ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3879
ตอบกลับ: 10
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ วิปัสสนาญาณ ~

[คัดลอกลิงก์]
เริ่มเจริญวิปัสสนา

            การเจริญวิปัสสนา ต้องเจริญเพื่อมรรคผล อย่างแบบคิดว่า พอเป็นอุปนิสัยเท่านั้น การปฏิบัติแบบคิดว่าพอเป็นนิสัย ไม่ควรมีในหมู่พุทธศาสนิกชน เพราะเป็นการดูแคลนพระพุทธศาสนาเกินไป พูดกันตรง ๆ ก็ว่า ไม่มีความเชื่อถือจริง และไม่ใช่นักปฏิบัติจริง ปฏิบัติตามเขาพอได้ชื่อว่าฉันก็ปฏิบัติวิปัสสนาคนประเภทนี้แหละที่ทำให้พระพุทธศาสนา เสื่อมโทรม เพราะทำไปไม่นานก็เลิกแล้วก็เอาความไม่จริงไม่จังของตนเองนี่แหละไป โฆษณา บอกว่าฉันปฏิบัตินานแล้วไม่เห็นมีอะไรปรากฏเป็นการทำลายพระศาสนาโดยตรง ฉะนั้น นักปฏิบัติแล้วควรตั้งใจจริงเพื่อมรรคผล ถ้ารู้ตัวว่าจะไม่เอาจริงก็อย่าเข้ามายุ่ง ทำให้ศาสนาเสื่อมทรามเลย ต่อไปนี้จะพูดถึงนักปฏิบัติที่เอาจริง

ก่อนพิจารณาวิปัสสนา

            ทุกครั้งที่จะเจริญวิปัสสนา ท่านให้เข้าฌานตามกำลังสมาธิที่ได้เสียก่อนเข้าฌานให้ถึงที่สุดของสมาธิ ถ้าเป็นฌานที่ ๔ ได้ยิ่งดี ถ้าได้สมาธิ ๆ ไม่ถึงฌาน ๔ ก็ให้เข้าฌานจนเต็มกำลังสมาธิที่ได้เมื่ออยู่ในฌานจนจิตสงัดดีแล้วค่อยๆ คลายสมาธิมาหยุดอยู่ที่อุปจารฌาน แล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณทีละขั้น อย่าละโมบโลภมาก ทำทีละขั้น ๆ นั้น จะเกิดเป็นอารมณ์ ประจำใจไม่หวั่นไหว เป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นอารมณ์ที่ไม่กำเริบแล้ว จึงค่อยเลื่อนไปฌาน ต่อไปเป็น ลำดับ ทุกฌานปฏิบัติอย่างเดียวกันทำอย่างนี้จะได้รับผลแน่นอน ผลที่ได้ต้องมีการ ทดสอบจากอารมณ์จริงเสมอ อย่านึกคิดเอาเองว่าได้เมื่อยังไม่ผ่านการกระทบจริง ต้องผ่านการกระทบจริงก่อน ไม่กำเริบแล้วเป็นอันใช้ได้

ธรรมเครื่องบำรุงวิปัสสนาญาณ

            นักเจริญวิปัสสนาญาณที่หวังผลจริง ไม่ใช่นักวิปัสสนาทำเพื่อโฆษณาตัวเองแล้ว ท่านว่าต้องเป็นผู้ปรับปรุงบารมี ๑๐ ให้ครบถ้วนด้วย ถ้าบารมี ๑๐ ยังไม่ครบถ้วนเพียงใด ผลในการเจริญวิปัสสนาญาณจะไม่มีผลสมบูรณ์ บารมี ๑๐ นั้นมีดังต่อไปนี้
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 07:34 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๑.ทาน  คือการให้ต้องมีอารมณ์ใคร่ต่อการให้ทานเป็นปกติ  ให้เพื่อสงเคราะห์ไม่ให้เพื่อผลตอบแทน  ให้ไม่เลือกเพศ  วัย  ฐานะ  และความสมบรูณ์  เต็มใจในการให้ทานเป็นปกติ   ไม่มีอารมณ์หวั่นไหวในการให้ทาน

