ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2905
ตอบกลับ: 8
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

สมเด็จปางโปรดปัญจวัคคีย์ หลวงพ่อเล็ก วัดบางนมโค อย.

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2019-12-12 13:13

ปางปฐมเทศนา หรือ ปางแสดงธรรมจักร


พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ขวายกขึ้นจีบนิ้วพระหัตถ์เป็นรูปวงกลม เป็นกิริยาแสดงธรรม พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นประคอง ลางแห่งทำแบบวางพระหัตถ์ซ้ายบนพระเพลาบ้าง ยกขึ้นถือชายจีวรบ้าง ลางแห่งทำแบบนั่งห้อยพระบาทก็มี

พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนานดังนี้

ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงมั่นพระทัยในอันจะแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์แล้ว ก็ทรงรำพึงพิจารณาหาบุคคลผู้สมควรที่พระองค์จะทรงแสดงธรรมโปรดในชั้นต้นทรงมุ่งหาเฉพาะผู้ที่มีอินทรีย์แก่กล้า ควรจะรับพระธรรมเทศนาเท่านั้น ฉะนั้นจึงทรงเลือกสรรในหมู่บรรพชิตก่อน เพราะอนาคาริยบุคคล คือผู้สละเคหสถานตลอดทรัพย์สมบัติออกมาบำเพ็ญพรตอยู่แล้ว เป็นผู้มีกายวิเวก และมีจิตวิเวกเป็นสมุฏฐานอยู่ ควรจะสดับธรรมเพื่อผลเบื้องสูงขึ้นไป จึงทรงระลึกถึง อาฬารดาบสกาลามโคตร และอุทกดาบสรามบุตร ซึ่งพระองค์เคยเสด็จไปทรงศึกษาสมาบัติอยู่ในสำนักของท่านอาจารย์ทั้งสองด้วยทรงเห็นว่ามีอุปนิสัยดีสมควรจะได้ธรรมพิเศษ แต่แล้วก็ทรงทราบด้วยพระญาณว่า ดาบสทั้งสองได้สิ้นชีวิตเสียแล้วเมื่อก่อน ๗ วันนี้

ต่อจากนั้นจึงทรงระลึกถึงพระปัญจวัคคีย์ภิกษุทั้ง ๕ รูป คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ที่เคยปฏิบัติบำรุงพระองค์เมื่อครั้งทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ ครั้นพระองค์ทรงเลิกทุกกรกิริยา ด้วยทรงเห็นว่ามิใช่ทางตรัสรู้ ทรงปฏิบัติในทางจิตตามมัชฌิมาปฏิปทา จึงภิกษุทั้ง ๕ นี้ ไม่เลื่อมใส เห็นว่าพระองค์คลายความเพียร เวียนมาเป็นคนมักมากแล้วไม่มีทางสำเร็จได้จึงได้ชวนกันทอดทิ้งพระองค์ และหนีไปอยู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงเห็นว่าพระปัญจวัคคีย์มีอินทรีย์แก่กล้าสมควรจะได้ธรรมวิเศษแล้ว จึงทรงพระมหากรุณาเสด็จดำเนินจากโพธิมณฑล ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน อันเป็นที่อยู่ของพระปัญจวัคคีย์ภิกษุในเวลาเย็นของวันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๘ ก็เสด็จถึงสำนักพระปัญจวัคคีย์ดังพระพุทธประสงค์

ในระยะแรกปัญจวัคคีย์ภิกษุไม่ยอมเชื่อว่า พระบรมศาสดาได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ถึงแก่ใช้วาจาไม่สมควรแย้งพระผู้มีพระภาคว่า เมื่อพระองค์คลายความเพียรเวียนมาเป็นผู้มักมากแล้ว อย่างไรพระองค์จะได้ตรัสรู้ เพราะพระปัญจวัคคีย์ถือมั่นอยู่ในความรู้ความเห็นของตนว่า ทุกกรกิริยาเท่านั้นที่เป็นทางจะให้ผู้ปฏิบัติตรัสรู้ธรรมวิเศษได้

