ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ

สถานที่ท่องเที่ยวน่าไปเกี่ยวกับพญานาค

[คัดลอกลิงก์]
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-14 22:38 | ดูโพสต์ทั้งหมด
พิพิธภัณฑ์  ถ้ำเมืองบาดาล  วัดไทย อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
โพสต์ 2013-9-15 00:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด
พี่อู๊ด. น่าจัดทริปสักทริปน่ะครับ
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-18 20:56 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อัศจรรย์พญานาค โรงแรมพลอย



ที่มา http://group.wunjun.com/nagacity

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-18 21:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AUD เมื่อ 2013-9-18 21:05

วัดถ้ำเพชรนาคา อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี





ที่มา http://group.wunjun.com/nagacity


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-22 07:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด
  • บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ แห่งเมืองสกลนคร


บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ แห่งเมืองสกลนคร ตั้งอยู่วัดพระธาตุเชิงชุม ฤากันว่าเป็นทางเชื่อมระกว่างเมืองมนุษย์กับเมืองพญานาคที่จมอยู่ใต้หนองหาร สกลนคร

ที่ตั้ง
วัดพระธาตุเชิงชุมตั้งอยู่ริมหนองหารในเขต เทศบาลสกลนคร มีพื้นที่ 18 ไร่ 1 งาน 27 ตารางวา อยู่ปลายสุดของถนนเจริญเมือง มี อาณาเขตดังนี้
ทิศเหนือและทิศตะวันออก ติดกับหนองหารหลวงและบ้านเรือนชาวคุ้มทิศ ตะวันตก ติดกับถนนเรืองสวัสดิ์ ทิศใต้ ติดกับ ถนนเจริญเมือง
ประวัติความเป็นมา
ตามอุรังค นิทาน กล่าวว่า วัดพระธาตุเชิงชุม เป็นสถานที่ พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาโปรดชาวเมืองหนองหาร หลวง และกล่าวว่าบริเวณนี้เป็นที่บรรจุพระบาท ของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ คือ พระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า กุกสันโธ โกนาคมโน กัส สะโป และโคตมะ ซึ่งก่อนจะเสด็จดับขันธ์ ปรินิพพาน ต้องไปประทับรอยพระบาทไว้ที่นั่นทุก พระองค์ นับว่าพระพุทธเจ้าพระนามว่า ศรี อาริยเมตตรัย องค์ที่ 5 ในภัทกัปป์นี้ ก็จะประทับรอยพระบาทไว้เช่นกัน ด้วยเห ตะนี้จึงถือกันว่าวัดพระธาตุเชิงชุม จึงเป็นวัดแรกที่พระยาสุวรรณภิงคาระ พระะ นางนารายณ์เจงเวง และเจ้าคำแดง อนุชาพระยา สิวรรณภิงคาร มาสร้างวัดขึ้นเมื่อย้ายราชธานี จากบริเวณซ่งน้ำพุและท่านางอายฝั่งตรงข้าม หนองหาร เมื่อครั้งหนองหารล่มเพราะการกระทำของ พญานาค
อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานเสมา หินที่พบอยู่รอบ ๆ วัดพระธาตุเชิงชุม และหลักฐานแท่านบูชารูปเคารพ ตลอดยนศิลาจารึกตัว อักษรขอมในพุทธศตวรรษที่ 15 - 16 ซึ่งอยู่ ติดผนังทางเข้าภายในอุโมงค์พระธาตุเชิงชุม (ชั้นใน) ซึ่งก่อเป็นพระธานุหรือ สถูปขนาดเล็ก หลักฐานเหล่านี้บ่งบอกว่า บริเวณ วัดพระธาตุเชิงชุมได้มีชุมชนเกิดขึ้น ต่อเนื่องกันมา โดยเฉพาะศิลาจารึกที่กรอบประตู ทางเข้าปรางค์ขอมหรือสถูป ซึ่งมีความกว้าง 49 ซ.ม. ยาว 52 ซ.ม. เขียน เป็นตัวอักษรขอมโบราณ เนื้อความกล่าวถึงบุคคลจำนวน หนึ่ง ได้พากันไปชี้แจงแก่โขลญพล หัว หน้าหมู่บ้าน พระนุรพิเนาตามคำแนะนำ ของกำแสดงว่าที่ดินที่ราษฎรหมู่บ้านพะ นุรนิเนามอบให้โบลูญพลนี้มี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นที่ดินในหลักเขต ให้ขึ้น กับหัวหน้าหมู่บ้านพะนุรพิเนา นอกจาก เรื่องการมอบที่ดินแล้ว ข้อความตอนท้ายของ จารึกได้กล่าวถึงการกัลปนาของโขลญพลที่ได้ อุทิศตน สิ่งของที่นา แด่เทวสถานและสงกรานต์
กล่าวโดยสรุปในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15 - 16 บริเวณวัดพระธาตุเชิงชุมคงถูกปกครอง โดยคนกลุ่มขอมที่พากันสร้างวัด โดยอุทิศ ที่ดิน บริวาร ข้าทาส ให้ดูแลวัด หรือศา สนสถานแห่งนี้ ซึ่งอาจเป็นศาสนสถานตาม คติพราหมณ์หรือพุทธมหายานก็ได้
ความสำคัญต่อชุมชน
