ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 8334
ตอบกลับ: 33
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี บุกเมืองพญานาค

[คัดลอกลิงก์]


พญานาคมีจริงหรือ ?
คนไทยเราชาวพุทธ พอเกิดมาเดินได้เข้าไปตามวัดวาอารามย่อมจะเคยได้พบเห็นรูปร่างพญานาค ประดิษฐานอยู่ตามราวบันไดทางขึ้นสู่โบสถ์ วิหาร กุฏิศาลา มณฑป พญานาคทำด้วยไม้ก็มี ปั้นด้วยปูนทาสี มีหงอนแดง อ้าปากแลบลิ้นแดงฉานน่าสะดุ้งกลัวก็มี
รูปพญานาคที่ประดับอยู่ตามหน้าจั่วกุฏิศาลาโบสถ์วิหารนั้น เรียกว่านาคสะคุ้ง เป็นศิลปกรรมเอกลักษณ์ที่พบเห็นได้ทุกแห่ง
คติความเชื่อถือของชาวพุทธ มีความเชื่อว่า พญานาคมีจริง มีบ้านเมืองอยู่ใต้พื้นพิภพเรียกว่า เมืองบาดาล
พญานาคเป็นพวกกายทิพย์ครึ่งหนึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานอีกครึ่งหนึ่งเป็นเทพยดา มีมหิทธิฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งนัก สามารถเนรมิตบิดเบือนร่างกาย ให้เป็นมนุษย์ชายและหญิงก็ได้ เนรมิตเป็นพญางูใหญ่ลำตัวโตขนาดไหนก็ได้
คติทางพุทธศาสนาถือว่า พญานาคเป็นเทพยดาเฝ้าพิทักษ์วัดวาอาราม และปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ในพระศาสนาทั่วไป
ข้าพเจ้าสนใจเรื่องพญานาคมานานแล้ว ได้พยายามศึกษาค้นคว้า หาทางพิสูจน์อยู่เสมอมา แต่เป็นเรื่องเร้นลับอยู่เหนือธรรมชาติของ ตา หู จมูก กายของปุถุชนจะสัมผัสให้เห็นได้โดยยากเพราะเป็นสภาวะทิพย์วิสัย
แต่ถึงอย่างไร ข้าพเจ้าก็มิท้อถอย ได้พากเพียรศึกษาค้นคว้ารวบรวมเรื่องพญานาคอยู่เรื่อยมา เรื่องที่รวบรวมได้มา จึงอยู่ในลักษณะเล่าสู่ท่านผู้อ่านฟัง ซึ่งยังไม่มีการพิสูจน์ลงไปให้แน่ชัดว่าเป็นจริงเช่นสองบวกสองเป็นสี่ อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่รวบรวมได้มา ล้วนมาจากผู้ทรงศีล มีธรรมวินัย หากท่านเหล่านั้น นำเรื่องพญานาคมาโกหกเป็นความเท็จ ต้องเป็นบาปหนักแน่ ๆ
ขอให้ข้าพเจ้าและท่านผู้อ่านมีความเชื่อว่า ท่านผู้ทรงศีลจะไม่เสกสรรปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกลวงพวกเราให้งมงาย
มีพระธุดงค์ผู้เฒ่าองค์หนึ่งอายุเกือบร้อยปีแล้ว มีฌานตบะแก่กล้าอยู่แต่ในป่าในถ้ำมา 40 กว่าปีแล้ว ไม่เคยเข้าหมู่บ้านหรือเข้าอยู่ที่วัดใดวัดหนึ่งเลย เวลานี้ท่านลี้ภัยออกจากลาวแดงมาอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งริมฝั่งโขงฝั่งไทย
ท่านชื่อ หลวงปู่คำคะนิงอายุ 86ปี
เรื่องถ้ำเรื่องป่าเขาแดนลี้ลับอันตรายต้องยกให้หลวงปู่คำคะนิง ท่านผ่านถ้ำผ่านภูเขามานับร้อยนับพันแห่งในอินโดจีนและฝั่งโขงทั้งสองฟาก
