ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 6743
ตอบกลับ: 23
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

การสร้างวจีกรรมในโลกออนไลน์

[คัดลอกลิงก์]
การสร้างวจีกรรมในโลกออนไลน์



โลกออนไลน์ให้ความรู้สึกลวงตาหลายประการ
เพราะเราสื่อสารกับคนที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า
และหลายคนใช้นามแฝงที่รู้กันเฉพาะคนใกล้ชิด
เราจึงรู้สึกเหมือนไม่ต้องเผชิญหน้ากับใคร
ไม่ต้องกลัวว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากคนเหล่านั้น

ความรู้สึกลวงตาเหล่านี้ทำให้หลายคนแสดงความคิดเห็นโดยไม่ระมัดระวัง
ต่างจากคำพูดในชีวิตปกติที่มีคนอยู่ต่อหน้า
ซึ่งเราจำเป็นจะต้องระวังคำพูดเพื่อรักษาความสัมพันธ์ต่อกันไว้

แท้จริงแล้ว การแสดงความเห็นในโลกออนไลน์ก็เป็นวจีกรรมอย่างหนึ่ง
ที่เราจะต้องรับผลจากการกระทำของตัวเอง ไม่ต่างจากโลกปกติ

ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ คำพูดในชีวิตประจำวันส่งผลกับคนจำนวนไม่มากนัก
แต่ "คำพูด" ในโลกออนไลน์ส่งผลกับคนมากมายอย่างที่เราอาจคาดไม่ถึง
หากเป็นถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความสุข
ก็มีคนเป็นสุขกับเราจำนวนมาก

แต่หากเป็นถ้อยคำที่สร้างความโกรธเกลียด
ก็เป็นการกระพือความโกรธเกลียดในวงกว้าง

หากมองในแง่นี้ วจีกรรมในโลกออนไลน์ส่งผลน่ากลัวกว่าที่ใครๆ คิด
เราจึงควรตั้งสติให้ดีเวลาแสดงความคิดเห็นทางสื่ออินเตอร์เน็ต
ให้คำพูดของเราเป็นวจีกรรมในทางสร้างสรรค์
ก่อให้เกิดความสุขกับผู้อื่น
มากกว่าจะเป็นการระบายความรู้สึกส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึงคนอ่าน

ในยามที่ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นถูกต้องจริงหรือไม่
เรามีทางเลือกที่จะนิ่งเฉยเพื่อรอการตรวจสอบข้อมูล
ดีกว่าจะด่วนสรุปความเห็นตามที่ได้ยิน
และรีบแสดงวจีกรรมออกมาตามความรู้สึกในขณะนั้น
เพราะโอกาสที่จะผิดพลาดย่อมมีได้มาก

คนที่ควรจะระมัดระวังมากที่สุด คือ "เพื่อนสนิท" ของเราเอง
เพราะเรามักจะมีฉันทาคติเข้าข้างเพื่อนอยู่ก่อนแล้ว
ควรระลึกไว้เสมอว่าบางคราวเพื่อนของเราอาจผิดพลาดก็ได้


และหน้าที่ของเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตรคือ ไม่ส่งเสริมกิเลสของกันและกัน
ไม่ร่วมกันกระพือความโกรธเกลียด
แต่ใช้สติปัญญาในทางสร้างสรรค์ ติติงกันและกัน
ให้เห็นว่าการจมอยู่ในอารมณ์โกรธเกลียดนำมาซึ่งทุกข์
และการมีความเห็นถูกต้องนำมาซึ่งสุข

ภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นได้ หากเราตั้งสติให้ดี
ไม่รีบด่วนแสดงความคิดเห็น
และระลึกอยู่เสมอว่า เราจะเป็นผู้รับผลจากวจีกรรมของเราเอง
ไม่ว่าจะเร็วหรือช้าก็ตามที


Credit จัดภาพ Pom Haruthai Knight
Created with "Happy Talk" scrapbook kit of Designs by Anita and Three Paper Peonies
จากเพจ ปิยสีโลภิกขุ - พระภูวดล ปิยสีโล


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-1-21 09:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขอบคุณครับ
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-1-21 17:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-1-21 18:02

