ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

>> ตะกรุดจ้าวอาถรรพ์สามหัวเมือง <<

[คัดลอกลิงก์]
พระนารายณ์

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
นับแต่พระยาประหลาทครองราชย์ก็ประพฤติตนเป็นคนดี รักใคร่เอ็นดูไพร่ฟ้า นอกจากนั้นยังสั่งสอนให้บุตรหลานตั้งตนในกรอบศีลธรรมเคารพนับถือพระนารายณ์ อสูรกายภูมิจึงสงบสุขชั่วขณะหนึ่ง

พลีเป็นหลานของพระยาประหลาทซึ่งรับสืบบัลลังค์ต่อมา เขามีสติปัญญาเฉลียวฉลาดถึงขั้นอัจฉริยะ นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์เดชอานุภาพเหนือกว่าหิรัณยักษ์ และหิรัณยกศิปุผู้เป็นบรรพบุรุษ

ใครๆก็ว่าพลีเป็นยอดคน ตราบใดที่เขาเป็นกษัตริย์อยู่ พวกเทพย่อมมิอาจกำเริบได้

หากพลีทะเยอทะยานกว่านั้น เขาปรารถนาจะทำลายล้างอำนาจของดาวดึงส์ซึ่งเห็นว่ากดขี่ข่มเหงชาวอสูรมานาน

ในเทวสุรสงคราม พลีได้ร่วมมือกับพระศุกร์จ้าวมนต์ดำ และ พระจันทร์ผู้นำมนุษย์ ยกทัพพันธมิตรเข้าต่อกรกับทหารเทพ แต่หลังจากพระจันทร์ถอนตัวไปก่อนทำให้เทวาสุรสงครามสิ้นสุดลง พลีจึงต้องนำเหล่าอสูรกลับอสูรกายภูมิเพื่อสั่งสมกำลังใหม่

ในปีดาวดึงส์ศักราชที่ ๑๓๖๘ เดือนสาม หลังจากเตรียมการอยู่นานถึงสิบปี พลีผู้สำเร็จพิธีวิศวชิตแล้วเห็นว่าทัพอสูรทั้งล้านนายล้วนแข็งแกร่งทรหด เสบียงอาวุธก็พร้อมสรรพ จึงประกาศตั้งตนเป็นอธิราช พร้อมสำหรับการทำสงครามแตกหักกับดาวดึงส์อีกครั้ง

เขาในขณะนี้มีฤทธานุภาพเหนือกว่าพระจันทร์เมื่อครั้งสำเร็จพิธีราชสูยะเสียอีก และอาจเรียกว่ามีฤทธิ์สูงที่สุดในโลกก็ว่าได้ คำประกาศของพลีทำให้ดาวดึงส์หวั่นไหว

ฝูงเทวดาเลือกหนทางไม่สู้ แต่ไปขอร้องให้พระนารายณ์อวตารลงมาปราบทุกข์อีกครั้ง

พระนารายณ์ฟังฎีกาของเทพจบแล้วก็หลับตาลง นัยว่ากำลังครุ่นคิดจะจัดการกับปัญหาของท้าวมหาพลีอย่างไรดี

เงื่อนไขคราวนี้มีเกือบครบ พลีเป็นอสูรที่เก่งเกินกว่าใครจะปราบได้ หากเขาทำสงครามจะต้องยืดเยื้อมีผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บล้มตายมากมาย หากพระนารายณ์ยับยั้งโลกก็พ้นภัย

เงื่อนไขขาดเพียงข้อเดียว คือ ‘พลีเป็นคนดี’

ติดจะธรรมะธรรมโมด้วยซ้ำ

เขาได้รับสืบทอดเจตนารมย์อันดีงามของปู่มาอย่างเหนียวแน่น หมั่นทำบุญทำทานช่วยเหลือคนยากไร้ ทุกสัปดาห์ต้องเข้าวัดปฏิบัติธรรมครั้งหนึ่ง ที่สำคัญที่สุดคือพลีเป็นสาวกผู้ภักดีต่อพระนารายณ์อย่างยิ่งยวด!!

