ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ พระครูวิมลญาณวิจิตร(หลวงปู่บุญ ชินวํโส) วัดป่าศรีสว่างแดนดิน ~

[คัดลอกลิงก์]
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ ดูควายสู้เสือ

การเที่ยวบำเพ็ญสมณธรรมของท่านหลวงปู่บุญสับสนวกวนมาก ตลอดถึงสถานที่บำเพ็ญแต่ละแห่งจะบอกให้ถูกต้องทำได้ยาก เพราะธรรมเนียมของพระธุดงค์สมัยนั้น พอออกพรรษาแล้วจะเที่ยวออกวิเวกไปตามป่าเขา พักตามรุกขมูลร่มไม้ ตามเงื้อผา ป่าช้าป่าชัฏ

ครั้งหนึ่ง ท่านได้เดินจงกรมลงมาจากภูผักกูด มาถึงภูเก้าน้อย พร้อมด้วยหมู่คณะสามรูป ได้เห็นฝูงควายฝูงหนึ่งเดินวนกันเป็นกลุ่ม ตีเป็นวงกลม ให้ตัวเล็กอยู่กลาง ตัวใหญ่หันหัวออกนอก อีกตัวหนึ่งเป็นควายผู้ไม่เข้าไปในฝูง เดินรอบดูฝูงแล้วก็ถอยเข้าไปในกอไผ่ ท่านกับหมู่คณะรีบเดินลงมาดูใกล้ๆ แต่อยู่คนละฟากกับฝูงควาย ท่านคิดในใจว่า ฝูงควายนี้มันกำลังทำอะไร พลันก็มองเห็นเสือโคร่งตัวใหญ่เดินรอบฝูงควายอยู่ แล้วเสือก็เดินเข้าไปหาควายตัวเดียวที่ไม่เข้าไปในฝูง แล้วก็กระโดดข้ามหัวควายไป ฝ่ายควายขวิดรับแล้วก็ถอยเข้าไปในกอไผ่ ท่านยืนดูอยู่ ได้เห็นเสือกระโดดเข้าใส่ควายอีกหลายครั้ง แต่เสือก็กระโดดออกมาทุกครั้ง เพราะควายขวิดรับ เมื่อเสือกระโดดออกมาแล้วก็พยายามหลอกให้ควายออกมาจากกอไผ่ ฝ่ายควายก็ไม่ยอมออกมา พอเสือกระโดดเข้าใส่ควาย คราวนี้ควายขวิดรับอุตลุด เสือร้องลั่นป่าด้วยความเจ็บปวด แล้วมันก็รีบวิ่งหนีไปทันที ขณะที่ท่านและหมู่คณะยืนดูเสือกับควายต่อสู้กันอยู่นั้น ทุกคนลืมหมดแม้แต่จะร้องขึ้นให้เสือกับควายหนีออกจากกันก็นึกไม่ได้ จึงปล่อยให้มันสู้กันจนควายได้รับชัยชนะ

สิ่งที่ท่านได้พบเห็นมาตามป่าเขานั้น บางสิ่งบางอย่างนำมาพูดในสมัยนี้ก็ยากที่จะมีคนเชื่อ และยากที่จะมีผู้อุทิศชีวิตเพื่อแลกกับธรรมเหมือนครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่ท่านได้ตะเกียกตะกายรอดตายมาสั่งสอนผู้อื่น
12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ ณ ถ้ำพระลานม่วง

การจาริกเพื่อบำเพ็ญสมณธรรมของท่านหลวงปู่บุญสมัยนั้น ถ้าท่านได้ข่าวว่าสถานที่ใดเจ้าที่แรง คนทั้งหลายเกรงขาม ครูบาอาจารย์จะแนะนำให้ท่านเข้าไปอยู่ที่นั้น สถานที่บางแห่งชาวบ้านห้ามพระไม่ให้เข้าไปอยู่ เขากลัวว่าผีจะมารบกวนบ้านเขา

ท่านหลวงปู่บุญได้เที่ยวจาริกไปทางจังหวัดอุดรธานี ได้ทราบคำเล่าลือกันว่า ที่ถ้ำพระลานม่วง ใกล้บ้านทมป่าข่า อำเภอศรีธาตุ เป็นถ้ำที่ศักดิ์สิทธิ์ วันพระ ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ จะมีเสียงฆ้องกลองดังอยู่ตลอดทั้งคืน ชาวบ้านแถบนั้นได้ยินกันหมด และต่างก็มีความเกรงกลัวถ้ำนี้มาก ท่านได้ทราบต่อไปว่า คนที่จะเดินข้ามเขาลูกนี้จะต้องถวายดอกบัวเสียก่อนจึงจะไปได้ เพราะเขาลูกนี้มีทางเดินผ่านมาใกล้ถ้ำพระลานม่วง ถ้ามีใครเดินมาที่ถวายดอกบัวแล้วกำแหงไม่ปฏิบัติตาม จะต้องถูกเจ้าเขาเล่นงานทุกคน ดอกบัวที่เขาถวายนั้น เขาจะไปตัดไม้มาทำเหมือนของลับผู้ชาย แล้ววางไว้ที่นั่น พร้อมทั้งบอกกล่าวให้เจ้าป่าเจ้าเขาทราบ แล้วจึงเดินผ่านไป หรือบางคนถ้าจะต้องผ่านเขาลูกนี้ ก็ทำดอกบัวเสร็จไปจากบ้าน เมื่อไปถึงก็ถวายได้เลย ถ้าใครผ่านไปไม่ได้ถวายดอกบัวไว้ที่เขาลูกนี้ เพราะกำแหงว่าตัวดีมีวิชาอาคมปราบผี เขาก็จะมีอันเป็นไปต่างๆ นานา เป็นคนบ้าใบ้เสียจริตก็มี เวลาหลับนอนก็สะดุ้งกลัว ร้องขึ้นแล้ววิ่งออกไปจากที่นอน อันนี้เป็นข่าวที่ท่านทราบก่อนไปถึงแล้ว

เมื่อคณะธรรมจาริกของท่านหลวงปู่บุญได้ทราบเรื่องราวโดยตลอด ก็ตรงไปทันที เมื่อไปถึงบ้านทมป่าข่าก็ได้บอกความประสงค์ให้ชาวบ้านทราบว่า จะไปพักภาวนาที่ถ้ำพระลานม่วง พอชาวบ้านได้ทราบดังนั้น ก็พากันพูดจนไม่รู้จะฟังใคร ทุกคนล้วนแต่พรรณนาถึงความศักดิ์สิทธิ์วิเศษของถ้ำพระลานม่วง และไม่อยากให้ท่านเข้าไปอยู่ เพราะเขาเห็นฤทธิ์จนเกิดความขยาดกลัวถ้ำนี้มาก แต่คณะท่านหลวงปู่บุญได้ขอร้องให้ชาวบ้านพาไปส่งที่ถ้ำพระลานม่วง ท่านบอกกับชาวบ้านว่า “จะขอลองไปอยู่ดูก่อน ถ้าอยู่ไม่ได้จริงๆ จะไปพักอยู่ที่อื่น”