หลักฐานการตั้งชุมชนบริเวณวัดพระ ธาตุเชิงชุมในสมัยรัตนโกสินทร์ค่อนข้างเด่น ชัด โดยเฉพาะพงศาวดาร ฉบับพระยาประจันตประเทศธานี ( โง่นคำ) กล่าวว่าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดผ้าจุ)าโลกมหาคาช โปรด เกล้าฯ ให้อุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์ พร้อมไพร่พลตัวเลก มาตั้งเมืองรักษาพระธาตุเชิงชุม เมื่อมีผู้ คนมากขึ้นก็โปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านธาตุ เชิงชุม ขึ้นเป็นเมืองสกลทวาปี เมื่อปี พ .ศ.2329 อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดศึก เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์เป็นกบฏใน พ.ศ .2370 เมืองสกลนครต้องโทษเป็นกบฎขัดขืนอาญา ศึก เจ้าเมืองฝักใฝ่กับเจ้าอนุวงค์ไม่ได้เตรียม กำลังไพร่พล กระสุนดินดำ เว้ให้ทัพหลวงตาม คำสั่ง พระธานีเจ้าเมืองสกลทวาปีถูกประหาร ชีวิต ญาติพี่น้องเจ้าเมืองถูกกวาดต้อนไปอยู่ เมืองกบิลประจันตคาม จึงทำให้บริเวณวัดพระธาตุ เชิงชุม ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมืองถูกทิ้งร้าง ชั่วคราวปล่อยให้หมู่บ้านรอบ ๆ 10 หมู่บ้าน เป็นข้าพระธาตุดูแลวัดแห่งนี้
หลังการกบฎของเจ้าอนุวงศ์ ราชวงศ์ (คำ) แห่งเมือง มหาชัยกองแก้วได้เข้ามาพึ่งบราโพธิสมภาร โปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นพระประเทศธานี(คำ ) เจ้าเมืองและให้ราชวงศ์เมืองกาฬสินธุ์มาดำรงตำแหน่ง อุปฮาด ให้ท้าวอินน้องชายราชวงศ์(คำ)เป็น ราชวงศ์ ให้ท้าวบุตรเมืองกาฬสินธุ์เป็นราชวงศ์ มีการสร้าง กุฏิ ศาลาการเปรียญตั้งแต่นั้นมาวัดพระธาตุ เชิงชุมก็เจริญขึ้นตามลำดับ
จึงถือว่าวัดพระธาตุเชิงชุมเป็นศูนย์กลางของเมืองสกลนคร มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของพระธาตุเชิงชุม
วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร มีโบราณสถาน โบราณวัตถุสำคัญ ๆ นับแต่องค์พระธาตุเชิงชุม หลวงพ่อพระ พุทธองค์แสน พระอุโบสถ พระวิหาร หอจำศีล ( สิมหลังเล็ก) 90 ไตร ฯลฯ ในที่นี้ขอ อธิบายเฉพาะตัวสถาปัตยกรรมขององค์พระธาตุเท่านั้น
พระธาตุเชิงชุมเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนสี่ เหลี่ยม สูง 24 เมตรเศษ มีซุ้มประตู 4 ด้าน คือ ด้านตะวันตก ด้านเหนือ ด้านใต้ ลักษณะประตูเป็นประตู ปิด - เปิด ได้แต่เปิดไม่ได้มากเพราะติด องค์สถูปภายใน ซึ่งเจดีย์องค์ใหม่สร้างครอบไว้ ส่วนด้านตะวันออกเป็นประตูทางเข้าสถูปภายใน วิหาร
ทรวดทรงของพระธาตุเชิงชุม เป็นทรงเจดีย์ สี่เหลี่ยมลดชั้นจากฐานขึ้นไปสู่ยอดเป็น ช่วง ๆ 3 ช่วง จึงถึงเต้าระฆัง และรับด้วย ดวงปลีที่ทำเป็นทรงบัวเหลี่ยมปักยอดฉัตร ทองคำ ลักษณะการลดชั้นเจดีย์รับด้วยดวงปลี ทรงบัวเหลี่ยม ทำให้องค์พระธาตุเชิงชุมมี ความสวยงามกระทัดรัดไม่เทอะทะ เช่น เจดีย์ทรง ฐานกว้างเตี้ย นอกจากนี้สถาปนิกยังสร้างให้ซุ้ม ประตู 3 ด้าน เพื่อให้ประชาชนเห็นองค์พระธาตุ (สถูป) เดิมภายใน ต่อมาได้มีการ นำพระพุทธรูปปางห้ามญาติ อิทธิพลล้านช้าง มาติดไว้ในซุ้มทั้ง 3 ด้าน นับว่าเป็น ส่วนประกอบองค์สถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ และเป็นประติมากรรม แบบล้านช้างที่แท้จริง
องค์ประกอบสำคัญขององค์พระธาตุเชิงชุมคือ ซุ้มประตูโขงทรงหอแก้วดอ เป็นลักษณะหอแก้วเฟื่อง คือ มีขนาดพองาม และ ในพื้นที่ครึ่งหนึ่งของปริมณฑล ทำให้พื้นที่ บริเวณฐานเจดีย์องค์พระธาตุสวยงาม ในส่วนราย ละเอียดของซุ้มประตูนั้นเป็นงานสถาปัตยกรรมฝีมือช่าง ชั้นครู โดยเฉพาะลายของก้นหอยซึ่งทำขนาด ใหญ่น้อยเรียงกันไป เพียงแต่มีปูนขาวทาบ ทับนนหนาปิดบังความคมชัดของลายก้นหอย อันวิจิตรบรรจง  

ที่มา  http://group.wunjun.com/nagacity






ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-9-22 07:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AUD เมื่อ 2014-10-7 20:13

  • ถ้ำเสาหินพญานาคที่แม่สาย

ข้อมูลเบื้องต้น ชื่อวัดถ้ำเสาหิน ตั้งอยู่ หมู่ 4 ตำบลโป่งงาม อำเภอแม่สาย ตั้งตามชื่อของถ้ำที่อยู่ทางทิศตะวันตก ซึ่งในถ้ำนั้นมีลักษณะเป็นหินย้อยลงมาจรดเบื้องล่าง มีสันฐานคล้ายเสาบ้านมีหลายๆต้น ในถ้ำนั้นลึกเข้าไปประมาณ 50-70 เมตร(เคยเป็นที่เก็บวัตถุโบราณ)ที่สุดของถ้ำเป็นที่โล่งกว้าง ณ ที่ตรงนี้จะเรียก ว่า ลาน(ข่วง)พญานาค อันเป็นที่มาของคำว่า"ถ้ำเสาหินพญานาค"


