ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 11112
ตอบกลับ: 11
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

คุยเฟื่องเรื่องเบี้ยแก้ โดย ฅนขลัง คลังวิชา

[คัดลอกลิงก์]
เบี้ยหรือ เบี้ยภควจั่น ในอดีตเปลือกหอยเบี้ยจั้กจั่น (เรียกตามรูปทรงที่คล้ายแมลง) ถูกนำมาใช้แทนเงินตรา ความเชื่อโบราณมักนำเปลือกหอยเบี้ยจั่นมาให้เด็กแขวนคอ สืบเนื่องด้วยเบี้ยนี้มีปากมีฟันอุปมาเป็นดั่งฟันมนุษย์ เมื่อให้เด็กติดตัวเชื่อว่า “แมงกินฟัน” จะไม่กินฟันเด็กแต่จะมาลงกินที่เบี้ย แล้วเข้าไปกินฟันหอยเบี้ยแทน ทำให้ฟันเด็กแข็งแรงไม่ผุ
..........................................
อีกความเชื่อว่าถือเอาเคล็ด ด้วยเปลือกหอยเบี้ยหนาและคงทน ให้เด็กมีฟันแข็งแรงคงทนดั่งผิวเบี้ยจั่นนี้ การนำเบี้ยมาปลุกเสกคราวแรกสันนิษฐานว่ามาการนำเบี้ยให้เด็กแขวนนี้เอง เด็กมักมุดไปทั่วรอดไปในที่ต่าง ๆ ใต้ถุนบ้าง รอดราวผ้าบ้างไปทั่วหมดตามประสา โบราณจารย์เจ้าเห็นว่าควรนำเบี้ยมาประจุของวิเศษ แล้วปลุกเสกด้วยอาคม แจกให้พวกเด็กติดตัวป้องกันภัย ตำราการสร้างเบี้ยนี้ในปัจจุบัน ผู้ฅนส่วนใหญ่รู้จักแต่เบี้ยแก้ เรียกเหมารวมรูปหอยเบี้ยลงอาคมว่าเป็น “เบี้ยแก้” ไปเสียหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่คลาดเคลื่อนไปมากจากความรู้ในศาสตร์นี้แต่โบราณ
..........................................
เบี้ยอาคมสองสกุล
หลายท่านคงอยากรู้ความจริง แต่ใช่ว่าทุกฅนจะพูดความจริง เรื่องราวผ่านมานับหลายสิบหรือเป็นร้อยปี เรื่องราวหลายส่วนสูญหายไป ด้วยผู้ทรงภูมิต่างล้มหายตายจาก ข้อมูลในหลายส่วนสูญขาดช่วงอย่างน่าเสียดาย ข้าพเจ้าขอนำเรื่องราวบางส่วนเกี่ยวกับเบี้ยอาคม นำมาเล่าสู่ให้ท่านได้รับรู้ในสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยรู้มา หากท่านใดคิดว่าเป็นความรู้ที่ผิดแผกแหกคอก ต้องขออภัย และขอท่านจงเลยผ่านไป อย่าจดจำให้รกสมองเลย ครูผู้สอนสรรพวิชาแก่ข้าพเจ้าเรื่องเบี้ยทั้งเคยเรียกปรอทให้ดู คือ หลวงปู่เดินหน อิเกสาโร บางฅนเรียกท่านว่าหลวงปู่โพรงโพธิ์ กับอีกหลายชื่อไม่ได้จดจำ เพราะข้าพเจ้าเรียกท่านสั่น ๆ เพียง “หลวงปู่” ยังมีอาจารย์อีก ๒-๓ท่านชี้แนะในเรื่องเบี้ยแก่ข้าพเจ้าทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งไม่ขอกล่าวนามในที่นี้ เกรงเป็นการอ้างครูบาอาจารย์มากไป ดูคล้ายพวกขายยาชวนเชื่อ เรื่องเบี้ยอาคมจากพระผู้รู้กาลนานอย่าง หลวงปู่เดินหน เคยสอนว่า“เบี้ยอาคมมีอยู่ ๒ สกุล คือ เบี้ยแก้ กับ เบี้ยกัน” ถึงตรงนี้หลายท่านอาจคิดว่า เบี้ยกันมาจากไหนอุปโลกน์ขึ้นมาเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ในเรื่องนี้