ชาวบ้านทมป่าข่ามีความเชื่อในพระกรรมฐานมาก จึงพูดกันว่า “ท่านต้องมีดี ท่านจึงอยากไปอยู่ พวกเราอย่าให้ท่านต้องผิดหวังเลย” แล้วพวกเขาก็พาคณะท่านหลวงปู่บุญไปส่งถึงถ้ำพระลานม่วง โดยมีท่านอาจารย์พร สุมโน พระผู้อาวุโส ซึ่งเป็นพี่ชายของท่านเป็นผู้นำ ไปด้วยกันทั้งหมด ๔ รูป ผ้าขาว ๑ คน
13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ อยู่กับงู

เมื่อไปถึงถ้ำพระลานม่วงแล้ว ท่านก็ให้ญาติโยมทำแคร่เล็กๆ สูงจากพื้นดินประมาณ ๑ ศอก ท่านรูปไหนชอบสถานที่แห่งใดก็ให้โยมไปทำแคร่ให้ที่นั้น ส่วนท่านหลวงปู่บุญได้พักอยู่ที่หน้าถ้ำพระลานม่วง ที่ปากถ้ำข้างบนมีเถาวัลย์รากไม้รก และมีที่แขวนกลดด้วย ขณะที่ท่านให้ชาวบ้านทำแคร่อยู่นั้น ก็ไม่เห็นมีอะไร พอทำแคร่เสร็จหมดครบทุกรูปแล้ว ชาวบ้านก็พากันลากลับไป

ท่านจัดการกางมุ้งกลด เอาเชือกพาดขึ้นไปจะผูกติดกับเถาวัลย์ ขณะที่ท่านผูกเชือกอยู่นั้น ท่านเห็นงูจงอางตัวหนึ่งนอนขดอยู่เหนือศีรษะของท่าน ทีแรกท่านตกใจ คิดจะหนีออกจากที่นั่น แต่ก็ได้ทำแคร่ที่พักแล้ว พอผูกเชือกเสร็จ ท่านก็นั่งลงแหงนมองขึ้นดูงู ฝ่ายงูก็ยื่นหัวลงมามองดูท่านด้วยอาการสงบนิ่ง ท่านมองดูอยู่นาน จิตใจก็แผ่เมตตาให้ พร้อมกับคิดรำพึงรำพันในใจว่า... ถ้าเป็นงูอื่นก็ค่อยยังชั่ว แต่นี่เป็นงูจงอาง อันตรายมากถ้าไม่รีบหนี ท่านนั่งคิดปรับทุกข์กับตัวเองว่าจะทนอยู่ที่นี่หรือจะไปอยู่ที่อื่น ท่านจะได้ไปบอกให้หมู่คณะที่ไปด้วยกันทราบ

ขณะที่ท่านพิจารณาปลอบใจตัวเองอยู่นั้น ตาก็มองจับจ้องอยู่ที่งู ซึ่งนอนขดตัวอยู่เหนือศีรษะท่านเหตุที่ท่านนั่งพิจารณาอยู่นานนั้นก็เพราะตัดสินใจไม่ได้ว่าจะอยู่หรือจะไป จนท่านพิจารณาได้ความแล้ว จึงตัดสินใจลงไปว่า

ต้องอยู่ที่นี่ เป็นอะไรเป็นกัน หนีไปไม่ได้ งูจะกัดตายก็ยอม ถ้าหนีไป ผีถ้ำนี้จะหาว่าเราเป็นพระขี้ขลาด ไม่สมกับเป็นเพศนักบวช เป็นเพศที่ยอมเสียสละ เมื่อถึงคราวแล้วอยู่ที่ไหนมันก็ตาย ในโลกนี้มีแผ่นดินที่ไหนเข้าไปอยู่แล้วไม่ตายนั้นไม่มีเลย ฉะนั้น ไม่ต้องหนี เมื่อกลัวตายแล้วเข้าป่ามาทำไม เลือดเนื้อหนังเอ็นกระดูกอวัยวะทุกชิ้นที่อยู่ในร่างกายเรานี้ล้วนแต่ได้มาจากเลือดเนื้อหนังของสัตว์มิใช่หรือ มีชีวิตอยู่ ไม่ตายก็เพราะบริโภคเลือดเนื้อเขามิใช่หรือ เพียงแต่งูมันนอนมองดูอยู่เฉยๆ ทำไมเกิดความหึงหวงในร่างกายของตนเองจนตัวสั่น ว่าอย่างไร จะยอมให้งูกัดตาย หรือจะทิ้งลวดลายพระธุดงค์ ท่านรำพึงกับตัวเองขณะมองดูงู

ท่านได้คิดปลอบใจตัวเองไม่ให้กลัวมาก เมื่อคิดปลอบใจตัวเองอยู่นั้น พลันก็เกิดความกล้า ตกลงว่าจะยอมให้งูกัดตาย ไม่ยอมย้ายไปที่อื่น แล้วท่านก็ลุกขึ้นยืนกางกลดทันที ท่านทำด้วยความระมัดระวัง ฝ่ายงูจงอางตัวนั้นมันยิ่งยื่นหัวออกมายาว เมื่อท่านกางมุ้งกลดเสร็จ ท่านก็รีบไปสรงน้ำ นำเอาเรื่องงูไปบอกให้หมู่คณะทราบ พอสรงน้ำเสร็จก็กลับมาที่พัก เพื่อนก็ตามมาดูงูด้วย แต่ก็ไม่เห็นงู ไม่รู้ว่ามันหนีไปทางไหนในคืนนั้นท่านนั่งภาวนาตลอดทั้งคืน พอใกล้สว่าง ขณะท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ ท่านได้ยินเสียงซาดๆ ดังมาเป็นระยะๆ เสียงนั้นผ่านเข้ามาใต้แคร่ที่พักท่านแล้ว กำลังจะผ่านเข้าไปในถ้ำ ท่านจึงรีบออกจากการนั่งภาวนา รื้อมุ้งกลดขึ้น มองไปเห็นงูเหลือมตัวใหญ่ขนาดโคนขากำลังเลื้อยเข้าไปในถ้ำ ท่านเห็นแล้วขนลุกไปทั้งตัว

เมื่อท่านกลับจากบิณฑบาต ฉันเช้าเสร็จ กลับมาที่พักก็เห็นงูจงอางตัวนั้นนอนขดอยู่ที่เดิม งูตัวนี้พอตกตอนกลางคืนก็ออกเที่ยวหากิน แต่ตอนมันเลื้อยกลับเข้ามาไม่เห็น บางวันก็เห็นงูเหลือมตัวนั้นเลื้อยผ่านเข้าไปในถ้ำ ท่านได้พักอยู่ที่ถ้ำพระลานม่วงอยู่นาน เห็นสิ่งแปลกประหลาดหลายอย่าง ทั้งเรื่องภายนอกภายใน แต่เรื่องนี้ขอผ่านไปก่อน จะกลับมาพูดถึงเรื่องดอกบัวที่ชาวบ้านและคนสัญจรเดินผ่านนำไปบูชาที่ถ้ำแห่งนี้
14#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ บูชาเจ้าเขา

