ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ

พญานาคกับพระพุทธศาสนา : มมร.

[คัดลอกลิงก์]
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 11:28 | ดูโพสต์ทั้งหมด
• อรรถกถาปุณโณวาทสูตร  มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
เล่ม ๓ ภาค ๒  หน้าที่ ๔๔๙
   


พระพุทธเจ้าเคยเสด็จไปแม่น้ำชื่อ นิมมทา
ได้เสด็จไปถึงฝั่งของแม่น้ำนั้น  
นิมมทานาคราช ถวายการต้อนรับ
พระศาสดาทูลเสด็จเข้าสู่ภพนาค
ได้กระทำสักการะพระรัตนตรัยแล้ว  
พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่นาคราชนั้นแล้ว
ก็เสด็จออกจากภพนาค  

นาคราชนั้นกราบทูลขอว่า
ได้โปรดประทานสิ่งที่พึงบำเรอแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงแสดงบทเจดีย์  
รอยพระบาท ไว้ที่ฝั่งแม่น้ำนิมมทา
รอยพระบาทนั้นเมื่อคลื่นซัดมาก็ถูกปิด
เมื่อคลื่นเลยไปแล้วก็ถูกเปิด  
กลายเป็นรอยพระบาทที่ถึงสักการะอย่างใหญ่   

เมื่อพระศาสดาทรงออกจากนั้นแล้วก็เสด็จถึงภูเขาสัจจพันธ์     
ตรัสกับพระสัจจพันธ์ว่ามหาชนถูกเธอทำให้จมลงในทางอบาย
เธอต้องอยู่ในที่นี้แหละ  แก้ลัทธิของพวกคนเหล่านี้เสีย  
แล้วให้พวกเขาดำรงอยู่ในทางพระนิพพาน  

แม้ท่านพระสัจจพันธ์นั้น  ก็ทูลชื่อสิ่งที่จะต้องบำรุง
พระศาสดาก็ทรงแสดงรอยพระบาทไว้
บนหลังแผ่นหินทึบเหมือนประทับตราไว้บนก้อนดินเหนียวสด ๆ

ฉะนั้นต่อจากนั้นก็เสด็จไปถึงพระเชตวัน

(เราอาจจะเคยได้ยินชื่อแม่น้ำว่าแม่น้ำนัมมทานที
แต่ในอรรถกถาปปัญจสูทนี ฉบับภาษาบาลี หน้า ๘๘๒
เขียนเป็น "นิมมทานที" อาจจะฟังแปลกหูไปบ้าง
ผู้เรียบเรียงจึงใช้ตามที่ปรากฎในอรรถกถาฉบับบาลีและฉบับแปล
ขอผู้รู้ใคร่ครวญพิจารณาว่า
"นิมมทานที กับ "นัมมทานที" มีที่มาอย่างไร)

 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 11:28 | ดูโพสต์ทั้งหมด


•  ในรัตนสูตร  ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ
เล่ม ๑ ภาค ๑  หน้าที่ ๒๒๕


กล่าวถึงการต้อนรับของพญานาคว่า

ครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสาร   ทรงทำเรือขนาน ๒ ลำ
แล้วสร้างมณฑปประดับด้วยพวงดอกไม้   
ปูลาดพุทธอาสน์ทำด้วยรัตนะล้วน  ณ  มณฑปนั้น

ที่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์นั้น  
แม้ภิกษุ  ๕๐๐  รูปก็ลงเรือนั่งกันตามสมควร
พระราชาส่งเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าลงน้ำ
ประมาณแต่พระศอกราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์จักอยู่กันริมฝั่งแม่น้ำคงคานี้นี่แหละ
จนกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จกลับมา   
แล้วก็เสด็จกลับ เทวดาเบื้องบนจนถึงอกนิษฐภพ
ได้พากันทำการบูชานาคราชทั้งหลาย
มีกัมพลนาคและอัสสตรนาคเป็นต้น   

