ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 8115
ตอบกลับ: 27
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

พระปัจเจกพุทธเจ้า

[คัดลอกลิงก์]
พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านคือใคร???






การที่พระอรหัตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จมาอุบัติตรัสรู้ขึ้นมาสักองค์หนึ่ง เป็นสิ่งที่ยากเหลือคณา เพราะกว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบำเพ็ญบารมีครบ ๓๐ ทัศให้เต็มบริบูรณ์นั้นอย่างน้อยที่สุดจะต้องใช้เวลานานถึง ๔ อสงไขยกำไรแสนกัป แล้วในเวลาที่ว่างเว้นพระศาสนา ซึ่งบางครั้งยาวถึง ๑ อสงไขย สัตว์โลกที่ต้องเวียนว่ายายเกิดใจวัฏสงสาร ต้องมืดมนอลธกาลขาดที่พึ่ง ต้องอยู่ในอบายภูมิจำนวนมาก





การอุบัติขึ้น


ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ในระหว่างที่ว่างเว้นพระพุทธศาสนา หรือที่เรียกว่าพุทธันดรนั้น นับว่าเป็นโชคมหาศาลของผู้ที่เกิดในยุคนั้น เพราะพระปัจเจกพุทธเจ้าย่อมมาสงเคราะห์สัตว์โลก ให้ตั้งอยู่ในทาน ในศีล เมื่อละร่างกายไปแล้ว ย่อมสู่สุคติภูมิ มีสวรรค์เป็นต้น ให้บุคคลที่ตกยากแต่มีศรัทธาเต็มเปี่ยมได้เป็นมหาเศรษฐี ด้วยการออกจากนิโรธสมาบัติแล้วมาสงเคราะห์บิณฑบาต


พระปัจเจกพุทธเจ้า จึงเป็นเอกควรแก่การได้รับ "ไทยทาน" ที่เขานำมาถวาย หรือจะเรียกว่า "อัครทักขิไณยบุคคล" ในยุคพุทธันดรอย่างแท้จริง เพราะยุคนั้นไม่มีใครเปรียบเสมอ สมดังที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า...


" ในโลกทั้งปวงเว้นจากเราเสียแล้ว ไม่มีใครเสมอกับพระปัจเจกพุทธเจ้าได้เลย "








พระปัจเจกพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท


สำหรับความปรารถนาของพระปัจเจกโพธิสัตว์ทั้งหลาย แม้ถึงจะมีบารมีเป็นปัญญาธิกะ ก็ยังต้องปรารถนาการเพิ่มพูนโพธิสมภารตลอดเวลา ๒ อสงไขยแสนกัป ไม่อาจต่ำกว่านี้ พระปัจเจกพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท คือ


๑. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยแสนกัป


๒. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าศรัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยแสนกัป และเกินแสนกัปไปเล็กน้อย


๓. พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าวิริยาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยแสนกัป และเกินแสนกัปไปมากแต่ไม่ถึง ๓ อสงไขย



ผู้ปรารถนาความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จำเป็นต้องปรารถนาสมบัติ ๕ ประการ เพื่อเกิดอภินิหารของพระปัจเจกพุทธเจ้ามี ๕ ประการ คือ


๑. ความเป็นมนุษย์


๒. ความถึงพร้อมด้วยเพศชาย


๓. การได้เห็นท่านผู้ปราศจากอาสวะ คือ พระอรหันต์ทั้งหลาย อาทิ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า, พระปัจเจกพุทธเจ้า, หรือพระอรหันต์สาวก ท่านใดท่านหนึ่ง


๔. การกระทำอันยิ่งใหญ หรือ อธิการ


๕. ความเป็นผู้มีฉันทะ




2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-26 06:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย บำเพ็ญบารมีทั้งหลายตลอดกาลตามประเภทแล้ว ด้วยความปรารถนานี้ และด้วยอภินิหารนี้ อย่างนี้แล้วเมื่อจะเกิดในโลก ย่อมเกิดใน สกุลกษัตริย์ หรือ สกุลพราหมณ์


พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเกิดในสกุลกษัตริย์ สกุลพราหมณ์ หรือ สกุลคหบดี สกุลใดสกุลหนึ่ง


ส่วนพระอัครสาวก ย่อมเกิดขึ้นเฉพาะในสกุลกษัตริย์ และ สกุลพราหณ์เท่านั้น เหมือนอย่างพระพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่เกิดขึ้นในวัฏกัปคือ กัปเสื่อม ย่อมเกิดขึ้นใน วิวัฏฏกัป คือ กัปเจริญ แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหมือนกัน


พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย จะไม่เกิดขึ้นในกาลที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้น








ข้อกำหนด และ ปกิณณกะ : พระปัจเจกพุทธเจ้า


๑) พระปัจเจกพุทธลักษณะ
... ในพระบาลีและอรรถกถาไม่ได้แสดงพระปัจเจกพุทธลักษณะไว้ชัดเจนว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ามีลักษณะอย่างไร ในอรรถกถาได้กล่าวไว้ว่าพราหมณ์ยุคนั้นมีคัมภีร์มหาปุริสลักษณะว่าบุคคลผู้นี้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระพุทธบิดา พระพุทธมารดา แต่ก็ไม่ได้กล่าวว่าลักษณะเช่นไรเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า...ในอรรถกถาปัจเจกพุทธาปทาน และชาดกแสดงเพียงลักษณะของเพศบรรพชิตว่า ...


... "มีพระเกศาและพระมัสสุยาว ๒ องคุลี ครองผ้าสองชั้นที่ย้อมแล้ว คาดรัดประคตเช่นสายฟ้า มีจีวรเฉวียงบ่ามีสีดังแผ่นครั่ง ห่มเฉวียงบ่าไว้ข้างหนึ่ง มีผ้าบังสกุล จีวรสีเมฆพาดอยู่เบื้องขวา มีบาตรดินสีเหมือนแมลงภู่คล้องอยู่ที่บ่าเบื้องซ้าย" ...


... และถ้าหากท่านบรรลุปัจเจกโพธิญาณใน เพศคฤหัสถ์ เมื่อท่านทรงบริขาร ๘ แล้วแลดูเหมือนพระเถระ ๑๐๐ พรรษา หรือ ๖๐ พรรษา



๒) พระรัศมีของพระปัจเจกพุทธเจ้า

... พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นก็มีรัศมีเหมือนกัน ในอรรถกถาปัจเจกพุทธาปทานท่านแสดงไว้ว่า
" พระปัจเจกพุทธเจ้า มีรัศมีสุกสกาวแห่งทองสีแดงและทองชมพูนุท"

... ส่วนอรรถกถาประวัติของพระโสณโกฬิวิสะแสดงไว้ว่า
" พระรัศมีที่สรีระของพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นเช่นกับสีของ ผ้ากัมพลแดง"


3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-26 06:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
๓) อายุ และ ระยะเวลาบำเพ็ญเพียร ของ พระปัจเจกพุทธเจ้า


อายุของพระปัจเจกโพธิสัตว์ที่บรรลุโพธิญาณ มิได้กำหนดชัดเจน แต่ตามที่ปรากฏในอรรถกถา ท่านได้แสดงไว้น้อยที่สุด ๑๖ พรรษา มากที่สุดมิได้แสดงไว้


ระยะเวลาการบำเพ็ญเพียรของพระปัจเจกโพธิสัตว์ ที่ปรากฏในอรรถกถาท่านแสดงไว้นานที่สุด ๗ พรรษา และมีพระปัจเจกโพธิสัตว์ อยู่หลายองค์ที่ท่านบรรลุปัจเจกโพธิญาณใน เพศคฤหัสถ์ โดยมิได้ออกบำเพ็ญเพียรเหมือนอย่างพระสัพพัญญูโพธิสัตว์