พระบรมศาสดาต้องตรัสเตือนพระปัญจวัคคีย์ ให้หวนระลึกถึงความหลังเมื่อครั้งอยู่ปฏิบัติบำรุงพระองค์อยู่เป็นเวลานานว่า ปัญจวัคคีย์ เคยได้ยินวาจาของพระองค์รับสั่งว่า ได้ตรัสรู้แล้วอยู่บ้างหรือ? แม้วาจาอื่นใดอันไม่เป็นความจริงที่พระองค์เคยรับสั่งเล่น ยังเคยได้ยินอยู่บ้างหรือ? เมื่อพระปัญจวัคคีย์ได้ใคร่ครวญตามพระกระแสรับสั่งเตือน จึงได้เห็นจริงตามพระวาจา และปลงใจเชื่อว่า พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่ แล้วพร้อมกันถวายความเคารพ คอยสดับพระโอวาทอยู่ตลอดเวลา

ครั้นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เพ็ญเดือน ๘ พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดง "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" อันเป็น "ปฐมเทศนา" โปรดพระปัญจวัคคีย์ภิกษุประกาศความตรัสรู้ของพระองค์ว่า "ภิกษุทั้งหลาย กามสุขขัลลิกานุโยค คือการประกอบตนให้พัวพันด้วยความสุขในกาม ๑ อัตตกิลมถานุโยค การประกอบความทุกข์ยากให้เกิดแก่ผู้ประกอบ ๑ ทั้งสองนี้ ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ทางตรัสรู้ บรรพชิตไม่ควรเสพ ส่วนมัชฌิมาปฏิปทาข้อปฏิบัติเป็นทางกลาง ที่เราตรัสรู้แล้ว เป็นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อนิพพาน คือสิ้นตัณหาเครื่องรัดรึง เป็นธรรมที่บรรพชิตควรดำเนิน ด้วยเป็นทางทำผู้ดำเนินให้เป็นพระอริยะ"

ทางสายกลาง

มัชฌิมาปฏิปทานั้น ได้แก่ทางมีองค์ ๘ คือ สัมมาทิฎฐิ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ สัมมาสังกัปโป ความดำริชอบ ๑ สัมมาวาจา วาจาชอบ ๑ สัมมากัมมันตะ การงานชอบ ๑ สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ ๑ สัมมาวายามะ ความชอบ ๑ สัมมาสติ ระลึกชอบ ๑ สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ ๑

มัชฌิมาปฏิปทานี้แล เราได้ตรัสรู้แล้ว ทำให้เกิดดวงตา คือ ปรีชาญาณ เห็นแจ้งแทงตลอดซึ่งเญยยธรรมทั้งปวงเป็นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อนิพพาน พร้อมกับทรงประกาศสัจจธรรมทั้ง ๔ ประการ คือ ทุกขสัจจะ สมุทยสัจจะ นิโรธสัจจะ และมัคคสัจจะ โดยเทศนาบรรหารจำแนกยถาภูตทัศนญานด้วยอาการ ๑๒ บรรจบครบบริบูรณ์ เมื่อจบปฐมเทศนา โกณฑัญญภิกขุ ได้ธรรมจักษุ บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระสาวกชั้นพระอริยบุคคลองค์แรกในพระพุทธศาสนา.

พระพุทธจริยา ที่พระองค์ทรงพระมหากรุณาแสดงปฐมเทศนาครั้งนี้ เท่ากับประกาศความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้โลกรู้แจ้งชัด ด้วยพระปรีชาญานอันหาผู้เสมอมิได้ ได้พระโกณฑัญญะเป็นสักขีพยานในการตรัสรู้ของพระองค์เป็นนิมิตรอันดี ในการที่พระองค์จะประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองในโลกสืบไป ข้อนี้เป็นเหตุแห่งการสร้างพระพุทธรูปปางนี้เรียกว่า "ปางปฐมเทศนา" หรือ "ปางแสดงธรรมจักร"

ข้อมูลจากหนังสือ "ตำนานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ" นิพนธ์ของ พระพิมลธรรม ราชบัณฑิต (ชอบ อนุจารีมหาเถร)
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2019-12-12 13:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