ก่อนวันยกทัพ พลีจัดให้มีการทำบุญทำทานครั้งใหญ่ ณ เมืองอุตรกุรุ นครหลวงของอสูรกายภูมิ เพื่อแสดงว่าตนมีทุนทรัพย์มากพอทำสงคราม เรียกขวัญกำลังใจให้ประชาชนประกอบสัมมาชีพต่อไปอย่างปกติ
พระศุกร์บ่นอุบว่าตั้งแต่อดีตกาลมาไม่เคยมีใครทำเช่นพลีมาก่อน แต่พลีก็จะทำ

ขณะที่การให้ทานเป็นไปอย่างมีระเบียบนั้น ท้าวมหาพลีซึ่งนั่งเป็นประธานได้เหลือบเห็นนักบวชร่างต่ำเตี้ยผู้หนึ่งเดินงกๆเงิ่นๆมา ความที่แรงน้อยจึงถูกผู้คนเบียดเสียดกีดกันอย่างไม่เกรงใจ

จอมอสูรบังเกิดความสงสารจับจิตจึงเดินลงไปหานักบวชผู้นั้นเป็นการเฉพาะ น้อมกายไหว้แล้วถามว่า “พระคุณเจ้าเป็นใครรึ?”

“เราชื่อ วามน กัศยปวงศ์ เป็นพราหมณ์จากเขาเหมกุฏ” นักบวชตอบ เมื่อสังเกตดีๆ แม้เขามีร่างกายต่ำเตี้ยแต่ใบหน้ากลับหนุ่มแน่น ดวงตาใสกระจ่าง

“อ้อ ที่แท้เป็นเชื้อสายของพระกัศยปเทพบิดรนั่นเอง” พลีตั้งใจจะแสดงตนเป็นตัวอย่างแก่ลูกน้องจึงหันไปสั่งว่า “เฮ้ย เตรียมอ่างมา กุจะล้างเท้าให้ท่านวามนผู้นี้เอง” เขาใช้น้ำสะอาดล้างเท้าให้นักบวช และกระทำอัญชลี

วามนยิ้มพลางกล่าวว่า “เรามาหาท่านวันนี้เพียงต้องการขอบริจาคทานเล็กๆน้อยๆเท่านั้น”

“พระคุณเจ้าประสงค์สิ่งใดหรือ?”

“ข้าต้องการที่ดินเพียงเท่าที่ตนเองยืนอยู่เท่านั้น…”

พลีถามวามนอย่างงุนงงว่า “ที่ดินเพียงเท่าที่ยืนท่านจะเอาไปทำอะไร หากพระคุณเจ้าประสงค์สถานที่บำเพ็ญศีลภาวนา หรือแม้ไร่นาทำกินสักร้อยไร่ข้าก็จัดหาให้ได้”

“เราพึงใจเท่านี้ ท่านเพียงสัญญาก็พอแล้ว” วามนกล่าว

พลีผู้อ่อนน้อมคิดโดยซื่อว่าฝ่ายตรงข้ามคงมีเหตุผลจึงไม่ซักไซ้ เขาหยับน้ำเต้าทักษิโณทกมาจะรินลงบนมือวามนเพื่อแสดงการมอบสิ่งที่ต้องการให้