๔) เหตุแห่งการบรรลุปัจเจกโพธิญาณ


พระปัจเจกโพธิสัตว์แต่ละองค์ได้ความสังเวชไม่เหมือนกัน แล้วบรรลุปัจเจกโพธิญาณ ในคัมภีร์อปทาน และขัคควิสาณสูตรได้กล่าวถึงเหตุแห่งการบรรลุปัจเจกโพธิญาณของพระปัจเจกพุทธเจ้า ๔๑ พระองค์ไว้เป็นพิเศษ จะขอยกตัวอย่างมาแสดงสัก ๒ เรื่องตามลำดับ ดังนี้






ธรรมที่บรรลุ


๑. พระปัจเจกพุทธเจ้าในปัจฉิมภพ (พระชาติสุดท้าย) ก็ไม่มีใครๆ เป็นอาจารย์เช่นเดียวกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

๒. พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านแทงตลอดในอริยสัจ ๔ ด้วยอัตตุกกังสิกญาณ คือ ญาณที่รู้เฉพาะตนเอง แต่มิได้บรรลุพระสัพพัญญุญาณ และ ทศพลญาณเหมือนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


๕) พระปัจเจกพุทธเจ้ายังมีวาสนาอยู่


วาสนา คือ "การทำด้วยอำนาจความเคยชิน" เช่น การกล่าวเป็นคำพูดว่า "จงมาซิคนถ่อย"... "จงไปซิคนถ่อย"...แม้ท่านละกิเลสได้แล้ว แต่ยังมีวาสนาอยู่ ในพระไตรปิฎกก็มีปรากฏ เช่น เรื่องของพระสารีบุตรตอนหนึ่ง เมื่อเดินผ่านลำห้วยท่านก็ขัดคะเมนกระโดดข้ามลำห้วยไป ทำให้ภิกษุบางรูปคิดว่าทำไมเป็นถึงอัครสาวกแล้วยังทำกริยาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าได้กล่าวว่า เป็นเพราะจริตเดิม ( วาสนา )ที่เคยเกิดเป็นลิงมาหลายชาติ จึงได้ทำกริยาอย่างนี้


... ในอรรถกถา คำว่า "วาสนา"นี้ ท่านกล่าวว่า คือ อธิมุตติ ปานประหนึ่งสักว่าความสามารถ อันกิเลสที่เธออบรมมาตลอดกาลหาเบื้องต้นมิได้ ติดอยู่ อันเป็นเหตุแห่งความประพฤติ เหมือนความประพฤติของคนผู้ยังละกิเลสไม่ได้ในสันดาน แม้ของท่านผู้เว้นกิเลสได้แล้ว


... ก็ว่าด้วยการละกิเลสเครื่องกางกั้นไญยธรรมด้วยความสมบูรณ์แห่งอภินิหาร เหตุแห่งความประพฤตินี้นั้น ไม่มีในสันดานของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ละกิเลสได้แล้ว แต่ ยังมีในสันดานของพระสาวก และ พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ยังละกิเลสอย่างนั้นไม่ได้เพราะพระตถาคตเท่านั้นทรงเห็น อนาวรญาณ ( ญาณไม่มีเครื่องกั้น )


๖) อริยาบถที่บรรลุ


พระปัจเจกโพธิสัตว์ทั้งหลายบรรลุโพธิญาณในอริยาบถต่างๆ กัน ยืนก็มี นั่งก็มี นอนก็มี มีแม้แต่นั่งประทับบนคอช้างแล้วบรรลุพระปัจเจกโพธิญาณ


๗) สถานที่สถิตของพระปัจเจกพุทธเจ้า


โดยปกติแล้วเมื่อพระปัจเจกโพธิสัตว์บรรลุปัจเจกโพธิญาณแล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็จะไปประทับอยู่ที่ภูเขา คันธมาทน์ แต่ใน อิสิคิลิสูตร พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ พระองค์ บุตรของนางปทุมวดีอาศัยอยู่ในถ้ำของภูเขาอิสิคิลิ ต่อมาพระราชาสร้าง บรรณศาลา ในพระราชอุทยานถวาย เพื่อเป็นการอนุเคราะห์ท่านก็อยู่ในที่นั้นจนตราบปรินิพพาน