ปัญจวัคคีย์จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
                 



  
ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕


ปัญจวัคคีย์ คือ กลุ่มนักบวชที่ตั้งขึ้นมา เป็นนักบวชที่ปรากฏอยู่ในศาสนาพุทธในฐานะภิกษุชุดแรกที่เข้ามาบวชเป็นสาวก มีทั้งหมด 5 รูป ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ
แต่เดิมปัญจวัคคีย์เป็นนักบวชที่ออกบวชติดตามปรนนิบัติพระพุทธเจ้าตั้งแต่เสด็จออกผนวชใหม่ ๆ ทั้งหมดเป็นชาวกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นกลุ่มบุคคลที่ได้ฟังปฐมเทศนาเป็นรุ่นแรก ได้เป็นภิกษุรุ่นแรกและได้เป็นพระอรหันต์รุ่นแรกในพระพุทธศาสนา
เฉพาะโกณฑัญญะเป็นผู้เคยทำนายลักษณะพระพุทธเจ้าตั้งแต่ตอนประสูติใหม่ ส่วนอีก 4 ท่าน เป็นบุตรของพราหมณ์ที่ทำนายลักษณะของพระพุทธเจ้าร่วมกับโกณฑัญญะ เพราะมีความเชื่อว่าเจ้าชายสิทธัตถะจะต้องได้เป็นพระพุทธเจ้าจึงได้ออกบวชตาม
ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 พระพุทธองค์ได้แสดงปฐมเทศนาคือธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุโสดาบัน โกณฑัญญะได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ให้เป็นเอตทัคคะในด้านรัตตัญญู เรียกว่า มีราตรีนาน คือเป็นผู้รู้ธรรมก่อนใคร และได้บวชก่อนผู้อื่นในพระพุทธศาสนา จากนั้นพระพุทธองค์ทรงประทาน ปกิณณกเทศนา สั่งสอนที่เหลืออีก 4 ท่าน ให้บรรลุโสดาบันแล้วประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้
ชื่อวันที่ได้ธรรมจักษุ
วัปปะวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8
ภัททิยะวันแรม 2 ค่ำ เดือน 8
มหานามะวันแรม 3 ค่ำ เดือน 8
อัสสชิวันแรม 4 ค่ำ เดือน 8
ในวันแรม 5 ค่ำ เดือน 8 พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาอนัตตลักขณสูตร ซึ่งมีใจความดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย ขันธ์  5 มีดังนี้
  • รูป คือ ร่างกาย
  • เวทนา คือ ความรู้สึกสุข ความทุกข์
  • สัญญา คือ ความจำมั่นหมาย
  • สังขาร คือ ความคิดปรุงแต่ง
  • วิญญาณ คือ ความรู้อารมณ์ต่าง ๆ
ภิกษุทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเขา สิ่งเหล่านี้มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา
– พระพุทธเจ้า
ขณะสดับพระธรรมเทศนา พระภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ส่งจิตไปตามกระแสพระธรรมเทศนา จิตก็หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง ไม่ยึดมั่น ถือมั่นด้วยอุปาทาน สามารถละสังโยชน์ครบ 10 ประการ ได้บรรลุพระนิพพานเป็นพระอรหันต์พร้อมกันทั้ง 5 รูป



3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2019-12-12 13:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงพ่อเล็ก เกสโร วัดบางนมโค
ศิษย์ใกล้ชิด หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
หนึ่งในเกจิของอยุธยา ที่ไปร่วมปลุกเสกพิธี '25 พุทธศตวรรษ'
" เจ้าตำรับ พระผงยันต์เกราะเพชร "









หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้เล่าไว้ว่า ครั้งหนึ่งหลวงพ่อเล็ก ศิษย์ของหลวงพ่อปานที่หลวงพ่อปานให้อยู่รักษาคนไข้เวลาที่หลวงพ่อไม่อยู่ ได้ทำพิธีปลุกเสกพระของหลวงพ่อปาน เพื่อเป็นการทดลอง ครั้นทำแล้วหลวงพ่อปานก็ตรวจดูท่านได้ถามเป็นเชิงเย้าว่า
ปลุกเสกเดี่ยวเลยสิท่า ไม่ได้ชุมนุมเทวดามาด้วยใช่ไหมล่ะ ทำไมล่ะเทวดา น่ะท่านมีทุกหนทุกแห่ง เรียกท่านมารับรู้ท่านก็จะตามไปคุ้มครองต่อเนื่อง กันไป ลำพังพลังจิตเราน่ะคุ้มได้ไม่ทั่วหรอก ต้องให้เทวดาท่านช่วยบ้าง
หลวงพ่อเล็ก วัดบางนมโค เป็นพระที่ค่อนข้างจะอาภัพ เพราะว่าพระกิตติคุณของหลวงพ่อปาน คลุมเอาไว้หมด มีคนรู้จักท่านเพียง เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบางนมโค สมัยหลวงพ่อปานเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ท่านรักษาโรคได้แบบเดียวกับหลวงพ่อปาน และหลวงพ่อปานท่านก็ไว้ใจ ให้ทำงานแทนท่านอยู่ตลอด
...........(หลวงพ่อเล็ก จะคล้ายๆ หลวงพ่อประยูร วัดนกกระจาบ เพราะว่าพระกิตติคุณของหลวงพ่อขัน คลุมเอาไว้ ทั้งๆที่ ทั้ง 2 รูปเรียนวิชาจากอดีตเจ้าอาวาส จนหมดไส้หมดพุง แต่คนก็มองข้ามไป ชะตาคล้ายๆ กัน คือ คนจำแต่เจ้าอาวาสองค์ก่อน ทั้งๆที่ ท่านก็เก่ง แต่ไม่มีคนสนใจ พระเครื่องที่สร้างไว้ ก็ไม่มีคนสนใจ เป็นเพชรแท้ที่ถูกมองข้าม )...................
วัตถุมงคล ของหลวงพ่อเล็ก (รวมถึงของหลวงพ่อประยูร) ส่วนใหญ่คนมองข้าม ไม่มีการพูดถึงในวงการพระ จนคนเล่นพระยุคใหม่ๆ แทบไม่มีใครรู้จักท่าน พระเครื่องไม่ค่อยมีการเล่นหา ถูกลืม!! แต่ถึงกระนั้น ต้องยอมรับของท่านเป็นของดี อย่างเอกอุ เลยทีเดียว ทั้งของหลวงพ่อเล็ก หลวงพ่อประยูร
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2019-12-12 13:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



พระพิมพ์กลีบบัว ผงยันต์เกราะเพชร หลวงพ่อเล็ก วัดบางนมโค จ.อยุธยา
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2019-12-12 13:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2019-12-12 13:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงพ่อเล็ก ท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อปาน แห่งวัดบางนมโค และเป็นพระอาจารย์ ของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ซึ่งหลวงพ่อเล็ก ท่านเป็นพระที่มีความกตัญญูและรู้ประมาณ ไม่เคยสร้างพระเลียนแบบหลวงพ่อปานผู้ซึ่งเป็นอาจารย์เลย
เมื่อหลวงพ่อปานท่านมรณภาพแล้ว ท่านก็ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบแทน
และเป็นผู้ครอบครองผงยันต์เกราะเพชรที่หลวงพ่อปานท่านลบเอาไว้ถึงหนึ่งปีเต็ม ๆ
หากหลวงพ่อเล็กจะสร้างพระเนื้อดินเลียนแบบหลวงพ่อปานแล้วบรรจุผงยันต์เกราะเพชรก็ย่อมทำได้
แต่หลวงพ่อเล็กท่านก็ไม่ทำ ท่านกลับนำมาสร้างเป็นพระพิมพ์ที่เป็นเนื้อผงเกราะเพชรโดยใช้ผงยันต์เกราะเพชร
ผสมกับปูนเปลือกหอย ซึ่งพิมพ์ที่ได้ออกมาจะเป็นรูปห้าเหลี่ยมปลายแหลม
ด้านหน้าเป็นพระพุทธนั่งสมาธิอยู่บนอาสนะฐานชุกชีแบบพระประธานในพระอุโบสถวัดบางนมโค ด้านหลังจะเรียบ