พระศุกร์ซึ่งนั่งอยู่ด้วยฟังถึงตรงนี้คิดว่ามีเลศนัย จึงใช้ตาทิพย์เพ่งดูมโนของนักบวชผู้นั้น แต่ทันทีที่เขามองก็ต้องรู้สึกประหนึ่งมีเข็มสักหมื่นเล่มทิ่มแทงใส่ดวงตาของตน และลิ้นนั้นกลายเป็นแข็งทื่อขยับมิได้ ต้องกุมตากุมปากเจ็บปวด เหลือเพียงประสาทหูรับรู้เหตุการณ์อันจะเกิดแต่จอมอสูรเท่านั้น
มื่อน้ำจากน้ำเต้าไหลลงต้องมือแล้วเป็นอันว่าการให้ทานนั้นสำเร็จ วามนกล่าวแก่พลีผู้กำลังก้มหน้าเทน้ำว่า “จงดูเราอีกที” เป็นน้ำเสียงที่ทรงอำนาจ หนักแน่น เปลี่ยนจากเสียงอ่อนเบาเมื่อครู่จากหน้ามือเป็นหลังมือ

เมื่อพลีเงยขึ้นเขาก็ต้องพบกับ องค์พระนารายณ์สูงมหึมาประทับอยู่บนหลังของพระยาอนันตนาคราช ตลอดทั้งกายเปล่งรัศมีโชติช่วงเป็นสีสันประหลาดสะดุดตา ประกอบด้วยเครื่องทรงคือ แก้วเกาสตุภ แก้วสยมันตกะ สร้อยพระศอคือ ไวชยันตี อันมีมณีทั้งห้า คือ เพชร ทับทิม มรกต นิล ไข่มุก ทรงอาวุธคือคทา จักร สังข์ กระบี่ ส่องแสงแวววาวแปลบปลาบดุจว่าเปล่งเสียงได้



วามนาวตาร หรือ ทวิชาวตาร เป็นปางที่ ๕ ของพระนารายณ์, ที่มา – Thaigoodview.com

ผู้คนในโรงทานแตกกระเจิง พลีกลับกลายเป็นคนต่ำเตี้ยทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้าพระนารายณ์ อานุภาพบารมีนั้นทำให้จอมอสูรรู้จักความกลัวเป็นครั้งแรก

ด้วยความเคยชินที่กราบไหว้เทวรูปของพระองค์อยู่ทุกวัน เขาก็ตัวสั่นก้มลงอัญชลี ณ บัดนั้น

พระนารายณ์หัวเราะกึกก้องดังเสียงฟ้าร้อง “ครั้งหนึ่งพระยาประหลาทปู่เจ้าเคยบอกหิรัณยกศิปุทวดเจ้าว่าพระเจ้าสถิตย์อยู่ในทุกสถานที่ เมื่อหิรัณยกศิปุไม่เชื่อและชี้ไปที่เสาเรือนถามว่าพระเจ้าสถิตย์อยู่ตรงนี้ไหม เราได้อวตารเป็นนรสิงห์แหวกเสาเรือนออกไปสังหารเขา”

“คะ… ครับ” พลีตอบอย่างหวาดหวั่น

“นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเราสถิตย์อยู่ในทุกๆที่จริงดังนั้นเมื่อเจ้ากล่าวบริจาคแล้ว เท่ากับได้ให้พื้นที่ทั้งปวงที่เจ้าครอบครองแก่เราด้วย” คำพูดเพียงคำเดียวของพระนารายณ์ทำให้จอมอสูรผู้มั่งมีกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวในชั่วพริบตาเดียว

“ครับ เอ่อ…”

“ดี เป็นอันว่าเราขอบใจ” พระนารายณ์แย้มสรวล

ถึงตรงนี้ท้าวมหาพลีกัดฟันกรอด พระผู้เป็นเจ้าเห็นแล้วจึงแสร้งถามอีกว่า “ไม่พอใจรึ?
ทั้งที่หมอบกราบอยู่ พลีตัวสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ ในที่สุดก็มีเสียงลอดออกมา
“เออสิวะ…” เขากล่าวอย่างลืมตัว

“อะไรนะ?”

เมื่อรู้ว่าพูดผิดแล้วพลีทราบว่าไม่มีอะไรต้องเสียอีกจึงปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจทั้งปวงออกมา “มันไม่ยุติธรรมเลยโว้ย!!!!!!!!!!!!!” เขาลุกขึ้นชี้หน้าพระนารายณ์ “วันนี้ข้าได้เห็นธาตุแท้ของผู้ที่ข้าหลงเคารพบูชามาเนิ่นนานแล้ว ข้าเสียดาย เสียดายจริงๆ!!!!

