เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาปะทุขึ้น ไทยจำต้องส่งทหารกล้าเข้าสู่สงครามอันร้อนแรงในยุคคนั้น ศิษย์หลวงพ่อไปล่คนหนึ่ง ( สุดใจ เปรมชื่น) ก็เป็นหนึ่งในพลทหารกล้าที่เดินทางเข้าสู่สนามรบ ก่อนจะไป ด้วยความศรัทธาในกิตติคุณของหลวงพ่อไปล่ จึงออกเดินทางไปขอของดีจากหลวงพ่อไปล่ แห่งวัดกำแพง เพื่อไว้ยึดเหนี่ยวและเป็นขวัญกำลังใจในสนามรบ ด้วยบุญวาสนาของสุดใจ จึงได้มีโอกาสพบหลวงพ่อไปล่ที่ริมทางรถไฟสายมหาชัย พอสุดใจเห็นว่านั้น คือหลวงพ่อไปล่ ก็เกิดปิติดีใจอย่างยิ่งตรงริ่วเข้ากราบนมัสการ แล้วขอของดีจากท่าน หลวงพ่อไปล่บอกว่า “ฉันไม่ได้เอาของดีอะไรติดยามมาเลยแล้วท่านจึงบอกให้สุดใจหยิบก้อนหินข้างทางรถไฟขึ้นมาก้อนหนึ่ง” เมื่อนายสุดใจหยิบก้อนหินยกขึ้นถวายท่าน หลวงพ่อไปล่รับมาแล้วท่านก็เสกบริกรรมคาถาในตอนนั้นเลย แล้วมอบให้ พร้อมกล่าวให้พรขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย นายสุดใจเมื่อรับก้อนหินเสกจากหลวงพ่อไปล่แล้ว ก็ก้มกราบลาท่าน เดินทางเข้าสู่จุดร่วมพลและต่อด้วยการเดินทางเข้าสู่สนามรบอันกำลังปะทุเดือน เมื่อนายสุดใจเข้าสู่สงครามด้วยอานุภาพก้อนหินเสกของหลวงพ่อไปล่ คุมกระสุนจากปลายกระบอกปืนของอริศัตรูไม่อาจแม้แต่จะระะคายผิวของเขาได้จนเพื่อนๆทหารกล้าที่ไปด้วยกันต่างสงสัยและไตร่ถามถึงเครื่องรางของขลังที่นายทหารสุดใจพกติดตัว ส่วนนายทหารสุดใจเมื่อเพื่อนทหารไตร่ถามเสร็จมือก็พรางล่วงเอาก้อนหินเสกของหลวงพ่อไปล่ที่ตนพกติดตัวในชายพกออกมาให้เพื่อนๆดูคนทั้งหลายพอเห็นแล้ว ก็อยากจะทดลองอานุภาพอีกครั้งจึงขอลองด้วยการนำก้อนหินไปวางแล้วเอาปืนยิง ปรากฎว่า ไม่ว่าจะยิงยังไง สับไกปืนสักกี่ครั้ง ก็ยิงไม่ออก เรื่องเล่านี้เป็นอีกหนึ่งตำนานเล่าขานที่แสดงให้เห็นถึงฤทธานุภาพและบารมีของหลวงพ่อไปล่วัดกำแพง พระเถราจารย์ชื่อดังยุคสงครามมหาเอเชียบูรพาผู้มีพุทธาคมอันเข้มขลัง ฯ
|