ประวัติวัดถ้ำเสาหินพญานาค สภาพวัดแต่เดิมก่อนสร้างวัด มีลักษณะเป็นเนิดินมีคูน้ำล้อมรอบบริเวณ คล้ายกับที่ตั้งของเมือง(เวียง)ในสมัยก่อนๆ ด้านทิศตะวันตกติดกับภูเขา

มีลำห้วยเล็กมีน้ำไหลออกจากรูใต้ถ้ำ ไหลมารวมที่เดียวกันกับลำน้ำที่มาจากถ้ำปลาและถ้ำน้อย แล้วไหลออกไปสู่ในหมู่บ้าน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงพ่อนิรมล สุทธิญาโณ ได้ย้ายมาจากพุทธสถานถ้ำปลามาพัฒนาที่นี่ ตอนแรกนั้นยังไม่มีประชาอุปถัมภ์ ต่อมาภายหลังเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๙ ชาวบ้านที่เคยอุปถัมภ์พุทธสถานถ้ำปลาได้แยก หมู่บ้าน มาขออุปถัมภ์บำรุงกับหลวงพ่อ ท่านจึงอนุญาตให้มาบำเพ็ญบุญได้ ต่อจากนั้นก็ได้เริ่มสร้างเสนาสนะขึ้นหลายอย่าง อาทิเช่น กุฏิ วิหาร ศาสนา และห้องน้ำ เป็นต้น

ชื่อวัดถ้ำเสาหิน ตั้งตามชื่อของถ้ำที่อยู่ทางทิศตะวันตก ซึ่งในถ้ำนั้นมีลักษณะเป็นหินย้อยลงมาจรดเบื้องล่าง มีสันฐานคล้ายเสาบ้านมีหลายๆต้น ในถ้ำนั้นลึกเข้าไปประมาณ ๕๐-๗๐ เมตร(เคยเป็นที่เก็บวัตถุโบราณ)ที่สุดของถ้ำเป็นที่โล่งกว้าง ณ ที่ตรงนี้จะเรียก ว่า ลาน(ข่วง)พญานาค อันเป็นที่มาของคำว่า"ถ้ำเสาหินพญานาค"ดังกล่าว ปัจจุบันนี้เนื้อที่ของวัดมีอยู่ ๘๐ ไร่ ๓ งาน ๖๐ ตารางวา มีพระครูประภัสร์จิตสังวร เป็นเจ้าอาวาส

มาดูสะพานข้ามไปชมถ้ำเสาหิน ใจไม่ถึงห้ามข้ามไป ถ้ำอยู่ตรงเขาที่เห็นนั่นแหละครับ




ที่มา http://group.wunjun.com/nagacity



ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-26 06:56 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AUD เมื่อ 2014-10-7 20:15

พลานุภาพ นาคเมืองน่าน (พญานาคทรงพลังวัดภูมินทร์)



พญานาค2 ตัวบนบันไดหน้าวัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน


น่าน เป็นเมืองชายแดนเล็กๆอันสงบงามแห่งล้านนาตะวันออก

แต่สำหรับผมน่านจัดเป็นเมืองเล็กประเภท Small is Beautiful หรือประเภทเล็กดีรสโตที่มีพยัคฆ์ซุ่ม มังกรซ่อน ด้านสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ วิถีชีวิตและศิลปวัฒนธรรมอยู่มากมาย

แต่ประทานโทษ!?! ถ้าใครอยากไปท่องเที่ยวเชิงแสงสีหรือท่องเที่ยวเชิงโลกีย์ ผมแนะนำว่ากรุณาไปเที่ยวที่อื่นเหอะ อย่านำมลพิษทางการท่องเที่ยวไปยังเมืองน่านเลย

อนึ่งการไปน่านหนนี้ เป็นที่น่าเสียดาย(สำหรับตัวผม)ว่ามีเวลาอยู่น่านเพียงไม่นาน งานนี้ผมจึงทำได้แค่เพียงเลือกเที่ยวชมน่านชมโน่นชมนี่อยู่เฉพาะแค่ในเขตเมืองเท่านั้น โดยหลังชมงาช้างดำหนึ่งเดียวในเมืองไทยที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่านแล้ว ผมเดินทอดหุ่ยต่อไปยังวัดภูมินทร์ ที่อยู่ห่างจากพิพิธภัณฑ์ฯเพียงแค่ข้ามถนน

วัดภูมินทร์ เป็นวัดเก่าแก่กลางเมืองอายุกว่า 400 ปี ตามพงศาวดารเมืองน่านระบุว่า สร้างในปี พ.ศ. 2139 โดยพระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์หลังขึ้นครองเมืองน่านได้ 6 ปี เดิมชื่อ“วัดพรหมมินทร์” ก่อนจะเพี้ยนเป็นวัดภูมินทร์ในภายหลัง สำหรับวัดแห่งนี้มีของดีให้ชมกันเพียบ แต่ที่ถือเป็นระดับสุดยอดของเมืองไทยนั้นมีให้ชม 4 อย่างด้วยกัน

อย่างแรกคือ สถาปัตยกรรมทรงจตุรมุข (ที่กรมศิลปากรสันนิษฐานว่าเป็นหลังแรกของเมืองไทย)ที่เป็นอาคารเดียวแต่มีหลายฟังชั่นก์ในตัว เป็นทั้งโบสถ์ วิหาร และพระเจดีย์ประธานของวัด

