนเคลื่อนไปสู่โยคศาสตร์และวิปัสสนาในสมัยชัยวรมันที่ 7  และเป็นชุดความรู้ทางการแพทย์ที่สำคัญมากยุคหนึ่งของคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยองค์ “พระไภษัชยคุรุ” กูรูผู้สถาปนาทางการแพทย์ผู้มีอิทธิพลต่อพระบาทชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์ขอมผู้มีพระบัญชาให้มีการสร้าง “อโรคยาศาลา” หรือโรงพยาบาลทั่วราชอาณาจักร  ในเวลาเดียวกัน พุทธศาสนามหายานก็แผ่ไพศาลไปทั่วราชธานี
            กระนั้น ก็ใช่ว่า อันตันตระเวทย์นี้จะเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับเมืองพระนครในคริสต์ศตวรรษที่ 12
ก่อนหน้านั้นสมัยเจนละในคริสต์ศักราช 663 อ้างจากจารึกหลักหนึ่ง อ้างถึงภิกษุจากอินเดียนามว่าปุญโญทัญญะ ผู้ถ่ายทอดเวชศาสตร์แขนงหนึ่งแก่ราชสำนักเจนละ (ลิน : 1937)    ต่อมา ปุญโญทัญญะได้จาริกกลับไปเจนละ และนำเอาวิทยาการด้านสันสกฤต เภสัชวิทยาแบบตันตระและองค์ความรู้ด้านรุกขวิทยาสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคมาเผยแพร่แก่มหาคุรุชาวเจนละ    และจารึกชิ้นหนึ่งเมืองไซฟง (ตอนใต้ของเวียดนาม) กล่าวถึงพระนิมมาณยกาย, พระธรรมกาย และพระสมโภยกาย หรือ “ตรีกาย” ตัวแทนหลักคำสอน 3 ประการของลัทธิกายสามของพระโพธิสัตว์ ซึ่งมีอยู่ในพุทธนิกายมหายานแบบตันตระ (ฟิโนต์ 1903; Keown, Damien 2004)
นัยยะที่ ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 7 นั้น ยังมีอรรถกถาแบบตันตระบางพระสูตร ที่เอ่ยนามพระโพธิสัตว์ทั้ง 5 และพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ซึ่งมีฐานะสูงกว่าพระโพธิสัตว์     ส่วนหลักฐานจากเมืองพระนครนั้น คือศิลาจารึกและรูปจำหลักประติมากรรมนูนต่ำ ในซุ้มห้องยา-อโรคยาศาลาของปราสาทตาพรหมกิล (Ta Prom Kel) ทางตอนใต้นครธม    อย่างไรก็ตาม บทวิจัยของเฌ็ม คีธ ฤทธี เน้นไปที่อัตลักษณ์ในพระไภษัชยคุรุ กระบวนวิธี บริบาลทางการแพทย์ และสัญลักษณ์ “๑๐๒” ของอโรคยาศาลา ที่ถูกมองข้ามความสำคัญมาตั้งแต่นักประวัติเขมรยุคก่อน
โดยเฉพาะการตีความในจารึกที่เกี่ยวกับอโรคยาศาลาของหลุยส์ ฟิโนต์ (1906) และจอร์จ เซเดส (1940) จนส่งอิทธิพลทางความคิดต่อนักวิจัยรุ่นหลัง อาทิ วิกตอร์ โกลูบิว (1937), คล้อด ฆักส์ (1968) และบรูโน ดาเก็นส์ (1991) ในงานวิจัยอโรคยาศาลาในต่างกรรมต่างวาระ

                 กระนั้น ไม่พบการวิเคราะห์วิจัยอย่างเชิงลึกต่อประเด็นตันตระอายุรเวทสมัยชัยวรมันที่ 7 และพระไภษัชยคุรุ ข้ามศตวรรษที่ผ่านมา    โดยขอกล่าวว่า แนวทางอายุรเวทศาสตร์ทางแพทย์แนวมหายานของพระไภษัชยคุรุ ที่ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในสมัยชัยวรมันที่ 7 นั้น ยังรวมไว้ด้วยพระสูตรและอรรถกถาและบทภาวนาต่างๆ ที่น่าจะถูกนำไปใช้ในการปลาสนาจากโรคาพยาธิ และมิติแห่งความตายของราชสำนักของราชอาณาจักรขอมยุคนั้น   แต่เฌ็ม คีธ ฤทธี เห็นว่า ตัวเลข “๑๐๒” การสร้างอโรคยาศาลานี้ คือมิติเดียวกับสัญลักษณ์ของพระไภษัชยคุรุฉัน    เองก็เกิดข้อปุจฉาว่า นอกจากความเชื่อด้านพุทธมหายานที่เต็มไปด้วยพิธีกรรมต่างๆ แล้ว มนุษย์ยุคเมืองพระนคร ยังดำรงชีวิตอยู่ด้วยศาสตร์ทางการแพทย์แบบใดบ้าง    อีกความเลื่อมใสในศาสตร์ตันตระ จนนำไปสู่การสร้างอโรคยาศาลาของพระบาทชัยวรมันที่ 7 และตัวเลข “๑๐๒” นี้ อาจเกี่ยวกับคำ “บนบาน” พิธีนิยมของราชสำนักแต่บรรพกาล หรือไม่?

