ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2917
ตอบกลับ: 5
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

สัมผัสที่ 6 (six sense)

[คัดลอกลิงก์]
ประดับความรู้ครับ


สัมผัสที่ 6 (six sense) ฟังดูเหมือนไม่ธรรมดา ใครมีซิกเซ็นส์เขาถือว่าคนนั้นมีความสามารถพิเศษไม่ธรรมดาเลย แต่ความเป็นจริงแล้ว สัมผัสที่ 6 ก็คือ อายตนะที่ 6 คือใจที่ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ เรียกว่า ธรรมารมณ์ อายตนะ แปลว่า เครื่องสืบต่อ มีอยู่ทั้งหมด 6 ทาง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจนี่เอง
ในการเจริญสติ เราต้องรอบรู้ในกองสังขารที่มาจากการสัมผัสทั้ง 6 ช่องทางนี้ให้ละเอียดรอบด้าน กิเลสความหลงความปรุงแต่งไปในอดีต ในอนาคต สุขทุกข์ ล้วนมีจุดก่อกำเนิดเกิดเป็นอัตตาตัวตนมาจากการหลงไม่รู้เท่าทันในการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสทางกายและทางใจนี้ทั้งสิ้น จึงมีคำกล่าวว่า หากไม่รู้จักทุกข์จะวางทุกข์ได้อย่างไร หากไม่รู้จักสังขาร (ความปรุงแต่ง) จะวางสังขารได้อย่างไร

หากจะตั้งหน้าตั้งตาวางอย่างเดียว อะไรเกิดขึ้น เกิดดับอย่างไรไม่รู้จักต้นตอของการเกิดการดับของกิเลสความอยากเหล่านั้น ก็ชื่อว่าเป็นการวางที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ อย่างสูงเราละจากโลกนี้ไป เราก็ไปได้แค่พรหมโลกเท่านั้นเอง ทั้งนี้เพราะว่า เรายังหลงอยู่ เรายังไม่เข้าใจว่าเขาเกิดเขาดับขึ้นมาให้เราวางได้อย่างไร เรามาวางกันที่ผลที่ปลายเหตุ ยังไม่รู้จักสมุทัยหรือเหตุแห่งทุกข์ได้อย่างแท้จริง ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าทรงตรัสเหตุ และความดับไปแห่งเหตุแห่งธรรมนั้น นั้นหมายความว่า เราต้องรู้ที่ต้นตอและดับเหตุแห่งทุกข์ที่ต้นตอนั้นจึงจะดำเนินสู่หนทางแห่งมรรคมีองค์ 8 ได้อย่างแท้จริง

อายตนะที่ 6 แท้จริงแล้วมีการทำงานอยู่ตลอดเวลา แต่เพราะความที่มันเป็นของที่ละเอียดมากเป็นนามธรรมนั้นเอง การจะรู้จักหน้าที่การทำงานของเขาอย่างแท้จริง จึงต้องอาศัยความสงบ มีสติสัมปชัญญะที่ต่อเนื่องและการรู้จักสังเกตจึงจะรับรู้และเข้าใจในหน้าที่ของเขาได้ นั่นหมายความว่า เราต้องรู้จักฝึกสติสัมปชัญญะ หรือฝึกความรู้สึกตัวที่ต่อเนื่องขึ้นมา อาศัยความตั้งมั่นจากความต่อเนื่องตรงนั้น ความจำสภาวะได้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้น เราจึงจะได้เห็นได้สัมผัสสภาพที่เป็นธรรมารมณ์ที่แตกต่างออกไปจากเดิมนั้นได้อย่างชัดเจน การรับรู้ตรงนี้จึงกลายเป็นเรื่องปกติของผู้ฝึกเจริญสติสร้างความรู้สึกตัวจนชำนิชำนาญและรู้จักการสังเกตได้ดีแล้วนั่นเอง
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-13 21:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สรุปแล้ว สัมผัสที่ 6 ของเราทุกคนเขาทำงานของเขาอยู่ตลอดเวลาเป็นปกตินั่นแหละ เราเองต่างหากที่ไม่มีสติสัมปชัญญะพอที่จะไปรู้สึกรับรู้ตรงนั้นเองต่างหาก เราไม่ปกติเอง เพราะจิตเราไม่ตั้งมั่น สติเราไม่ต่อเนื่องพอ เราขาดการสังเกต ขาดการน้อมเข้ามาดูกายดูใจของตนเอง เรามีแต่หลงส่งจิตออกนอก หลงความคิดความปรุงแต่ง จินตนาการไปต่าง ๆ นานา ไม่มีเวลาให้กับจิตกับใจตัวเองจริง ๆ เลยสักที จนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว แล้วเราก็กลับไปมองคนที่เขามีสติสัมปชัญญะ สามารถสัมผัสรับรู้ธรรมารมณ์เหล่านี้ได้อย่างต่อเนื่องเป็นปกติว่า เป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ ไม่ธรรมดา หรือเป็นคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดานั่นเอง
ผี...ถามใครก็ตอบว่ากลัวผี ...
เคยเจอ ผี...ไหม....คำตอบ ...ไม่เคย
เรากลัว...ผี ...หรือ คนเรา กลัวความมืด
เพราะ....ความมืดทำให้มองไม่เห็น...เมื่อมองไม่เห็นก็เกิดความกลัว
เมื่อเกิดความกลัว....ก็เกิดจินตนาการ....เพราะ สติ ไม่ได้อยู่กับตัว ...ใช่ไหม?
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2013-10-14 11:23
morntanti ตอบกลับเมื่อ 2013-10-14 07:31
ผี...ถามใครก็ตอบว่ากลัวผี ...
เคยเจอ ผี...ไหม....คำตอบ ...ไม ...

ความมืดทำให้มองไม่เห็น แต่ก็หาใช่อุปสรรค กับคนที่มีสัมผัสที่6ครับ
รามเทพ ตอบกลับเมื่อ 2013-10-14 11:21
ความมืดทำให้มองไม่เห็น แต่ก็หาใช่อุปสรรค กับคนที่ม ...

ขอบคุณที่แนะนำ...แบบว่าไม่มีสัมผัสที่ ๖ ครับ.....ความมืดเลยก่อให้เกิดความกลัว...มาก่อนพอปรับตัวให้คุ้นชินกับความมืดความกลัวก็จะลดน้อยลง...สติก็จะกลับมา...ถูกไหม? ครับ
morntanti ตอบกลับเมื่อ 2013-10-15 07:28
ขอบคุณที่แนะนำ...แบบว่าไม่มีสัมผัสที่ ๖ ครับ.....ความม ...

พี่ราม ท่าน คงหมายถึง

พวกที่มีสัมผัสที่ หก อย่างเฮียตี๋ กับเสี่ยมาด ครับ

ความมืดมิใช่ ปังหา ฮิฮิ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้