ผจญเสือ ผจญช้าง กระทิงป่า มหิงสา หมียักษ์และงูร้ายอสรพิษนานาชนิด มาแล้วอย่างโชกโชน ตลอดจนภูตวิญญาณร้ายกาจสารพัดภูตผีปีศาจคะนองไพร
และที่น่าสนใจที่สุด
“หลวงปู่คำคะนิงเคยเข้าไปในถ้ำใต้แม่น้ำโขง เดินสามวันสามคืนไม่หยุดยั้ง พบเมืองบาดาลนาคพิภพของพญานาค มหัศจรรย์ที่สุด”
เรื่องนี้จึงทำให้อยากไปพบหลวงปู่คำคะนิง เพื่อสอบถามเรื่องเมืองพญานาคใต้แม่น้ำโขง ถ้าสามารถเป็นไปได้ อยากจะให้หลวงปู่คำคำคะนิงพาเข้าถ้ำที่ว่านี้ ไปดูชมเมืองนาคพิภพให้เป็นบุญตา
ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องการไปนมัสการหลวงปู่คำคะนิงที่ถ้ำคูหาสวรรค์ริมฝั่งโขง ตอนใกล้ปากแม่น้ำมูลไหลตกลงสู่แม่น้ำโขง ข้าพเจ้าขอกล่าวถึงเรื่องพญานาคที่รวบรวมไว้ แทรกเข้าขัดจังหวะสักเล็กน้อย เพื่อเป็นการประกอบเรื่องให้มีน้ำหนักขึ้น

34#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-12 10:05 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สาธุ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ ครับ
32#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-11 20:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ศีลห้าสู่สวรรค์
หลวงปู่คำคะนิงท่องเที่ยวต่อไปถึงทางแยกแห่งหนึ่ง จ่ายมบาลบอกว่า ตรงนี้เป็นชุมทางไปสู่สวรรค์ชั้นต่าง ๆ เส้นทางเป็นสายรุ้งพุ่งจากพื้นเป็นวงโค้งขึ้นไปในอากาศนั้น
เป็นเส้นทางสาหรับผู้เจริญวิปัสสนาได้บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน เมื่อตายแล้วต้องขึ้นเส้นทางนี้ไปสู่สวรรค์เบื้องสูงสำหรับอริยบุคคลชั้นโสดาบัน
ที่เป็นอู่ทอง อู่แก้วคล้ายบุษบกมีสายชักขึ้นและชักลงจากพื้นดินขึ้นไปในอากาศนั้น เป็นอู่ยนตร์สำหรับผู้ที่จะไปสวรรค์ตามกำลังบุญวาสนาที่สร้างสมไว้สมัยเป็นมนุษย์
อู่ทอง อู่แก้วอันสวยงามรุ่งเรืองนี้ เลื่อนขึ้นเลื่อนลงรับผู้มีบุญวาสนาขึ้นสู่สวรรค์อยู่ตลอดเวลา แสดงว่า แม้จะมีคนบาปหนาไปตกนรกมากมืดฟ้ามัวดิน ขณะเดียวกันก็มีคนดี ๆ ไปขึ้นสวรรค์มากเหมือนกัน
นอกจากอู่ทองคำและอู่แก้วบุษบกแล้ว ยังมีบันไดเงิน บันไดทองและบันไดแก้วแพรวพรายทอดขึ้นสู่ท้องฟ้าไปสวรรค์ เมื่อคนขึ้นไป บันไดวิเศษเหล่านี้ก็จะลอยเลื่อนขึ้นไปจนสุดสายตา
จ่ายมบาลบอกว่า ผู้ที่จะขึ้นสวรรค์ได้จะต้องถือศีลห้าเคร่งครัดเป็นอย่างน้อย มั่นคงในพระรัตนตรัยไม่คลอนแคลน มีใจบุญสุนทาน เมตตาต่อผู้อื่น
ผู้คนผู้มีบุญวาสนาที่กำลังรอขึ้นสวรรค์มีทั้งหญิงและชายเป็นเด็กเล็กก็มี หนุ่มสาวก็มี คนเฒ่าคนแก่ก็มี คนเหล่านี้มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอิ่มเอิบเบิกบาน แต่งกายสวยงาม มีรัศมีออกจากกายรุ่งเรืองคล้ายหิ่งห้อยตัวใหญ่