อย่างที่สองคือ พระประธานจตุรทิศ ที่หันพระพักตร์(หน้า)ออกไปทั้ง 4 ทิศ และหันพระปฤษฎางค์(หลัง)ชนกัน พระประธานองค์นี้เป็นหนึ่งอันซีนไทยแลนด์อันเลื่องชื่อ

อย่างที่สาม ภาพจิตรกรรมฝาผนัง(พื้นบ้าน)อันสวยงามมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ซึ่งของดีทั้ง 3 อย่างนั้น ผมจะขอหยิบยกไปเล่าแบบขยายรายละเอียดกันอีกทีในโอกาสเหมาะๆ ส่วนตอนนี้ผมจะขอพูดถึงของดีระดับสุดยอดอย่างสุดท้ายในวัดภูมินทร์ นั่นก็คือพญานาค 2 ตัวบนบันไดทางเข้าวิหารที่ถือเป็นพญานาคในระดับไม่ธรรมดา

เพราะในสมัยรัชกาลที่ 8 (พ.ศ.2485) ได้มีการพิมพ์รูปวิหารด้านหน้าของวัดภูมินทร์ลงในธนบัตรใบละ 1 บาท มองเห็นพญานาค 2 ตัว(คล้าย)เลื้อยออกมาอย่างเด่นชัด นับได้ว่าพญานาคคู่นี้ได้รับเกียรติไม่น้อยเลย

ไม่เพียงเท่านั้นพญานาคบนราวบันไดวิหารวัดภูมินทร์ยังมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากวัดทั่วๆไปนั่นก็คือ ปกติตามวัดทั่วๆไปพญานาคราวบันไดโบสถ์-วิหารจะมีเฉพาะส่วนหัวเลื้อยโผล่ออกมาเท่านั้น แต่พญานาค 2 ตัวนี้ ช่างโบราณได้สร้างให้มันมีทั้งส่วนหัวและส่วนหาง(ดูเหมือน)เลื้อยทะลุออกมาจากวิหารยังไงยังงั้น (ในขณะที่บางคนก็ว่าดูเหมือนพญานาค 2 ตัวนี้เลื้อยหนุนวิหารหลังนี้ไว้) แถมพญานาคคู่นี้ ยังดูหน้าตาใจดี ร่างอวบอ้วน ดูมีชีวิตชีวา ปานประหนึ่งว่ามันกำลังเลื้อยอยู่จริงๆ โดยสังเกตได้จากช่วงอกต้นคอก่อนยกหัวขึ้นช่างเขาปั้นได้มีกล้ามอกดูละม้ายคล้ายงูใหญ่กำลังเลื้อย(จริงๆ)ชะมัดเลย

ที่พิเศษก็คือ ใต้ตัวพญานาคคู่นี้ทั้งส่วนหน้า-ส่วนหลังจะมีช่องเอาไว้ให้เดินลอด โดยบางคนเชื่อว่าถ้าใครได้ไปเดินลอดท้องพญานาคแล้วจะได้กลับมาเยือนจังหวัดน่านอีกครั้ง(หรือหลายครั้ง) บ้างก็ว่าถ้าใครไร้คู่แล้วได้เดินลอดใต้ตัวพญานาคก็จะประสบพบเนื้อคู่ ส่วนบางคนว่าเชื่อว่าถ้าได้ลอดตัวพญานาคทั้ง 4 ช่องแล้ว จะเป็นทางรอดนำไปสู่หนทางหลุดพ้น

งานนี้ใครใครเชื่อด้านใดก็สุดแท้แต่ศรัทธา แต่ที่แน่ชัดก็คือพญานาค 2 ตัวนี้สื่อนัยยะทางพุทธศาสนาออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งผู้คนแถบนี้เขาเชื่อว่า พญานาคเปรียบเสมือนสะพาน(สายรุ้ง) ที่เชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์ โดยเมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระองค์ได้เสด็จผ่านบันไดแก้วมณีสีรุ้งที่เทวดาเนรมิตขึ้นและมีพญานาคจำนวน 2 ตัว(ตน)เอาหลังหนุนบันไดไว้

ในขณะที่นักวิชาการบางคนยังตั้งข้อสังเกตว่า นี่เป็นการแสดงคติความเชื่อในเรื่องน้ำของคนโบราณโดยใช้พญานาคเป็นสัญลักษณ์เลื้อยผ่านตลอดวิหาร ส่วนบริเวณพื้นนั้นเปรียบดังสระน้ำสี่เหลี่ยมที่มีโบสถ์-วิหารวัดภูมินทร์ตั้งอยู่

นอกจากนี้หากมองตามคติพุทธทั่วๆไปแล้ว พญานาคทั้ง 2 เปรียบเสมือนผู้ปกป้องศาสนาพุทธ ซึ่งน่านถือเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีการแสดงออกทางความเชื่อในเรื่องของพญานาคอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากคนเมืองน่านเขาเชื่อว่าบรรพบุรุษของตนคือเจ้าขุนนุ่น ขุนฟอง เกิดมาจากไข่พญานาคนั่นเอง

โดยนอกจากตามวัดวาอารามแล้ว สัญลักษณ์พญานาคที่ปรากฏชัดก็คือ เรือแข่งเมืองน่าน ที่ทำเป็นรูปพญานาคเพื่อแสดงถึงการบูชารู้คุณต่อพญานาคผู้เป็นเจ้าแห่งน้ำบรรพบุรุษของชาวน่าน

เรือแข่งเมืองน่าน หัวเรือเป็นรูปหัวพญานาค เอกลักษณ์เฉพาะตัว




เรือแข่งเมืองน่าน หัวเรือจะแกะสลักเป็นรูปหัวพญานาคชูคออย่างสง่า แถมยังลงสีสันอย่างสวยงาม ส่วนตัวเรือก็เปรียบดังตัวพญานาค ไล่ยาวไปจนถึงที่ทำเป็นหางพญานาคชูงอนสูง