ไม่มีใครทราบว่าชาวบ้านและคนที่สัญจรเดินทางผ่านมาบูชากันมานานเท่าไร แต่ดอกบัวที่ยังไม่สลายกลายเป็นดินนั้นกองใหญ่มาก ท่านมองดูกองดอกบัวแล้ว ท่านก็ขนหัวลุก เพราะกองใหญ่ขนาดสักคันรถใหญ่ได้ แม้แต่ชาวบ้านที่มาทำบุญให้ทานกับท่าน เมื่อจะกลับก็ยังแอบไปถวายดอกบัวเสียก่อนจึงกลับ บางคนบอกว่า ถ้าขึ้นเขาลูกนี้แล้วไม่ได้ถวายดอกบัว เหมือนกับเจ้าเขาจะตามไปทำร้าย ไม่สบายใจเมื่อได้ถวายดอกบัวแล้วจึงได้สบายใจ

คืนวันหนึ่ง ท่านหลวงปู่บุญได้ชวนผ้าขาวไปดูกองดอกบัวที่ชาวบ้านถวาย เมื่อไปถึง ท่านนั่งพิจารณาว่า ชาวบ้านและคนเดินทางสัญจรผ่านมาเขาทำไม้เหมือนกับของลับผู้ชาย แล้วเอามาวางไว้ที่นี่ก็เพราะความกลัวว่า ถ้าไม่ทำ เจ้าเขาลูกนี้จะตามไปทำร้าย หลวงปู่บุญรำพึงในใจว่า ถ้าหากเราไม่ทำลายเสียก็จะเป็นโรคติดต่อไปนานแสนนาน เราจะขอบูชาหัวดอกรักนี้ด้วยไฟแทนดอกบัว ซึ่งจะทำให้ชาวบ้านและคนเดินทางสัญจรผ่านไปมาจะได้เลิกหวาดกลัวเขาลูกนี้อีกต่อไป เมื่อคนทั้งหลายเห็นไฟไหม้แล้ว ความหวาดกลัวก็จะไม่มีใครคิดทำขึ้นอีก

เมื่อท่านคิดได้เช่นนี้แล้วก็บอกให้ผ้าขาวพิจารณาดูกองดอกบัวของเจ้าป่าเจ้าเขา ด้วยปิยโวหารว่า “ผ้าขาว เจ้าจงพิจารณากองดอกบัวอันนี้อย่าให้เหลือ พิจารณาดูให้ละเอียด” ถ้าผู้ได้รับการฝึกอบรมจากครูบาอาจารย์ดีแล้วก็จะรู้ความหมายทันทีว่า ท่านหลวงปู่บุญสั่งให้เอาไฟจุดหัวดอกรักของเจ้าเขา ผ้าขาวก็จัดการทันที

แกก็พูดขึ้นดังๆ ว่า “เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าถ้ำพระลานม่วงก็ดี อย่าได้มาโกรธข้าพเจ้าเด้อ ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้ที่ทำตามคำสั่งของครูบาอาจารย์เท่านั้น”

ก็เป็นอันว่าไฟไหม้กองดอกบัวของเจ้าเขาหมด ขณะที่ไฟกำลังไหม้ลุกโพลงอยู่นั้น ชาวบ้านทั้งใกล้ทั้งไกลมองเห็นกันทั่ว เพราะกองดอกบัวกองใหญ่มากและจุดในเวลากลางคืนประมาณทุ่มกว่าๆ จากนั้น ท่านกับผ้าขาวก็กลับที่พัก เตรียมตัวรับมือกับเจ้าของดอกบัวที่จะตามมาต่อว่าในคืนนี้ ท่านนั่งภาวนาคอยเจ้าของดอกรักอยู่ตลอดทั้งคืนก็ไม่เห็นมาหาท่าน

พอใกล้สว่าง ท่านคิดว่าเจ้าป่าคงไม่กล้าตามมาต่อว่าแน่ ท่านจึงลงไปเดินจงกรม ในขณะที่ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่นั้น พลันก็ได้ยินเสียงสัตว์ดังมาจากป่าใกล้ทางเดินจงกรม แต่ไม่เห็นตัว มันทำเสียงดังอยู่ตลอดเวลา จนท่านรำคาญเสียงเจ้าสัตว์ตัวนั้น ท่านคอยอยู่นานจะให้มันหนีไปเอง มันไม่ยอมหนี ยิ่งทำเสียงดังขึ้นกว่าเดิม ท่านจึงคิดจะไล่ให้มันไปหากินที่อื่น เพราะที่นี่ท่านเดินจงกรมอยู่ ท่านหนวกหูท่าน แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า จงไปหากินทางอื่นเถิด ทางนี้เรากำลังทำความเพียรเดินจงกรมอยู่ แล้วท่านก็โยนก้อนดินไปหวังจะให้ตกใกล้ๆ ตัวมัน พอก้อนดินตกถึงพื้น เจ้าสัตว์ตัวนั้นก็แหวกป่ากระโดดเข้าใส่ท่านทันที ท่านยังไม่ได้เตรียมตัว เพราะไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น พอสัตว์ตัวนั้นกระโดดเข้าใส่ ท่านก็หลบ พร้อมกับร้องขึ้นจนหมู่คณะได้ยินเสียงท่านก็รีบมาดู เมื่อมันกระโดดไม่ถูกตัว มันก็วิ่งผ่านลงไปข้างล่าง เหตุที่ท่านร้องนั้น เพราะหลบสัตว์พลาดท่าเลยหกล้ม

หลังจากที่ท่านได้เผาหัวดอกรักของเจ้าป่าเจ้าเขาแห่งนี้แล้ว ตั้งแต่นั้นมา ชาวบ้านและคนเดินทางสัญจรผ่านไปมาก็ไม่มีใครคิดจะถวายดอกบัวแก่เจ้าป่าเจ้าเขาแห่งนี้อีกเลย และก็สามารถเดินทางผ่านไปได้อย่างสบายไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนอย่างแต่ก่อน และก็ไม่ได้ยินว่าเจ้าป่าเจ้าเขาลูกนี้ไปเข้าสิงผู้ใดอีกเลย ทั้งนี้ เพราะอัญญาธรรมหรือพระกรรมฐานนั่นแหละไปลบล้างออก ชาวบ้านจึงทิ้งผี หันมาไหว้พระ สักการบูชานับถือพระรัตนตรัยแทนตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

ฉะนั้น เรื่องที่ท่านได้เผชิญมากับสิ่งต่างๆ บางเรื่องประทับใจท่านอยู่ไม่น้อย ท่านจึงนำมาเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังอยู่เสมอ ถึงเรื่องนั้นจะผ่านไปนานแสนนาน เพราะความที่ท่านได้เอาชีวิตจิตใจเข้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนี่แหละ เป็นเหตุให้ท่านลืมได้ยาก
15#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ ผีกุฏิตาอวย

ดังเรื่องเมื่อครั้งท่านได้บวชเป็นผ้าขาวติดตามท่านอาจารย์พร สุมโน เข้าป่าขึ้นเขาไปภาวนาและพักอยู่ตามที่ต่างๆ บางแห่งท่านนั่งกลัวตัวสั่นตลอดคืน บางแห่งพอท่านได้ทราบข่าวเกี่ยวกับสถานที่ที่จะไปพักเท่านั้น ท่านก็เกิดความกลัวขึ้นมาก่อน ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้เข้าไปพักที่นั่นเลย ดังเรื่องนี้