พวกเขาล้วนได้ผ่านการพิพากษาตัดสินมาจากศาลาพันห้องแล้วจึงมีสิทธิที่จะขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าได้ เมื่อได้รับการตัดสินแล้ว ก็ได้เครื่องทรงเป็นทิพย์ของเทวดาทันที ร่างกายมีอินทรีย์สวยงามผ่องใส
หลวงปู่คำคะนิงหยุดมองดูอย่างตะลึงลานเพราะเห็นเส้นทางขึ้นสู่สรวงสวรรค์นั้น สวยงามอัศจรรย์สุดพรรณนาเห็นเป็นเส้นแสงสีต่าง ๆ เป็นเส้นโค้งสวยงามยิ่งกว่าสายรุ้ง
หลวงปู่คำคะนิงอดแปลกใจไม่ได้ว่า ในขณะที่ดวงวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลายหลั่งไหลไปเมืองนรกนั้น ในเวลาเดียวกันก็มีดวงวิญญาณของมนุษย์ที่ทำดี มีบุญญาธิการหลั่งไหลไปสวรรค์อยู่มากเหมือนกัน
แต่เทียบดูแล้วเห็นว่า คนไปสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ยังมีน้อยอยู่นั่นเอง ส่วนคนที่ไปนรกมีมากกว่า
จ่ายมบาลบอกว่า ผู้ที่จะได้ขึ้นสวรรค์นั้น ยึดถือมั่นคงในการกระทำดีสวามิภักดิ์ต่อศาสนาที่ตนนับถืออย่างแน่นแฟ้น
ถ้าเป็นพุทธศาสนิกชนจะต้องยึดมั่นเคารพอย่างแน่นแฟ้นในพระรัตนตรัยจริง ๆ จึงจะได้ขึ้นสู่สวรรค์ชั้นอมร

31#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-11 20:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มนุษย์นรก
หลวงปู่คำคะนิงเที่ยวดูชมต่อไป พวกจ่ายมบาลหรือผู้คุมนักโทษในแดนต่าง ๆ แสดงกิริยานอบน้อม นิมนต์ให้หลวงปู่คำคะนิงได้ดูชมสะดวกใจ ได้พบเห็นสัตว์นรกรูปร่างแปลก ๆ น่าเกลียดน่าขยะแขยง
สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อถึงคราวอานุภาพของ “ศีลห้า” ที่เคยสะสมไว้หลายแสนหลายล้านชาติติดตามมาส่งผลให้ถึงในนรก
สัตว์นรกเหล่านี้ก็จะได้รับผลบุญของศีลห้า นั่นคือร่างกายจะเปลี่ยนสภาพจากสัตว์นรก เปลี่ยนภูมิไปเกิดในโลกมนุษย์ทันที สัตว์นรกที่ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์นี้ จะเกิดเป็นมนุษย์ที่มีสภาวะจิตดุร้าย เหี้ยมอำมหิตเป็นส่วนมาก มีน้อยที่จะมีจิตใจสำนึกผิดมีเมตตากรุณา
เมื่อสัตว์นรกเหล่านี้มาเกิดเป็นมนุษย์ แม้ผลบุญจะอำนวยให้เกิดในตระกูลสูงศักดิ์อัครฐานบ้าง เกิดในตระกูลร่ำรวยมหาเศรษฐีบ้าง เกิดในตระกูลปานกลางบ้าง ตระกูลต่ำบ้าง แต่จิตใจวิญญาณก็จะเหี้ยมอำมหิตอยู่เหมือนเดิม
วิญญาณสัตว์นรกที่ไปเกิดเป็นมนุษย์เหล่านี้แหละที่ไปสร้างความเดือดร้อนให้สังคมมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย และก็จะมีอยู่สืบไปจนกว่าโลกจะแตกสลาย มันเป็นไปตามกฎของสังสารวัฏ เป็นเวรกรรมของสัตว์โลกที่จะต้องเผชิญกับความชั่วร้าย
พวกจ่ายมบาล อธิบายให้หลวงปู่คำคะนิงฟัง

30#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-11 20:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นางงามนางแบบ