นับเป็นเรือแข่งที่สวยงามมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แถมยังโด่งดังไม่เป็นสองรองใคร ถึงขนาดปรากฏเป็นวลีแรกของคำขวัญจังหวัดนั่นก็คือ “แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทอง เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง” ซึ่งทุกๆปีชาวน่านจะมีการจัดแข่งเรือพญานาคอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงราวเดือน ต.ค.- พ.ย. หลังออกพรรษา โดยถือเอาวันเปิดสนามแข่งเรือตามวันถวายสลากภัตของวัดช้างค้ำ

ไม่เพียงเท่านั้นความโดดเด่นของเรือแข่งพญานาคเมืองน่าน ยังถูกใช้นำไปใช้ประดับบนหัวเสาป้ายชื่อถนน บนหัวเสาไฟจราจร ที่ดูแล้วเท่และมีเสน่ห์ไม่น้อยเลย เช่นเดียวกับพญานาควัดภูมินทร์ที่นอกจากจะมีเสน่ห์แล้วยังเป็นพญานาคที่ อ.ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินนามอุโฆษบอกว่าดูทรงพลังที่สุดในประเทศไทย

สำหรับพญานาคนาค 2 ตัวนี้จะดูทรงพลังแค่ไหน ผมว่ามันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน แต่กับคำพูดของ อ.ถวัลย์น่ะ ดูจะทรงพลังต่อผมไม่น้อยเลย เพราะนี่คือหนึ่งในอิทธิพลสำคัญที่ทำให้ผมอยากมาชมพญานาคคู่นี้ใจแทบขาด และก็ไม่ทำให้ผิดหวังเสียด้วย


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-26 06:57 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AUD เมื่อ 2014-10-7 20:18

ถ้ำพญานาค วัดเขาสมโภชน์






1.ถ้ำอรหันต์(ถ้ำใหญ่)

เป็นถ้ำขนาดใหญ่ภายในมีบริเวณกว้าง

ขวาง มีปล่องอยู่ด้านบนปล่องเป็นทาง

ลงของแสงช่วยให้สภาพภายในสว่างพอ

สมควร และมีซอกและหลืบ เกิดเป็นห้อง

ปฏิบัติธรรมโดยธรรมชาติ มีปล่องเป็น

ช่องลึก เป็นทางลงไปสู่เมืองบาดาล

ภายในถ้ำมีแผ่นหินเป็นรูปพญานาคที่มี

ส่วนประกอบชัดเจน เช่น หงอน เกล็ด

ครีบ และหาง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์บอก

ชัดเจน ที่สำคัญคือ มีอัฐิธาตุของพระ

อรหันต์อยู่ในถ้ำนั้น เป็นที่เคารพกราบ

ไหว้ของผู้เข้าชม และเป็นที่พิสูจน์ของ

ผู้เจริญสมถภาวนา





เนี้ยะทางเข้าถ้ำอรหันต์ เชื่อหรือไม่ อากาศในถ้ำเย็นสบายหายใจสะดวกมากมีอะไรให้คุณศึกษาเยอะแยะ


2.ถ้ำเจดีย์

จากปากถ้ำพระอรหันต์ไปทางซ้ายมือมี

ทางเดินเข้าไปในป่าประมาณ ๒๐๐ เมตร

จะมีทางแยกเข้าถ้ำเจดีย์ ที่ปากถ้ำจะมี

เจดีย์คอนกรีต ๓ องค์ บรรจุอัฐิธาตุของ

พระอรหันต์ ที่องค์พระเจดีย์จะมีแสง

สะท้อนวาววับเมื่อต้องแสงเทียนและไฟ

ฉาย และอากาศภายในจะเย็นชื้นตลอดปี

ไม่มีแสงจากภายนอกเล็ดลอดเข้าไปได้

มีหินงอกหินย้อยสวยงามมาก และเป็น

รูปร่างที่แปลกตาพอสมควร



3.ถ้ำใต้ดิน

ภายในถ้ำเจดีย์จะมีทางแยกเป็นปล่องลำลงไปใต้ดิน ซึ่งมีความชื้นพอสมควร ข้างล่างจะเป็นโพรง กว้างบ้างแคบบ้าง ติดต่อกันหลายถ้ำ บางแห่งก็มีแสงจากข้างบนส่งลงไปถึง บางแห่งก็มืดสนิท ต้องอาศัยไฟฉายหรือแสงเทียนช่วยในการชมความแปลกมหัศจรรย์ของหินงอกหินย้อยและธรรมชาติของถ้ำเมื่อเดินชมไปถึงที่สุดที่จะมีทางขึ้นสูงชันขึ้นเรื่อยๆและโผล่สู่ออกภายนอกอีกทางหนึ่ง

4.ถ้ำรำวง

เหนือปากถ้ำเจดีย์ขึ้นไปเล็กน้อย มีถ้ำที่กว้างพอสมควร ปากถ้ำเปิดรับแสงเข้าไปได้เต็มที่ เป็นสถานที่คนโบราณใช้รำถวายเทพเทวา พญานาค เพื่อขอให้ฝนตกตามต้องฤดูกาล

5.ถ้ำสิงห์โต

ถัดถ้ำรำวงไปทางขวาเป็นถ้ำเล็กๆตื้นๆ มีแท่นหินเป็นเชิงชั้นสวยงามมีหินรูปสิงห์โต ซึ่งเป็นธรรมชาติอยู่ภายใน ปากถ้ำเป็นกว้างรับแสงได้เต็มที่ ด้านก้นของถ้ำมีปล่องอากาศจากอีกถ้ำหนึ่งมาเปิดร่วมกันทำให้อากาศถ่ายเทได้ดีมาก และมีซอกหินใหญ่เป็นห้อง สำหรับหลบหลีกไปภาวนาได้ดีอีกด้วย