วจีกรรมทางอินเตอร์เน็ตมีผลมากแค่ไหน



คุณกลางชลเขียนบทบก.ได้ดีมากเลยในความคิดของเรา
มีหลายๆ ฉบับที่อ่านแล้วรู้สึกโดนใจ
รวมถึงฉบับล่าสุดนี้ด้วย ( ฉบับที่ ๐๒๘ พฤหัสบดีที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ )
เลยคัดมาให้อ่านกัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย

-------------------------------------------



กลางชล

สวัสดีค่ะ


หลายวันก่อนนี้ มีน้องที่รู้จักกัน เดินเข้ามาถามคำถามพร้อมกับสีหน้ากังขาแกมกังวลว่า
"พี่คะ... ถ้าหนูสนใจอยากรู้อยากเห็นเรื่อง เมย์-อั้ม-เข็ม มาก ๆ นี่หนูจะบาปมั้ยคะ?"
"คือหนูก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีนะคะ แต่มันแบบอยากรู้อยากอ่านเรื่องของเขาเงี้ยะค่ะ..." : )


ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาคงไม่มีข่าวไหนเป็น ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์
หรือข่าวเกรียวกราวที่พูดถึงกันทั่วบ้านทั่วเมือง ได้เท่าข่าวนี้อีกแล้วนะคะ
แม้แต่หนังสือพิมพ์ที่ไม่ได้วางตัวอยู่ในสื่อประเภทมายาหรือข่าวชาวบ้าน
ก็ยังยกพื้นที่หน้าหนึ่งหรือกระทั่งพาดหัวให้กับข่าวนี้กับเขาไปด้วยจนหลายคนแปลกใจ
แต่กว่านิตยสารของเราจะไปถึงคุณผู้อ่าน ข่าวนี้ก็คงซาและเงียบหายไปแล้วล่ะนะคะ : )


ถ้าจะให้เท้าความสั้น ๆ สำหรับคนที่ไม่ทันได้ติดตามข่าวคราวกันก็คือ
เป็นเรื่องที่มาจากดาราชายคนหนึ่ง ที่ภายหลังออกมายอมรับว่าคบดาราสาวสองคนซ้อนกัน
และเหตุที่เกิดเรื่องขึ้นวันนั้น ก็เพราะดาราสาวฝ่ายหนึ่ง ไปเห็นรถที่เธอและดาราชายผู้นั้น
เป็นเจ้าของร่วมกัน จอดอยู่ในห้างดัง ในขณะที่ดาราชายบอกเธอไว้ก่อนนั้นว่า เอารถไปซ่อม
ด้วยความงุนงง เธอจึงชวนดาราสาวเพื่อนรักอีกคนมาดักรอดูด้วยกันว่าใครเป็นคนขับ
ก็ปรากฏว่าเป็นดาราสาวอีกคนหนึ่ง ที่ดาราชายคบหาอยู่ด้วยอีกข้างนั่นเอง
ความวุ่นวายเกิดขึ้น เมื่อมีการขอรถคืนเดี๋ยวนั้น มีการรั้งประตูรถไว้ไม่ให้ขับออกไป
และเมื่อดาราสาวผู้ขับขี่อยู่ก่อน รู้สึกถูกคุกคาม ก็พยายามดิ้นรนขับหนีออกไปจากเหตุการณ์
จากนั้น... ก็เป็นข่าวพาดหัวหน้าหนังสือพิมพ์ว่า นางร้ายนอกจอตบตีกันในที่จอดรถห้างดัง
ตามมาด้วยการแถลงข่าวของฝ่ายต่าง ๆ เพื่ออธิบายเหตุผลและความจริงจากฝั่งของตน
จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วบ้านทั่วเมือง โดยเฉพาะในกลุ่มแฟนคลับดารา


ขนาด "ความจริง" ยังต้องมีคำว่า "จากฝั่งของตน" ต่อท้ายเลยนะคะเนี่ย... : )



