ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1954
ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ทรงตรัสซ้ำอยู่ 3 ครั้ง

[คัดลอกลิงก์]





พระพุทธเจ้าตรัสแสดงนิมิตว่าพระองค์จะปรินิพพานทั้งหมด 16 ครั้ง

เฉพาะครั้งสุดท้ายทรงตรัสย้ำถึง 3 ครั้ง แต่พระอานนท์ไม่รู้

16 ครั้งนั้น 10 ครั้งตรัสเมื่ออยู่ในนครราชคฤห์ ส่วนอีก 6 ครั้งตรัสเมื่ออยู่ในเวสาลี คือ


1. ที่เขาคิชฌกูฏ
2. ที่โคตมนิโครธ
3. ที่เหวทิ้งโจร
4. ที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา
5. ที่กาฬศิลา
6. ที่เงื้อมสัปปโสณฑิกะ
7. ที่ตโปทาราม
8. ที่เวฬุวัน
9. ที่ชีวกัมพวัน
10. ที่มัททกุจฉิมฤคทายวัน
11. ที่อุเทนเจดีย์
12. ที่โคตมกเจดีย์
13. ที่สัตตัมพเจดีย์
14. ที่พหุปุตตเจดีย์
15. ที่สารันททเจดีย์
16. ที่ปาวาลเจดีย์
15 ครั้งแรกไม่ได้บอกว่าทำไมพระอานนท์จึงไม่รู้ แต่เข้าใจว่าพระอานนท์มัวแต่เป็นห่วงพระอาการของพระพุทธเจ้าที่ช่วงนั้นพระองค์ "อาพาธอย่างแรงกล้า" จนไม่ได้ไตร่ตรองถึงพระดำรัสของพระพุทธองค์

ในครั้งที่ 16 นั้น พระพุทธเจ้าตรัสเมื่อเสด็จกลับจากบิณฑบาตในนครเวสาลี ทรงแวะพักที่ปาวาลเจดีย์ ตรัสแสดงนิมติว่า

“ดูกรอานนท์

บุคคลใดเจริญอิทธิบาท 4 ไว้ดีแล้ว บุคคลนั้นหากจำนงอยู่ย่อมสามารถดำรงอายุไว้ได้ตลอดกัปหนึ่งหรือมากกว่าได้   ตถาคตเองเป็นผู้เจริญอิทธิบาท 4 ไว้ดีแล้ว หากประสงค์ย่อมสามารถดำรงอยู่ตลอดกัปหรือมากกว่าได้”

ทรงตรัสซ้ำอยู่ 3 ครั้ง แต่ครั้งนี้มารได้ดลใจไม่ให้พระอานนท์รู้ (ได้ยิน แต่ไม่รู้ความนัย) พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งให้พระอานนท์ไปนั่งใต้ต้นไม้อีกต้นหนึ่งใกล้ๆ ตอนนั้นมารได้โอกาสจึงเข้ามาทูลขอให้พระพุทธเจ้าปรินิพพาน (จะบอกว่าพระอานนท์ง่วงคงไม่ใช่ เพราะยังเช้าอยู่ เพิ่งจะกลับจากบิณฑบาตในนคร แต่น่าจะประกอบกับการกังวลในพระอาการอาพาธของพระพุทธเจ้าด้วย เพราะการบิณฑบาตครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกหลังจากที่พระพุทธเจ้าเพิ่งฟื้นจากอาพาธหนักที่เวฬุวคาม)
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-1 08:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้




หากพระอานนท์รู้และทูลขอเพียงแค่ครั้งใดครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า...



"หากเธอรู้และอาราธนาให้ตถาคตอยู่ต่อเพียงคราวใดคราวหนึ่ง

ตถาคตก็จะรับคำดำรงขันธ์อยู่ต่อจนตลอดกัป แต่เป็นเพราะเธอไม่รู้

บัดนี้ตถาคตปลงอายุสังขารแล้วว่าอีก ๓ เดือนตถาคตจะปรินิพพาน

วาจาที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้วไม่อาจคืนได้”


คำว่าตลอดกัปในที่นี้ อรรถกถาจารย์อธิบายว่ามันคืออายุกัป ไม่ใช่มหากัป
อายุกัป ก็คืออายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ในยุคนั้น ซึ่งเท่ากับ 100 ปี
(ทุก 100 ปี อายุขัยลดน้อยลง 1 ปี ปัจจุบันอายุขัยมนุษย์จึงอยู่ที่ 75 ปี)


ถ้าดูจากพระไตรปิฎกส่วนอื่นที่นอกเหนือจากมหาปรินิพพานสูตร มีการพูดถึงเรื่องการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าไว้ว่ามีความเป็นธรรมดาที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะไม่ปรินิพพานเพราะการประทุษร้าย ไม่ปรินิพพานก่อนพระอัครสาวก และจะปรินิพพานก่อนอายุขัย เพราะหากปรินิพพานเมื่อถึงอายุขัย พระพุทธเจ้าจะทรงชราภาพมาก อาจจะไม่น่าดูไม่น่ามอง ธรรมเนียมพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จึงปรินิพพานก่อนอายุขัย
ด้วยเหตุธรรมดานี้ก็อาจเป็ไปได้ว่าทำให้พระอานนท์ไม่รู้และไม่ได้ทูลขอ


แต่ถ้ารู้และทูลขอจะเกิดอะไรขึ้น

พระพุทธเจ้าก็จะทรงดำรงขันธ์อยู่ต่อ แต่ไม่เกิน 20 ปี เพื่อไม่ให้เกินอายุขัยจะได้ไม่ผิดธรรมเนียมการเป็นพระพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าทรงเคร่งครัดในธรรมเนียมของพระพุทธเจ้ามาก เวลาทำอะไรพระองค์จะระลึกดูว่าพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ทำอย่างไร เช่น เมื่อเสด็จกรุงกบอลพัสดุ์ครั้งแรกก็ทรงระลึกว่าพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ โปรดพระญาติแล้วจะบิณฑบาตในนคร พระองค์ก็บิณฑบาต ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้วพระพุทธเจ้าไปแสดงธรรมโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ พระองค์ก็เสด็จไปสวรรค์ เป็นต้น)


ส่วนที่ว่าหากพระพุทธเจ้าดำรงขันธ์ต่อแล้วพุทธศาสนาจะอายุยืนนานเท่าไหร่
คำตอบก็คือ 5000 ปีเท่าเดิม เพราะอายุพุทธศาสนานั้นขึ้นอยู่กับมนุษย์ในยุคนั้นๆ ว่าเป็นผู้มีบุญมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าว่าบำเพ็ญบารมีมาแบบไหน และการที่มีภิกษุณีบวชในธรรมวินัยก็เป็นตัวกำหนดอายุพุทธศาสนาด้วย
เยี่ยมๆๆๆ
ขอบคุณน่ะขอรับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้