6.ถ้ำเทวดา

ลงไปตามปล่องอากาศจากถ้ำสิงห์โตจะพบถ้ำขนาดย่อมๆ ซึ่งภายในยังมีการแบ่งออกเป็น ๒ คูหาเล็กตามธรรมชาติเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมมาก แต่ถ้ำนี้จะไม่มีแสงจากภายนอกเข้าได้เลย ผู้อยู่ภายในถ้ำจะไม่สามารถรู้เวลาเช้า สาย บ่าย เย็นเลย นอกจากอาศัยจากนาฬิกา

7.ถ้ำฤาษี

มีช่องทางจากถ้ำเทวดาเข้าไปและมีช่องทางออกสู่ภายนอก ซึ่งกว้างใหญ่กว่าภายใน ถ้ำฤาษีจะมืดสนิทและบ่อยาธรรมชาติ ซึ่งมีคนนำยาไปอธิษฐานกิน อธิษฐานรักษาโรคบางอย่างหายได้อย่างอัศจรรย์ และในถ้ำนี้จะรู้สึกอบอุ่นอยู่ตลอดปี มีผู้เจริญสมถภาวนาพบว่ามีฤาษีอยู่ในถ้ำนี้มากมาย

8.ถ้ำบ่อน้ำทิพย์

จากถ้ำใหญ่แยกขึ้นไปทางขวามือขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงยอดเขา จะมีขนดพอจุคนได้ประมาณ๑๐คน แต่ตรงกลางมีบ่อน้ำขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง๒เมตร ลึก๒เมตร มีน้ำขังอยู่ ซึ่งบางครั้งก็เต็ม บางครั้งก็มีเล็กน้อย บางครั้งก็เหือดแห้งไป ให้อัศจรรย์ในเวลาที่ใกล้เคียงกันโดยไม่ขึ้นอยู่กับฤดูกาล และมีผู้ใช้น้ำในบ่อนี้รักษา โรคหายหลายราย ขอบบ่อซึ่งเป็นหิน มีรอยเท้าขนาดรอยผู้ใหญ่ปรากฎอยู่อย่างเด่นชัด

9.ถ้ำภาชี

อยู่ต่ำลงมาจากถ้ำบ่อน้ำทิพย์จนเกือบจะถึงเชิงเขา ที่ปากถ้ำมีก้อนหินรูปม้าหมากรุกอยู่หนึ่งก้อนเป็นสัญลักษณ์ ภายในเห็นห้องโถงใหญ่มีแท่นหินคล้ายหีบศพคลุมด้วยผ้ากำมะหยี่รูปสี่เหลี่ยมขนาด กว้าง ๑ ศอก ยาว ๑ วา และที่ผนังใกล้ๆแท่นดังกล่าวมีรูปนกอินทรีขนาดใหญ่กางปีกทั้ง ๒ ติดกับผนังมีจงอยปากยื่นออกมาจากผนัง มีริ้วของปีก หาง อย่างชัดเจน ลึกเข้าไปจะมีห้องโถง ปีกซ้ายขวา และขึ้นบนสูงขึ้นไปจนถึงที่สุด ต้องออกทางเดิม อากาศภายในถ้ำค่อยข้างอบอ้าว มีแสงบางเล็กน้อย

10.ถ้ำเพชร

จากปากถ้ำเจดีย์แยกไปทางซ้ายมือ จะพบถ้ำขนาดกลางๆมีห้องโถง แยกข้างซ้ายขวาบ้างและมีซอกลึกลงไปเบื้องล่างจะมีหินประหลาดที่สะท้อนแสงวาววับเหมือนเพชรขนาดใหญ่

11.ถ้ำกระโหลก

ลึกเข้าไปจากถ้ำเพชร มีถ้ำขนาดกลางอีกถ้ำหนึ่ง ซึ่งภายในถ้ำมีซากของกระดูก กระโหลกศีรษะมนุษย์ คาดว่าเป็นซากของพระธุดงค์ ท่ีมาทิ้งสังขารไว้

12.เขาวงกต

เป็นหุบเขาเนื้อที่นับร้อยไร่มีภูเขาล้อมรอบเป็นสถานที่หลวงพ่อคงนำคณะศิษย์ฝึกวิชาธุดงค์ อยู่รุกขมูล โดยให้แยกย้ายปักกลดเป็นจุดๆแต่ละจุดห่างๆกันแล้วหลวงพ่ออกเดินตรวจตรา การปฏิบัติโดยทั่วถึงกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน

นอกจากนี้ยังมีถ้ำอีกมากมายเหลือกำลังที่จะเที่ยวชมให้หมดในเวลาอันสั้นได้ บางถ้ำก็อยู่สูงและไกลกันการเดินทางลำบาก เพราะเต็มไปด้วยหินหน่อและหินหนาม ที่แหลมและคมมาก จึงขอแนะนำเพียงเท่านี้ ส่วนความมหัศจรรย์สิ่งต่างๆภายในถ้ำนั้นสุดแล้วแต่ท่านจะมีความสามารถสัมผัสรับรู้ได้ เพราะมีหลายอย่างหลายประการที่ไม่สามารถรู้ได้ด้วยเนื้อตาหรือเครื่องมือทางเทคโนโลยีใดๆทั้งสิ้น