ซึ่งอาศัยอยู่ใต้แม่น้ำคงคา   
ก็พากันทำการบูชาด้วยการบูชาใหญ่อย่างนี้  
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปทางแม่น้ำคงคา
สิ้นระยะทางไกลประมาณโยชน์หนึ่ง
ก็เข้าเขตแดนของพวกเจ้าลิจฉวีกรุงเวสาลี
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 11:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด
•  ในอรรถกถาชาดก  เอกนิบาต  ขุททกนิกาย ชาดก
เล่ม ๓ ภาค ๑  หน้าที่ ๕๘


กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเคยเป็นพญานาคว่า

ในกาลนั้นพระมหาสัตว์ได้เป็นนาคราชนามว่า อตุละ
มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก  
พระยานาคนั้นได้ยินว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว   
มีหมู่ญาติห้อมล้อมแล้ว   ออกจากนาคพิภพ   
ให้กระทำการบรรเลงถวายด้วยทิพยดนตรี
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์บริวารแสนโกฎิ
ถวายผ้าคู่เฉพาะองค์แล้วตั้งอยู่ในสรณะ

พระศาสดาแม้นั้นก็ทรงพยากรณ์เขาว่า
จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต   
พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น  ชื่อเมขลา  
พระราชาทรงพระนามว่า  สุทัตตะ   
เป็นพระราชบิดาพระราชมารดาทรงพระนามว่าสิริมา  

พระอัครสาวกสององค์คือ สรณะ และ ภาวิตัตตะ
พระอุปราชนามว่าอุเทนะ  
พระอัครสาวิกาสององค์นามว่า   
โสณาและอุปโสณา  และต้นนาคพฤกษ์เป็นไม้ตรัสรู้   
พระสรีระสูงได้  ๙๐ ศอก
ประมาณพระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี ด้วยประการฉะนี้
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 11:30 | ดูโพสต์ทั้งหมด


• พระพุทธเจ้าเคยกำเนิดเป็นพญานาค

พระพุทธเจ้าทรงแสดงอดีตนิทานว่า
พระองค์เคยเกิดเป็นพญานาค


ดังที่ปรากฏใน

• อรรถกถาจัมเปยยชาดก ขุททกนิกาย ชาดก
เล่ม ๓ ภาค ๗   หน้า ๑๘๕

 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 11:30 | ดูโพสต์ทั้งหมด
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่  ณ  พระเชตวันมหาวิหาร  
ทรงปรารภอุโบสถกรรม ความว่า
ดูก่อนอุบาสกบาสิกาทั้งหลาย   
การที่ท่านทั้งหลายอยู่รักษาอุโบสถกรรมเป็นความดี  
โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย    ละนาคสมบัติแล้ว     
อยู่รักษาอุโบสถกรรมเหมือนกัน
อุบาสกอุบาสิกาเหล่านั้นทูลอาราธนา  
จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้

  ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่า
พระเจ้าอังคติราช เสวยราชสมบัติอยู่ในอังครัฐราชธานี   
ในระหว่างแคว้นอังคะและมคธะต่อกันมีแม่น้ำชื่อจัมปานที

ได้มีนาคพิภพอยู่ใต้แม่น้ำจัมปานทีนั้น  
พระยานาคราชชื่อว่า จัมเปยยะ
ครองราชสมบัติในนาคพิภพนั้น
(โดยปกติ  พระราชาแห่งแคว้นทั้งสอง  
เป็นศัตรูกระทำยุทธชิงชัยแก่กันและกันเนือง ๆ
ผลัดกันแพ้  ผลัดกันชนะ)
   

บางครั้งพระเจ้ามคธราช    ยึดแคว้นอังคะได้   
บางครั้งพระเจ้าอังคราชยึดแคว้นมคธได้.

อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ามคธราช  
กระทำยุทธนาการกับพระเจ้าอังคราชทรงปราชัยต่อยุทธสงคราม   
เสด็จขึ้นม้าพระที่นั่งหลบหนีไป   
ถึงฝั่งจัมปานทีพวกทหารพระเจ้าอังคราช  
ติดตามไปทันเข้า  
จึงทรงพระดำริว่าเราโดดน้ำตายเสีย
ดีกว่าตายในเงื้อมมือของข้าศึก
ดังนี้แล้วจึงโจนลงสู่แม่น้ำพร้อมทั้งม้าพระที่นั่ง  

ครั้งนั้น จัมเปยยนาคราช เนรมิตมณฑปแก้วไว้ภายในห้วงน้ำ
แวดล้อมด้วยบริวารเป็นอันมากดื่มมหาปานะอยู่  
ม้าพระที่นั่งกับพระเจ้ามคธราช  จมน้ำดิ่งลงไป
เฉพาะพระพักตร์แห่งพระยานาคราช  
พระยานาคราชเห็นพระราชาทรงเครื่องประดับตกแต่ง
ก็บังเกิดความสิเนหา จึงลุกจากอาสนะทูลว่า

ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงหวาดกลัวเลย
แล้วอัญเชิญให้พระราชาประทับนั่งบนบัลลังก์ของตน
ทูลถามถึงเหตุที่ดำน้ำลงมา
พระเจ้ามคธราชตรัสเล่าความตามเป็นจริง
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 11:31 | ดูโพสต์ทั้งหมด


ลำดับนั้น จัมเปยยนาคราช
ปลอบโยนพระเจ้ามคธราชให้เบาพระทัยว่า

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า   พระองค์อย่าทรงหวาดกลัวเลย  
ข้าพระพุทธเจ้าจักช่วยจัดการให้พระองค์เป็นเจ้าของทั้งสองรัฐ   

ดังนี้แล้วเสวยยศอันยิ่งใหญ่อยู่ ๗ วัน
ในวันที่ ๘ จึงออกจากนาคพิภพพร้อมด้วยพระเจ้ามคธราช  

พระเจ้ามคธราชทรงจับพระเจ้าอังคราชได้
ด้วยอานุภาพของพระยานาคราช
แล้วตรัสสั่งให้สำเร็จโทษเสีย  
เสวยราชสมบัติในสองรัฐสีมามณฑล  

นับแต่นั้นมาความวิสาสะคุ้นเคยระหว่างพระเจ้ามคธราช  
กับพระยานาคราชก็ได้กระชับมั่นคงยิ่งขึ้น  

พระเจ้ามคธราชให้สร้างรัตนมณฑปขึ้นที่ฝั่งจัมปานที  
แล้วเสด็จออกกระทำพลีกรรมแก่พระยานาคราช
ด้วยมหาบริจาคทุก ๆ ปี  
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 11:32 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แม้พระยานาคราชก็ออกจากนาคพิภพมารับพลีกรรม
พร้อมด้วยมหาบริวาร   
มหาชนพากันมาเฝ้าดูสมบัติของพระยานาคราช

ในกาลนั้นพระบรมโพธิสัตว์เกิดในตระกูลเข็ญใจ
ไปที่ฝั่งน้ำพร้อมด้วยราชบริษัท  
เห็นสมบัติของพระยานาคราชนั้นแล้ว  
ก็เกิดโลภเจตนาปรารถนาจะได้สมบัตินั้น
จึงทำบุญให้ทานรักษาศีล   

พอ จัมเปยยนาคราช ทำกาลกิริยาไปได้ ๗ วัน
ก็จุติไปบังเกิดเหนือสิริไสยาสน์
ณ  ห้องอันมีสิริในปราสาทที่อยู่ของจัมเปยยนาคราชนั้น