ส่วนภูเขา คันธมาทน์ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายประทับอยู่ประจำนั้น อยู่เลยภูเขา ๗ ลูก ณ ภูเขา คันธมาทน์ มีเงื้อมเขาชื่อ นันทกะมูลกะ เป็นสถานที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่เงื้อมเขานันทกะมูลกะแห่งภูเขาคันธมาทน์นี้มีถ้ำอยู่ ๓ ถ้ำ คือ


๑. มณีคูหา (ถ้ำแก้วมณี) ๒. สุวรรณคูหา (ถ้ำทองคำ) ๓. ชตคูหา (ถ้ำเงิน)


บรรดาถ้ำทั้ง ๓ นั้น ที่ประตูคูหา มีต้นไม้ชื่อ "มัญชูสกะ" เป็น ต้นไม้สวรรค์ สูง ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ ต้นไม้นั้นจะเผล็ดดอกบานสะพรั่งทั่วไปในน้ำ และบนบกเป็นพิเศษ ในวันที่พระปัจเจกพุทธเจ้ามาถึง ข้างหน้าต้นไม้นั้นมีศาลาประชุมอยู่หลังหนึ่ง ชื่อว่า "รัตนมาฬกะ"เป็นศาลาประชุมใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยแก้วมณีทั้งหลัง ที่นี่เป็นที่ประชุมสันนิบาตแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ภายในบริเวณศาลานี้มีลมพิเศษพัดประจำอยู่ ๖ ชนิด คือ


๑. สัมมัชนกวาต มีหน้าที่สำหรับพัดกวาดปัดหยากเยื่อทิ้ง
๒. สมกรณวาต มีหน้าที่พัดทรายแก้วที่บริเวณให้ราบเรียบสม่ำเสมอ
๓. สิญจนวาต มีหน้าที่พัดพาเอาละอองน้ำในสระอโนดาด มาประพรหมบริเวณศาลาให้ชุ่มฉ่ำเย็น
๔. สุคันธกรณวาต มีหน้าที่พัดเอากลื่นหอมของต้นไม้ที่มีกลิ่นหอมทั้งหมด มาจากภูเขาหิมวันต์
๕. โอจินกวาต มีหน้าที่พัดดอกไม้ทั้งหลายมาโปรยลง
๖. สันถรกวาต มีหน้าที่ปูลาดในที่ทั้งปวง





ในวันที่พระปัจเจกพุทธเจ้าอุบัติขึ้น และวันอุโบสถ พระปัจเจกพุทธเจ้าจะมานั่งประชุมกันในที่นี้ อาสนะทั้งหหลายจะปูลาดไว้เรียบร้อยเป็นประจำ นี่เป็นปกติในที่นี้




เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มาใหม่ ได้เสด็จไปในที่นั้นแล้ว ประทับนั่ง ณ อาสนะที่ปูลาดไว้แล้ว ถ้าในเวลานั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้าอื่นๆ อยู่ พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นก็จะประชุมกันในทันทีแล้วต่างก็นั่งบนอาสนะที่ลาดไว้แล้ว


และครั้นนั่งแล้ว จะพากันเข้าสมาบัติหน่อยหนึ่ง แล้วจึงออกจากสมาบัติ แต่นั้นเพื่อที่จะให้พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวงอนุโมทนา พระสังฆเถระจะถามกรรมฐานกับพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มาใหม่อย่างนี้ว่า "ท่านบรรลุอย่างไร?"พระปัจเจกพุทธเจ้าที่มาใหม่นั้น ก็จะกล่าวอุทานคาถาและพยากรณ์คาถาของตน

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-26 06:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตัวอย่าง อุทานคาถา และพยากรณ์คาถา


พระปัจเจกโพธิสัตว์กุมาร ๕๐๐ องค์ บุตรของพระนางปทุมวดีได้เล่นในสระบัวในอุทยาน นั่งดอกบังคนละดอก เห็นความสิ้นและความเสื่อม ทำปัจเจกโพธิญาณให้เกิดขึ้น ได้พยากรณ์คาถาของท่านว่า...