13.สัตว์โลกผู้น่ารัก

วัดเขาสมโภชน์ นอกจากจะเป็นที่พึ่งพิงของ

มวลมนุษย์ ผู้ทรงความริสุทธิ์แห่งกาย วาจา

ใจ แล้ว ยังเป็นที่พึ่งอาศัยของฝูงลิงอีกฝูง

ใหญ่ ประมาญ ๔๐๐ ตัวหรือมากกว่าซึ่งอาศัย

อยู่ตามถ้ำและซอกหินบนเขาสมโภชน์

ฝูงลิงเหล่านี้จะอาศัยตามธรรมชาติอันได้แก่

ยอดใบไม้ ผลไม้ ได้เฉพาะแต่หน้าฝนเท่านั้น

แต่กาลเวลาที่เหลือฝูงลิงนับร้อยจะลงมาอาศัย

เศษอาหาร (ข้าวตาก หรือ ผลไม้)เช่น มะละกอ

กล้วย ฯลฯ จากทางวัดโดยการเลี้ยงดูของ

พระภิกษุ-แม่ชี และโดยการเมตตาธรรมจากสาธุชน

ผู้เคยไปเห็นความเป็นอยู่ของฝูงลิงดังกล่าวแล้ว

ซื้ออาหาร ซึ่งส่วยใหญ่ก็คือกล้วยเข้าไปเลี้ยงด้วย

เมตตาเป็นจำนวนมากและมีอยู่เสมอๆ


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-26 06:59 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AUD เมื่อ 2014-10-7 20:21

พระธาตุบังพวน สระมุจลินทร์ หรือ สระพญานาค


พระธาตุบังพวน สระมุจลินทร์ หรือ สระพญานาค




ทุกปีๆช่วงคืนวันออกพรรษา ในแม่น้ำโขงจังหวัดหนองคาย โดยเฉพาะที่ อ.โพนพิสัย จะมีปรากฏการณ์ “บั้งไฟพญานาค”เป็นลูกไฟประหลาดพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ลำน้ำโขง
        
         บ้างก็ว่าบั้งไฟพญานาค เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ บ้างก็ว่าเกิดจากน้ำมือมนุษย์ และบ้างก็(เชื่อ)ว่าเกิดจากการกระทำของพญานาค เพราะจังหวัดหนองคายได้ชื่อว่าเป็น“เมืองพญานาค”
        
         นอกจากบั้งไฟพญานาคแล้ว ในจังหวัดหนองคายยังมีความเชื่อ(ส่วนบุคคล)เกี่ยวกับพญานาคอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ความเชื่อว่า มีเมืองมีวังพญานาคอยู่ที่นี่ มีถ้ำประหลาดที่เชื่อกันว่าเป็นถ้ำพญานาค มีคนเคยเห็นสัตว์ตัวยาวในแม่น้ำโขงที่เชื่อกันว่าเป็นพญานาค มีร่องรอยที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นรอยพญานาค มีวัดที่เกี่ยวพันกับพญานาค รวมไปถึงมีพระธาตุที่มีความเกี่ยวโยงกับพญานาค อย่าง “พระธาตุบังพวน” ประดิษฐานอยู่
        
         พระธาตุบังพวน เป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองหนองคาย ตั้งอยู่ในวัดพระธาตุบังพวน ต.พระธาตุบังพวน อ.เมือง ตามตำนานอุรังคธาตุกล่าวว่า ในสมัยพุทธกาลพื้นที่แห่งนี้คือ“ภูเขาลวง”ริมน้ำบางพวน(หรือภูลวง)เป็นที่อยู่อาศัยของพญานาค ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับยังดินแดนแถบลุ่มน้ำโขง พญานาคได้มาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ทำให้ดินแดนแห่งนี้ถูกยกให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์





จากนั้นในสมัยของพระเจ้าจันทน์บุรี เจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์(ตามตำนานกล่าวไว้อย่างนั้น แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าคือพระองค์ใด ยุคสมัยใด) ได้มีพระอรหันต์ 5 องค์ เดินทางไปยังเมืองราชคฤห์ อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุกระดูกหัวเหน่ากลับมา แล้วจึงสร้างพระธาตุขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ภูลวง
        
         ส่วนอีกข้อมูลหนึ่งระบุว่ามาจากตำนานอุรังคธาตุเหมือนกัน แต่ที่มาของการกำเนิดพระธาตุไม่เหมือนกัน คือ เชื่อว่า หลังการก่อสร้างพระธาตุพนมเสร็จสิ้น เหล่าพระอรหันต์ 500 องค์ที่ทำการสร้างพระธาตุพนมได้เดินทางไปอินเดีย อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า นำมาประดิษฐานไว้ยังสถานที่ 4 แห่ง ในเมืองหนองคายและเมืองเวียงจันทน์ โดยหนึ่งในนั้นก็คือ พระธาตุบังพวนนั่นเอง
        
         นั่นเป็นที่มาคร่าวๆจากตำนานอุรังคธาตุ ซึ่งแตกต่างไปจากตำนานความเชื่อพื้นบ้านที่แม้จะไม่ได้ระบุยุคสมัยการสร้างพระธาตุบังพวน แต่ได้ระบุว่าคำว่า“บังพวน” แผลงมาจากคำว่า“บังคน” (หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า“ขี้โผ่น”)ที่แปลว่ากระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเชื่อว่าพระธาตุองค์นี้ภายในบรรจุพระบังคนหนักของพระพุทธเจ้าเอาไว้





ในขณะที่หลักฐานทางโบราณคดีไม่สามารถระบุชัดเจนได้ว่าพระธาตุบังพวนสร้างขึ้นในสมัยใด แต่สันนิษฐานว่าอย่างน้อยน่าจะสร้างขั้นก่อนสมัยพระเจ้าโพธิสาลราช(กษัตริย์ล้านช้าง) แล้วมีการบูรณะครั้งสำคัญในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช แห่งอาณาจักรล้านช้าง โดยทำการก่อพระธาตุองค์ใหญ่ครอบพระธาตุองค์เดิมไว้ ซึ่งสันนิษฐานว่าพระธาตุองค์เดิมเป็นสถูปแบบอินเดีย
        
         กระทั่ง ปี พ.ศ. 2513 เกิดภัยธรรมชาติจนพระธาตุบังพวนพังทลายลงมา จากนั้นในปี พ.ศ. 2520 ทางกรมศิลปากร ได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุขึ้นมาใหม่ตามแบบรูปทรงเดิม และทางวัดจัดให้มีการเฉลิมฉลองสมโภชองค์พระธาตุกันทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี
        