๒.ศีล  รักษาศีล  ๕  เป็นปกติ ศีลไม่บกพร่อง และรักษาแบบอุกฤษฏ์  คือไม่ทำให้ศีลขาดหรือด่างพร้อยเอง  ไม่ยุคนอื่นให้ล่ะเมิดศีล  ไม่ดีใ่จเมื่อคนอื่นละเมิดศีล

๓.เนกขัมมะ  การถือบวช  คือถือพรหมจรรย์  ถ้าเป็นนักบวช ก็ต้องถือสิกขาบท  อย่างเคร่งครัด  ถ้าเป็นฆาราวาส  ต้องเคร่งครัดในการระงับอารมณ์ที่เป็นทางของนิวรณ์ ๕  คือทรงฌานเป็นปกติ  อย่างต่ำปฐมฌาน

๔. ปัญญามีความคิดรู้เท่าทันสภาวะของกฏธรรมดา  เห็นอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตาเป็นปกติ

๕.วิริยะ  มีความเพียร เป็นปกติ  ไม่ท้อถอยในการปฏิบัติคเพื่อมรรคผล

๖.ขันติ  อดทนต่อความยากลำบาก  ในการฝืนใจระงับอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ  อดกลั้น  ไม่หวั่นไหว  จนมีอารมณ์อดกลั้นเป็นปกติ  ไม่หนักใจ

๗. สัจจะ  มีความจริงใจ  ไม่ละทิ้งกิจการงานในการปฏิบัติความดีเพื่อมรรคผล

๘.อธิษฐาน ความตั้งใจ   ความตั้งใจใด  ๆ   ที่ตั้งไว้  เช่นสมัยที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  พระองค์เข้าไปนั่งที่โคนต้นโพธิ  พระองค์ทรงอธิษฐษนว่า ถ้าเราไม่ได้สำเร็จพระโพธิญาณเพียงใด เราจะไม่ยอมลุกจากที่นี่  แม้เนื้อและเลือดจะเหือดแห้งไป  หรือชีวิตจะตักษัย  คือสิ้นลมปราณก็ตามที  พระองค์ทรงอธิษฐานเอาชีวิตเข้าแลก   แล้วพระองค์ทรงบรรลุในคืนนั้น  การปฏิบัติต้องมีความมั่นใจอย่างนี้   ถ้าลงเอาชีวิตเป็นเดิมพันแล้วสำเร็จทุกราย  และไม่ยากเสียด้วย  ใช้เวลาก็ไม่นาน

๙.เมตตา  มีความเมตตาปรานีไม่เลือก  คน  สัตว์  ฐานะ  ชาติ  ตระกูล  มีอารมณ์เป็นเมตตาตลอดวันคืนเป็นปกติ  ไม่ใช่บางวันดี   บางวันราย  อย่างนี้ไม่มีหวัง

๑๐.อุเบกขา  ความวางเฉยต่ออารมณ์ที่ถูกใจ  และอารมณ์ที่ขัดข้องใจ  อารมณ์ที่ถูกใจรับแล้วก็ทราบว่าไม่ช้าอาการอย่างนี้ก็หมดไป  ไม่มีอะไรน่ายึดถึ  พบอารมณ์ที่ขัดใจก็ปลงตกว่า เรื่องอย่างนี้มันเป็นธรรมดาของโลกแท้  ๆ  เฉยได้ทั้งสองอย่าง

                    บารมี ๑๐ นี้ มีความสำคัญมาก  ถ้านักปฏิบัติบกพร่องในบารมี  ๑๐  นี้  แม้อย่างเดียว  วิปัสสนาญาณก็มีผลสมบรูณ์ไม่ได้  ที่ว่าเจริญกันมา    ๑๐  ปี ๒๐   ปี  ไม่ได้อะไรนั้น  ก็เพราะเป็นผู้พร่องในบารมี  ๑๐ นี่เอง    ถ้าบารมี๑๐  ครบถ้วนแล้ว  ผลการปฏิบัติเขานับวันสำเร็จกัน  ไม่ใช่นับเดือนนับปี  ฉะนั้น  ท่านนักปฏิบัติกรรมฐษนเพื่อมรรคผลต้องสนใจปฏิบัติในบารมี  ๑๐  นี้ไม่ให้บกพร่องเป็นกรณีพิเศษ

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 07:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิปัสสนาญาณสามนัย

วิปัสสนาญาณที่พิจารณากันมานั้น  ท่านสอนไว้เป็นสามนัย  คือ

                ๑.พิจารณาตามแบบวิปัสสนาญาณ  ๙   ตามนัยวิสุทธิมรรค  ที่ท่านพระพุทธโฆษาจารย์รจนาไว้

                ๒.พิจารณาตามนัยอริยสัจ   ๔

                ๓.พิจารณาขันธ์  ๕  ตามในพระไตรปิฎก ที่มีมาในขันธวรรค

                    ทั้งสามนัยนี้   ความจริงก็มีอรรถ  คือความหมายเป็นอันเดียวกัน  โดยท่านให้เห็นว่าขันธ์  ๕  ไม่เที่ยง    เป็นทุกข์   เป็นอนัตตา เหมือนกัน   ท่านแยกไว้เพื่อเหมาะแก่อารมณ์ของแต่ละท่าน  เพราะบางท่านชอบค่อยทำไปตามลำดับ   ตามนัยวิปัสสนาญาณ  ๙  เพราะเป็นการค่อยปลดค่อยเปลื้องตามลำดับที่ละน้อย  ไม่หนักอก หนักใจ  บางท่านก็ชอบพิจารณาแบบรวม  ๆ  ในขันธ์  ๕  เพราะเป็นการสะดวก   เหมาะแก่อารมณ์    บางที่ชอบพิจารณาตามแบบอริยสัจนี้   พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเอง  และนำมาสอนปัญจัควัคคีย์  เป็นครั้งแรก  ท่านเหล่านั้นได้มรรคผลเป็นปฐม  ก็เพราะได้ฟังอริบสัจ  แต่ทว่าทั้งสามนี้ก็มีความหมายอย่างเดียวกัน  คือให้เห็นอนัตตาในขันธ์   ๕  เหมือนกัน    ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคและในขันธวรรค  ในพระไตรปิฎกว่า  ผู้ใดเห็นขันธ์  ๕  ผู้นั้นก็เห็นอริยสัจ   ผู้ใดเห็นอริยสัจก็ชื่อว่าเห็นขันธ์  ๕

เอาสังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัดอารมณ์

            นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอาสังโยชน์เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบเคียงจิตกับสังโยชน์ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั้นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่า เราเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหัตตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 07:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สังโยชน์ ๑๐

            สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมอยู่ในวัฏฏะมี ๑๐ อย่างคือ

    ๑.สักกายทิฏฐิ มีความเห็นว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มีในเรา
    ๒.วิจิกิจฉา สงสัยในผลการปฏิบัติว่า จะไม่ได้ผลจริงตามที่ฟังมา
    ๓.สีลัพพตปรามาส ถือศีลไม่จริงไม่จัง สักแต่ถือตาม ๆ เขาไปอย่างนั้นเอง สามข้อ นี้ ถ้าตัดได้เด็ดขาด ท่านว่าได้บรรลุเป็นพระโสดา กับพระสกิทาคามี
    ๔.กามราคะ ความกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และอาการ ถูกต้องสัมผัส
    ๕.ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งใจ ทำให้ไม่พอใจ อันนี้เป็นโทสะแบบเบาๆ ข้อ (๑) ถึง (๕) นี้ ถ้าละได้เด็ดขาด ท่านว่าบรรลุเป็นอนาคามี
    ๖.รูปราคะ พอใจในรูปธรรม คือความพอใจในวัตถุ หรือ รูปฌาน
    ๗.อรูปราคะ พอใจในอรูป คือเรื่องราวที่กล่าวถึง หรือ ในอรูปฌาน
    ๘.อุทธัจจะ อารมณ์ฟุ้งซ่าน คิดนอกลู่นอกทาง
    ๙.มานะ ความถือตนโดยความรู้สึกว่า เราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา
  ๑๐.อวิชชา ความโง่ คือหลงพอใจในกามคุณ ๕ และกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ ที่ ท่านเรียกว่า อุปาทาน เป็นคุณธรรมฝ่ายทราม ที่ท่านเรียกว่า อวิชชา

            สังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อนี้ ถ้าท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ๆ ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครบ ๑๐ อย่าง โดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่าท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตผลเครื่องวัด อารมณ์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสจำกัดไว้อย่างนี้ ขอนักปฏิบัติจงศึกษาไว้ แล้วพิจารณาไปตามแบบ ท่านสอนเอาอารมณ์มาเปรียบกับสังโยชน์ ๑๐ ทางที่ดีควรคิดเอาชนะกิเลสคราวละข้อ เอาชนะ ให้เด็ดขาด แล้วค่อยเลื่อนเข้าไปทีละข้อ ข้อต้น ๆ ถ้าเอาชนะไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งเลื่อนเข้าไปหา ข้ออื่น ทำอย่างนี้ได้ผลเร็ว เพราะข้อต้นหมอบแล้ว ข้อต่อไปไม่ยากเลย จะชนะหรือไม่ชนะ ก็ข้อต้นนี้แหละ เพราะเป็นของใหม่และมีกำลังครบถ้วนที่จะต่อต้านเรา ถ้าด่านหน้าแตก ด่านต่อไปง่ายเกินคิด ขอให้ข้อคิดไว้เพียงเท่านี้ ต่อไปจะนำเอาวิปัสสนาญาณสามนัยมากล่าว ไว้พอเป็นแนวปฏิบัติพิจารณา
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 07:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิปัสสนาญาณ  ๙

๑.อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ  พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ

๒.ภังคานุปัสสนาญาณ  พิจารณาเห็นความดับ

๓.ภยตูปัฏฐานญาณ  พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว

๔.อาทีนวานุปัสสนาญาณ  พิจารณาเห็นโทษของสังขาร

๕.นิพพิทานุปัสสนาญาณ  พิจารณาสังขารเห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย

๖.มุญจิตุกามยตาญาณ  พิจารณาเพื่อใคร่จะให้พ้นจากสังขารไปเสีย

๗.ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ พิจารณาหาทางที่จะให้พ้นจากสังขาร

๘.สังขารุเปกขาญาณ  พิจารณาเห็นว่าควรวางเฉยในสังขาร

๙.สัจจานุโลมิกญาณ  พิจารณาอนุโลมในญาณทั้ง  ๘ นั้น เพื่อกำหนดรู้ในอริยสัจ

6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 07:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ญาณทั้ง ๙ นี้ ญาณที่มีกิจทำเฉพาะอยู่ตั้งแต่ญาณที่ ๑ ถึง ญาณที่ ๘ เท่านั้น ส่วนญาณ ที่ ๙ นั้น เป็นชื่อของญาณบอกให้รู้ว่า เมื่อฝึกพิจารณามาครบ ๘ ญาณแล้ว ต่อไปให้พิจารณาญาณทั้ง ๘ นั้น โดยอนุโลมและปฏิโลม คือพิจารณาตามลำดับไปตั้งแต่ญาณที่ ๑ ถึงญาณที่ ๘ แล้วพิจารณาตั้งแต่ญาณที่ ๘ ย้อนมาหาญาณที่ ๑ จนกว่าจะเกิดอารมณ์เป็นเอกัคคตารมณ์ทุก ๆ ญาณและจนจิตเข้าสู่โคตรภูญาณ คือจิตมีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎธรรมดา เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยตนหรือคนอื่นเป็นของธรรมดาไปหมด สิ่งกระทบเคยทุกข์เดือดร้อนก็ ไม่มีความทุกข์ ความเร่าร้อนไม่ว่าอารมณ์ใดๆ ทั้งที่เป็นเหตุของความรัก ความโลภ ความโกรธ ความผูกพัน ยอมรับนับถือกฎธรรมดาว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ อาการอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดาแท้ ท่านว่าครอบงำความเกิด ความดับ ความตายได้เป็นต้น คำว่าครอบงำหมายถึงความไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว ใครจะตายหรือเราจะตายไม่หนักใจ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องตาย ใครทำให้โกรธในระยะแรกอาจหวั่นไหวนิดหนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่านี่มันเป็นของธรรมดาโกรธทำไม แล้วอารมณ์โกรธก็หายไปนอกจากระงับ ความหวั่นไหวที่เคยเกิดเคยหวั่นไหวได้แล้ว จิตยังมีความรักในพระนิพพานยิ่งกว่าสิ่งใด สามารถจะสละวัตถุภายนอกทุกอย่างเพื่อพระนิพพานได้ทุกขณะมีความนึกคิดถึงพระนิพพานเป็นปกติ คล้ายกับชายหนุ่มหญิงสาวเพิ่งแรกรักกัน จะนั่ง นอน ยืน เดินทำกิจการงานอยู่ก็ตามจิตก็ยังอดที่จะคิดถึงคนรักอยู่ด้วยไม่ได้ บางรายเผลอถึงกับเรียกชื่อคนรัก ขึ้นมาเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้คิดว่าจะเรียกทั้งนี้เพราะจิตมีความผูกพันมาก คนรักมีอารมณ์ ผูกพันฉันใด ท่านที่มีอารมณ์เข้าสู่โคตรภูญาณก็มีความใฝ่ฝันถึงพระนิพพานเช่นเดียวกัน หลังจากเข้าสู่โคตรภูญาณเต็มขั้นแล้ว จิตก็ตัดสังโยชน์ ๓ เด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน คือตัดได้เด็ดขาดไม่กำเริบอีก ท่านเรียกว่าได้อริยมรรคต้นคือเป็นพระโสดาบัน ต่อไปนี้ จะได้ อธิบายในวิปัสสนาญาณ ๙ เป็นลำดับไปเป็นข้อ ๆ

๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ

            ญาณนี้ท่านสอนให้พิจารณาความเกิดและความดับของสังขาร คำว่า สังขาร หมายถึง สิ่งที่เป็นร่างทั้งหมด ทั้งที่มีวิญาณและวัตถุ ท่านให้พยายามพิจารณาใคร่ครวญเสมอ ๆ ว่า สังขารนี้มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้ว ต่อไปก็แตกสลายทำลายไปหมด ไม่มีสังขารประเภทใดเหลืออยู่เลย พยายามหาเหตุผลในคำสอนนี้ให้เห็นชัด ดูตัวอย่างคน ที่เกิดแล้วตาย ของที่มีขึ้นแล้วแตกทำลาย ดูแล้วคิดทบทวนมาหาตน และคนที่รักและไม่รัก ของที่มีชีวิตและไม่มีคิดว่านี่ไม่ช้าก็ต้องตายทำลายอย่างนี้ และพร้อมเสมอที่จะไม่หวั่นไหว ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างนั้น พิจารณาทบทวนอย่างนี้จนอารมณ์เห็นเป็นปกติ ได้อะไรมา เห็นอะไรก็ตาม แม้แต่เห็นเด็กเกิดใหม่ อารมณ์ใจก็คิดว่านี่ไม่ช้ามันก็พัง ไม่ช้ามันก็ทำลาย แม้แต่ร่างกายเรา ไม่ช้ามันก็สิ้นลมปราณ อะไรที่ไหนที่เราคิดว่ามันจะยั่งยืนถาวรตลอดกาล ไม่มีรักษาอารมณ์ให้เป็นอย่างนี้ จนอารมณ์ไม่กำเริบแล้วจึงค่อยย้ายไปพิจารณาญาณ ที่สอง จงอย่าลืมว่า ก่อนพิจารณาทุกครั้งต้องเข้าฌานก่อน แล้วถอยจากฌานมาหยุดอยู่เพียงอุปจารฌาน แล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณ จึงจะเห็นเหตุเห็นผลง่าย ถ้าท่านไม่อาศัยฌานแล้ว วิปัสสนาญาณก็มีผลเป็นวิปัสสนึกเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรดีไปกว่า นั่งนึกนอนนึก แล้วในที่สุดก็เลิกนึก และหาทางโฆษณาว่าฉันทำมาแล้วหลายปีไม่เห็นได้ อะไรเลย จงจำระเบียบไว้ให้ดี และปฏิบัติตามระเบียบให้เคร่งครัด วิปัสสนาไม่ใช่ต้ม ข้าวต้ม จะได้สุกง่าย ๆ ตามใจนึก
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 07:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๒. ภังคานุปัสสนาญาณ