" ดอกบัว กอบัว เกิดขึ้นในสระ บานแล้วถูกหมู่แมลงภู่เคล้าคลึง ก็เข้าถึงความร่วงโรย บุคคลรู้แจ้งข้อนี้แล้ว พึงเป็นผู้เที่ยวไปเหมือนนอแรด "





๘) การทำพระอุโบสถ


ธรรมดาแล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าทำอุโบสถที่ศาลาโรงแก้ว รัตนมาฬกะ ณ ภูเขาคันธมาทน์ ในอรรถกถาบางแห่งกล่าวว่าแม้ที่ป่าอิสิตนทายวันก็ทำอุโบโสถ


๙) การสงเคราะห์โลก


... พระสารีบุตรท่านกล่าวในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ว่า โลกัตถจริยา (การประพฤติเป็นประโยชน์ต่อชาวโลก) เป็นจริยาส่วนเฉพาะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เฉพาะในพระปัจเจกพุทธเจ้าบางส่วน และเฉพาะในพระสาวกทั้งหลายบางส่วน...


...จริงอย่างนั้น การสงเคราะห์ต่อชาวโลกของพระปัจเจกพุทธเจ้าปรากฏในที่หลายแห่ง เช่นว่าเมื่อท่านออกจากนิโรธมาบัติแล้วย่อมตรวจดูศรัทธา แล้วจึงไปสงเคราะห์ ธรรมดาผู้ที่ถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ย่อมส่งผลเป็นเศรษฐี หรือเสนาบดีภายในวันนั้น แล้วยังให้คนถวายเกิดความโสมนัส โดยการเหาะไปภูเขาคันธมาทน์ ทั้งที่ยังแลเห็นอีกด้วย


... ในอรรถกถาปัจเจกพุทธาปทานได้พรรณาว่า "พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงเป็นใหญ่ คือ เป็นประธานเป็นเจ้าของ เพราะรับอาหารประมาณน้อย ของเหล่าทายกมากมายแล้วให้ได้บบรรลุถึงสวรรค์ และนิพพาน





จากข้อความในพระไตรปิฎกกล่าวว่า พระปัจเจกพระพุทธเจ้าเมื่อท่านได้ตรัสรู้ด้วยตนเองแล้วนั้นท่านไม่ได้สอนผู้ใด เนื่องจากคำแปลที่เราอ่านจากพระไตรปิฎกนั้นแปลมาจากภาษาบาลีซึ่งบางคำเป็นการแปลตรงตัว ซึ่งพระอริยเจ้าทั้งหลายหรือผู้ที่เข้าใจธรรมะด้วยปัญญาญาณเมื่อได้อ่านแล้วย่อมเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง


ประเด็นที่ 1 ที่บอกว่าไม่ได้สอนเพราะไม่มีใครให้สอน ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สอนอะไรใครเลย (ที่ไม่สอนคือไม่สอนเกี่ยวกับเรื่องมรรคผล นิพพาน เรื่องอริยสัจ เพราะเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง คนที่เกิดในสมัยนั้นไม่มีบารมีพอที่จะสามารถบรรลุธรรมได้ คือไม่มีภูมิธรรมสูงพอที่จะฟังท่านเข้าใจ แต่ท่านจะสอนเกี่ยวกับการทำทาน การถือศีล การทำความดีทั่วๆไปที่คนในยุคนั้นพอจะทำได้ )


และอีกความความหมายหนึ่งคือ ไม่สามารถสอนได้เหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนื่องจากบำเพ็ญบารมีน้อยกว่าพระพุทธเจ้า


แต่บางคนเข้าใจเอาเองและตีความหมายผิดไปว่าที่ไม่สอนเพราะท่านไม่สามารถสอนใครได้ ซึ่งความจริงไม่ใช่อย่างนั้นอย่าลืมว่าพระปัจเจกพระพุทธเจ้าท่านมีบารมีมากกว่าอรหันต์สาวก และสามารถบรรลุธรรมได้โดยไม่ต้องมีผู้ใดสอน ลองพิจารณาดูว่า เมื่อตรัสรู้ได้เองนั้นก็หมายความว่า ท่านรู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้หนทางแห่งการดับทุกข์ รู้ผลแห่งการดับทุกข์ ในเมื่อท่านรู้ด้วยตนเองอย่างนี้แล้วทำไมท่านจะสอนคนอื่นไม่ได้ ขนาดพระอรหันต์สาวกในสมัยพุทธกาลหรือในปัจจุบันยังสามารถ สอนฆราวาส สอนพระภิกษุลูกศิษย์ให้บรรลุธรรมได้เลย( เช่น พระอัสสชิ กล่าวธรรมะเพียงสั้นๆให้พระสารีบุตรได้ฟัง ทำให้บรรลุเป็นพระโสดาบัน หลังจากได้ฟังธรรม )