“แต่สิ่งที่ข้าเสียดายไม่ใช่ชีวิต ข้าเสียดายเครื่องเซ่นสรวงสังเวยที่นำมาถวายท่านเพราะท่านไม่คู่ควรรับมันไว้แม้แต่ชิ้นเดียว!!!!”

“ข้าไม่คู่ควร?” พระนารายณ์ทวนคำของพลี

“เออ!!! นอกจากนั้นข้ายังเสียดายที่ที่ผ่านมาหลงเข้าใจว่าทวดของตนเองผิดบาป หลงกราบไหว้ฆาตกรอาสัตย์อาธรรม!!!

“ข้า พลี หิรัญยวงศ์ ไม่ใช่คนประเสริฐเลิศเลอจริง แต่เชื่อมั่นว่าตลอดมาตัวเองได้พยายามเป็นคนมีศีลสัตย์ที่สุด อย่างน้อยก็ดีกว่าพวกเทพร้อยเท่า ท่านนั้นปากอ้างว่าอวตารลงมาปราบทุกข์ แท้ที่จริงทำตัวเป็นเจ้าพ่อรับค่าคุ้มครองที่พวกมันยื่นให้มากำจัดคนอ่อนแอกว่า ปล่อยให้ดาวดึงส์ประพฤติตัวหยาบช้ากดขี่ชาวโลกตามใจชอบ!!!

“ท่านสร้างภาพว่าตนเป็นคนดีให้ใครๆนับถือ แต่ประพฤติตัวตรงข้ามกับสิ่งที่ตัวเองสอน ซ้ำยังขี้ขลาดตาขาวใช้วิธีสกปรกข่มขู่เอาของข้า คิดว่าคนอื่นเขาจะเลวเหมือนตัวเองหรืออย่างไร? ทรัพย์สินทั้งปวงเพียงแต่ถ้าท่านมาขอตรงๆข้าก็ให้โว๊ย!!!!!”

พลีบริภาษพระนารายณ์ต่างๆนาๆ อยู่เป็นเวลานาน แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมตนเองถึงไม่ถูกฆ่าเสียทีจนถึงตอนท้าย “…เว้นแต่มีกำลังมากกว่าคนอื่นแล้วท่านไม่มีอะไรดีเลย หากวันใดท่านอ่อนแอก็ไม่ต่างกับสุนัขน่าสังเวช มาสิวะมาฆ่าข้าอย่างที่เคยจัดการกับทวดทั้งสองของข้า!!”

จอมอสูรร้องออกมาสุดแรง “กูไม่กลัวมึง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

พละกำลังของเขาดุจหลุดลอยไปกับถ้อยคำนั้นด้วย พลีทรุดกายนั่งลงหอบ เขาพรุสวาทจนหมดแรงแล้วจริง
ถึงตรงนี้พระนารายณ์ซึ่งนิ่งฟังอยู่ตลอดกล่าวว่า “จบหรือยัง?”

พลีหันไปมองพระผู้เป็นเจ้าด้วยความงุนงงเต็มที “เออ… จบแล้ว” เขาตอบ

“ตอนนี้เจ้าระบายความขุ่นข้องหมองใจออกมาหมดแล้ว ความขุ่นข้องหมองใจนั้นใช่หายไปหรือไม่?”

พลีนิ่งคิดพักหนึ่งจึงส่ายหน้า

พระผู้เป็นเจ้าทรงแย้มสรวล “ซึ่งที่เจ้าบริภาษเรามาทั้งหมดนั้นเป็นเพราะยังไม่เข้าใจเรา”

“ข้าไม่เข้าใจท่าน?”