หลวงปู่คำคะนิงเดินเที่ยวชมเมืองนรกต่อไป เห็นสถานที่แห่งหนึ่ง สว่างไสวรุ่งเรืองดุจแสงฟ้าแลบอยู่แปลบปลาบ เป็นยกพื้นเวทีกว้างคล้ายสะพานทอดยาวโค้งลงไปในสระน้ำอันกว้างใหญ่ สระน้ำนั้นลุกไหม้เป็นเปลวไฟแดงฉานโชติช่วง น่าสะพรึงกลัว ก็รู้ว่าเป็นขุมนรก
บนสะพานนั้นมีหญิงสาวรูปร่างอรชรสวยงามจำนวนมาก พากันเดินออกจากเวทีมีม่านผืนใหญ่มหึมา หญิงสาวเหล่านั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สวยงาม เดินนวยนาดลงจากเวที ทอดแขนทอดขามาตามสะพาน
จ่ายมบาลอธิบายว่า มนุษย์ผู้หญิงเหล่านี้เป็นพวกนางงามนางแบบ กำลังเดินโชว์ร่างกายและเสื้อผ้า หลวงปู่คำคะนิงยืนงุนงงประหลาดใจยิ่ง
นางงาม นางแบบ เสื้อผ้าอาภรณ์อันสวยงามฉูดฉาดสะดุดตาเหล่านั้น เดินเรียงรายตามกันออกไปยืนอยู่กลางสะพาน แล้วเยื้องกรายเปลื้องเสื้อผ้าออกก่อน เหลือแต่ร่างเปลือยล่อนจ้อนอุจาดนัยน์ตา แต่ละนางร่างสวยงามด้วยส่วนสัดปานนางฟ้า
จากนั้นก็มีนกอินทรีตัวใหญ่บินมาจากไหนไม่รู้ นัยน์ตานกอินทรีแดงฉานพวยพุ่งออกมาเป็นเปลวไฟ มันบินมาตรงหน้าหญิงสาวแต่ละนางที่ยืนเปลือยกายอยู่
แล้วใช้จะงอยปากอันคมกริบจิกเข้าที่หน้าผากหญิงสาว กระชากทีเดียว หนังศีรษะและเส้นผมก็ลอกออกมาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า กลายเป็นหนังทั้งแผ่น หญิงสาวนางนั้นส่งเสียงหวีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
เมื่อนกอินทรีจิกลอกเอาหนังออกไป ก็เหลือแต่ร่างที่แดงฉานไปด้วยเลือด น่าขยะแขยงชวนขนพองสยองเกล้า จะมองหาความงามเมื่อตะกี้นี้ไม่พบเลย นกอินทรีได้จิกกินนัยน์ตาทั้งสองข้างก่อน แล้วจึงจิกเอาเนื้อแดง ๆ ออกมาเผยให้เห็นอวัยวะภายใน คือ ตับไตไส้พุง น่าขยะแขยง ไม่สวย ไม่งาม
จากนั้นนกอินทรีจิกกินตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น เหลือแต่ร่างโครงกระดูกจะหาความสวยงามไม่ได้เลย กลายเป็นร่างโครงกระดูกยืนสั่นสะท้านอยู่
ฝ่ายหญิงสาวคนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้น ก็มีความหวาดกลัวอย่างสุดขีด พากันกระโดดหนีลงไปในสระนรกที่เป็นเปลวไฟลุกโชติช่วงแดงฉานนั้น ก็ถูกเปลวไฟนรกลุกเผาไหม้ ส่งเสียงร้องกรีดแหลมระเบ็งเซ็งแซร่ด้วยความเจ็บปวด
แต่แล้วก็มีเหล็กคล้ายหอกเผาไฟแดง ๆ แทงทะลุร่างหญิงสาวเหล่านั้นส่งขึ้นมาจากขุมไฟนรก ร่างที่ไหม้เหลือแต่กระดูกขาวโพลนก็กลับกลายเป็นร่างหญิงสาวสวยงามเหมือนเดิม มีเสื้อผ้าอาภรณ์สวมใส่เหมือนเดิมทุกอย่าง
ต่อจากนั้นก็ถูกนกอินทรีโผบินเข้าจิกกระชากเสึ้อผ้าออกเหลือแต่กายเปลือยล่อนจ้อน แล้วจิกหนังลอกออกทั้งแผ่น จิกกินเนื้อ กินตับไตไส้พงเหมือนที่กระทำกับหญิงสาวคนแรก