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1649667138583671&id=1400423613508026

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-10-11 13:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระอาจารย์ผู้เฒ่าทำเบี้ยอาคมสมัยก่อนหลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค ช่วงที่ยังแข็งแรงท่านเคยสร้างเบี้ยกัน และเบี้ยแก้ไว้ด้วยมือท่านเอง แต่สร้างไม่มากนัก ในหนังสือประวัติเล่มเล็ก เคยมีกล่าวถึงไว้ด้วยเช่นกัน ยังได้ทราบข้อมูลสืบต่อจากศิษย์ของ อ. ประดิษฐ์ ผู้เป็นศิษย์หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา เล่าว่าหลวงปู่ทองเคยสร้างเบี้ยแก้และเบี้ยกัน แต่สร้างไว้ไม่มากนักแจกทหารคราวไปรบกบฏเงี้ยว (สมัย ร.๕) คราวนั้นนำทัพโดยพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) ทหารลูกหลานทุ่งมีนบุรี ต่างมาขอของดีจากหลวงปู่ทอง ท่านจึงทำเบี้ยแก้เบี้ยกันให้ไปคุ้มครองตัว ด้วยพวกเงี้ยวมีอาคมเล่นคุณไสยมาก เกรงใช้คาถามเข้าทำร้ายเอาได้ จึงทำเบี้ยให้ทหารติดตัวไป เพื่อแก้อาคมของพวกเงี้ยวทั้งยังป้องกันตัวได้ วิชาแปลก ๆ ของหลวงปู่ทองท่านมีมาก
..........................................
ข้าพเคยได้ยินจากอาจารย์ข้าพเจ้า คือ คุณสุรศักดิ์ พฤกษกานนท์ เล่าถึงหลวงปู่ทองว่าเดิมทีท่านเป็นศิษย์ขรัวโต เคยมาอยู่เรียนวิชาอยู่วัดระฆังนานปี หลวงปู่ทองเคยทำตัวหุ่นที่เรียกว่า “มังกรอาคม” สร้างจากผ้ามาฉีกเป็นเส้นลงอักขระยันต์ นำมาถักขึ้นเป็นตัวยาว ๆ อย่างมังกรตามหัวมีเขามีขา ดูแค่พอรู้ว่าเป็นสัตว์ตัวยาวแบบมังกร แล้วนำไปทาด้วยน้ำยางรักเพื่อรักษาเนื้อผ้าให้คงทน จากนั้นท่านนำมาเสกเป็นมังกรเฝ้าทรัพย์ ทำได้ขลังมากเป็นตัวตนบอกกล่าวบนบานได้ ขอกลับมากล่าวเรื่องเบี้ยต่อไปเกรงจะยืดยาว