ในปี พ.ศ.๒๔๗๓ ท่านบวชเป็นผ้าขาวได้ประมาณ ๖ เดือน ท่านอาจารย์พร สุมโน ได้พาท่านเข้าไปพักอยู่ที่กุฏิตาอวย ที่นี่เป็นสถานที่ขึ้นชื่อลือนามของคนแถบนั้นว่า ผีกุฏิตาอวยนี้ดุนัก ชาวบ้านมีความหวาดกลัวมาก กิติศัพท์ความร้ายกาจของเจ้ากุฏิตาอวยร่ำลือไปเข้าหูของท่านอาจารย์พรว่า ใครจะเข้าไปพักอยู่หรือทำมาหากินในที่นั้นไม่ได้เป็นอันขาด เพราะเจ้าที่แรงมาก สามารถหักคอคนได้ ถ้าใครไปทำผิดเจ้ากุฏินี้เข้าและไม่รีบนำเหล้าไหไก่ตัวไปแก้แล้ว มีหวังนอนไหลตาย หรือมิฉะนั้นก็กลัวมากจนเสียสติกลายเป็นบ้าไป บางคนถูกเจ้ากุฏิตาอวยเข้าสิงกาย เป็นคนดุ คุ้มดีคุ้มร้าย ญาติพี่น้องต้องวิ่งหาหมอธรรมมาชำระล้างอาถรรพ์ของเจ้ากุฏิ มีหมอธรรมบางคนจะมารักษาผู้ป่วยโรคผีกุฏิตาอวย แต่ก็ถูกเจ้ากุฏิเล่นงานเอาจนถึงกับวิ่งหนีก็มี หมอปราบผีบางคน พอทราบข่าวว่าเขาจะให้ไปไล่ผีกุฏิตาอวยเท่านั้น ก็รีบปฏิเสธบอกว่าตัวเองไม่มีวิชาพอที่จะไปไล่ผีกุฏิตาอวย แล้วก็เลิกหากินทางปราบผีมานานแล้ว ส่วนหมอปราบผีที่ไม่รู้ฤทธิ์เดชเจ้ากุฏิผีตาอวยก็ไปรักษาขับไล่ เมื่อไปถึงก็ประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ ขณะที่ประกอบพิธีอยู่นั้น แกก็เป็นลมล้มฟุบลงกับพื้นเรือนนั้น คนที่มาดูวิธีไล่ผีของแกต้องช่วยกันนวดเฟ้นให้ พอแกฟื้นจากลมจับได้สติแล้ว แกจึงบอกลาเจ้าของบ้านลงเรือนไป

เรื่องที่เล่ามานี้ เป็นคำพูดคำเล่าของคนเฒ่าคนแก่ที่พูดเล่าไว้นานแล้ว ท่านทั้งหลายที่ได้อ่านแล้ว ไม่เชื่อ แต่ก็จงอย่าได้ลบหลู่ ว่าจะมีผีหวงแหนที่อยู่นั้นมีจริงหรือไม่ แต่ว่าคนแถบนั้นก็ยังเกรงกลัวอยู่ตามคำเล่าลือตลอดมา

เมื่อท่านอาจารย์พรได้เที่ยววิเวกมาตามลำน้ำชี ได้ทราบข่าวดังนั้น ก็คิดจะพาผ้าขาวบุญไปพักภาวนาที่นั่น จะได้แผ่เมตตาให้กับเจ้ากุฏินี้เลิกจากความดุร้ายกลายเป็นผีที่มีเมตตา ไม่ไปรบกวนชาวบ้านอีก สำหรับท่านอาจารย์พร ท่านเคยติดตามปฏิบัติธรรมภาวนาอยู่กับท่านหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปอยู่วัด พอท่านได้ทราบข่าวว่าสถานที่ใดศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะต้องไปอยู่ที่นั่นเพราะนิสัยที่ท่านได้รับมาจากท่านหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต นี่แหละ ท่านจึงได้พาผ้าขาวบุญเดินทางไปบ้านกูดตะกาบ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้กุฏิตาอวย ท่านเข้าไปในหมู่บ้าน แล้วบอกความประสงค์ให้ชาวบ้านทราบว่าท่านจะเข้าไปพักอยู่ที่นั่น ชาวบ้านก็ไม่เห็นด้วย เพราะเขากลัวเจ้าผีตาอวยจะมารบกวนทางบ้าน แต่ท่านอาจารย์พรก็รับว่า จะไม่ให้มีอะไรเกิดขึ้นกับชาวบ้าน ท่านยังได้บอกอีกว่า “ถ้าอาตมาอยู่ได้ จะไม่ให้ชาวบ้านกลัวผีตาอวยนี้อีกต่อไป”

สถานที่ผู้คนเกรงขามอย่างกุฏิตาอวยนี้ ท่านเคยอยู่มาแล้ว ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นกับชาวบ้าน และภายหลัง สถานที่นั้นก็กลายเป็นไร่เป็นนาไปหมด แล้วท่านก็สรุปว่า ถ้าอาตมาอยู่ได้หรืออยู่ไม่ได้ ก็จะไม่ให้ชาวบ้านเดือดร้อนเรื่องกุฏิผีตาอวยจะมาทำร้าย คนในหมู่บ้านที่มาพูดกับท่านบางคนก็เชื่อผีมากกว่าเชื่อพระ ยืนกรานคำเดียวว่าจะไม่ให้ท่านเข้าไปอยู่ คิดดูแล้วเหมือนกับวงศาตาทวดพร้อมทั้งตนเองเคยเห็นผีมาแล้ว แม้แต่ขี้ของผี หรือรอยของผีก็ยังไม่เคยเห็นและไม่เคยรู้จัก เพียงแต่ได้ยินชื่อของผีเท่านั้นก็รับเป็นตัวแทนของผีมาพูดกับพระ จะไม่ยอมให้พระเข้าไปอยู่ในที่นั้น นอกจากนั้นยังพรรณนาความเก่งกาจของผีให้พระฟังเพื่อท่านจะได้เกิดความกลัว ไม่คิดที่จะไปอยู่ แถมยังพูดว่า ถ้าไม่เก่งจริง พอเข้าไปอยู่แล้วอาจเป็นบ้าเสียคน อย่างผ้าขาวคนนี้ เขาชี้มือมาที่ผ้าขาวบุญ และพูดทำนองว่าห่วงผ้าขาว กลัวผ้าขาวจะเป็นบ้าเสียจริต เพราะผีกุฏินี้เคยทำอันตรายคนมามากแล้ว ส่วนผ้าขาวบุญ พอตัวแทนผีชี้มือมาก็ขนหัวลุกขึ้นทั้งตัว เกิดความกลัวจนขาสั่น ทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นเจ้าของกุฏิตาอวยเลย เพียงได้ยินแต่ชื่อและคุณวิเศษเท่านั้นก็เป็นเหตุให้ขาสั่นแล้ว