เรื่องนี้อ่านผ่าน ๆ แล้วก็เหมือนเรื่องส่วนตัวของชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ไม่มีแก่นสารสาระอะไร
แต่ที่เรื่องมันดังกินพื้นที่สื่อทุกชนิดขึ้นมา ก็เพราะตัวละครในเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นดารา
และหนึ่งในนั้น ก็เป็นดาราที่มีชื่อเสียงระดับประเทศที่มีคนชื่นชมนับล้านนั่นเองค่ะ


ช่วงนั้น เว็บไหนที่มีกระดานสนทนาคุยกัน เสียงจ้อกแจ้กจอแจของคนแสดงความเห็น
การจับผิดคำพูดของดาราอีกฝ่าย และการแสดงอารมณ์จากแฟนคลับข้างต่าง ๆ
แทบจะดังทะลุกระดานออกมานอกจอคอมพิวเตอร์เลยทีเดียวนะคะ

ถามว่า แล้วเราเฝ้าสนใจติดตามอ่านทั้งข่าว ทั้งคนแสดงความเห็นเรื่องนี้ทุกวัน ๆ แล้ว
จะบาปอย่างที่น้องเขาถามไหม? …ก็คงไม่ถึงกับเรียกว่าบาปหรอกนะคะ


เพียงแต่ลองย้อนกลับมาสังเกตใจตัวเองดูสักนิดว่า
เมื่อเราเอาตัวเองไปนั่งแช่อยู่ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้มากเข้า ๆ แล้ว
จิตใจเราเกิดปฏิกิริยาอย่างไร รัก ชอบ ชัง เกลียด แค้น สงสาร เอียน หมั่นไส้ ฯลฯ


แล้วตอบตัวเองง่าย ๆ ว่า เสพข่าวและคำวิจารณ์เหล่านี้แล้ว
จิตเราสว่างขึ้น หรือหมองลง



คนส่วนใหญ่ติดตามข่าวด้วยอาการ "เอามัน" อยู่ลึก ๆ
ทั้งที่เมื่อมองออกมาจากคนละมุมเช่นนี้ เถียงกันทั้งปีก็หาคำว่า "ถูก-ผิด" ไม่ได้
มีแต่คำว่า "ถูกใจ" หรือ "ไม่ถูกใจ" ตามความเชื่อหนึ่ง ๆ ของแต่ละคนเท่านั้น
และน้อยคนนักที่จะรู้ตัวว่า ยิ่ง "อิน" ยิ่งติดตาม ยิ่งเข้าไปนั่งอยู่กลางวงวิจารณ์
ความรู้สึกชอบ ชัง เกลียด ไม่พอใจ สะใจ แสลงใจ ฯลฯ เหล่านั้น ก็ยิ่งสะสมพอกพูน


และการเอาจิตไปจมแช่อยู่กับอารมณ์อันเป็นไปในทางหมองเช่นนี้
ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราเอาจิตไปแช่อยู่ในน้ำครำ โดยไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย

ข่าวที่นำเสนอผ่านสื่อทุกวันนี้ มีแต่ข่าวชวนเมาท์เพื่อความเศร้าแห่งจิตมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน
ถ้าเรายอมปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามกระแสเรื่อย ๆ แนวโน้มก็คือ
เราก็จะซึมซับอารมณ์อันเป็นด้านของความหมองความมืด มากกว่าด้านสว่างเข้าตัว


และความจริงของธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกเราก็คือ
ยิ่งจิตของเรามืดด้วยการสั่งสมอารมณ์อันเป็นอกุศลมากขึ้นเท่าใด
โอกาสที่จะไปอบายเมื่อสิ้นปลายภพ ก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-1-21 17:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-1-21 18:19

และนั่น ว่ากันเพียง "มโนกรรม" หรือการกระทำทางใจเท่านั้นเองนะคะ
คือเพียงอ่านข่าว อ่านกระทู้ แล้วเราอาจจะนึกหมั่นไส้ อยากด่าแม่คนนี้ อยากว่าพ่อคนนั้น
แต่ยังไม่ทันหลุดออกมาเป็นภาษาให้กระทบโสตประสาทและความรู้สึกใครต่อใคร
มีแต่เพียงเมฆหมอกแห่งความมืดมัวที่ปกคลุมเราอยู่คนเดียวเงียบ ๆ