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-10-11 13:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เบี้ยอาคมสองสกุล
เบียงสองชนิดมีพุทธคุณต่างกัน จากที่กล่าวไปว่าพระเถราจารย์ผู้รู้กาลนานอย่างน้อย ๒ รูป ที่กล่าวไปข้างต้น ท่านเคยสร้างทั้งรู้วิชาการสร้าง “เบี้ยแก้” และ “เบี้ยกัน” ท่านทั้งสองมีอายุนับร้อยปี ผ่านมาหลายแผ่นดิน จัดเป็นยอดทางพุทธศาสตร์ และไสยศาสตร์ หลายท่านสงสัยว่าเบี้ยแก้กับเบี้ยกันต่างกันอย่างไร ? จึงขออธิบายให้ทราบพอสังเชปดังนี้
เบี้ยแก้:
เบี้ยแกเป็นเบี้ยที่สร้างขึ้น หวังผลทางแก้ไข, ลบล้าง, ถอดถอน คือ ทำให้ของฝ่ายตรงข้ามวิชาเสื่อมถอย ความขลังด้อยลงทำอันตรายไม่ได้ เบี้ยแก้นี้สังเกตง่ายเวลาเขย่ามีเสียดังจ๊อก จ๊อก เป็นเสียงของเหลวในท้องเบี้ย เพราะใช้ปรอทเป็นมาบรรจุลงไป ตามหลักไสยาสตร์ปรอทเป็นของมีฤทธิ์ภูตผีปีศาจเกรงกลัว สามารถกินของไม่ดีและวิชาบางอย่างได้ สามารถสูบเอาอาคมหรือจับของไม่ดีเข้าสู่ปรอท ทั้งหมดเกิดจากปรอทและอาคมที่ประจุลงในปรอท ซึ่งปรอทเป็นที่นำมาใช้บรรจุเบี้ยแบ่งเป็น ๓ ชนิดหลัก
..........................................
เบี้ยกัน :
เบี้ยชนิดนี้มีคุณทางปกป้องคุ้มครอง ไม่สามารถถอดถอนคุณไสยอาถรรพ์ใดได้ ด้วยใช้ปรอทตายเป็นปรอท ที่หุงทำเป็นเม็ดเล็ก ๆ หรือใช้เครื่องยาบ้างก็ใช้แผ่นจารยันต์ เอาของอาถรรพ์ตามตำรามาบรรจุลงท้องเบี้ย เมื่อเขย่าเสียงจะดังแซ๊ก แซ๊ก เหมือนเสียงทราย หรือบางครั้งก็ไม่มีเสียงอะไรเลย เบี้ยกันที่เห็นมักเป็นเบี้ยทางสายอ่างทอง เช่น หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ, หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน กับของท่านอาจารย์ไพล - อาจารย์ย้ง วัดบางแคกลาง สายที่ว่านี้เป็นเบี้ยกันเพราะไม่ใช้ปรอทเป็น พวกที่มีเบี้ยกันพกติดตัว แม้นไม่ถอนของเขา แต่ใครที่มีของร้ายหรือพวกเล่นผีสาง ร่างทรงพวกเปรตสัมภเวสีเจ้าพ่อ เจ้าแม่พวกเล่นของต่ำอีเป๋อ ไอ้งั้ง หรือเล่นยาสั่งมานั่งใกล้ฅนมีเบี้ยกันไม่ได้เลย มักร้อนรุ่มบ้างมีอาการคล้ายโดนตัวแมลงกัดต่อยไม่เลิก เขาต้องหนีห่างเราเข้ามาในระยะ ๒วาไม่ได้เลยเพราะอาถรรพ์ของเบี้ยกันใช้กันตัวดีมากไม่ต้องกลัวอันตรายที่มองไม่เห็น

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-10-11 13:34 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ปรอทอากาศ :
ปรอทชนิดนี้มีคุณสูงสุด ผู้สามารถเรียกปรอทชนิดนี้มาได้ ต้องบารมีธรรมสูงบรรลุอภิญญาสมาบัติแก้กล้า สามารถข่มเรียกปรอทที่ล่องลอยในอากาศ ให้มารวมตัวกันเข้าทั้งนำมาใช้ได้ ปรอทชนิดนี้ผู้ที่นำมาใช้ต้องดูยามค่ำคืนน้ำค้างลง ให้สังเกตดูตามยอดหญ้าเห็นแสงเรืองสีเขียวเหลืองเล็ก ๆ คล้ายแสงหิ่งห้อย แต่แสงปรอทจะไม่วอบแวบดั่งหิ่งห้อยแสงจะสว่างเรือง ๆ อย่างนั้นด้วยเขามากินน้ำค้างยอดหญ้า ไม่นานเขาจะกระจายตัวกลับคืนสู่อากาศ สมัยก่อนหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เคยเล่าให้หลวงปู่เพิ่มฟังว่า ตัวท่านเคยเห็นพระปลัดทองเรียกปรอทจากอากาศได้ แต่หลวงปู่บุญท่านลองทำดูแต่ทำไม่ได้บารมีท่านไม่ถึง
..........................................
เรื่องปรอทนี้ข้าพเจ้าเคยเห็นกับตาตนเอง ไม่ต้องไปถามใครตอบเลยว่ามีจริงที่สามารถอธิบายได้ถูก บอกว่าเป็นสีเขียวอมเหลืองเรือง ๆ ดังกล่าว เพราะเคยเห็นหลวงปู่เดินหน อิเกสาโร เรียกปรอทชนิดนี้มาให้ดู ท่านเรียกมาอยู่ลอยเป็นแสงเรือง ๆ บนฝ่ามือท่าน เห็นชัดเจนในความมือ ตอนที่ปรอทจากอากาศมารวมจับตัวกันบนมือ ดูไปเพลินคล้ายดูภาพยนตร์อัศจรรย์ ที่เขาสร้างให้ชมกันอย่างนั้น ตอนเรียกปรอทนี้มีฅนเห็นอีกหลายสิบฅน ปรอทอากาศนี้หากนำมาบรรจุลงเบี้ยอาคม ถือว่าชั้นหนึ่งมีคุณสูงสุดเหนือเบี้ยใด ๆเป็นพญาเบี้ย
..........................................
ปรอทดิน :
เป็นปรอทที่นิยมนำมาทำเบี้ยมากที่สุด ด้วยหาได้ง่ายกว่าปรอทชนิดอื่น สมัยโบราณการดักเบี้ยจะใช้ไข่มาเสกนำไปวางในน้ำคลำ หรือเอาไข่แช่ริมตลิ่งน้ำไม่นานไข่เน่าแล้วปรอทจะเข้าไปกิน จึงนำไข่เน่ามาตอกคัดแยกเอาปรอทนำมาใช้ เมื่อมีปรอทวิทยาศาสตร์สามารถนำมาใช้ได้ไม่ต้องทำอย่างโบราณนำมาปลุกเสกมีคุณวิเศษได้เช่นกันไม่ยุ่งยาก
..........................................
ปรอทสมุทร :
เรียกอีกชื่อว่าโคตรปรอท เป็นปรอทใต้ชั้นผิวโลก ปรอทชนิดนี้มีอายุเก่าแก้ที่สุด เป็นปรอทที่ลงไปกินเศษซากพืชสัตว์โบราณ แล้วแทรกตัวอาศัยหากินใต้ผิวโลกไม่ยอมขึ้นมา ปรอทชนิดนี้เมื่อเจาะน้ำมันดิบ (ปิโตรเลี่ยม) มันได้ปรอทนี้ติดขึ้นมา ปรอทนี้สามารถนำมาสร้างเบี้ยแก้ได้ดีเช่นกัน ทราบว่าปรอทชนิดนี้ ท่านอาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย จ.ปัตตานี เคยนำมาใช้สร้างเบี้ยแก้เข้มขลังมาก เพราะท่านนำชันโรงใต้น้ำมาปิดท้องเบี้ย