16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตกลงชาวบ้านที่เชื่อพระก็จำใจต้องไปส่งท่านที่กุฏิตาอวย เมื่อไปถึง ท่านก็ให้โยมทำแคร่ ๒ แห่ง ห่างกันประมาณ ๓ เส้น (เส้นหนึ่ง ๒๕ เมตร) ที่นี่ ก็เป็นสถานที่ธรรมดาไม่น่ากลัวอะไร มีป่าโปร่งและหนองน้ำ สิ่งที่ทำให้ที่นี่น่าเกรงขามก็คือ คำพูดของชาวบ้าน สังเกตดูต้นไม้บริเวณนี้ไม่มีใครตัดเลย แสดงให้ท่านเห็นว่า สถานที่นี่เป็นที่เคารพยำเกรงของชาวบ้านแถบนั้น

เมื่อชาวบ้านมาส่งพร้อมกับทำแคร่และทางเดินจงกรมให้เสร็จแล้ว เขาก็ลากลับ ส่วนผ้าขาวบุญก็คิดหาวิธีเตรียมรับมือผีกุฏิตาอวยถ้าหากมาจริงๆ ก่อนค่ำวันนั้น ท่านได้ทำวัตรปฏิบัติอาจารย์ตามที่ได้เคยปฏิบัติมาเป็นประจำวัน ท่านอาจารย์พรได้ให้โอวาทแก่ผ้าขาวบุญเป็นใจความว่า

“สถานที่บางแห่งถึงจะศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน ก็พบเห็นได้เฉพาะคนบางคนเท่านั้น มิใช่ว่าจะพบเห็นได้ทุกคนไป พูดถึงผี ไม่มีผีตัวไหนที่ร้ายกาจเท่ากับผีที่มีอยู่ในตัวเรา ผีตัวนี้หลอกให้คนร้องไห้ก็ได้ หลอกให้คนหัวเราะก็ได้ หลอกให้มือเท้าหรืออวัยวะสั่นก็ได้ เจ้าอย่าคิดอะไรมากนัก เพราะความคิดว่าจะมีผีจริงตามคำพูดของชาวบ้านผู้ที่ห่างไกลจากศีลธรรม ห่างไกลจากการปฏิบัติเพื่อความรู้ยิ่ง รู้จริง เพียงได้ยินคนอื่นพูด จะเท็จหรือจริงก็เก็บเอามาพูด ซึ่งเป็นการข่มขวัญคนอื่นให้เกิดความกลัวไปด้วย ที่ชาวบ้านเขาพูดกันนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเรามีศีลธรรม ความเป็นคนมีศีลธรรมนี่แหละ จะไปสู่สถานที่ใดก็ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีอะไรมารบกวนให้เดือดร้อน นอกจากความขี้ขลาดซึ่งเป็นตัวมารร้ายกาจที่อยู่ในหัวใจของเรานี่แหละจะมาหลอกหลอนรบกวนตัวเองให้เดือดร้อน ให้หาวิธีกำจัดผีตัวนี้ให้ได้ อย่าให้เหลือ เมื่อผีตัวขี้ขลาดหวาดกลัวไม่มีอยู่ในหัวใจแล้ว จะไม่มีอะไรมารบกวนหลอกหลอนจิตให้สะดุ้งได้อีก ผีภายนอกมันก็อยู่เฉพาะผี มันคนละภพคนละภูมิกันกับเรา จะไปคิดกลัวทำไม ความกลัว ความขี้ขลาดนี่แหละเป็นผีตัวร้ายกาจ ให้จำหน้าผีที่มาหลอกหลอนนั้นให้ดี ไม่ว่าไปที่ไหนหรืออยู่ที่ไหน

พอใบไม้ร่วง ด้วงกัดกิ่งไม้หัก ก็ไปโทษผีว่ามันมาหลอก หาเรื่องใส่ผีโดยไม่ทราบว่ามีผีจริงหรือไม่ ก็เพราะใจดวงโง่ๆ นี่แหละจึงได้เพ่งเล็งไปหาผีซึ่งอยู่ห่างกันคนละภพคนละภูมิ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นหน้ากันเลย มองไปแต่ข้างนอก ไม่มองเข้ามาข้างในดูความโง่ของตัวเอง ที่มันหลอกหลอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งใบไม้ร่วงมันก็บอกว่าผีทำ จะมีใครอยู่หรือไม่อยู่มันก็ร่วงไปตามธรรมชาติของมัน ขนาดนั้นแหละความขี้ขลาด เพียงแต่ใบไม้ร่วงมันก็หลอกเราให้ขนหัวลุกได้ ถ้าไม่คิดกำจัดมัน ความขี้ขลาดจะทำให้เราสะดุ้งกลัวอยู่ตลอดเวลา จะหาสถานที่สงบสงัดเพื่อบำเพ็ญภาวนาได้ยาก

ฉะนั้น ระวังคืนนี้ผีขี้ขลาดจะมาหลอก เตรียมรับมือไว้ให้ดี สติปัญญารู้เท่าทันอารมณ์แห่งความขี้ขลาดของจิต ถ้าไม่รู้เท่าทันมันแล้ว พอมีอะไรเกิดขึ้น แม้แต่ปลวกตัวเล็กนิดเดียวมันสั่นหัวของมัน ใจขี้ขลาดจะรีบวิ่งไปเอามาหลอกให้ขนหัวลุกทันที ส่วนผีจริงๆ เขาไม่ได้มายุ่งกับเรา ถ้ามาก็เพียงแต่มาถามข่าวดูเท่านั้น อย่าว่าเขามาหลอก ให้คิดว่าเขามาดูว่าเราภาวนาหรือไม่ หรือเราเข้ามายืนกลัว นั่นกลัว นอนกลัว ซึ่งผิดกับวาจาจิตที่คิดไว้ว่าจะมาภาวนา นี่แหละผีมันอยากมาดูตรงนี้แหละ ถ้าเข้ามากลัว ก็เป็นอันว่าตัวเองกลายเป็นผีหลอกตัวเอง หลอกทั้งคนอื่นที่เขาคิดว่าเรามาภาวนา ฉะนั้น คืนนี้ให้กระทำบำเพ็ญสมกับเข้าป่ามาภาวนาจริงๆ อย่ามากลัวเป็นอันขาด”


17#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พอท่านอาจารย์พรให้โอวาทเสร็จแล้ว ท่านก็บอกให้ผ้าขาวบุญกลับที่พัก จิตใจของผ้าขาวบุญขณะเดินกลับมาเมื่อความมืดเข้าปกคลุมนั้น ก็รู้สึกเกรงขามสถานที่ ยิ่งมืดขึ้นทุกทีจิตใจก็ยิ่งหมอบราบลง ส่วนความขี้ขลาดกำลังตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน เพื่อจะได้หัวเราะใจที่กำลังหมอบราบให้กับมัน ถึงที่พักแล้ว ท่านก็เข้าทางเดินจงกรม เดินกลับไปกลับมา แต่จิตใจก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในองค์ภาวนา ไปคิดรำพึงถึงคำพูดของชาวบ้านและโอวาทที่ท่านอาจารย์ให้มาแก้ไขจิตไม่ให้กลัวมากเกินไปจนถึงกับภาวนาไม่ได้ แต่ก็ดีใจอยู่อย่างหนึ่ง เพราะได้เห็นพระจันทร์กำลังโผล่ขึ้นมาพอจะช่วยบรรเทาความกลัวได้อีกทางหนึ่ง ท่านเดินจงกรมอยู่ประมาณ ๑ ทุ่มก็เข้ามุ้งกลด ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้วนั่งภาวนาต่อ