ส่วนหญิงสาวคนอื่น ๆ มีความหวาดกลวัส่งเสียงหวีดร้องวุ่นวายระเบ็งเซ็งแซร่นั้นจะวิ่งหนีไปทางไหนก็ไม่ได้ เพราะมีหอกเผาไฟแดง ๆ แทงขึ้นมาจากขุมนรกเพลิง จี้สกัดหน้าหลังไว้รอบข้างไปหมด
หลวงปู่คำคะนิงสลดสังเวชเป็นที่ยิ่ง ไม่ทราบว่าหญิงสาวเหล่านั้นมีความผิดสถานใด ถึงต้องมาถูกกระทำลงโทษอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตถึงปานนี้
จ่ายมบาลล่วงรู้วาระจิตได้ตอบว่า หญิงสาวเหล่านี้สมัยเป็นมนุษย์ชอบประพฤติตนทางอนาจาร คืออวดร่างกายของตนเปลือยร่างต่อสาธารณะ และหลงใหลลุ่มหลงในเสึ้อผ้าอาภรณ์เครื่องตกแต่งประดับกายอย่างไม่ลืมหูลืมตา
สามารถกระทำชั่วได้ในทุกสิ่งเพื่อแสวงหาเงินมาซึ้อเสื้อผ้าอาภรณ์ประดับตัวเองอวดคนอื่น
เป็นผู้หญิงประเภทฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่รู้จักศาสนาคำสั่งสอนของศาสดาองค์ใด ไม่เชื่อในคุณธรรมความดีใด ๆ ไม่ละอายแก่ใจ
เชื่อแต่ว่า เกิดมาชาตินี้ชาติเดียว ต้องแสวงหาความสุขสนุกสถานให้เต็มที่ กิน ถ่าย เสพกามและนอนเท่านั้น อย่างอื่นไม่คิด ชาติหน้าไม่มี บาปบุญไม่มี นรกไม่มี
ดังนั้นเมื่อหญิงสาวเหล่านี้ตายแล้วจึงต้องมาเสวยกรรมอยูในนรกเช่นนี้

29#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-11 20:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หมู่สัตว์ร้องทุกข์
หลวงปู่คำคะนิงออกเดินดูชมต่อไป รู้สึกว่าเดินตัวเบาหวิว เท้าไม่แตะพื้น เคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว เบาและนุ่มนวล สบายอย่างยิ่ง
มาถึงที่แห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงหมู่สัตว์อื้ออึงระงมเซ็งแซร่ไปหมด เสียงเป็ด ไก่ สุนัข วัว ควาย หมู ม้า ช้าง พวกสัตว์เหล่านี้กำลังส่งเสียงรำร้องเป็นภาษามนุษย์ กล่าวโทษโจทก์ฟ้องร้องต่อจ่ายมบาลว่า พวกมนุษย์ทำร้ายและทรมานพวกมันอย่างไรบ้าง
มีช้างสารเชือกหนึ่งยืนแกว่งหัวอันใหญ่โตไปมา มันร้องทุกข์เป็นภาษามนุษย์ว่า มนุษย์ใจดำอำมหิตมาก เอาตะขอเหล็กสับหัวมันจนเลือดไหลได้รับความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส
นอกจากนั้น มนุษย์ยังเอาปลอกใส่ขามัน ทำให้เดินไม่สะดวก แล้วยังเอาบ้านเมืองขึ้นไปปลูกใส่หลังมัน (หมายถึงเอากูบใส่หลังช้าง) มันเรียกร้องให้จ่ายมบาลไปเอาตัวมนุษย์คนนั้นมาลงโทษให้จงได้
หลวงปู่คำคะนิงได้ฟังแล้วก็สลดใจ เพิ่มพูนความเชื่อมั่นในกฎแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอย่างแน่นแฟ้นว่า มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายตายแล้วต้องเกิดอีก บาปมีจริง บุญมีจริง นรกมีจริง