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-10-11 13:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เบี้ยแก้เมื่อพกติดตัวสามารถถอดถอน พวกเล่นคุณไสยพวกเลี้ยงผีของต่ำต่าง ๆ เมื่อพกเบี้ยเข้าไปที่ของเขา ให้กลั้นใจหยุดยืนสักนิด ดึงเบี้ยรูดมาไว้ด้านหน้าตั้งจิตเชิญครู แล้วว่าคาถาสูบอาคมเขาเข้าตัว หากไม่รู้อาคมให้ตั้งจิตเอา แล้วทำปากสูบลมเข้า ๓ ครั้ง ทำเช่นนี้ของเขาเสื่อมถอยลงครึ่งหนึ่งเป็นด่านแรก เมื่อเหยียบบันไดเรือนให้กดเท้าขวาลงแรงแล้วว่าคาถาประจุขาด
“พุทธังปัจจะขามิ ธัมมัง ปัจจะขามิ สังฆัง ปัจจะขามิ”
เดินขึ้นเรือนมันร้องโหยหวยเลยบนบ้าน หากไม่ร้องต้องหนีหมดแม้นผีเรือนยังต้องเลี่ยงหลบ นับประสาอะไรกับผี เขาเลี้ยงไว้ย่อมอยู่ไม่ได้เกรงเราสิ้น
ความจริงวิธีใช้ยังมีอีกมาก ใช้ถอนคุณในตัวผู้ป่วยก็ได้ อาจารย์ผู้สร้างเบี้ยที่ขึ้นชื่อมากมีหลวงปู่รอด วัดนายโรง, หลวงพ่อทัต-หลวงพ่อพลอย วัดคฤหัสถ์, หลวงปู่บุญ-หลวงปู่เพิ่ม-พระปลัดใบ วัดกลางบางแก้ว, หลวงตากา วัดแค, หลวงพ่อโปร่ง วัดท่าช้าง เหล่านี้นับว่าท่านเก่งจิตดีจริง