         พระธาตุบังพวนมีรูปแบบงานศิลปกรรมเป็นธาตุเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมแบ่งเป็นช่วงๆซ้อนชั้น ลดขนาดเรียวแหลมขึ้นไป ดูสวยงามสมส่วน
        
         ในวัดพระธาตุบังพวนนอกจากจะมีพระธาตุบังพวนเป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นเจดีย์ประธานแล้ว ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สถูปเจดีย์เก่าแก่ พระพุทธรูปโบราณศิลปะล้านช้างที่น่าสนใจยิ่ง โบสถ์โบราณที่เหลือเพียงซากอิฐก่อระดับเอว รวมถึงสถานที่เกี่ยวกับพญานาคอีกแห่งหนึ่ง นั่นก็คือ “สระมุจลินท์” หรือ “สระพญานาค” สระน้ำเก่าแก่สุดคลาสสิค ที่มีตำนานเล่าว่า หลังอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าบรรจุไว้ในองค์พระธาตุ ได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด มีสายน้ำพวยพุ่งออกมาจากพื้นดินซึ่งเชื่อว่านี่คือปากปล่องภูพญานาคที่เฝ้าปกปักรักษาพระธาตุบังพวน จึงมีการขุดเป็นสระน้ำขึ้นตามมาในภายหลัง



สระพญานาค มีการสร้างรูปปั้นพญานาค 7 เศียรอันขรึมขลังสวยงามคลาสสิคไว้กลางสระ สระแห่งนี้ถือเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัด สมัยโบราณเมื่อมีการแต่งตั้งเจ้าเมืองก็จะมีการนำน้ำจากสระนี้ไปสรงเพื่อความเป็นสิริมงคล ส่วนในปัจจุบันน้ำในสระแห่งนี้ถูกนำไปใช้ในพิธีสรงมูรธราชาภิเษก พิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา และพิธีศักดิ์สิทธิ์สำคัญๆในรัชกาลปัจจุบันเป็นประจำ
        
         ของดีในวัดพระธาตุบังพวนยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะในวันที่ผมเข้าไปเที่ยวชมวัด ท่านเจ้าอาวาสแนะนำว่า เมื่อมาที่นี่แล้วต้องอย่าพลาดการชม “สัตตมหาสถาน”โบราณ ที่เป็นของดีระดับโลก หลงเหลือในโลกนี้อยู่เพียงไม่กี่แห่ง ในเมืองไทยมีที่วัดเจดีย์เจ็ดยอด เชียงใหม่ และที่วัดสุทัศน์ กทม.




สัตตมหาสถาน เป็นการจำลองสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า 7 แห่ง(7 สิ่ง) ได้แก่
        
         โพธิบัลลังก์ : สถานที่ที่พระพุทธเจ้าประทับตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์เป็นเวลา 7 วัน ภายหลังการตรัสรู้ในช่วงสัปดาห์แรก จากนั้นจึงเสด็จลงจากวัชรอาสน์
        
         อนิมมิสเจดีย์ : สถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับยืนทอดพระเนตรโพธิบัลลังก์ในสัปดาห์ที่ 2 เป็นเวลา 7 วันโดยมิได้กะพริบพระเนตร อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของโพธิบัลลังก์
        
         รัตนจงกรมเจดีย์ : สถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จจงกรมในสัปดาห์ที่ 3 อยู่ 7 วัน เพื่อแสดงปาฏิหาริย์ และบรรเทาความกังขาของเทวดา





รัตนฆรเจดีย์ : สถานที่ที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งพิจารณาพระอภิธรรมปิฎกในสัปดาห์ที่ 4 เป็นเวลา 7 วัน ในเรือนแก้วที่เทพยดานิมิตถวาย
        
         อชาปาลนิโครธเจดีย์ : สถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับได้ต้นไทรซึ่งเป็นที่พักของคนเลี้ยงแพะ เป็นเวลา 7 วัน เพื่อเสวยวิมุตติผลสมาบัติในสัปดาห์ที่ 5 โดยทรงมีพุทธฎีกาต่อนางมารว่า พระองค์ทรงละซึ่งกิเลสหมดสิ้นแล้ว
        
         มุจลินทเจดีย์ : สถานที่ที่พระพุทธเจ้าประทับใต้ต้นจิกเสวยวิมุตติผลเป็นเวลา 7 วัน ในสัปดาห์ที่ 6 ใกล้สระน้ำ โดยมีพญานาคนาม “มุจจลินท์” ขึ้นมาแผ่พังพานป้องกันลมฝนให้พระพุทธองค์
        
         ราชายตนะเจดีย์ : สถานที่ที่พระพุทธเจ้าประทับใต้ต้นเกดเสวยวิมุติผลสมาบัติเป็นเวลา 7 วัน โดยมีพระอินทร์ถวายผลสมอทิพย์ และมี 2 พาณิชย์หนุ่มถวายข้าวสัตตุ จึงเกิดปฐมอุบาสกในพุทธศาสนาขึ้น
         และนั่นก็เป็นสัตตมหาสถาน 7 แห่งในวัดพระธาตุบังพวนที่ชวนยลด้วยความที่เป็นของดีหายากมีไม่กี่แห่งในโลก ซึ่งท่านเจ้าอาวาสกระซิบบอกกับผมว่า
        
         “สัตตมหาสถานที่ยังหลงเหลือซากโบราณมาตั้งแต่ยุคอดีตถึงปัจจุบันครบ 7 สิ่ง มีที่นี่แห่งเดียวในโลกเท่านั้น”



ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-26 07:00 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AUD เมื่อ 2014-10-7 20:27

ถ้ำเพียงดิน เมืองบาดาลของพญานาค















ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้