            ญาณนี้ท่านสอนให้พิจารณาถึงความดับ ญาณต้นท่านให้เห็นความเกิด และความดับสิ้นเมื่อปลายมือ แต่ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเห็นความดับที่ดับเป็นปกติ ทุกวัน ทุกเวลา คือพิจารณาให้เห็นสรรพสิ่งทั้งหมดที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า คน สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา บ้านเรือนโรง ของใช้ทุกอย่าง ให้ค้นหาความดับที่ค่อย ๆ ดับตาม ความเป็นจริง ที่สิ่งเหล่านั้นค่อย ๆ เก่าลง คนค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นจากความเป็นเด็ก และ ค่อยๆ ละความเป็นหนุ่มสาวถึงความเป็นคนแก่ ของใช้ที่ไม่มีชีวิตเปลี่ยนสภาพจาก เป็นของใหม่ค่อยๆ เก่าลง ต้นไม้เปลี่ยนจากเป็นต้นไม้ที่เต็มไปด้วยกิ่งใบที่ไสว กลายเป็นต้นไม้ที่ค่อยๆ ร่วงโรย ความสลายตัวที่ค่อยเก่าลง เป็น อาการของความสลายตัว ทีละน้อยค่อยๆ คืบคลานเข้าไปหาความสลายใหญ่คือความดับสิ้นในที่สุด ค่อยพิจารณา ให้เห็นชัดเจนแจ่มใส จนอารมณ์จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ คือมีความชินจิตว่าไม่มีอะไร มันทรงตัว ไม่มีอะไรยั่งยืน มันค่อยๆ ทำลายตัวเองอย่างนี้ทั้งสิ้น แม้แต่อารมณ์ใจก็ เช่นเดียวกัน อารมณ์ที่พอใจและอารมณ์ที่ไม่ชอบใจก็มีสภาพไม่คงที่มีสภาพค่อย ๆ สลายตัวลงไปทุกขณะเป็นธรรมดา

            รวมความว่า ความเกิดขึ้นนี้เป็นสภาพที่จำต้องเดินไปหาความดับในที่สุด แต่กว่าจะถึงที่สุดก็ค่อย ๆ เคลื่อนดับ ดับทีละเล็กละน้อยทุกเวลาทุกขณะ มิได้หยุดยั้งความดับ เลยแม้แต่เสี้ยวของวินาที ปกติเป็นอย่างนี้จิตหายความหวั่นไหว เพราะเข้าใจและคิดอยู่ รู้อยู่อย่างนั้นเป็นปกติ

๓. ภยตูปัฏฐานญาณ

            ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว ท่านหมายถึงให้กลัวเพราะสังขารมีสภาพพังทลายเป็นปกติอยู่เป็นธรรมดาอย่างนี้ จะเอาเป็นที่พักที่พึ่งมิได้เลย สังขาร เมื่อมีสภาพต้องเสื่อมไปเพราะวันเวลาล่วงไปก็ดี เสื่อมเพราะเป็นรังของโรค มีโรคภัยนานา ชนิดที่คอยเบียดเบียน เสียดแทงจนหาความปกติสุขมิได้ โรคอื่นยังไม่มี โรคหิวก็รบกวน ตลอดวัน กินเท่าไรก็ไม่อิ่มไม่พอ กินแล้วกินอีก กินในบ้านก็แล้ว กินนอกบ้านก็แล้ว อาหาร ราคาถูกก็แล้ว ราคาแพงก็แล้ว มันก็ไม่หายหิว ถึงเวลามันก็เสียดแทงหิวโหยเป็นปกติของ มันฉะนั้น โรคที่สำคัญที่สุดพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า โรคนั้น คือโรคหิวดังพระบาลี ว่า ชิฆจฺฉา ปรมา โรคา แปลว่า ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง โรคภัยต่างๆ มีขึ้นได้ก็ เพราะอาศัยสังขาร ความหิวจะมีได้ก็เพราะอาศัยสังขาร ความแก่ ความทุกข์อันเกิดจาก ภยันตรายจะมีได้ ก็เพราะอาศัยสังขาร เพราะมีสังขารจึงมีทุกข์ ในที่สุดก็ถึงความแตกดับ ก็เพราะสังขารเป็นมูลเหตุ สังขารจึงเป็นสิ่งน่ากลัวมาก ควร จะหาทางหลีกเร้นสังขารต่อไป
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 07:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ

            ญาณนี้ท่านให้พิจารณาให้เห็นโทษของสังขาร ความเจริญญาณนี้น่าจะจัดรวมกับ ญาณที่ ๓ เพราะอาการที่ทำลายนั้น เป็นอาการของสิ่งที่เป็นโทษอยู่แล้ว ฉะนั้น ข้อนี้จึง ไม่ต้องอธิบายโปรดถือคำอธิบายของญาณที่ ๓ เป็นเครื่องพิจารณา

๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ

            ญาณนี้ท่านให้พิจารณาให้มีความเบื่อหน่ายจากสังขาร เพราะสังขารเกิดแล้ว ดับในที่สุดนี้ประการหนึ่ง สังขารมีความดับเป็นปกติทุกวันเวลา หรือจะว่า ทุกลมหายใจเข้า ออกก็ไม่ผิด นี้ประการหนึ่ง สังขารเป็นภัย เพราะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเป็นปกติ และ ทำลายในที่สุดประการหนึ่ง สังขารเต็มไปด้วยความทุกข์และโทษประการหนึ่ง ฉะนั้นสังขาร นี้เป็นสภาพที่น่าเบื่อหน่าย ไม่เป็นของน่ารัก น่าปรารถนาเลย ญาณนี้ควรเอาอสุภสัญญา ความเห็นว่าไม่สวยไม่งามมาร่วมพิจารณาด้วย เอามรณานุสสติธาตุ ๔ มาร่วมพิจารณาด้วย จะเห็นเหตุเห็นผลชัดเจน เกิดความเบื่อหน่ายได้โดยฉับพลัน เพราะกรรมฐานที่กล่าวแล้ว นั้นเราพิจารณาในรูปสมถะอยู่แล้ว และเห็นเหตุผลอยู่แล้ว เอามาร่วมด้วยจะได้ผลรวดเร็ว และชัดเจนแจ่มใสมาก เกิดความเบื่อหน่ายในสังขารอย่างชนิดที่ไม่มีวันที่จะเห็นว่าน่ารัก ได้เลย

๖.มุญจิตุกัมมยตาญาณ

                ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเพื่อใคร่ให้พ้นจากสังขาร  ทั้งนี้เพราะอาศัยที่เห็นแล้วจากญาณต้น  ๆว่า  เกิดแล้วก็ดับมีความดับเป็นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยความทุกข์เพราะโรคภัยไข้เจ็บ  จนเกิดความเบื่อหน่าย  เพราะหาความเที่ยงความแน่นอนไม่ได้  ท่านให้พยายามหาทางพ้นต่อไป  ด้วยกายพยายามหาเหตุที่สังขารจะพึงเกิดขึ้น  เพราะถ้าไม่มีสังขารแล้ว   ความทุกข์ความเบื่อหน่ายทั้งหลายเหล่านี้จะมีไม่ได้เลย  การที่หาทางเบื่อหน่ายท่านให้แสวงหาเหตุของความเกิดดังต่อไปนี้

                ๑.ชรา ความแก มรณะ  ความตายเป็นต้น  มีขึ้นได้เพราะชาต  คือความเกิด

                ๒.ชาติ  ความเกิดได้ เพราะภพ   คือความเป็นอยู่

                ๓.ภพ  คือภาวะความเป็นอยู่  มีขึ้นได้เพราะอาศัยอุปาทาน  ความยึดมั่น

                ๔.อุปาทาน  ความยึดมั่น  มีขึ้นได้เพราะอาศัยตัณหา คือความทะยานอยาก  คืออยากมี  อยากเป็น  อยากปฏิเสธ

                ๕.ตัณหา  มีได้เพราะอาศัยเวทนา  คืออารมณ์ที่รู้สึกสุข   ทุกข์  และเฉย  ๆ

                ๖.เวทนา  มีขึ้นได้เพราะอาศัย ผัสสะ  คือการกระทบกระทั่ง

                ๗.ผัสสะ  มีขึ้นได้เพราะอาศัยอายตนะ  ๖  คือตาเห็นรูป   หูฟังเสียง  จมูกสูดกลิ่น  ลิ้นลิ้มรส   กายถูกต้องสัมผัส  และอารมณ์ที่เป็นอารมณ์ชอบใจและไม่ชอบใจที่เรียกว่า ธัมมารมณ์  คืออารมณืที่เกิดแก่ใจ

                ๘.อายตนะ  ๖ มีขี้นได้เพราะอาศัยนาม  และรูป  คือขันธ์  ๕  สิ่งที่เห็นได้ด้วยตา  คือร่างกายเรียกว่า รูป เวทนา  สัญญา  สังขาร วิญญาณ  เป็นนาม  ท่านรวมเป็นทั้งรูปทั้งนามว่า นามรูป