6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-10-11 13:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ที่กล่าวว่าเบี้ยแก้นับเป็นเครื่องรางจำเป็นสำหรับผู้สนใจทางเข้มขลังนั้น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าพระเครื่องมีอานุภาพทางคุ้มครอง คือ แผ่พลังคุ้มครองป้องกันเท่านั้น จะไม่ทำร้ายทำลายในทางรุนแรง นอกจากพระเครื่องบางสำนักที่เสกทางสะท้อนกลับ ให้ของหรือวิชาที่เขาส่งมาทำร้ายกลับไปหาผู้ส่ง แต่เครื่องรางอย่างเบี้ยแก้ทีคุณต่างไป จากชื่อก็พอทราบแล้วว่า **แก้** ใครทำอะไรมาแก้เขาหมดปรอทมันกินหมด การนำปรอทมาบรรจุในตัวหอยเบี้ยนี้ พระเถราจารย์ที่เป็นต้นสายวิชาเท่าที่พอสืบทราบได้คือ หลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ ธนบุรี ว่ากันว่าหลวงปู่แขกเดิมทีท่านเป็นพระภิกษุ แต่ภายหลังลาสิกขาออกมาเป็นชีปะขาวถือศีลกินเพล (ข้อมูลจากหลวงปู่โต๊ะเล่าไว้) ท่านไปมาไร้ร่องรอยเรียกว่ามีวิชาดีชอบเล่นแร่แปรธาตุ หลวงปู่แขกมีศิษย์เอกที่ประสิทธิ์วิชาสร้างเบี้ยแก้ให้ไป คือ หลวงปู่รอด วัดนายโรง กับ หลวงปู่ทัต วัดคฤหัสถ์

หลวงปู่รอด วัดนายโรง ถ่ายทอดวิชาสร้างเบี้ยต่อไปให้กับ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว สืบวิชาเบี้ยแตกไปเป็นเบี้ยแก้สายวัดกลางในปัจจุบัน เรื่องนี้มีข้อมูลยืนยันจากตำราไหว้ครูสร้างเบี้ยแก้ของ หลวงตากา วัดแค ศิษย์ผู้เรียนวิชาสร้างเบี้ยโดยตรงสืบต่อมาจาก หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ท่านยืนยันว่าบรมครูของสายวิชาสร้างเบี้ย วัดกลางบางแก้ว สืบวิชามาจากหลวงปู่รอด วัดนายโรง ท่านว่าหลวงปู่เพิ่มเคยบอกไว้ตั้งแต่คราวที่ท่านยกครูเรียนทำเบี้ย เหตุนี้จึงทำให้ทราบถึงความเชื่อมโยงของสายวิชาสร้างเบี้ยของวัดกลางบางแก้วว่า มีต้นสายวิชาสืบทอดวิชามาจากวัดนายโรงนั่นเอง

7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-10-11 13:41 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่ทัต วัดคฤหัสถ์ ท่านรูปนี้ทราบว่าประสิทธิ์วิชาสร้างเบี้ยให้ หลวงตาพลอย วัดคฤหัสถ์ วิชาสร้างเบี้ยสายวัดคฤหัสถ์มีความแปลกตรงที่เมื่อสร้างเบี้ย หลวงตาพลอยท่านจะนำหอยเบี้ยมาวางที่รางปรอท ที่ปลายรางด้านหนึ่งจะเทปรอทใส่ลงไว้ ปลายอีกด้านเป็นตัวเบี้ยที่วางหงายปากเบี้ยรอไว้ ท่านจะเสกคาถาเรียกปรอทให้วิ่งเข้าสู่ตัวเบี้ยเอง น่าแปลกที่ปรอทจะค่อย ๆ เคลื่อนไหลเข้าสู่ท้องเบี้ยเอง โดยปรอทที่เข้าไปอยู่ในท้องเบี้ยจะมีน้ำหนัก ๑ บาท เท่ากันทุกตัว โดยไม่ต้องชั่งตวงเลยเป็นไปด้วยอาถรรพ์วิชาและแรงครู เมื่อปรอทเข้าสู่เบี้ยครบแล้วจะปิดปากเบี้ยแล้วถักหุ้มแล้วทาด้วยยางมะพลับ เรื่องการเรียกปรอทของหลวงตาพลอยนี้ ในอดีตคุณไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม เคยกล่าวถึงไว้ในหนังสือประยุกต์ บทความใต้บาทหลวงพ่อเดิม ปัจจุบันเบี้ยสายวัดคฤหัสถ์ถูกนำไปเล่นยัดเป็นวัดนายโรงเสียหมดแล้ว เรียกว่าหาตัวจริงมายืนยันไม่ได้แล้วซึ่งก็น่าเสียดายมาก จึงเหลือเพียงตำนานเรื่องเล่าเท่านั้น