จิตวิญญาณเป็นธาตุเดิมแท้ ส่วนร่างมนุษย์ ร่างสัตว์ต่าง ๆ นั้น เป็นเพียงพาหนะ หรือหุ่นสรีระยนตร์สำหรับใหิจตวิญญาณเข้าสิงสู่ในแต่ละภพชาติเท่านั้น เช่น ชาติก่อนเกิดเป็นช้าง ชาตินี้เกิดเป็นมนุษย์ ชาติหน้าเกิดเป็นเทวดา หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามอำนาจบุญกรรมนำแต่ง
เมื่อเรามารู้ความจริงเสียแล้วเช่นนี้ ก็ควรจะนำความรู้นี้ กลับไปเที่ยวบอกกล่าวสั่งสอนมนุษย์ทั้งหลาย ให้รู้ความจริง จะได้เลิกเบียดเบียนกดขี่ข่มเหง ทำทารุณสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย เช่น วัว ควาย หมู หมา เป็ด ไก่ ช้าง ม้า เป็นต้น

28#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-11 20:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กรรมกาเม
เดินไปเห็นห้อง ๆ หนึ่ง มีนักโทษชายหญิงสองคน
ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่นี้แก้ผ้าเปลือยกายโดยตลอด ยืนเหยียบอยู่บนเหล็กแหลมแดง ๆ เผาไฟเสียบทะลุฝาเท้า ปากอ้ากว้างมีเหล็กเผาไฟแดงเสียบตรึงไว้ในลักษณะคล้ายเอาปากคาบไว้
เบื้องบนศีรษะมีเหล็กแหลมเผาไฟแดง ๆ เสียบตรึงกลางกระหม่อมไว้ รอบ ๆ ข้างมีเหล็กแหลมเผาไฟแดง ๆ ทิ่มแทงร่างกาย
ใบหน้าของหนุ่มสาวทั้งสองบิดเบี้ยว นัยน์ตาเหลือกถลน ส่งเสียงร้องครวญครางอ้อแอ้ บอกถึงความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสสากรรจ์สุดประมาณ กระดิกติงตัวไม่ได้ เพราะเหล็กแหลมเผาไฟแดง ๆ ตรึงร่างกายไว้แน่นทุกด้าน จะขาดใจตายก็ไม่ตาย
เพราะการลงโทษในเมืองนรกไม่มีตาย จะมีก็แค่วิสัญญีภาพไปชั่ววูบเดียว แล้วก็ฟื้นขึ้นมารับการทรมานอีกต่อไป หรือร่างกายแหลกสลายไปด้วยอานุภาพของไฟนรก แต่ชั่วพริบตาต่อมาก็จะเกิดร่างใหญ่ขึ้นมาทดแทน เพื่อรับการทรมานต่อไปซ้ำ ๆ ซาก ๆ นับพันนับหมื่นปี
หลวงปู่คำคะนิงได้ถามจ่ายมบาลดูว่า หนุ่มสาวทั้งสองนี้ทำผิดสถานใด ถึงต้องมารับโทษหนักหนาสาโหดในเมืองนรกเช่นนี้
จ่ายมบาลกล่าวตอบให้ทราบว่า หนุ่มสาวทั้งสองนี้สมัยยังมีชีวิตอยู่โลกมนุษย์ เป็นคนเจ้าชู้ ฝ่ายหญิงชอบนอกใจผัว คบชู้สู่ชายไม่เลือก ไม่นับถือศาสนาใด ๆ ไม่เชื่อถือในศีลธรรมคุณงามความดีใด ๆ
มีความเชื่ออยู่แต่ว่า เกิดมาเพื่อกิน เพื่อถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ เพื่อสืบพันธุ์ประเวณี และเพื่อนอน เท่านั้น อย่างอื่นไม่สำคัญ ชาตินี้ต้องหาความสุขใส่ตัวอย่างเดียว ตายแล้วก็หมดกันไม่มีชาติหน้า ไม่ต้องใช้เวรใช้กรรมใด ๆ
หญิงสาวผู้นี้เป็นมะเร็งในมดลูกตายเมื่ออายุ 40 ปี เมื่อตายแล้วก็มาที่ศาลาพันห้องนี้ เพื่อรอการพิพากษาตัดสินจากพญายมบาลขั้นสุดท้าย แต่ก่อนตัดสินต้องจำ\จองทรมานแบบนี้ไว้ก่อน