            และเหตุใดกระบวนวิธีการรักษาอันน่าเลื่อมใสและกึ่งวิทยาศาสตร์นี้จึงสูญหาย จนเหลือหลักฐานเชื่อมโยงต่อมาที่น้อยมาก?    ทั้งหมดที่กล่าวนี้ หากว่าพระไภษัชยคุรุ ผู้เปรียบได้ไม่ต่างจากโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ซึ่งมีอิทธิพลทางการแพทย์อย่างมากในสมัยพระบาทชัยวรมันที่ 7 แล้ว    เหตุใดพระองค์จึงไม่ดำริสร้างจารึก อาศรมหรือประติมากรรมรูปจำหลักถวายต่อพระไภษัชยคุรุ ผู้ที่พระองค์ทรงเลื่อมใสตามแบบราชประเพณีสรรเสริญนิยม?
            ฤๅเคยมีอยู่ หากแต่อุบัติอำนาจของอีกฝ่ายในสมัยชัยวรมันที่ 7 ได้นำไปสู่การทำลายหลักฐานะเหล่านั้น?
                พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ในปี ค.ศ.1181 ทรงสร้างเมืองพระนคร ปราสาท อาศรมน้อยใหญ่ โรงพยาบาล ศาลาที่พักผู้เดินทาง ตลอดจนเส้นทางเชื่อมต่ออย่างเป็นระบบของการออกแบบ ทว่า ในท้ายต่อมาของศูนย์กลางอำนาจ (เกือบ) ทั้งหมด กลับอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของพุทธศาสนามหายาน ในภาคพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และพระไภษัชยคุรุ และมีข้อสังเกตว่า เหตุที่มีจำหลักพระไภษัชยคุรุอยู่น้อยมากนั้น มาจากความวุ่นวายในปลายรัชกาลพระบาทชัยวรมันที่ 7 ที่เกิดการยึดอำนาจและทำลายล้างลัทธิมหายานของฝ่ายพระองค์จนหมดสิ้น


               ถ้าเช่นนั้น การที่จารึกอโรคยาศาลาและสัญลักษณ์ “๑๐๒” ตลอดจนอัตลักษณ์ของพระไภษัชยคุรุ จะไม่ได้รับความสำคัญจากปราชญ์วิทูเขมรยุคแรกจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร   หากแต่การที่ความสำคัญในองค์รวมของ อโรคยาศาลาที่จะนำไปสู่กระบวนวิธีด้านรุกขศาสตร์พันธุ์พืชและสมุนไพร รวมทั้งประเด็นการรักษาโรคเรื้อนซึ่งเป็นโรคร้ายและระบาด รวมทั้งศิลปศาสตร์ระหว่างโอสถศาสตร์และแพทย์แนวพุทธแบบตันตระที่รวมไว้ด้วยพระสูตรและอภิปรัชญาต่างๆ ที่ถือเป็นวิทยาการสำคัญในยุคนั้น
         อีกความสำคัญของแพทย์แนวพุทธมหายานนี้ ยังเป็นวิธีที่ใช้สืบต่อกันมาจวบปัจจุบัน นั่นคือ การจับชีพจรเพื่อการวินิจฉัยโรค   ทว่ากระบวนลึกลับของตันตระเวทย์ที่น่าสนใจนี้ อยู่ที่ความเป็นอมตะ และการเล่นแร่แปรธาตุ  โดยหลักฐานที่สนับสนุนวิธีรักษาพยาบาลโรคของสมัยวรมันที่ 7 นั้น ประกอบด้วยโอสถยาพื้นฐาน 5 ชนิด ประกอบด้วย กีร์-น้ำมันเนยบริสุทธิ์, เนยสด, น้ำมัน, น้ำผึ้งและกากน้ำตาลที่พบว่าถูกใช้ในเขตอาศรมปราสาทตาพรหมและพระขรรค์ ซึ่งพบว่ามีจารไว้บนจารึกที่ปราสาททั้งสองแห่งเป็นจำนวน 4 และ 6 ครั้งตามลำดับ


        เช่นเดียวกับเอ็น ดัตต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพระสูตรพุทธเวชศาสตร์ ตรรกะอภิปรัชญา ศิลปศาสตร์และโอสถศาสตร์ (1988) เอกสารชุดนี้ช่วยเชื่อมโยงว่า มีประวัติการใช้ยาทางการแพทย์และศาสตร์แห่งพระไภษัชยคุรุว่า เปรียบได้ไม่ต่างพระโพธิสัตว์ด้านการรักษาโรค และความสำคัญนี้ได้ส่งอิทธิพลพระบาทชัยวรมันที่ 7 ทั้งด้านศาสนาและสาธารณสุขศาสตร์ของปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12   ซึ่งการเล่นแร่แปรธาตุ หรืออายุรเวทศาสตร์ว่าด้วยการชะลอวัยชรา ความยืนยงของชีวิตและอมตนิรันดร์นั้นคือยอดปรารถนาของชาวนครทมโดยเฉพาะชนชั้นกษัตริย์  ผ่านความสำเร็จจากโรคเรื้อนและกระบวนรักษาที่น่าเลื่อมใสในตันตระวิธีมาแล้ว จากหลักฐานปราสาทพระขรรค์และตาพรหม   กระนั้น กระบวนเล่นแร่แปรธาตุแห่งชีวิตและความเป็นอมตะนี้   ยังเป็นความลับที่สาบสูญไปกับยุคหนึ่งของเมืองพระนคร

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้