เบี้ยแก้นี้เมื่อนำติดตัวเข้าไปในสำนักหรือสถานที่ของผู้ที่เล่นคุณไสยมนต์ดำ เบี้ยสามารถกลืนกินคุณหรือของที่มีอยู่ในสถานที่นั้นได้บางส่วน เหตุนี้ในอดีตพวกที่เล่นของทางอีสานใต้เกรงเบี้ยแก้มาก หากเขาเห็นใครพกเบี้ยมาที่เอวจะไม่ยอมให้ขึ้นเรือนเลย ด้วยเกรงวิชาหรือภูตผีที่เขาเลี้ยงไว้เสื่อมถอยหนีไปหมด หากขึ้นเรือนหรือเข้าบ้านพวกที่เล่นของ เราจะข่มของเขาข่มวิชาเขาก็ให้เลื่อนเบี้ยมาไว้ด้านหน้า แล้วว่าคาถา **อิติปิโสถอยหลัง** ว่าจบเดียวแล้วสูดหายใจดูดเข้าทางปาก แล้วอัดใจก้าวขาขวาเหยียบหัวบันไดบ้านเขาแล้วว่าคาถาประจุขาด ๓ จบ แล้วเดินขึ้นไปเลยของที่รักษาสถานที่มันเสื่อม หรือไม่อาจแสดงฤทธิ์ทำอันตรายเราได้เลย
............


8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-10-11 13:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
§ คาถาอิติปิโสถอยหลัง §
**ติวาคะภะ โธพุท นังสานุสมะวะเทถาสัต ถิระสามะทัมสะริปุ โรตะนุตอะ ทูวิกะโล โตคะสุ โนปันสัมณะระจะชาวิชโธพุทสัมมาสัม หังระอะ วาคะภะ โส ปิติอิ ฯ.**
............
§ คาถาประจุขาด §
**พุทธังปัจจะขามิ ธัมมัง ปัจจะขามิ สังฆัง ปัจจะขามิ ฯ.**
หากจะออกผจญในการศึกสงครามต่อสู้กับอาวุธร้ายแรง หรือก่อนอกเดินทางต้องการให้เบี้ยคุ้มครองป้องกันให้ว่าคาถาปลุกเบี้ยดังนี้
............
§ คาถาปลุกเบี้ยแก้ §
**อะสิสสะ ติธะนู เจวะ สัพเพเต อาวุฒานิ จะภัคคะ ภัคคา วิจุณณานิ โลมังมาเม นะผุสสันติ นะ มะ นะ อะ นอ กอ นะ กะ กอ ออ นอ อะ นะ อะ กะ อัง อุมะอะมิ มะหิสุตัง สุนะพุทธัง อะสุนะอะ ฯ.**
เสกคาถาปลุก ๓ – ๗ – ๙ จบ ตามแต่สะดวกคุ้มครองให้พ้นจากอันตรายทั้งปวง หรือใช้คาถานี้ปลุกเสกเบี้ยทำน้ำมนต์อาบรดแก้อาถรรพ์หรือภูติผีปีศาจได้ชะงัดนัก นำเบี้ยใส่บนขันลอยบนน้ำหรือผูกแขวนที่ปากโถน้ำมนต์ก็ได้ (ไม่ต้องแช่เบี้ยลงในน้ำ)

