ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2935
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

เหรียญกู่ช้างรุ่นแรก ปี 21

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kittivorn เมื่อ 2014-7-21 20:05


ทุกปีเมื่อถึงวันขึ้น9 ค่ำเดือน 9 ประชาชนที่เคารพนับถือเจ้าพ่อกู่ช้างจะจัดงานรดน้ำดำหัวและบวงสรวงเพื่อขอสูมาลาโทษและขอให้เจ้าพ่อกู่ช้างได้ปกป้องคุ้มครองรักษา ปราศจากโรคภัยและภยันตรายใดๆ อยู่เสมอ กู่ช้าง หรือ ศาลเจ้าพ่อกู่ช้าง โบราณสถานศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งที่ชาวลำพูนให้ความเคารพสักการะ ด้วยความเชื่อที่ว่า "กู่ช้าง" เป็นเจดีย์บรรจุซากช้างพลายคู่บารมีของพระนางจามเทวีที่มีฤทธิ์ในการทำศึก ดังนั้นเมื่อมีเหตุต้องเดินทางไกลชาวบ้านจึงมักมากราบไหว้ขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ช่วยปกป้องคุ้มครอง กระทั่งปัจจุบันกู่ช้างได้กลายมาเป็นที่พึ่งทางใจของชาวลำพูนในการบนบานช่วยให้สอบได้ หรือแม้แต่ขอให้สมหวังในสิ่งที่คิดไว้ กู่ช้าง ตั้งอยู่ห่างจากวัดไก่แก้วไปทางทิศตะวันออกประมาณ 200 เมตร ลักษณะของกู่ช้างเป็นสถูปที่มีรูปทรงแปลกแตกต่างไปจากสถูปที่พบเห็นโดยทั่วไปในภาคเหนือ เพราะเป็นสถูปทรงกลมตั้งอยู่บนฐาน 3ชั้น องค์สถูปมีลักษณะเป็นทรงกระบอกปลายมน (ทรงลอมฟาง) เหนือสถูปขึ้นไปมีแท่นคล้ายบันลังก์ของเจดีย์ ตามประวัติและความเป็นมากล่าวว่า เมื่อสมัยของพระนางจามเทวีพระองค์ทรงมีช้างคู่บารมีชื่อ "ผู้ก่ำงาเขียว" เป็นช้างที่มีฤทธิเดชมาก เมื่อช้างเชือกนี้หันหน้าไปทางศัตรูก็จะทำให้ศัตรูอ่อนกำลังลงทันที ช้างผู้ก่ำงาเขียวเชือกนี้ มีบทบาทในฐานะช้างศึกของเจ้าอนันตยศและเจ้ามหันตยศ เมื่อครั้งทรงออกศึกสงครามต้านทัพของหลวงวิรังคะ จนกระทั่งช้างเชือกนี้ล้มลงซึ่งตรงกับวันขึ้น 9 ค่ำเดือน9เหนือ เจ้าอนันตยศและเจ้ามหันตยศจึงได้นำสรีระของช้างใส่ลงไปในแพไหลล่องไปตามลำน้ำกวง แต่พระองค์ก็ได้ทรงเปลี่ยนพระทัยที่จะนำสรีระของช้างกลับขึ้นมาฝังบนฝั่ง เพราะว่าช้างเชือกนี้เป็นช้างศักดิ์สิทธิ์คู่บุญบารมีของพระนางจามเทวี หากว่าปล่อยให้ล่องลงไปกับแพแล้ว จะทำให้ประชาชนที่อยู่ทางทิศใต้ลงไปได้รับความเดือดร้อนจึงได้อัญเชิญร่างของช้างลากกลับขึ้นมายังบริเวณท่าน้ำวัดไก่แก้ว แล้วลากมาฝังไว้ที่บริเวณกู่ช้างในปัจจุบัน หลังจากนั้นจึงได้ลงมือสร้างสถูปเป็นเวลาถึง 8 เดือนจึงแล้วเสร็จ ในการฝังช้างผู้ก่ำงาเขียวจะให้ซากของช้างหันหน้าขึ้นไปบนฟ้า ส่วนงาทั้งสองข้างของช้างถูกนำไปบรรจุไว้ในสถูปที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระนางจามเทวีภายในสุวรรณจังโกฏหรือกู่กุด หลักฐานทางด้านโบราณคดีที่พบและรูปแบบของเจดีย์ ไม่ปรากฏร่องรอยของศิลปกรรมในสมัยหริภุญชัย ดังนั้นนักโบราณคดีจึงสันนิษฐานว่า เจดีย์กู่ช้าง