                ๙.นามรูป  มีขึ้นได้เพราะมีสังขาร

                ๑๐.สังขารมีขึ้นได้  เพราะอาศัยอวิชชา   คือความโง่เขลาหลงงมงาย  มีความรักความพอใจในโลกวิสัยเป็นเหตุ

                    รวมความแล้ว  ความทุกข์ทรมานที่ปรากฏขึ้นจนต้องหาทางพ้นนี้  อาศัยอวิชชาความโ่ง่เป็นสมุฏฐาน ฉะนั้น  การที่จะหลีกเร้นจากสังขารได้ก็ต้องตัดอวิชชาความโง่ออกด้วยการพิจารณาสังขารให้เห็นเป็น  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  ได้แน่นอน  จึงจะพ้นสังขารนี้ได้

9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 07:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ

            พิจารณาหาทางที่จะให้สังขารพ้น ญาณนี้ไม่เห็นทางอธิบายชัด เพราะมีอาการ ซ้อน ๆ กันอยู่ ควรเอา ปฏิจจสมุปบาท นั่นแหละเป็นเครื่องพิจารณา

๘. สังขารุเปกขาญาณ

            ท่านสอนให้วางเฉย ในเมื่อสังขารภายในคือ ร่างกายของตนเองและสังขารภายนอก คือร่างกายของคน และ สัตว์ ตลอดจนของใช้ที่ไม่มีและมีวิญญาณ ที่ต้องได้รับเคราะห์กรรม มีทุกข์ มีอันตราย โดยตัดใจปลงได้ว่า ธรรมดาต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ มีจิต สบายเป็นปกติ ไม่มีความหวั่นไหว เสียใจ น้อยใจเกิดขึ้น

๙. สัจจานุโลมิกญาณ

            พิจารณาญาณทั้งหมดย้อนไปย้อนมาให้เห็นอริยสัจ คือเห็นว่า สังขารที่เป็นแดน ของความทุกข์ เพราะอาศัยตัณหา จึงมีทุกข์หนักอย่างนี้ พิจารณาเห็นว่า สังขารมีทุกข์ประจำ เป็นปกติ ไม่เคยว่างเว้นจากความทุกข์เลย อย่างนี้เรียกว่า เห็นทุกขสัจจะเป็นอริยสัจที่ ๑

            พิจารณาเห็นว่า ทุกข์ทั้งหมดที่ได้รับเป็นประจำไม่ว่างเว้นนี้ เกิดมีขึ้นได้เพราะอาศัย ตัณหา ความทะยานอยาก ๓ ประการ คือ อยากมีในสิ่งที่ไม่เคยมี อยากเป็นในสิ่งที่ ไม่เคยเป็น อยากปฏิเสธ ในเมื่อความสลายตัวเกิดขึ้น ไม่อยากให้สลายตัว เจ้าความอยาก ทั้ง ๓ นี้แหละเป็นผู้สร้างความทุกข์ขึ้นมา ทุกข์นี้จะสิ้นไปได้ ก็เพราะเข้าถึงจุดของความดับ คือนิโรธเสียได้

10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-30 07:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จุดดับนั้นท่านวางมาตรฐานไว้ ๓ ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ท่านเรียกว่า มรรค ๘ ย่อมรรค ๘ ลงเหลือ ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้ เพราะอาศัยศีลบริบูรณ์ สมาธิ เป็นฌาน ปัญญารู้เท่าทันสภาวะความเป็นจริง หมดความเมาในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และดับอารมณ์พอใจไม่พอใจ เสียได้ ตัดอารมณ์ใจในโลกวิสัยได้ ตัดความกำหนัดยินดีเสีย ได้ด้วยปัญญาวิปัสสนาญาณ ชื่อว่าเห็นในอริยสัจ ๔ ทำอย่างนี้ คิดอย่างนี้ให้คล่อง จนจิต ครอบงำความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเมาในชีวิตเสียได้ ชื่อว่าท่านได้ วิปัสสนาญาณ ๙ และอริยสัจ ๔ แต่อย่าเพ่อพอ หรือคิดว่าดีแล้ว ต้องฝึกฝนพิจารณาเรื่อยไป จนตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการได้แล้ว นั่นแหละชื่อว่าเอาตัวรอดได้แล้ว
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้