ทำไมพระปัจเจกพระพุทธเจ้าซึ่งมีบารมีมากกว่าจะทำไม่ได้


ประเด็นที่ 2 ในพระไตรปิฎกยังกล่าวถึงคุณของพระปัจเจกพระพุทธเจ้าไว้หลายแห่งด้วยกัน






ทรงสงเคราะห์ พระโพธิสัตว์

... พระปัจเจกพุทธเจ้าในอดีต ได้สงเคราะห์พระโพธิสัตว์หลายครั้งหลายหนด้วยกัน ดังเรื่องตัวอย่างที่มาในชาดกนี้


... พระทรีมุขปัจเจกพุทธเจ้า ได้ให้โอวาทพระพรหมทัตชักชวนให้ทรงผนวช โดยตรัสถึงโทษของกาม คุณของบรรพชา แสดงถึงทุกข์ทั้งที่มีการก้าวลงสู่ครรภ์เป็นมูลฐาน ทั้งที่มีการบริหารครรภ์เป็นมูลฐาน ทั้งที่มีการออกจากครรภ์เป็นมูลฐาน...


... พระปัจเจกพุทธเจ้า ๔ องค์ เมื่อพระโพธิสัตว์ทูลถามถึงอารมณ์ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงเห็นแล้วจึงประพฤติภิกขาจาริยวัตร พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นได้ตรัสบอกเรื่องราวการออกบวชของตนแก่พระโพธิสัตว์ ภายหลังพระโพธิสัตว์ได้ออกบวชเป็นฤาษี...


... พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นคนยากจน ได้ถวายขนมกุมมาส ๔ ก้อนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๔ องค์ ท่านเสวยทันที ทรงทำอนุโมทนา แล้วได้ทรงเหาะไปสู่เงื้อมเขา นันทมูลกะ...พระโพธิสัตว์ประคองอัญชลี แล้วเอาปิติที่ไปในพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ แล้วรำลึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นตลอดอายุจนถึงแก่กรรม แล้วไปเกิดเป็นพระราชา




... พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์ ได้พิจารณาเห็นสังขพราหมณ์จะเดินทางไปหาทรัพย์เพื่อจะให้ทาน จักมีอันตรายในสมุทรถ้าสังขพราหมณ์เห็นท่านแล้วจักถวาย ร่ม และรองเท้าแก่ท่าน เมื่อเรือแตกกลางมหาสมุทร สังขพราหมณ์ได้ที่พึ่งด้วยอานิสงส์ที่ถวายรองเท้า


พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น จึงได้อนุเคราะห์สังขพราหมณ์ ได้เหาะมา ณ ที่ใกล้สังขพราหมณ์ เดินเหยียบทรายร้อนเช่นกับถ่านเพลิง เพราะลมแรงแดดกล้า ตรงมายังสังขพราหมณ์


สังขพราหมณ์ได้นมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า เข้าไปที่โคนต้นไม้ แล้วพูนทรายขึ้น แล้วเอาผ้าห่มปูลาด นมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วล้างเท้าด้วยน้ำที่อบกรองใสสะอาด ทาเท้าด้วยน้ำมันหอม แล้วสวมเท้าพระปัจเจกพุทธเจ้า ถวายร่มและรองเท้าด้วยวาจา


พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเพื่อจะอนุเคราะห์สังขพราหมณ์จึงรับร่มและรองเท้า และเพื่อให้ความเลื่อมใสเจริญยิ่งขึ้น จึงเหาะไปภูเขาคันธมาทน์ให้สังขพราหมณ์เห็น...


... พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทราบความที่ดาบสพระโพธิสัตว์มีมานะ เพราะอาศัยชาติของตน ไม่สามารถจะยังฌานให้เกิดขึ้นได้ จึงไปข่มมานะดาบส โดยไปนั่งเหนือกระดานหินของดาบส


ดาบสขุ่นใจเพราะความมีมานะ ปรี่เข้าไปหาท่านดาบสเพื่อตวาดท่าน พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นจึงกล่าวกะท่านว่า


" พ่อคนดี เหตุไฉนพ่อจึงมีมานะ อาตมาบรรลุพระปัจเจกพุทธญาณแล้วนะ ในกัปนี้เอง พ่อจักเป็นสัพพัญญูพุทธเจ้า พ่อเป็นหน่อเนื้อพระพุทธเจ้านะ พ่อบำเพ็ญบารมีมาแล้ว รอเวลาเพียงเท่านี้ ข้างหน้าผ่านไปจักเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พ่อดำรงในความเป็นพระพุทธเจ้า จักมีชื่อว่า "สิทธัตถะ"
บอกนามตระกูลโคตรและอัครสาวกเป็นต้นแล้ว ได้ประทานโอวาทว่า


" พ่อยังจะมัวเอาแต่มานะ เป็นคนหยาบคาย เพื่ออะไรเล่า นี้ไม่สมควรแก่พ่อเลย "


ดาบสนั้นแม้พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ยังไม่ไหว้ท่านอยู่นั่นเอง...มิหนำซ้ำไม่ถามเสียด้วยว่า ข้าจักเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไร





5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-26 06:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า



" เธอไม่รู้ความใหญ่หลวงแห่งชาติ และความใหญ่โตแห่งคุณของเรา หากเธอสามารถ ก็จงเที่ยวไปในอากาศเหมือนเรา " แล้วเหาะไปในอากาศ โปรยฝุ่นที่เท้าตนลงไปใน มณฑลชฏา ของดาบสนั้น ไปสู่หิมพานต์ตอนเหนือดังเดิม


พอท่านไปแล้วดาบสนั้นจึงสลดใจ สมาทานอุโบสถข่มมานะ เจริญกสิณ ยังอภิญญาและสมาบัติ ๘ ให้เกิดขึ้น เมื่อหมดอายุขัยจึงได้ไปบังเกิดยังพรหมโลกแล




ประเด็นที่ 3 พระปัจเจกพระพุทธเจ้าท่านมักจะเข้านิโรธสมาบัติ เมื่อออกจากนิโรธสมาบัติแล้วท่านจะดูด้วยญาณว่าใครที่ท่านสามารถโปรดได้บ้าง หรือใครมีศรัทธาใส่บาตรท่านบ้าง ท่านก็จะไปยังที่นั้นในทันที ในพระไตรปิฎกก็มีกล่าวไว้ว่าผู้ที่ได้ทำบุญ หรือใส่บาตรกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติจะได้รับผลบุญมหาศาลภายใน 7 วัน คือถ้าเป็นยาจก คนยากจนจะเป็นมหาเศรษฐีในทันที หรือผู้ที่ขัดสนติดข้องในเรื่องอะไรจะได้รับผลมีความสุขในทันที )


ซึ่งผลบุญที่ได้ไม่ได้มีเพียงชาติเดียวแต่ยังให้ผลข้ามชาติด้วย ซึ่งเป็นผลอันเนื่องมาจากนิโรธสมาบัติ





เคยมีผู้สงสัยเกี่ยวกับพระปัจเจกพระพุทธเจ้าแล้วได้ถาม
"หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง" จึงได้นำมาให้ได้อ่านกันดังนี้




ผู้ถาม : ท่านตรัสรู้เองใช่ไหมครับ.....?
หลวงพ่อ : ใช่ ลงคำว่า พุทธเจ้า ต้องตรัสรู้เอง คือไม่ต้องรับคำสอนจากคนอื่น