ฝ่ายชายหนุ่ม เมื่อชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นคนเจ้าชู้ตลบตะแลงปลิ้นปล้อน นักเลงเหล้า นักเลงผู้หญิง หลอกลวงพร่าพรหมจารีผู้หญิงและปลิ้นปล้อนเอาทรัพย์ เป็นคนไม่มีศีลธรรม ไม่นับถือศาสนาใด ๆ
ถือคติว่า เกิดมาเพื่อกิน เพื่อขับถ่าย เพื่อเสพกามารมณ์ และเพื่อนอน ตายแล้วก็สูญ ไม่มีชาติหน้าไม่มีนรก สวรรค์ ก่อกรรมใดไว้ ไม่ต้องใช้กรรม
เมื่อถูกสามีของหญิงคนหนึ่งแทงตาย จึงมาที่ศาลาพันห้องนี้เพื่อรอการพิพากษาตัดสินขั้นสุดท้ายจากพญายมบาล
หลวงปู่คำคะนิงได้ฟังแล้วก็บังเกิดสลดสังเวช โธ่เอ๋ย กรรมของสัตว์หนอ เพราะความโง่ความหลงผิด ความจองหอง หยิ่งทะนง อวดดื้อถือดีแท้ ๆ ของมนุษย์ เมื่อตายแล้วจึงต้องมารับกรรม เช่นนี้
ขนาดยังอยู่ในระหว่างรอการตัดสินก็ถกจองจำหนักหนาสาโหดถึงเพียงนี้มิทราบว่า หากได้รับการตัดสินจากยมบาลแล้ว จะได้รับโทษทัณฑ์สถานหนักสักเพียงไหน
หลวงปู่คำคะนิงจึงถามจ่ายมบาลว่า อยากจะสนทนากับหนุ่มสาวทั้งสองที่ถูกจองจำลงโทษนี้จะได้ไหม จ่ายมบาลตอบว่า สำหรับพระคุณเจ้าแล้ว อนุญาตให้ซักถามได้
เมื่อจ่ายมบาลกล่าวอนุญาตแล้ว ทันใด เครื่องจองจำเหล็กแหลมเผาไฟแดง ๆ เหล่านั้นก็หลุดออกจากร่างหนุ่มสาวทั้งสองหายวับไป หนุ่มสาวทั้งสองร่างสั่นเทา ๆ เหมือนลูกนกตกน้ำ สะอึกสะอื้นน้ำตาไหลพรากอาบหน้าพากันทรุดกายลงกราบเท้าหลวงปู่คำคะนิงอย่างสำนึกในพระคุณ ที่ช่วยให้หลุดจากเครื่องจำจองทรมานอันทารุณหฤโหด
“หลวงพ่อเจ้าขา ช่วยดิฉันด้วย ”
หญิงสาวร้องวิงวอนเสียงสั่นระริก สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร หลวงปู่คำคะนิงถามว่า
“สีกาจะให้อาตมาภาพช่วยอย่างไร”
หญิงสาวฟูมฟายน้ำตากล่าวว่า
“ดิฉันยังมีลูกที่จะต้องเลี้ยงดูอายุยังน้อย อยากกลับไปเกิดในโลกมนุษย์อีก หลวงพ่อได้โปรดช่วยให้ดิฉันกลับไปเข้าร่างเดิมที่ยังไม่ได้เผาด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“สีกาตายแล้วยังจำชาติที่แล้วสมัยเป็นมนุษย์ได้ดีอยู่หรือ”
“ยังจำได้ดีทุกอย่าง เหมือนนอนหลับไปแล้วตื่นขึ้นจำตัวเองได้ จำลูกได้ จำญาติพี่น้องมิตรสหายได้หมด แต่พูดจากับพวกเขาไม่ได้ เวลาจะไปไหนต้องมีผู้คุมคอยควบคุมตัวไป ก่อนที่ยังไม่ตายนั้น ดิฉันไม่เคยเชื่อเลยว่าความตายไม่ใช่การสิ้นสูญ”
“แท้ที่จริงตายแล้วเรายังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นอีกชีวิตหนึ่งคือร่างวิญญาณ ยังจำความเดิมได้ทุกอย่าง”
“อาตมาภาพอยากจะช่วยแต่เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของท่านพญายมบาล อาตมาภาพจะช่วยสีกาได้อย่างเดียวคือ เมื่อกลับเมืองมนุษย์แล้วจะแผ่ส่วนบุญกุศลมาให้”