จนถึงประมาณ ๓ ทุ่มลงไปเดินจงกรมอีก จิตใจไม่กลัวเท่าไร เดินไปได้ไม่นาน พลันก็มีลมพัดทำให้ขนหัวลุก กำลังคิดปลอกใจตัวเองอยู่ก็มีเสียงดังขึ้นตรงหัวทางเดินจงกรมที่จะเดินกลับไปอีก มองไปก็เหมือนคนมานั่งอยู่หัวทางจงกรม แต่ไม่ชัด เพราะเดือนสลัวๆ ประจวบกับเงาไม้บัง จึงแข็งใจไปอยู่ใกล้ๆ ก็เห็นชัด เป็นอีเห็นตัวใหญ่ยืนมองดูท่าน ท่านก้าวเข้าไปดูใกล้ๆ มันก็กระโดดเข้าป่าตุบเดียวเงียบ ไม่มีเสียงวิ่งไปไหน ผ้าขาวบุญไม่สนใจตัวอีเห็น แต่พอหันกลับจะเดินไปข้างหน้าก็เห็นสัตว์ตัวนั้นยืนมองท่านอยู่ที่หัวทางจงกรมอีก ทีนี้ ผ้าขาวบุญแปลกใจ ไม่มีเสียงวิ่ง แต่ทำไมไปปรากฏตัวที่นั้นอีก ท่านรีบเดินไปให้ถึงสัตว์นั้นพร้อมกับคิดในใจว่า ลมก็พัดวนเวียนอยู่อย่างนี้ ถ้าอีเห็นหายไปอีกคงจะเป็นเจ้าของกุฏิแน่นอน แล้วก็เป็นดังที่คิด พอท่านเดินเข้าไปใกล้อีเห็นก็กระโดดเข้าป่าตุบเดียวหายเงียบ มีแต่ลมพัดวนเวียนไปมา ท่านเห็นท่าไม่ดีจึงหยุดเดิน ยืนคิดปลอบใจตัวเองตามที่ท่านอาจารย์บอกไว้แต่หัวค่ำว่า จะกลัวไปทำไม ในเมื่อเจ้าของบ้านผู้อารีมาต้อนรับถามข่าว ผ้าขาวบุญได้บอกกับเจ้าของกุฏิในใจว่า

“สิ่งที่ปรากฏแก่ข้าพเจ้านี้ ถ้าหากเป็นเจ้าของกุฏิมาเยี่ยมถามข่าวจริงแล้ว จงรับทราบไว้เถิดว่า ข้าพเจ้าชื่อผ้าขาวบุญ ได้ติดตามท่านอาจารย์มาภาวนาอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าที่เจ้าทางที่สิงสถิตอยู่ในสถานที่นี้ ขอท่านจงรับเอาส่วนบุญกุศลที่ข้าพเจ้าอุทิศไปให้ ขอจงมีความสุขทุกอริยบถเถิด อย่ามารบกวนข้าพเจ้าเลย”

แล้วผ้าขาวบุญก็สงบจิตแผ่เมตตาให้เจ้าของกุฏิ จากนั้นแข็งใจเดินจงกรมต่อไป จิตใจบริกรรมพุทโธอยู่อย่างไม่ลดละ หัวใจสั่นระริกๆ อยู่ตลอดเวลา จะให้หยุดกลัว คืนนั้นผ้าขาวบุญไม่ได้นอนเลย

พอรุ่งอรุณของวันใหม่ก็รีบไปปฏิบัติท่านอาจารย์ ได้เวลาออกบิณฑบาตก็ไปส่งบาตรท่าน คิดว่าท่านจะถาม ท่านก็ไม่ถาม ตลอดวันนั้นทั้งวันท่านก็ไม่ถาม ก่อนค่ำวันที่สองก็ได้เข้าไปปฏิบัติเช่นเคย เสร็จกิจแล้ว ผ้าขาวบุญก็เล่าเรื่องเจ้าของกุฏิแปลงเป็นอีเห็นให้ท่านอาจารย์ฟัง ท่านฟังแล้วก็หัวเราะอยู่ในลำคอแล้วก็พูดว่า

“ความจริงมันก็มีเท่านั้นแหละ ไม่เหมือนอย่างที่ชาวบ้านเขาพูดดอก ผีที่ไหนจะมาทำให้ผ้าขาวเป็นบ้าเป็นบอไปได้ ไม่มีดอก มีแต่คนไร้ศีลธรรมนั่นแหละ เพราะกามลามกของตัวทำให้ตัวเองเป็นบ้า แล้วก็ไปโทษสิ่งอื่น ไม่รู้ว่าตัวเองขาดศีลธรรมเป็นที่พึ่ง ในเมื่อตัวเองโสมมอยู่กับความชั่ว ความสะดุ้งหวาดกลัวก็มีมาก เวรภัยก็มีมาก จิตใจก็ระส่ำระสาย มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นก็ไปเหมาเอาว่าผีกุฏินั้นกุฏินี้มาทำ นี่แหละจิตใจไม่มีศีลธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ดูญาติโยมบางหมู่บ้านที่ผ่านมา พอเห็นพระมาก็อยากได้น้ำมนต์ เครื่องรางของขลังเอาไปกำจัดเสนียดจัญไร เอาไปไล่ผี กำจัดบ้า ป้องกันศาสตราสารพัด ส่วนศีลธรรมที่จะไปดับแหตุเสนียดจัญไรเขาไม่อยากได้ดอก”

เมื่อสมควรแก่เวลาแล้ว ท่านก็ให้ผ้าขาวบุญกลับที่พัก จากนั้นมาก็ไม่มีอะไรอีก จนกระทั่งออกไปจากที่นั่น

ส่วนชาวบ้าน เมื่อเห็นท่านอยู่ด้วยความสงบสุข ทั้งหมู่บ้านก็อยู่ด้วยความสงบสุขไม่มีอะไรไปรบกวน ซึ่งผิดกับที่เขาคิดไว้ว่า ถ้าพระเข้าไปอยู่ที่นั่นแล้วผีกุฏิตาอวยจะมารบกวนชาวบ้าน แต่ท่านเข้าไปอยู่แล้วก็ไม่เห็นเป็นไปตามที่ชาวบ้านคิด ก็เกิดความศรัทธาเคารพนับถือท่านมาก ไม่อยากให้ท่านออกไปจากที่นั่นเลย

สำหรับเรื่องราวของผู้ที่เข้าป่าภาวนา ไม่ว่าจะเป็นพระหรือโยมผู้ติดตาม บางแห่งถ้าไม่อดทนจริงๆ ก็อยู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะพักอยู่หรือเดินผ่านไป เต็มไปด้วยความระมัดระวังภัย
เจ้าที่บ้านโคกดินแดง