พระชุดนี้หลวงพ่อเล็ก ท่านได้แจกให้ผู้คนนำไปติดตัว ท่านสั่งว่า


“ผงเกราะเพชรที่อยู่ในองค์พระสามารถแช่น้ำทำน้ำมนต์ อาบกินรักษาโรค

กำจัดเสนียดจัญไร และยังรดไล่ภูตผีปีศาจที่สิงในตัวคนได้”

เวลาใช้ให้อาราธนาถึงหลวงพ่อปาน แห่งวัดบางนมโคเป็นที่ตั้ง เพราะท่านเป็นเพียงผู้สร้างพระเท่านั้น
แต่เจ้าของผงเกราะเพชรก็คือ หลวงพ่อปาน นั่นเอง

7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2019-12-12 13:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้



พระปัญจวัคคีย์ (ผงเกราะเพชร) หลวงพ่อเล็ก วัดบางนมโค
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2019-12-12 13:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
"ยันต์" หมายถึงลายเส้นที่เขียนไขว้กันไปมาตามแบบแผน ลงอักขระเพื่อให้เกิดความขลัง
  
บางท่านก็ว่า "ยันต์" เพี้ยนมาจาก "ยัญ" หรือ "ยัญญะ" เป็นภาษาบาลี แปลว่า สิ่งที่มนุษย์พึงเซ่นสรวงบูชา ให้มีความสุข ความเจริญ หรือหมายถึงการเซ่น การบูชา พิธีบวงสรวงอย่างหนึ่งของพรามณ์
  
ลักษณะของยันต์ประกอบด้วยอะไรบ้างนั้น มีบอกกล่าวไว้ในตำรา ว่า
  
เส้นที่ขีดลากไปมานอกยันต์นั้น หมายถึง "สายรกของพระพุทธเจ้า" ส่วนเส้นที่อยู่ภายในยันต์ เรียกว่า "กระดูกยันต์"
  
และบทความนี้เราจะมาดูเกี่ยวกับ”ประวัติและอานุภาพยันต์เกราะเพชร”กันค่ะท่านผู้ชมว่ามีความเป็นมาอย่างไร…












จากการสืบค้นผู้เขียนพบว่า”ยันต์เกราะเพชร”นั้น หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดนครศรีอยุธยา
องค์บูรพาจารย์ของหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
เป็นต้นตำรับการเป่ายันต์เกราะเพชร
หลวงพ่อเมตตาเล่าว่า งานเป่ายันต์แต่ละครั้ง
เรือแพแน่นขนัดไปทั้งแม่น้ำ เดินข้ามไปอีกฝั่งได้สบาย ๆ
ผู้คนหลั่งไหลกันมามืดฟ้ามัวดิน หุงข้าวพร้อมกันทีละแปดกระทะ
ตั้งแต่เช้ายันเย็นยังไม่พอเลี้ยงคนเลย...
ยันต์เกราะเพชรนี้ หลวงพ่อปานศึกษาจากตำราพระร่วง
โดยตัดมาจากส่วนหนึ่งของธงมหาพิชัยสงคราม