สรีระร่างกายของพระบรมโพธิสัตว์ได้ปรากฏใหญ่โต
มีวรรณะขาวราวกะพวงดอกมะลิสด
พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้น ก็เกิดวิปฏิสาร
คิดไปว่า  อิสริยยศในฉกามาวจรสวรรค์
เป็นเสมือนข้าวเปลือกที่เขาโกยกองเก็บไว้ในฉาง
ได้มีแก่เรา ด้วยผลแห่งกุศลที่เราทำไว้

เราสิกลับมาถือปฏิสนธิในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนี้  
ประโยชน์อะไรที่เราจะมีชีวิตอยู่ดังนี้แล้วเกิดความคิดที่จะตาย

ลำดับนั้นนางนาคมาณวิกา  ชื่อว่า สุมนา
เห็นพระมหาสัตว์นั้นแล้วดำริว่า   
ชะรอยจักเป็นสัตว์ผู้มีอานุภาพมากมาเกิดแน่
ดังนี้แล้วจึงให้สัญญาแก่นางนาคมาณวิกาทั้งหลาย   

นางนาคมาณวิกาเหล่านั้นทั้งหมดต่างถือนานาดุริยสังคีต
มากระทำการบำเรอขับกล่อมพระมหาสัตว์   
นาคพิภพที่สถิตของพระมหาสัตว์นั้น
ได้ปรากฏเสมือนพิภพแห่งท้าวสักกเทวราช
มรณจิต (คือจิตที่คิดอยากตาย)  ของพระมหาสัตว์ก็ดับหายไป  

พระมหาสัตว์เจ้าละเสียซึ่งสรีระของงู  
ทรงประดับเครื่องสรรพาลังการประทับเหนือพระแท่นบรรทม  
นับจำเดิมแต่นั้นมา พระอิสริยยศก็ปรากฏแก่พระมหาสัตว์เจ้ามาก

 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 11:32 | ดูโพสต์ทั้งหมด


• เมื่อนาคอยากเป็นมนุษย์จึงรักษาอุโบสถศีล

เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าเสวยนาคราชสมบัติอยู่ในนาคพิภพนั้น   
ในเวลาต่อมาก็เกิดวิปฏิสาร   
คิดว่าประโยชน์อะไรด้วยกำเนิดดิรัจฉานนี้แก่เรา  
เราจักอยู่รักษาอุโบสถกรรม  
พ้นจากอัตภาพนี้ไปสู่ดินแดนมนุษย์   
จักได้แทงตลอดสัจธรรม กระทำที่สุดแห่งทุกข์ดังนี้

นับจำเดิมแต่นั้น ก็ทรงรักษาอุโบสถกรรม
อยู่ในปราสาทนั้นทีเดียว  


พวกนางมาณวิกาตกแต่งกายงดงาม
พากันไปยังสำนักของพระมหาสัตว์นั้น   
ศีลของพระมหาสัตว์ก็วิบัติทำลายอยู่เนือง ๆ

จำเดิมแต่นั้นพระมหาสัตว์เจ้า
จึงออกจากปราสาทไปสู่พระอุทยาน  
นางนาคมาณวิกาเหล่านั้นก็ติดตามไปแม้ในพระอุทยาน   
อุโบสถศีลของพระมหาสัตว์ก็แตกทำลายอยู่ร่ำไป   

ลำดับนั้น   พระมหาสัตว์เจ้าทรงจินตนาการว่า
ควรที่เราจะออกจากนาคพิภพนี้
ไปยังมนุษยโลกอยู่รักษาอุโบสถ     


นับแต่นั้นมาเมื่อถึงวันอุโบสถ
พระองค์ก็ออกจากนาคพิภพไปยังมนุษยโลก
ทรงประกาศสละร่างกาย  ในทานว่า

“ใครจะมีความต้องการอวัยวะของเรามีหนังเป็นต้นจงถือเอาเถิด  
ใครต้องการจะทำให้เราเล่นกีฬางูก็จงกระทำเถิด”