แต่สำหรับอีกหลายคน คิดคนเดียวนั้นไม่มันพอ ทว่ามีแรงขับอยากระบาย อยากให้คนอื่นรับรู้
อยากกระโดดเข้าไปร่วมพิพากษา วิจารณ์ กระทั่งกล่าวโต้ผู้อื่นที่คิดต่างไปจากตัวเอง


ไม่เพียงเสียงเมาท์เฝ้าจับผิดและเสียงถกเถียงกันจากคนรอบตัว ร่องรอยของ "วจีกรรม"
ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ผ่านตัวหนังสือตามกระทู้ออนไลน์นั้น มีให้เห็นมากมายเหลือเกินค่ะ

น้อยคนนักที่จะรู้ว่า แม้การถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นภาษาและตัวหนังสือ
การเขียนให้ดีให้ร้ายคนอื่นผ่านโลกของอินเตอร์เน็ทนั้น ก็นับเป็นกรรมทางวาจา
และสามารถให้ผลที่เร็วและแรงได้เสียยิ่งกว่าการพูดกันในโลกความเป็นจริงเสียอีก


เหตุที่เป็นเช่นนั้น คุณดังตฤณเคยเปรียบเทียบให้เราลองนึกตามกันดูง่าย ๆ ค่ะว่า
ถ้าเราพูดเบา ๆ ว่า "ไอ้โง่" ก็อาจมีเราคนเดียวในโลกที่ได้ยินเสียงอกุศลของตัวเอง
แต่ถ้าเราพิมพ์คำว่า "ไอ้โง่" ลงในกระทู้เว็บบอร์ดที่มีผู้คนสนใจเข้าเยี่ยมชมคับคั่ง
มีผู้มาเยือนวนเวียนเข้ามาอ่าน ซึมซับรับรู้กันเป็นหลายวันหลายสัปดาห์มากหน้าหลายตา
เราจะไม่มีโอกาสปรับเสียงนั้นให้ดังหรือเบาตามใจชอบได้เลย


และนั่นก็เท่ากับ เราทำอกุศลกรรมกับคนหมู่มาก แบบไม่เลือกหน้า เข้าให้แล้ว
เพราะคำบริภาษเหล่านั้น อาจทำให้คนนับพันนับหมื่นเกิดความแสลงใจ
และความแสลงใจของคนจำนวนนับไม่ถ้วนนี่แหละค่ะ
ที่จะย้อนกลับมาให้ผลให้ผู้ก่อวจีกรรมต้องรู้สึกแสลงใจยิ่งไปกว่าคนเหล่านั้นเสียอีก




เรื่องของกรรมและการให้ผลนั้นละเอียดกว่าที่เราคิดนะคะ
ใครจะคิดว่า แค่พิมพ์คำพูดไม่กี่คำง่าย ๆ พรวดลงไปผ่านอินเตอร์เน็ทโดยไม่ทันคิด
แม้ไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา ก็เป็นเหตุนำมาซึ่งความไม่เป็นสุขของชีวิตได้แล้ว


สังเกตไหมคะ เวลาจับวงคุยกันกับเพื่อน ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้ากัน หรือว่าออนไลน์
ถ้าชวนกันเมาท์เรื่องอกุศล เช่น ชวนกันนินทาจับผิดเพ่งโทษผู้อื่น จิตก็พากันเป็นอกุศลไปทั้งวง
แต่ถ้าชวนกันเมาท์เรื่องดี ๆ เช่น ไปงานกฐินมาบรรยากาศเป็นยังไงบ้าง หลวงพ่อสอนอะไร
หรือแม้แต่กระทู้ต่าง ๆ ที่คุยกันถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของในหลวง
เวลาที่ออกจากวงนั้นหรือกระทู้นั้น มันชวนให้จิตใจคนอ่านคนฟังพลอยเบิกบานกันไปหมด


คำพูดทุกคำพูดที่ถ่ายทอดความคิดของเรา
มีผลกับคนรอบข้างเราทั้งสิ้นนะคะ
และยิ่งเราคิด พูด ทำ ไปในทางกุศล หรืออกุศล มากเท่าไหร่
คุณภาพจิต และชีวิตทั้งหมดของเรา ก็ยิ่งมีความเป็นไปในทางนั้นมากขึ้น





อีกสิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้จากกระแสเสียงของคนกลุ่มหนึ่งผ่านกระดานสนทนาเหล่านั้นก็คือ
การปรุงแต่งด้วยอาการที่เต็มไปด้วยความรู้สึกชอบชังที่รุนแรง
โดยเฉพาะจากกลุ่มที่เป็นแฟนคลับดาราคนโปรดของตน
ที่สามารถมองข้ามความเป็นเหตุเป็นผล หรือการตรองอย่างเป็นกลางไปได้อย่างง่ายดาย


ถ้าหลาย ๆ เรื่องในชีวิต เราเลือกที่จะมองข้ามความจริง ก็นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายนะคะ
ภาพดีที่ลวงตา อาจทำให้เราพลาดโอกาสในการได้รับการตักเตือนเพื่อแก้ไขปรับปรุงตัวเอง
และการมองที่บิดเบี้ยว ก็อาจทำให้เราไม่มีโอกาสได้ตักเตือนคนที่เรารักให้พัฒนาตัวเองด้วย



พุทธศาสนาสอนเราว่า อคติมีอยู่ ๔ อย่าง

๑. อคติเพราะ ความรัก

๒. อคติเพราะ ความโกรธ

๓. อคติเพราะ ความหลง ความเขลา เบาปัญญา

๔. อคติเพราะ ความกลัว



รักมาก... ความรักก็กลบข้อบกพร่องทั้งปวงไปจากสายตา
โกรธมาก... ความโกรธก็ตีค่าการทำดีของอีกฝ่ายให้เป็นลบได้ในพริบตา
หลงมาก... ความหลงก็กลบปัญญาในการไตร่ตรอง ฟังมาอย่างไรก็เชื่อตามอย่างง่ายดาย
กลัวมาก... ความกลัวก็บั่นทอนความมั่นใจ บีบให้ไม่กล้าคิดอ่านทำการตรงไปตรงมา



โลภ โกรธ หลง นั้นเอง คือกิเลสที่ทำให้จิตบิดเบี้ยว
มองไม่เห็นสิ่งต่าง ๆ ตามจริง แต่มองเห็น ตามอยาก
และแน่นอนค่ะว่า ยิ่งกิเลสเหล่านี้รุนแรงขึ้นเท่าไหร่ จิตก็ยิ่งบิดเบี้ยวมากขึ้นเท่านั้น


และเมื่อยิ่งห่างไกลออกไปจากการเห็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง ตามความเป็นจริง
หนทางที่จะไปสู่การเป็นอิสระจากทุกข์อันเป็นของจริงแท้ ก็ยิ่งลางเลือน


กว่านิตยสารฉบับนี้จะไปถึงมือคุณผู้อ่าน
ข่าวดังของดารากลุ่มนี้ก็คงห่างหายไปจากสื่อกันแล้วนะคะ
ที่จริงถ้าถอดหัวโขนของความเป็นดาราออกไป เราก็ไม่ต่างอะไรกับเขาและเธอเหล่านั้น
ทุกคนต่างมีจิตอันเป็นธรรมชาติเดียวกัน ที่มีโลภะ โทสะ โมหะ ครอบครอง
ไม่มีนางเอก นางร้าย มีแต่คนที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อย ๆ ตามกิเลสและจิตสำนึก


ไม่ว่าจะมายา หรือชีวิตจริง ทุกสิ่งก็เป็นเหมือนความฝันเหมือนกันหมด
หลวงพ่อปราโมทย์ท่านเคยบอกนะคะว่า คนในโลกนี้ แทบจะไม่มีใคร "ตื่น" จริง ๆ เลย
มีแต่คน "หลง" อยู่ในโลกของความคิด "หลง" อยู่ในโลกของความฝันกันทั้งนั้น
ท่านเคยเปรียบไว้ให้ฟังอย่างน่าคิดค่ะว่า ความฝัน คือความคิดเมื่อยามหลับ
ความคิด คือความฝันเมื่อยามตื่น


ตราบเท่าที่เรายังไม่สามารถมี "สติตัวจริง" ที่สามารถรู้เท่าทันสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
กับกายกับใจของเราตามความเป็นจริง จนใจมันยอมรับในความเป็นไตรลักษณ์ได้
เราจะก็ยังคงหลงติดอยู่กับความฝันที่เราสร้างขึ้นมาเป็นกับดักกักขังตัวเอง
ที่จะไม่มีวันหาทางออกไปสู่อิสระและความสุขที่แท้จริงของใจได้เจอเลย...