*****ธงมหาพิชัยสงคราม*****
  
เป็นการนำเอาพุทธคุณบทต้น
มาเขียนเป็น ตัวขอม อ่านตามขวางว่า

อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา
ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง
ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท
โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ
ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ
คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ
วา โธ โน อะ มะ มะ วา
อะ วิ สุ นุต สา นุส ติ
สำหรับยันต์เกราะเพชร คือเป็นคาถา
อิติปิ โส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ
วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู
อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ
สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ
เรียกกันว่า ห้องพระพุทธคุณ
แต่เขียน ลงมาอย่างลงอย่างหนังสือเจ๊ก
เขียนลง ไม่เขียนตามบรรทัด เขียนลงมา 7 คำ
แล้วก็ไปขึ้นต้นใหม่เรียงกันไป ก็ว่า
อิระชาคะตะระสา ติหังจโตโรถินัง
นี่เรียกว่า อิติโส 8 ทิศ อย่างนี้แหละ
แล้วก็ชักเป็นยันต์ เรียกสูตรตามเส้นที่เขาชักไป
สำหรับยันต์เกราะเพชรนี่หลวงพ่อปานปลุกได้ดีมาก
เพราะว่าเวลาท่านจะเป่าให้ใครนั้น ท่านเขียนยันต์ใส่กระดานดำไว้
แล้วท่านก็ยืนอยู่ข้างหลังให้ทุกคนจุดธูปเทียน แล้วภาวนาว่า พุทโธ
ถ้าคนไหนมีครรภ์ ผู้หญิงมีครรภ์ก็ให้จุดธูป 1 ดอกแทนลูกในครรภ์
แล้วท่านก็เป่า เวลาเป่ายันต์เข้าตัวจะมีความรู้สึกหนักที่ศีรษะ
หรือว่าคันที่หน้า ยังงี้เรียกว่ายันต์เข้าจับตัวแล้ว
ถ้ายันต์เข้าจับตัวทุกคนก็เป็นอันว่าเลิกกัน
ท่านเป่าเฉพาะวันเสาร์ห้า คือว่าเป็นเดือนอะไรก็ตาม
เป็นขึ้น 5 ค่ำวันเสาร์ หรือวันเสาร์ตรงกัน 5 ค่ำ อันนี้ใช้ได้
เรียกว่าท่านทำเป็นปกติ แล้วก็วันเสาร์ 5 นี่แหละ
เป็นวันยกครูของท่าน ท่านจะยกครูหมอ ครูอะไรก็ตาม
ก็ทำกันวันเสาร์ห้า คนเยอะยิ่งกว่ามีงานวัดอีก
ศาลาของท่านใหญ่จุคนเป็นพัน
แต่เวลาเป่ายันต์เกราะเพชรจริง ๆ ต้องผลัดกัน 4 – 5 รุ่น
เรียกว่านั่งเต็มศาลาเป่า 1 คราว ใครเป่าแล้วก็ลงมา
คนที่ยังก็ขึ้นไป ยังงี้เปลี่ยนกันถึง 4 – 5 รุ่น
คุณสมบัติของยันต์เกราะเพชรก็เป็นการกันการกระทำ
การกลั่นแกล้งจากคนอื่นด้วย วิชานี้ดีมาก
หากว่าใครขืนทำเข้าคนนั้นก็เคราะห์ร้าย
เคราะห์ร้ายเพราะอะไร ของเหล่านั้นจะกลับสะท้อน
ย้อนเข้าไปหาตัว
คราวหนึ่ง พระผลบวชพรรษาเดียวกับฉัน
แกอยู่อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี
แกไปรับยันต์เกราะเพชร พอรับแล้วแกก็ออกไปหลังวัด
ปรากฏว่าถูกงูเห่ากัดเห็นตัวชัดเพราะเป็นกลางคืนเดือนหงาย
เห็นว่าเป็นงูเห่าแน่ เอาไฟส่องดูก็แผ่แม่เบี้ยหราเป็นงูเห่า
แกก็วิ่งเข้ามาหาหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานก็ถามว่า
แกรับยันต์เกราะเพชรหรือเปล่า พระผลก็บอกว่ารับขอรับ
ท่านบอกว่าถ้ารับไม่รักษา ฉันอยากจะดูคนที่รับยันต์เกราะเพชร
มันตายเพราะถูกงูกัดสักคน ถ้าหากว่าแกตายฉันจะดีใจมาก
ท่านผลหน้าซีด ปรากฏว่า ในขณะที่ท่านพูดพิษมันวิ่งขึ้นมาถึงเข่า
แล้วก็ถอยไปปวดอยู่ปากแผล เดี๋ยวมันก็ปวดขึ้นมาถึงเข่า
แล้วก็ปวดที่ปากแผล 3 ครั้ง พอวาระที่สามปรากฏว่า
อาการปวดหายไปหมดเลย พิษหมดเลยพระผลดีใจมาก
บอกว่าหายปวดแล้วครับ หลวงพ่อปานก็บอกว่านั่นนะซิ
ฉันแน่ใจว่ายันต์เกราะเพชรของฉันดี แต่ถ้าแกรับแล้วแกตายเพราะงูกัด
ฉันก็จะเห็นว่าแกเป็นคนเลวมาก ไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า
เพราะว่ายันต์เกราะเพชรนี่ฉันอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าคุ้มครองนะไม่ใช่อื่น
ถ้าแกตายแล้วก็เป็นพระด้วย แกรับยันต์เพราะเพชรไปแล้วด้วย
ถ้าถูกงูกัดแล้วตายเพราะงูพิษก็น่าจะตายหรอก
เพราะว่าคนที่บวชแล้วไม่เคารพในพระพุทธเจ้า
ไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา
เป็นคนเลวก็ควรจะตาย แต่ว่าแกไม่ตาย นี่ก็แสดงว่าแกเป็นคนดีแล้ว
ความมั่นคงในพระพุทธเจ้าใช้ได้ นี่ว่ากันถึงยันต์เกราะเพชร