“เจ้าไม่เห็นอย่างที่เราเห็น ได้ยินอย่างที่เราได้ยิน รับรู้อย่างที่เรารับรู้ เนื่องจากเจ้ายังคงถูกจำกัดอยู่ด้วยประสาทสัมผัสเพียง ๕ ชนิดคือ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวสัมผัสซึ่งมีอยู่ในกายเนื้อนรชาตินั้น”

“แปลว่ายังมีประสาทสัมผัสมากกว่านี้อีก?” พลีถาม

พระนารายณ์ผงกศีรษะ “เจ้ามีสติปัญญาพอที่จะเข้าใจ วันนี้เราจึงให้เจ้าเห็นสิ่งที่ต่างออกไป…” พระผู้เป็นเจ้ากล่าว “นี่คือมุมมองของสุนัข”
พลีรู้สึกว่าตาของเขากลายเป็นบอดสี และมองได้สั้นลง ในขณะที่จมูกดีขึ้นและได้กลิ่นแปลกๆเหนือคาดหมายมากมาย

“นี่คือมุมมองของแมลงวัน”
ภาพที่พลีเปลี่ยนเป็นช่องเล็กๆหลายพันช่องมองเห็นด้านที่ต่างๆกันมากมาย

“อะไรกัน!!!” จอมอสูรกล่าว

“เพียงสิ่งมีชีวิตในโลกก็มีมุมมองสัมผัสที่แตกต่างกันแล้ว ต่อไปเราจะให้เจ้าได้เห็นในสิ่งที่เราเห็นโดยค่อยๆเพิ่มประสาทสัมผัสขึ้นไปบ้าง” พระนารายณ์พูดต่อ “ประสาทสัมผัสที่หก”

พริบตานั้นพลีรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้จัก คือท้องฟ้า ผืนดินรอบกาย แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยคล้ายกระจก ทุกสิ่งทุกอย่างดำมืดลง เขาไม่เห็นแม้แต่ตัวเอง รู้สึกแต่มีดวงไฟเรืองๆอยู่หลายดวงรอบๆตัว

และโดยไม่รั้งรอให้จอมอสูรหายสงสัยพระนารายณ์ก็กล่าวต่อ
“ประสาทสัมผัสที่เจ็ด”

ความมืดดำรอบกายพลีแตกออกอีก โลกกลายเป็นตารางๆ วกวนสับสน ยิ่งพระนารายณ์เพิ่มประสาทสัมผัส พลีก็ยิ่งพบเห็นอะไรที่แปลกขึ้น นอกเหนือจินตนาการ นอกเหนือกรอบความคิด เขาได้รับสัมผัสชนิดที่หาคำอธิบายไม่ได้ เสพรับสิ่งที่บรรยายไม่ถูก

พลีร่ำร้องด้วยความตกใจ เมื่อพระนารายณ์เพิ่มประสาทสัมผัสไปถึงลำดับที่ ๗๖๓ โลกก็ไม่มีทิศทางบนหรือล่าง เมื่อถึงลำดับที่ ๕๑, ๒๔๕ โลกก็ไม่มีเวลา อนาคต หรือ อดีต

เขาพึ่งรู้ว่าหูตาจมูกลิ้นของตนนั้นคับแคบแค่ไหน โลกนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด

เมื่อก่อนเขาเข้าใจว่าตนคือผู้แข็งแกร่งสุดยอดผู้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ผืนฟ้าผืนพิภพล้วนสยบอยู่เบื้องใต้ หากสิ่งที่พลีรู้สึกหลังจากได้รับประสาทสัมผัสเพิ่มคือ ความเป็น ‘ตัวเอง’ นั้นเล็กลงเรื่อยๆจนเหลือน้อยที่สุด

ในประสาทสัมผัสที่ ๘ , ๘๙๖, ๔๑๔, ๙๗๙ โลกกับจักรวาลกลายเป็นสิ่งเดียวกัน พลีเห็นโลกจำนวนอสงไขยอยู่ในจักรวาลจำนวนอสงไขย โลกแต่ละใบมีสิ่งมีชีวิตจำนวนอสงไขย
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-8-15 11:23