 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 11:33 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แล้วคู้ขดขนดกายนอนรักษาอุโบสถอยู่ที่ยอดจอมปลวก
ใกล้มรรคาแถบปัจจันตชนบทแห่งหนึ่ง   
ชนทั้งหลายเดินผ่านไปมา
ในหนทางใหญ่เห็นพระโพธิสัตว์เจ้า
แล้วพากันบูชาด้วยเครื่องสักการะมีของหอมเป็นต้นแล้วหลีกไป

ชาวปัจจันตชนบทไปพบแล้วคิดว่า
คงจักเป็นนาคราชผู้มีมหิทธานุภาพ   
จึงจัดทำมณฑปขึ้นเบื้องบน
ช่วยกันเกลี่ยทรายรอบบริเวณ
แล้วบูชาด้วยสักการะมีของหอมเป็นต้นจำเดิมแต่นั้นมา   
มนุษย์ทั้งหลายก็เลื่อมใสในพระมหาสัตว์เจ้า  
ทำการบูชาปรารถนาบุตรบ้าง  ปรารถนาธิดาบ้าง

แม้พระมหาสัตว์เจ้าทรงรักษาอุโบสถกรรม
ถึงวันจาตุททสีและปัณณรสี ดิถี ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ
ก็มานอนอยู่เหนือจอมปลวก
   

ต่อในวันปาฏิบทแรมค่ำหนึ่ง จึงกลับไปสู่นาคพิภพ
เมื่อพระมหาสัตว์เจ้ารักษาอุโบสถอยู่อย่างนี้เวลาล่วงไปเนิ่นนาน  

อยู่มาวันหนึ่ง นางสุมนาอัครมเหสี ทูลถามพระมหาสัตว์ว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
พระองค์เสด็จไปยังมนุษยโลกเข้าอยู่รักษาอุโบสถศีลนั้น  
ความจริง มนุษยโลกน่ารังเกียจ มีภัยรอบด้าน

หากว่าภัยจะพึงบังเกิดแก่พระองค์   
เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกหม่อมฉันจะพึงรู้ได้ด้วยนิมิตอย่างไร   

ขอพระองค์จงตรัสบอกนิมิตอย่างนั้นแก่พวกหม่อมฉันด้วยเถิด   
พระมหาสัตว์จึงนำ นางสุมนาเทวี
ไปยังขอบสระมงคลโบกขรณีแล้วตรัสว่า  
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-13 11:34 | ดูโพสต์ทั้งหมด


"ดูก่อนพระนางผู้เจริญ   
ถ้าหากใคร ๆ จักประหารทำให้เราลำบากไซร้  
น้ำในสระโบกขรณีนี้จักขุ่นมัว   

ถ้าพญาครุฑจับเอาไปน้ำจักเดือดพลุ่งขึ้นมา   
ถ้าหมองูจับเอาไปน้ำจักมีสีแดงเหมือนโลหิต"  


พระโพธิสัตว์ตรัสบอกนิมิต ๓ ประการ   
แก่นางสุมนาเทวีอย่างนี้แล้ว   

ทรงอธิษฐานจาตุททสีอุโบสถ
เสด็จออกจากนาคพิภพไปมนุษยโลก   
นอนเหนือจอมปลวก   
ยังจอมปลวกให้งดงามด้วยรัศมีแห่งสรีรกาย

แม้สรีรกายของพระมหาสัตว์นั้น
ก็ปรากฏขาวสะอาดผุดผาดดังพวงเงิน
ท่อนพระเศียรเบื้องบนคล้ายคลุมไว้ด้วยผ้ากัมพลแดง  

อนึ่งในชาดกนี้สรีรกายของพระโพธิสัตว์มีขนาดเท่าศีรษะคันไถ
ในภูริทัตตชาดก  มีขนาดเท่าลำขา
ในสังขปาลชาดก  มีขนาดเท่าเรือโกลนลำหนึ่ง

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้