9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2019-12-12 13:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงพ่อฤาษี เป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดท่าซุง
หลวงพ่อเริ่มเป่ายันต์อย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๕
ที่ ศาลาพระพินิจอักษร คนมารับยันต์หลายพันคน ต้องทำพิธีเป่าอยู่หลายรอบ
ครั้งที่ ๒ เมื่อ วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๖ ที่ ศาลา ๒ ไร่ ผู้คนแห่กันมาหลายหมื่นคน
ต่อมาหลวงพ่อได้สร้างศาลา ๓ ไร่, ๔ ไร่ และศาลา ๑๒ ไร่ เพื่อรองรับศรัทธาเพราะ
มีผู้มาร่วมพิธีเป่ายันต์กันมากขึ้นทุกปี ขนาดศาลา ๑๒ ไร่คนก็เต็มและต้องเป่าหลายรอบ
การเป่ายันต์ไม่ได้เป่าทีละคน หากแต่เป่าทีละเต็มศาลา
กี่หมื่นกี่แสนคนก็เป่าพร้อมกันทีเดียว "พระ" ท่านบอกว่า เป่าทีเดียวทั่วจักรวาล
จะอยู่มุมไหนของโลกก็ตาม ถ้าตั้งใจรับด้วยความเคารพ
ก็มีผลเช่นเดียวกับคนที่มาเข้าพิธีด้วยตัวเอง...
หลวงพ่อจะให้ผู้รับยันต์ สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐาน
แล้วดูภาพยันต์ที่ตั้งไว้ในพิธี ตั้งใจจำภาพยันต์ไว้ในใจ
แล้วหลับตาภาวนาว่า พุทโธ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าหลวงพ่อจะบอกว่าเสร็จพิธี...

ยันต์เกราะเพชรคือพุทธานุภาพ ขณะที่เราหลับตาภาวนา
พระพุทธเจ้าจะเปล่งฉัพพรรณรังสีลงมา ครอบคลุมท่านที่ตั้งใจรับยันต์
หลวงพ่อท่านจะคอยดูอยู่ พอพระท่านบอกว่าเต็มแล้ว หลวงพ่อก็จะบอกให้เลิกภาวนา...
เมื่อ ยันต์เกราะเพชรเริ่มจับตัว ผู้รับจะมีอาการต่าง ๆ กัน เช่นร้อนหู ร้อนหน้า
ขนลุกขนชัน หนักศีรษะ หรือ คันยุบยิบเหมือนมีตัวไรไต่ บางคนจับไข้ไปเลย
อาการเหล่านี้จะทรงอยู่ไม่เกิน ๒-๓ วัน พอยันต์เข้าตัวหมดก็หายไปเอง...

ผู้ที่ถูกไสยศาสตร์มา ไม่ว่าจะเป็นคุณผี-คุณคน หรืออะไรก็ตาม
เมื่อเริ่มทำการเป่ายันต์ ท้าวจตุมหาราชและ บริวารจะช่วยขับของเหล่านั้นออกให้
คนที่โดนของมาจะทั้งดิ้นทั้งร้อง ต้องปล่อยให้สงบไปเอง
เลิกดิ้นเลิกร้องเมื่อไร แปลว่า ของอาถรรพ์สลายตัวหมดแล้ว...
การเป่า ยันต์เกราะเพชร เป็นการปลุกเสกวัตถุมงคลไปในตัวด้วย
ใครมีวัตถุมงคล ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่อง ผ้ายันต์ ตะกรุด หรือ เครื่องรางใด ๆ ก็ตาม
เวลาเข้าพิธีให้วางไว้บนตักตัวเอง เสร็จพิธีเป่ายันต์ ก็นำไปใช้ได้เลย...