เป็นเจดีย์ที่สร้างในสมัยล้านนาประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 21 ขณะเดียวกันรูปทรงขององค์เจดีย์นั้นนักโบราณคดีต่างยอมรับว่ามีลักษณะรูปทรงที่คล้ายกับเจดีย์บอบอคยีของพม่าสมัยโบราณในอาณาจักรศรีเกษตร (อาณาจักรพยู) นักโบราณคดี ยังมองว่าในสมัยของพระเจ้าติโลกราช ถือได้ว่าเป็นยุคที่มีการจำลองเอารูปแบบของเจดีย์ต่างๆ มาสร้างเป็นจำนวนมาก เช่น การนำเอารูปทรงของเจดีย์พุทธคยาในประเทศอินเดียมาสร้างที่วัดเจ็ดยอด และอาจเป็นไปได้ว่า เจดีย์กู่ช้างแห่งนี้ก็คงสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าติโลกราชเช่นกัน โดยเลือกเอารูปทรงของเจดีย์บอบอคยีจากรัฐศรีเกษตรในพม่ามาเป็นต้นแบบ อย่างไรก็ตาม แม้ว่า เจดีย์กู่ช้าง จะสร้างในสมัยใด รูปทรงเป็นแบบไหน ไม่ใคร่มีความสำคัญมากนักต่อชาวเมืองลำพูน ทว่าด้วยความสำคัญในฐานะของสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองและศรัทธาอันแรงกล้าต่างหาก ที่ทำให้ชาวลำพูนพากันไปกราบสักการะอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทุกปีเมื่อถึงวันขึ้น 9ค่ำเดือน 9 ประชาชนที่เคารพนับถือเจ้าพ่อกู่ช้างจะจัดงานรดน้ำดำหัวและบวงสรวงเพื่อขอสูมาลาโทษและขอให้เจ้าพ่อกู่ช้างได้ปกป้องคุ้มครองรักษา ปราศจากโรคภัยและภยันตรายใดๆ อยู่เสมอ
         วัตถุประสงค์ของการจัดสร้างเหรียญรุ่นนี้ก็เพื่อหาทุนทรัพย์ในการบูรณะ ศาลเจ้าพ่อกู่ช้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ของชาวลำพูน ทำพิธีปลุกเสกในบริเวณกู่ช้างโดยเกจิชื่อดังของภาคเหนือในยุคนั้นครูบาอินตา วัดวังทอง พรรษา 100 ปีเป็นหนึ่งในผู้ปลุกเสกเหรียญกู่ช้างอันโด่งดังของจ.ลำพูน วันที่ทำพิธีบริเวณรอบๆกู่ช้างฝนตกหนัก แต่ในบริเวณงานเจ้าพ่อกู่ช้างไม่ฝนตกเลยครับ แค่นี้ยังไม่พอครับพอรุ่งเช้ามีชาวบ้านพบเจอรอยเท้าช้างอยู่รอบๆกู่เต็มไปหมด
ความหมายของคำว่าปู้ก่ำ งาเขียว ในภาษากลางก็คือ ช้างตัวผู้ผิวสีดำเข้ม และมีงาสีเขียว อันว่าช้างเชือกนี้เป็นช้างคู่บารมีของกษัตริย์ผู้ครองนครหริภุญไชยในอดีต คือพระเจ้ามหันตยศ และพระเจ้าอนันตยศ ผู้เป็นพระโอรสของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตรีย์แห่งนครหริภุญไชย ช้างปู้ก่ำ งาเขียว เป็นช้างที่มีอิทธิฤทธิ์ นำพากษัตริย์ออกรบจนชนะข้าศึกศัตรูทุกครั้ง มีส่วนทำให้นครหริภุญไชยเป็น มหานครอันยิ่งใหญ่ในสมัยนั้น และเมื่อสิ้นอายุไขลง ร่างก็ถูกนำไปฝังที่บ้านกิ่งแก้ว และพระเจ้ามหันตยศได้สร้างกู่ (เจดีย์) ครอบไว้อีกทีเพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติ์

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
มาเผยแผ่บารมีครูบาอาจารย์..หรืิอมาขายพระเครื่อง
ถ้ามาเพื่อเผยแพร่บารมีครูบาอาจารย์ ลงรายละเอียดด้วยนะครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้