ที่มา.. http://www.bloggang.com
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ ไม่ได้อ่านทั้งหมดแต่จะรับไปปฏิบัติครับผม
ปิสุณวาจา

       เจตนาของผู้มีจิตเศร้าหมอง พยายามกระทำหรือพูด เพื่อต้องการให้คนอื่นมารักตน ก็ดี เพื่อต้องการทำลายคนอื่น ก็ดี ชื่อว่า ปิสุณวาจา

       การพูดให้ร้ายลับหลัง
โดยมุ่งให้คนอื่นเกิดความแตกแยก เมื่อคนอื่นแตกแยกกันแล้ว จัดเป็นปิสุณวาจา สำเร็จเป็นกรรมบถ ถ้าไม่เกิดความแตกแยกกันก็เป็นเพียงกรรมเท่านั้น

       ปิสุณวาจา จะสำเร็จเป็นกรรมบถได้นั้น ต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ

            ๑. คนอื่นที่พึงถูกทำลาย
            ๒. จิตคิดจะพูดส่อเสียด
            ๓. พยายามจะพูดออกไป
            ๔. คนอื่นเข้าใจเนื้อความนั้น


       ปิสุณวาจา มีโทษมาก เพราะเหตุ ๓ ประการ คือ

            ๑. บุคคลผู้ถูกทำลายให้แตกแยกกันนั้น เป็นผู้มีคุณมาก
            ๒. คนเหล่านั้นแตกแยกกัน
            ๓. ผู้พูดมีกิเลสแรงกล้า


       ปิสุณวาจาที่ตรงกันข้าม ชื่อว่ามีโทษน้อย




โทษของปิสุณวาจา

       ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ มีพระมหาเถระ ๒ รูป รูปหนึ่งมีพรรษา ๖๐ อีกรูปหนึ่งมีพรรษา ๕๙ สนิทรักกันมาก จำพรรษาอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง สมบูรณ์ด้วยลาภ ต่อมา มีพระธรรมกถึกรูปหนึ่ง มาขออยู่ในอาวาสนั้นด้วย เพราะเห็นว่าเป็นวัดที่มีลาภสักการะมาก อยู่ได้ไม่นาน ก็คิดขับไล่พระเถระทั้ง ๒ รูปนั้น จึงเข้าไปหาทีละรูปแล้ว พูดว่า เมื่อวันกระผมมาที่นี่ พระเถระรูปนั้น บอกผมว่า คุณเป็นคนดี จะคบหาสมาคมกับพระมหาเถระ ต้องพิจารณาให้ดีก่อน พูดเหมือนกับรู้ความลับ ความเสียหายของท่าน เสร็จแล้ว ก็เข้าไปหาอีกรูปหนึ่ง พูดอย่างเดียวกันนั้น แรก ๆ ทั้ง ๒ รูปไม่เชื่อ แต่นานไป เกิดบาดหมางกันแล้ว ในที่สุดก็แตกกัน ต่างคนต่างออกจากวัด พระธรรมกถึก จึงได้ครองวัดนั้นแต่เพียงรูปเดียว เมื่อพระธรรมกถึกนั้นมรณภาพแล้ว ไปเกิดในนรกชั้นอเวจี พ้นจากนรกนั้นแล้ว ไปเกิดเป็นเปรต ร่างกายเหมือนมนุษย์ มีศีรษะเหมือนสุกร ต้องเสวยทุกข์อยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ การพูดทำให้คนแตกสามัคคีกัน เป็นบาปหนัก ดังนี้แล


สาธุ ขอบคุณครับ
ถูกต้องตรงใจ กับสถานการณ์ ณ.เวลานี้


ขอบคุณ  งับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้