การรักษายันต์เกราะเพชรให้อยู่กับตัว ผู้รับยันต์ไปต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์
หรืออย่างน้อย ต้องมีศีล ๒ ข้อ คือห้ามกินเหล้า และห้ามลักขโมย
ตอนเช้าต้องสวดมนต์ไว้พระ นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อาราธนาบารมีของท่าน ลงมาเป็นเกราะเพชรคลุมกายเรา ภาวนา "พุทโธ" ให้ใจสบาย
แล้วกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง ถ้าทำแบบนี้ได้ทุกวัน อานุภาพของยันต์เกราะเพชร
จะคุ้มครองรักษา ให้ท่านมีความปลอดภัยทุกประการ...







ผู้ที่รับยันต์ไปแล้ว ถ้ารักษาไว้ได้จะมีอานุภาพดังนี้
๑. จะไม่ตายโหงอย่างเด็ดขาด
๒. จะไม่ตายด้วยพิษสัตว์ทุกชนิด
๓. ปลอดภัยจากไสยศาสตร์ทุกชนิด
๔. ไสยศาสตร์ทุกประเภท จะสะท้อนกลับไปเอง
ผู้รับยันต์ไปเป็นผู้ใหญ่ ถ้ารักษาไว้ด้วยดี เมื่อตายแล้วเผา
จะมียันต์ติดอยู่ที่กระดูก สำหรับเด็กในท้อง ถ้าเป็นลูกชายคนหัวปี
เมื่อคลอดออกมา จะมียันต์ติดอยู่ตามตัว เป็นลวดลายต่าง ๆ กันไป...

ลูกศิษย์หลวงพ่อหลายคน เมื่อตายแล้วเผามียันต์ติดที่กระดูก
บางคนกระดูกลายเป็นพระธาตุไปเลย
เด็กที่เกิดมามียันต์เกราะเพชรติดตัวเป็นจำนวนมาก
บางคนลายเป็นแตงไทย บางคนหูดำทั้งสองข้าง
บางคนเป็นยันต์เกราะเพชรอย่างชัดเจน...
รายหนึ่งอยู่ลพบุรี ผู้เป็นแม่รับยันต์ไปแล้ว ตั้งใจรักษาศีล ๘ อย่างเคร่งครัด
ลูกเกิดมามียันต์เป็นสีแดง และปรากฏขึ้นทุกวันพระ
อีกรายมียันต์ติดกระหม่อมเป็นรูปกงจักร
ซึ่งลวดลายยันต์เหล่านี้จะค่อย ๆ ซึมเข้าเนื้อ ไปอยู่ที่กระดูกจนหมด
อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่ได้รับการเป่ายันต์เกราะเพชรแล้วนั้น การจะรักษายันต์ให้อยู่กับตัว ผู้รับยันต์ต้องมีศีลห้าบริสุทธิ์ หรืออย่างน้อย ต้องมีศีล 2 ข้อ ในข้อที่ว่า "ห้ามดื่มเหล้า" และ "ศีลข้อสาม" ตอนเช้าต้องสวดมนต์ไหว้พระ อาราธนาบุญบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมนาสัมพุทธเจ้ามาปกป้องคุ้มครอง
  
อย่างนี้แล้ว จึงเป็นการรับยันต์ที่ได้ประโยชน์ คือผู้ที่ได้รับคิดดี ทำดี เมื่อคิดดีทำดี ย่อมผ่านพ้นจากสิ่งเลวร้ายและภยันตรายทั้งปวง

ขอขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของเครดิตภาพที่ผู้เขียนได้นำมาจาก (อินเตอร์เน็ต)เพื่อใช้ในการแสดงประกอบเนื้อหาสาระข้อมูลนี้..และขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพและข้อมูลจาก:วิกิพีเดีย, บ้านสวนพระเครื่อง,และข้อมูลเพิ่มเติม(บางส่วน)

https://www.tnews.co.th

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้