เขาเป็นเพียงหนึ่งในสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น เป็น ‘ส่วนหนึ่ง’ ของอะไรที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเท่านั้น

ถึงจุดนี้พลีจึงคิดได้ว่ามันช่างน่าสมเพชสิ้นดีเมื่อคำนึงถึงสิ่งที่จิ๊บจ๊อยเช่นเขากลับมีความทะเยอทะยานที่จะเป็นเจ้าครองฟ้าครองดิน

ในที่สุดพระนารายณ์ก็พาพลีมาถึงประสาทสัมผัสสุดท้ายซึ่งเป็นจำนวนที่นับไม่ได้ สิ่งที่เขาพบคือสิ่งมีชีวิตทั้งปวงในรูปของรหัส เดินทางปะปนวนเวียนเป็นวงกลมกว้างใหญ่ ดูคล้ายวังน้ำหมุนไม่สิ้นสุด

พลีเห็นรหัสที่มีกาย และรหัสที่ไม่มีกาย เห็นรหัสที่เป็นมนุษย์ อสูร เทพ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตแปลกพิสดารอื่นๆซึ่งเขาไม่รู้จัก

รหัสแต่ละรหัสร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดจากการเดินทางแต่ก็ยังคงเดินต่อไป

สิ่งที่พลีสังเกตเห็นคือรหัสของพวกเทพนั้นดูจะเจ็บปวดกว่าพวกอื่นๆ

และเมื่อเขาได้พบรหัสของพระอินทร์ผู้เป็นศัตรูตัวสำคัญร้ายกาจที่สุด มันกลับเป็นรหัสอันหม่นหมอง อ่อนล้า ทุกข์ทรมานมากกว่าเทพทั่วไปอีก

เสียงๆหนึ่งดังขึ้นที่ข้างโสต “เจ้ารู้ไหม ทำไมรหัสของเทพจึงมีความทุกข์กว่ารหัสอื่น?” เป็นเสียงของพระนารายณ์เอง

“ข้าไม่รู้ ความจริงพวกเขาน่าจะสุขสบายนี่”

“ไม่หรอก พวกเขาเป็นทุกข์ เพราะเขายึดติดกับสิ่งที่ไม่มีคือกายเนื้อของตนมากกว่าพวกอื่นๆ โดยเฉพาะพระอินทร์ผู้ที่หลงงมงายที่สุด จึงต้องทนทรมานมากที่สุด …ทีนี้เจ้าลองมองดูตัวเองสิ”

พลีลองมองดูตัวเอง ก็พบว่าเขาเป็นรหัสหนึ่งที่เดินทางอยู่ในวังน้ำอันกว้างใหญ่เช่นกัน

เห็นดังนั้นความโกรธเกลียดในใจเริ่มคลี่คลายลง เขาบังเกิดจิตเมตตาสงสารต่อสิ่งอื่นๆที่กำลังเดินวนเวียนอยู่พร้อมกันกับเขา กำลังทรมานอยู่เหมือนกับเขา

“นี่คือสิ่งที่เราเห็น” พระนารายณ์กล่าว “สิ่งมีชีวิตในโลกล้วนเกิดตายวนเวียนอยู่ในห้วงแห่งความโลภหลงอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ความโกรธที่เจ้าผรุสวาทเราเมื่อครู่ก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ ความตายไม่ใช่การปลดปล่อย เช่นเดียวกับการเป็นอมตะ…

“เราจึงมิได้ให้ค่าแก่ชีวิต หากให้ค่ากับระดับจิตใจมากกว่า การสังหารหิรัญยักษ์ และหิรัญยกศิปุ เพราะพวกเขาอยู่ในสภาพที่ยึดติดกับกายเนื้ออันมีฤทธิ์จนไม่อาจสั่งสอนได้แล้วจึงต้องทำลายกายเนื้อนั่นเสีย แล้วค่อยไปขัดเกลาในภพชาติใหม่