ผู้ถาม : มีเฉพาะตอนที่มีพระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ....?
หลวงพ่อ : เจ๊ง...พระปัจเจกพระพุทธเจ้าจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อว่างจากพระพุทธเจ้า ไม่ใช้มีพร้อมพระพุทธเจ้า อย่างศาสนานี้สิ้นไป ในช่วงว่างก่อนจะถึงพระศรีอาริย์ ในช่วงนี้มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้า สมัยพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเวลานี้ก็ไม่มีสาวก ก็มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ทั้งหมดเพราะปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้บรรลุเพียงองค์เดียวอย่างพระพุทธเจ้า ก็มีได้เป็นหมื่นเป็นแสน แต่พระพุทธเจ้าจะต้องมีองค์เดียว มีซ้อนไม่ได้


ผู้ถาม : แล้วทำไมพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเมื่อท่านตรัสรู้แล้วจึงไม่สอนเหมือนกับพระพุทธเจ้าครับ....?
หลวงพ่อ : เกิดทันรึ...รู้เหรอว่าท่านไม่สอน เคยพบหรือเปล่า....?


ผู้ถาม : ?....?....?
หลวงพ่อ : ท่านสอน จะว่าไม่สอนเลยนั้นไม่ใช่ แต่ว่าไม่สอนถึงอริยสัจ ถ้าไปศึกษากับท่าน ท่านก็สอนแค่อภิญญาโลกีย์ ส่วนที่ตัดเข้าถึงมรรคผลนั้นเป็นเรื่องของบุคคลนั้นเอง ปัจเจก เขาแปลว่า รู้เฉพาะตน ความจริง คำว่า "เฉพาะ" ก็มีเฉพาะส่วนที่เป็นอริยสัจเท่านั้นเองนะ


ผู้ถาม : ถ้าอย่างนั้นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าก็รู้หมดทุกอย่างใช่ไหมครับ....?
หลวงพ่อ : รู้หมด....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซิ รู้ไม่หมด


ผู้ถาม : อ้าว...ทำไมยังงั้นล่ะครับ
หลวงพ่อ : ถ้าถามปัญหาพระพุทธเจ้า ท่านรู้ทุกอย่าง รู้ไม่หมดสักที พระปัจเจกพระพุทธเจ้าถามไปถามมา...หมด นี่เขา เรียกว่า รู้หมด


ผู้ถาม : อ๋อ...แหมศัพท์ภาษาไทยนี่ไม่รู้เรื่อง อยู่ห่างวัดเป็นอย่างนี้
หลวงพ่อ : เป็นอันว่าพระปัจเจกพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องสวรรค์ เรื่องพรหม แต่เรื่องนิพพานท่านไม่สอนใคร เพราะไม่ใช้หน้าที่ของท่าน




ฉะนั้นพระถ้าเข้าถึงจุดหมายปลายทาง ท่านจะรู้หน้าที่ของท่าน อย่างพระที่ยังไม่เป็นอรหันต์ เป็นหมอดู เป็นหมอรักษาโรค เราใช้ได้ทุกอย่าง ท่านจะทำให้ทุกอย่าง พอถึงอรหันต์ปั๊บ ท่านรู้เลยว่าท่านเกิดมานี่เพื่อทำกิจอะไร.....อย่างอื่นที่ไม่ใช่ของท่าน ท่านจะไม่ทำ จะงดหมด ท่านทำเฉพาะกิจ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ท่านสอนเรื่องสวรรค์ เรื่องพรหม แต่เรื่องนิพพานท่านไม่สอน


"จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา ฉบับพิเศษ เล่ม 4"


สุดท้ายหวังว่าผู้อ่านคงจะได้ความรู้ความเข้าใจ มีความศรัทธาและมีความเคารพในองค์พระปัจเจกพระพุทธเจ้ามากยิ่งขึ้น







ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่าน...............ขออนุโมทนา
รวบรวมและเผยแพร่โดย..นาคเสน55..โยคี19

เครดิต  http://dhamma-free.blogspot.com
ขอบคุณคร้าบ

ขอบคุณครับ
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-10-11 07:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สาธุ ปัจเจกพุทธะ
สาธุ
.
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้