สมัยที่ท่านหลวงปู่บุญ ชินวํโส พักอยู่ที่วัดบูรพารามบ้านโคกสำราญใหม่ๆ พอออกพรรษาแล้วได้ออกเที่ยววิเวกไปตามป่าเขาหรือสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งที่คนเข้าไปทำมาหากินไม่ได้ ท่านก็เข้าไปพักภาวนาที่นั่น แล้วก็บอกให้เขาไปอยู่ทำไร่นาที่นั้นได้ ดังจะได้นำเอาเรื่องของท่านที่เข้าไปภาวนาเพื่อขอสถานที่แห่งนั้นกับผีมาเล่าให้ท่านฟังสักเรื่องหนึ่งดังนี้

มีโยมบ้านโคกดินแดง ชื่อนายแสงและนางแดง ได้มานิมนต์ท่านไปภาวนาแผ่เมตตาในสถานที่ของแก แกบอกว่าจับจองสถานที่ไว้แล้ว พอเข้าไปทำมาหากินก็มีอันเป็นไปต่างๆ นานา ไม่สบายกันทั้งครอบครัว เหมือนกับว่ามีภูตผีหวงแหนอยู่ ท่านรับนิมนต์แล้วก็เข้าไปภาวนาอยู่ ที่นั่นมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่งลึกมาก มีน้ำขังอยู่ตลอดฤดูแล้ง ท่านได้พักอยู่ใกล้หนองน้ำนี้ อาศัยน้ำนั้นบริโภค จนกระทั่งถึงคืนที่สี่ ใกล้จะสว่าง ท่านเดินไปล้างหน้าที่หนองน้ำนั้นซึ่งเคยเป็นที่เคยล้างเป็นประจำทุกเช้า เมื่อไปถึง ท่านก็ยื่นมือลงไปกวักน้ำขึ้นมา แต่ก็ไม่ดื่มน้ำ พอสว่างขึ้นท่านจึงเห็นว่าน้ำในหนองใหญ่หายไปหมด เหลือแต่โคลนตม แม้แต่ปูปลากุ้งหอยในน้ำก็ไม่มีเหลืออยู่สักตัว มันหายไปหมด ท่านได้ทบทวนดูเหตุการณ์เมื่อตอนกลางคืน จึงได้รู้ว่า ขณะที่ท่านนั่งภาวนาปรากฏในนิมิตว่า มีผู้คนมากมายทั้งชายทั้งหญิงมากราบลาท่าน บอกว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น และได้มอบสถานที่แห่งนี้ให้ท่าน ในคืนนั้นก็เงียบผิดปรกติ ซึ่งคืนก่อนๆ จะได้ยินเสียงปลาดำว่ายดำผุดทำให้น้ำเกิดเสียงดังตลอดทั้งคืน ท่านว่าเป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่ น้ำในหนองไม่มีที่จะไหลไป เกิดหายไป ตลอดถึงสัตว์น้ำ จึงเป็นเหตุให้คนทั้งหลายที่ได้รู้ได้เห็นเรื่องนี้ พูดกันว่า ในสถานที่นี้มีสิ่งลึกลับหวงแหนอยู่จริง เมื่อย้ายไปจากที่นี่แล้วจึงนำเอาสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไปด้วย แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าสิ่งเหล่านั้นหายไปไหน

ท่านได้จำพรรษาที่วัดบูรพาราม บ้านโคกสำราญเป็นเวลาหลายปีด้วยกัน ถ้าสถานที่ใดคนเข้าไปทำมาหากินไม่ได้ ท่านจะต้องเข้าพักภาวนาอยู่ในสถานที่นั้นๆ แล้วสถานที่นั้นๆ ก็กลายเป็นสถานที่ธรรมดาขึ้นมา ผู้คนสามารถเข้าไปทำมาหากินได้เป็นปรกติ

18#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ เสือเดินตาม

ครั้งหนึ่ง ท่านได้รับนิมนต์ไปที่บ้านเปือย และมีโยมชื่อพรหมติดตามไปด้วย ตอนขากลับ ท่านได้เดินข้ามดงพระเจ้าตัดตรงไปยังบ้านโคกสำราญ พอท่านเดินเข้าดงพระเจ้าได้ไม่นาน ก็มีเสือโคร่งตัวใหญ่ตัวหนึ่งเดินตามมาส่งท่านจนพ้นดง ท่านบอกว่าเสือตัวนั้นไม่กล้าทำอะไรท่าน พอท่านหยุดเดิน มันก็หยุดบ้าง พอท่านเดิน มันก็เดินบ้าง บางขณะอยู่ห่างกันประมาณ ๑ เส้น (๒๕ เมตร) บางขณะก็เข้ามาใกล้ท่าน ถ้ามันจะกระโดดเข้าตะครุบท่าน มันกระโดดทีเดียวก็ถึงตัวท่านแล้ว แต่นี่มันเพียงแต่เดินตามท่านไปเฉยๆ ถ้าเวลาไหนเสือเดินเข้ามาใกล้ ท่านจะค่อยๆ เดินแล้วหยุด พอท่านหยุดเดิน เสือก็หยุดนั่งมองดูท่าน เวลาเสืออยู่ห่างท่าน ท่านจะต้องรีบเดินให้เร็วที่สุด พอเสือเห็นท่านเดินเร็ว มันจะรีบเข้ามาใกล้ ตรงไหนทางเลี้ยว มันจะเดินเข้ามาใกล้ประมาณ ๔-๕ วาเท่านั้น ถ้าทางตรงมันจะเดินช้าลงคือมันจะได้เห็นตัวท่านอยู่ตลอดเวลาขณะที่เสือเดินตามท่านอยู่นั้น จิตใจของท่านได้แผ่เมตตาให้มันอยู่ตลอดเวลา พูดถึงความกลัวนั้น ท่านบอกว่า เวลาไหนเสือเดินเข้ามาใกล้ ท่านกลัวจนเข่าอ่อน ส่วนโยมพรหมนั้น พอเห็นเสือเดินตามมาติดๆ ก็รีบเดินเร็วๆ ไปก่อนท่าน เสือเดินตามท่านจนกระทั่งพ้นดงพระเจ้าถึงที่ไร่นา เสือจึงหยุดเดินตาม

ฉะนั้น เรื่องราวทุกเรื่องที่ท่านได้ผจญมา นับเป็นเรื่องยากแสนยากลำบากจริงๆ
19#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ ผจญผีโปร่งค่าง

อีกเรื่องหนึ่ง ท่านกับเพื่อนสหธรรมิกของท่าน คือหลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร ซึ่งปัจจุบันท่านอยู่ที่วัดป่าภูดิน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี พากันเที่ยวหาความวิเวกทางจังหวัดศรีสะเกษ สมัยนั้น บางวันเดินตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ แสนที่จะลำบากจริงๆ ไม่เหมือนกับสมัยนี้ เรื่องอาหารการขบฉันนั้นก็ตามมีตามเกิด บางวันต้องฉันข้าวกับใบมะขามอ่อน บางวันก็ต้องฉันข้าวกับยอดสะเดา มีลูกศิษย์บางคนถามท่านว่าอร่อยหรือเปล่า ท่านตอบว่า เราฉันไปเพื่อให้อยู่รอดไปวันๆ เพื่อปฏิบัติธรรมเท่านั้น ไม่ได้ฉันเพื่อความอยากเพื่อความอร่อยนี่ และบางครั้งท่านก็เที่ยววิเวกไปอยู่กับพวกชาวเผ่าภูไทบ้าง พวกโซ่งบ้าง พวกลาวพวนบ้าง พวกแม้วพวกม้งบ้าง และคนภูเขาเผ่าต่างๆ บ้าง การภาวนาก็สบายดี เพราะต่างคนต่างอยู่ เขาไม่มารบกวนพระเหมือนอย่างทุกวันนี้ดอก