“ส่วนที่เรายังคงปล่อยให้ชาวอารยะใช้ระบบบุญต่อไป เพราะระบบนี้เป็นประโยชน์ต่อระดับศีลธรรมพื้นฐานของสังคมมนุษย์ในขณะที่ยังไม่เจริญ

“ที่เราไม่ปราบดาวดึงส์เพราะเสถียรภาพของดาวดึงส์ยังคงจำเป็นต่อความสงบสุขของโลก หากเมื่อถึงเวลาที่ฟ้าจะต้องเสื่อมเมื่อใด เราจะเป็นผู้เอาลงเอง

“อย่างไรก็ตามทางรอดของเวไนยชาติที่แท้จริงมิใช่การล่าล้างทำลาย แต่จะเป็นสิ่งใดนั้นคาดว่าบัดนี้เจ้าคงเข้าใจแล้ว…”

พระผู้เป็นเจ้าสรุปว่า “จงภูมิใจเถิดมหาพลี นี่เป็นครั้งแรกที่เรามอบ ‘ทัศนะ’ ให้แก่มรรตัยชน และในกาลอนาคตเราจะกระทำเช่นนี้อีกเพียงสองครั้ง โดยเราในรูปของพระศิวะจะมอบ ‘ทัศนะ’ แก่หมู่ฤๅษีและศิลปินผ่านการแสดงนาฏกรรม นอกจากนี้แล้วทางเดียวที่มนุษย์สามารถมองเห็นความเป็นจริงของสรรพสิ่งคือการบำเพ็ญเพียรด้วยตนเองเท่านั้น”

“ซึ่งเมื่อเวลานั้นมาถึง มนุษย์จะต้องเลือกระหว่างการอยู่ในวังวนต่อ หรือออกจากมัน…” เสียงของพระนารายณ์ค่อยๆเบาลงจนหายไป

พลีรู้สึกตัวอีกทีขณะที่ตนอยู่ในท่าคุกเข่ากลางโรงทาน และกลับมาได้ยินได้ฟังโดยประสาทสัมผัสชุดเดิมอีก

คนโดยรอบให้การว่าหลังจากพระนารายณ์แสดงองค์จริงแล้วก็เสด็จจากไปในพริบตา และเวลาที่พลีได้รับทัศนะของพระเจ้าซึ่งเขาคิดว่ายาวนานหลายวันนั้น กับโลกจริงกลับนานเพียงไม่กี่วินาที

จอมอสูรปลงตกได้ก็เลิกล้มความคิดทะเยอทะยาน ก้มลงทำอัญชลีทางทิศที่พบพระนารายณ์ครั้งสุดท้าย อวตารครั้งที่ห้านี้ภายหลังถูกเรียกว่า ‘วามนาวตาร’ พระผู้เป็นเจ้ามิได้มีจุดประสงค์เพื่อปราบพลี แต่เป็นการปราบมิจฉาทิฐิในตัวของเขา

ภายหลังเมื่อพลีประกาศเจตนารมย์ ‘เลิกรบ’ อย่างชัดเจน ประชาคมอสูรผิดหวังในตัวเขามากและแบ่งเป็นสองฝักฝ่ายคือฝ่ายที่ไม่ไว้วางใจกษัตริย์ผู้นี้อีกต่อไป กับฝ่ายที่ยังคงจงรักภักดีต่อพลี

เพื่อไม่ให้เกิดการวิวาทกันเองพลีจึงนำบริวารไปตั้งเมืองใหม่ ณ ชั้นใต้ดินซึ่งลึกลงจากอสูรกายภูมิชื่อว่า ‘เมืองบาดาล’ มีพลเมืองอสูรติดตามเขาไปถึงหนึ่งในห้า นับเป็นการสิ้นสุดการปกครองอสูรกายภูมิของอสูรตระกูลหิรัญยวงศ์นับแต่นั้น
ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้