หลายท่านที่อาราธนาเบี้ยแก้ขอให้จดจำไว้เลยว่า ห้ามเลี่ยมปิดแบบกันน้ำเด็ดขาด !! ให้ดีก็ใส่ตลับเจาะรูไว้สักนิดพอลมผ่าน เพราะของที่เบี้ยจะกินเข้าในตัวต้องใช้ธาตุลมเป็นสื่อ อีกประการหากเลี่ยมกันน้ำมีผลทำให้ **เบี้ยเสื่อม** หรือประจุแตก จะเห็นมีปรอทซึมออกมาจากตัวเบี้ย โดยไหลออกมาอยู่ในพลาสติกเลี่ยม เหตุเพราะเวลาช่างเลี่ยมกันน้ำจะนำเอาเบี้ยที่อยู่ในพลาสติกไปลนไฟ เพื่อให้พลาสติกเข้ารูปเวลาเลี่ยม ในขั้นตอนนี้เองส่งผลให้เบี้ยเสียในภายหลัง เหตุเพราะ **ปรอทแพ้ความร้อนอย่างรุนแรง** ขอให้จำไว้ว่าเมื่อใดเห็นปรอทไหลออกจาตัวเบี้ย พึงรู้ไว้เลยว่าปรอทของท่านได้เสื่อมคุณวิเศษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วิธีแก้ก็ง่ายมากก็แค่หาเบี้ยตัวใหม่มาแทนสถานเดียวเท่านั้น
............
อีกประการที่ข้ามเด็ดขาดเลย คือ ห้ามนำเบี้ยแก้ไปไว้ในรถยนต์ที่จอดตากแดด เพราะความร้อนอบอ้าวในรถยนต์ส่งผลกับปรอทในตัวเบี้ยเช่นกัน ที่ข้าพเจ้านำมาบอกเล่าชี้แนะนี้จากประสบการณ์ตรงที่พบเห็นเรียนรู้มา ท่านใดเชื่อถือก็ลองนำไปปฏิบัติดูเถิด จะได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้จริงทำอะไรก็ไม่ผิดรูปแบบ มีของดีก็สามารถรักษาของได้เพราะศึกษาเรียนรู้ อย่าคิดเอาแต่มีเงินเช่าหาแต่ขาดความรู้ความเข้าใจ ในส่วนพระอาจารย์ผู้สร้างเบี้ยแก้นั้นความจริงมีอยู่หลายสำนัก
............
ตัวอย่างเบี้ยแก้สายวัดประดู่ทรงธรรมเป็นตำราเก่าแก่ที่สืบทอดมายาวนาน โดยพระอาจารย์ผู้สร้างเบี้ยในสายนี้มี หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช หลายท่านโดยเฉพาะนักสะสมรุ่นใหม่คงเกิดอาการ งง ว่าท่านสร้างเบี้ยแก้ด้วยหรือ ขอยืนยันว่าท่านเคยสร้างเบี้ยตำราเก่าแก่นี้ไว้แต่ไม่มากนัก สายตรงพระอยุธยารุ่นเก่ารู้จักกันดี ข้าพเจ้าเองเคยได้เห็นเบี้ยหลวงพ่อเทียมทั้งทราบข้อมูลยืนยันจากนักสะสมอาวุโสที่เคารพนับถือ เชื่อมั่นว่าเบี้ยแก้หลวงพ่อเทียมมีแน่นอน เพราะได้รับมากับมือหันหลายท่าน และเชื่อว่าเบี้ยแก้หลวงพ่อเทียมไม่เป็นสองรองสายใดเช่นกัน


9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-10-11 13:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ส่วนเบี้ยแก้ที่น่าสนใจอีกสำนักเป็นสาย อาจารย์เที่ยง น่วมมานา สำหรับท่านผู้นี้เป็นฆราวาสจอมอาคม ท่านเคยเดินทางไปเรียนวิชามาจากหลายสำนักเรียกว่าเรียนรู้มามาก อาจารย์เที่ยงท่านพูดได้ทั้งภาษามอญ, ภาษายาวี เดินทางจากเหนือจรดใต้เพื่อศึกษาไสยเวทย์วิทยาคุณ ศิษย์ผู้สืบทอดวิชาสร้างเบี้ยอาคมจากอาจารย์เที่ยง คือ อาจารย์น้อย วัดหนองปลาไหล จังหวัดตาก ท่านรูปนี้ชื่อเสียงไม่โด่งดังแต่สร้างเบี้ยตามตำราโบราณ โดยใช้ปรอทที่ดักจับมาด้วยวิธีโบราณ เบี้ยที่ท่านสร้างจัดว่าขลังมีพุทธคุณจริงแน่นอน ใช่เพียงเบี้ยที่สร้างสวยงามแต่ภายนอกเท่านั้น ข้าพเจ้าไม่นิยมของสวยของกระแสสร้างกันเกร่อเพื่อจำหน่าย แบบนั้นไม่นิยมส่งเสริมของสวยแต่รู้แต่ไร้พุทธคุณ ของดีอาจารย์เก่งแต่ไม่ดังมีอีกมากมาย ใช่ว่าต้องหาสะสมแบบเดินตามรอยใครแบบหลับหูหลับตาเล่นแบบนั้นไม่นิยม