ท่านได้เที่ยววิเวกไปทางฝั่งลาว ผีโปร่งค่างมารบกวน ลักษณะของมันเหมือนหนู แต่ตัวใหญ่เท่ากับแมว ตัวยาวประมาณ ๑ ศอก ท่านว่าผีพวกนี้ชอบดูดเลือดเป็นอาหาร หน้าตามันเหมือนกับลิง ฟันก็เหมือนฟันของลิงไม่มีผิดเลย ตอนที่ท่านไปภาวนาอยู่ที่นั่น มันมารบกวนอยู่ ๓ วัน ทำให้ท่านไม่ได้พักผ่อนเลย พอหลับตาลงนอนมันจะเข้ามารบกวนทันที ถ้าท่านไม่นอน มันจะอยู่ห่างๆ ประมาณ ๑๐ เมตร มันจะขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตามเถาวัลย์ ถ้าเผลอเมื่อไรมันจะมาดูดกินเลือดทันที

พอถึงวันที่สี่ ท่านก็อธิษฐานว่า ถ้าเคยมีเวรกรรมต่อกัน เราจะใช้กรรมให้ท่าน แต่ถ้าเราไม่เคยมีเวรกรรมต่อกันแล้วก็อย่ามารบกวนเรา เราจะภาวนาแผ่บุญกุศลไปให้ ท่านอธิษฐานแล้วก็นั่งภาวนาต่อไป พอออกจากที่ภาวนา ผีโปร่งค่างที่มารบกวนอยู่นั้นไม่รู้หายไปไหน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็ไม่เห็นวี่แววของมันอีกเลย

เรื่องแบบนี้ บางคนก็ไม่เชื่อ คิดว่าคนสมัยก่อนเห็นอะไรเป็นผีไปหมด คนสมัยนี้กับคนสมัยนั้นไม่เหมือนกัน ดูแต่จิตใจก็รู้ เรื่องผีเรื่องสาง เรื่องเทวดา คนไม่เชื่อว่ามีในโลกนี้ ก็อย่าได้ถือสาหาความ ให้นึกเสียว่าเป็นกรรมของผู้นั้น สำหรับครูบาอาจารย์ย่อมเห็น จึงกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำ เพราะท่านเห็นในโลกธาตุอันนี้ ไม่เหมือนพวกเราซึ่งเป็นพวกหูกระทะ ตาไม้ไผ่

เมื่อท่านออกจากที่นั้นแล้วก็เที่ยววิเวกต่อไปอีกหลายแห่งในสถานที่ต่างๆ ของทางฝั่งประเทศลาวเป็นเวลานานพอสมควรจึงได้กลับมาประเทศไทย แล้วก็มาจำพรรษาที่วัดประชานิยม บ้านหนองหลวงอีกครั้ง ครั้นออกพรรษาแล้วก็เที่ยววิเวกต่อไป เพราะนิสัยของท่านไม่ชอบอยู่กับที่

20#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-19 21:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๏ ผจญผึ้งรังใหญ่

ในปี พ.ศ.๒๔๘๘ ซึ่งเป็นปีที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตอนนั้นท่านจำพรรษาที่วัดบูรพาราม จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งปีนั้นท่านอยู่กับหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล และหมู่คณะอีกหลายรูปด้วยกัน ท่านเล่าว่า ออกพรรษาแล้ว วันหนึ่งหลวงปู่เสาร์ได้พาลูกศิษย์ไปเที่ยวธุดงค์ที่อำเภอโขงเจียมและนครจำปาศักดิ์ ขณะเที่ยวธุดงค์อยู่นั้นหลวงปู่เสาร์เกิดไม่สบาย ลูกศิษย์ที่เข้ามาปฏิบัติท่านตอน ๔ โมงเย็นได้นิมนต์หลวงปู่ไปสรงน้ำ แต่หลวงปู่เดินไม่ได้เพราะท่านป่วย ลูกศิษย์จึงหาเตียงมาหามท่านไป เพราะหนองน้ำอยู่ไกลมาก พอไปถึงก็วางเตียงลงไว้ใต้ต้นยางต้นหนึ่ง และหมู่คณะสงฆ์ก็พากันไปตักน้ำมาสรงท่าน พอเดินกลับมาใกล้จะถึงตัวท่าน ขณะนั้น ก็มีอีแร้งตัวหนึ่งบินมาที่ต้นยาง ชนเอารังผึ้ง รังใหญ่ประมาณ ๒ วา ซึ่งอยู่บนต้นยางนั้นตกลงมาใส่หลวงปู่พอดี พวกลูกศิษย์เห็นดังนั้น จึงพากันวิ่งมาหามเตียงที่ท่านนอนอยู่ไปที่อื่น ลูกศิษย์อีกพวกหนึ่งก็หลอกล่อไล่ผึ้งไปทางอื่น จากนั้นก็ช่วยกันปฐมพยาบาลหลวงปู่ ลูกศิษย์ถามหลวงปู่ว่า เจ็บมากไหมครับกระผม หลวงปู่ตอบว่า มันต้องเจ็บสิ ผึ้งตั้งรัง ระบมไปหมดทั้งตัวเลย ตอนนั้น หลวงปู่บุญกล่าวว่าสงสารท่านหลวงปู่เสาร์จริงๆ ตัวท่านก็ไม่สบายอยู่แล้ว ยังมาถูกผึ้งต่อยอีก ถ้าพวกลูกศิษย์ไม่พาท่านไป ก็คงจะไม่เป็นอย่างนี้แน่ หลวงปู่เสาร์เลยพูดถึงเรื่องวินัยว่า “พวกคุณไม่มีสติเลยนะ เป็นอะไรจึงพากันวิ่ง มันผิดวินัย รู้ไหม” พวกลูกศิษย์จึงคิดได้ว่า พวกเรานี้ ไม่มีสติกันจริงๆ

เมื่อหลวงปู่เสาร์หายดีแล้ว ท่านก็พาลูกศิษย์มาอยู่ที่วัดดอนธาตุ ซึ่งตั้งอยู่ริมลำน้ำชี การไปมาต้องใช้เรือเป็นพาหนะ หลวงปู่เสาร์กล่าวว่า ที่วัดดอนธาตุนี้ การภาวนาดีมาก ถ้าใครเข้ามาอยู่แล้วแต่ไม่ภาวนาเดี๋ยวจะได้เห็นดีกับเจ้าของเขา ซึ่งท่านหมายถึงเจ้าที่ในวัดดอนธาตุนั้น อีกทั้งกับได้อยู่ใกล้หลวงปู่เสาร์ด้วยแล้ว ทำให้การเจริญเมตตาภาวนาดีมาก ไม่มีคำว่าถอยหลัง พอออกจากวัดดอนธาตุ แล้วก็กลับมาอยู่ที่วัดบูรพาราม จังหวัดอุบลราชธานีอีกครั้ง

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้