ส่วนเบี้ยแก้สายวัดกลางบางแก้วยุคหลังหลวงปู่เพิ่ม ขอบอกตามตรงแบบไม่แคร์สื่อ อันเป็นความชอบส่วนตัวว่าที่เชื่อว่าขลังจริงมี พระปลัดใบ วัดกลางบางแก้ว ท่านรูปนี้เสียดายที่อายุน้อยด่วนมรณภาพ หาไม่แล้วท่านต้องโด่งดังมาก เพราะท่านเรียนมาแล้วทำได้จริง สามารถเสกเบี้ยจนเคลื่อนไหวได้จริงตามตำรา พระปลัดใบท่านรูปร่างสูงใหญ่พูดจาเสียงดังฟังชัด พลังจิตแก่กล้ามากท่านเคร่งครัดในตำราการสร้างวัตถุมงคลมาก
............
เหตุที่ท่านมรณภาพนั้นทราบจาก รศ.นิพัทธ์ จิตรประสงค์ นักสะสมพระเครื่องอาวุโสเล่าว่า **พระปลัดใบท่านตั้งใจสร้างยาวาสนาตามตำราวัดกลางบางแก้ว ซึ่งตามตำราต้องปลุกเสกทุกวันตลอดไตรมาสขาดไม่ได้เลย ซึ่งในพรรษานั้นท่านอาพาธเป็นไข้หวัดแต่ท่านฝืนสังขาร เข้าปลุกเสกยาวาสนาทุกวันจนร่างกายทานทนไม่ไหว เมื่อออกพรรษาอาการก็ทรุดหนักและมรณภาพ** แต่ท่านปลุกเสกยาวาสนาได้สำเร็จตามตำราเรียกว่าแลกชีวิตเพื่อทำวิชาก็ไม่ผิด สมัยนี้จะหาพระที่เด็ดเดี่ยวอย่างท่านคงยากนัก

10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2016-10-11 13:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อีกรูปหนึ่งเห็นมีหลวงตากา วัดแค เดิมทีท่านจำพรรษาอยู่วัดกลางบางแก้ว เป็นอีกหนึ่งศิษย์ก้นกุฏิที่เรียนวิชาจากหลวงปู่เพิ่ม คือ ไม่ใช่ได้แต่ตัวตำราคาถามาเท่านั้น แต่ท่านเสกทำได้เกิดผลจริงตามตำรา ในอดีตคุณจิรศักดิ์ศิษย์หลวงตากาเคยถามท่านว่า **สมัยที่ท่านเรียนวิชาอยู่กับหลวงปู่เพิ่ม ตัวท่านเคยเห็นหลวงปู่เพิ่มเสกเบี้ยเคลื่อนไหวหรือไม่ หลวงตากาตอบว่าเคยเห็นแค่ขยับเดินมาที่ขอบถาด** ศิษย์จึงย้อนถามว่าแล้วตัวท่านเสกได้ขยับตามตำราหรือไม่
............
หลวงตากาท่านตอบเพียงว่า **ท่านทำเต็มที่ได้ตามตำรา แต่ตอนเสกหลับตาเสกจึงไม่เห็น** หลวงตาการูปนี้สมัยที่ท่านไปอยู่วัดแค ท่านเป็นเพียงพระหลวงตาแก่ ๆ อยู่อย่างสมถะมาก ในกุฏิท่านมีพระปูนปั้นกับพระไม้ที่แกะสลักเอง มีหมอนเก่า ๆ กับเสื่อหนึ่งผืนไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใดเลย เบี้ยหลวงตากาท่านพลิกแพลงเพิ่มให้มีคุณยิ่งขึ้นไปอีก โดยท่านนำฝาโซดาสิงห์มาทุบให้แบนเป็นแผ่น แล้วนำมาลงอักขระหัวใจราชสีห์แล้วนำไปหุ้มปิดปากเบี้ย แล้วจึงนำเอามุ่งกันยุงมาหุ้มแล้วทายางลักเคลือบอีกที ที่ท่านใช้ฝากโซดารูปสิงห์มาลงยันต์เพื่อผลทางมหาอำนาจนั้นเอง
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้