หลวงปู่คำคะนิงกล่าวฉันท์เมตตา หญิงสาวรู้สึกผิดหวังที่ไม่อาจกลับไปเข้าร่างเดิมในโลกมนุษย์ได้อีก ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญโศกเศร้าน่าสังเวช หลวงปู่จึงเอ่ยถามชายหนุ่มบ้างว่า
“โยมจะให้อาตมาภาพช่วยอะไรได้บ้าง”
ร่างวิญญาณของชายหนุ่มผู้ถูกแทงตาย เพราะเป็นชู้กับเมียผู้อื่น คลานเข้ามากราบลงบนหลังเท้าหลวงปู่คำคะนิงแล้วร้องไห้คร่ำครวญว่า
“กระผมผิดไปแล้วพระคุณเจ้า กว่าจะรู้สึกตัวว่าเป็นคนชั่วช้าก่อกรรมทำเวรกับคนอื่นไว้มาก ก็มารู้เอาเมื่อตายแล้ว กระผมไม่ขออะไรมาก ขอให้พระคุณเจ้าแผ่ส่วนบุญกุศลมาให้กระผมบ้าง เพื่อที่กระผมจะได้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในยามทุกข์”
“ได้....อาตมาจะแผ่ส่วนกุศลมาให้”
จากนั้นหลวงปู่ก็ออกเดินต่อไป จ่ายมบาลอธิบายให้ฟังว่า ในกรงเหล็กที่เป็นแถวแนวยาวเหยียดนี้ คุมขังพวกนักโทษที่รอการตัดสินทั้งนั้น บ้างก็เคยฆ่าพ่อตีแม่ บ้างก็ปล้น ฆ่า ลักขโมย หลอกลวง ปลิ้นปล้อน ต้มชาวบ้าน ฉุดคร่าอนาจาร
บ้างที่เป็นหญิงสาวก็เกี้ยวพาราสีพระสงฆ์องค์เจ้า หลอกลวงพระสงฆ์องค์เจ้าให้สึกหาลาเพศมาเป็นผัวแห่งตน และที่ทำให้พระต้องปาราชิกก็มี บ้างก็แย่งผัวเขา วางยาพิษเมียหลวง คดีโทษต่าง ๆ นับไม่ถ้วน
เพราะมนุษย์ชายหญิงทุกวันนี้พากันไม่เชื่อในบุญในบาป ทำการทุกสิ่งทุกอย่างตามอำเภอไม่มียับยั้งบันยะบันบัง คำนึงถึงศีลธรรมอันดีงาม คนเหล่านี้เมื่อตายแล้ว จึงต้องพากันหลั่งไหลมาสู่ศาลาพันห้องแน่นขนัดทุกวัน

27#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-11 20:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เศษกรรม
หลวงปู่คำคะนิงกลับเข้าไปในศาลาพันห้องใจคอไม่ดี รู้แน่แก่ใจแล้วว่า ที่นี่เป็นด่านเมืองนรกซึ่งไม่น่าเป็นไปได้เลย ที่ท่านจะต้องกระโดดลงไปในสระนรกนั้นเมื่อตะกี้นี้ ทั้งนี้เพราะท่านเชื่อมั่นในตนเองว่า เป็นพระภิกษุผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ เคร่งอยู่ในพระธรรมวินัย ไม่เคยทำบาปให้ส่ำสัตว์ใดต้องลำบากเลย แม้แต่มดตัวแดงแมงตัวน้อยก็ไม่เคยทำให้มันตกตาย ถึงอาจจะมีบ้างเมื่อเดินไปเหยียบมดปลวกตายโดยไม่เจตนา เพราะไม่เห็น แต่เมื่อไม่มีเจตนาย่อมไม่ถือเป็นบาป
เมื่อเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าพญายมแล้ว พญายมบาลได้กล่าวด้วยเสียงดุห้าวทรงอำนาจ แต่แฝงไว้ด้วยความนอบน้อมว่า
ตบะธรรมของหลวงพ่อแก่กล้า ที่มาเมืองนรกนี้เพราะเศษกรรมเก่าส่งผลให้ดับจิตจากโลกมนุษย์มายังโลกวิญญาณ แต่เมื่อดูในบัญชีแล้ว บารมีของหลวงพ่อยังมากอยู่ ยังไม่อาจพิพากษาตัดสินได้ สมควรที่หลวงพ่อจะกลับคืนสู่ร่างเดิมใน โลกมนุษย์ ไปสร้างบารมีให้เต็มสมบูรณ์เสียก่อนแล้วค่อยกลับมา นิมนต์กลับได้แล้วขอรับ
หลวงปู่คำคะนิงรู้สึกดีใจที่ไม่ถูกพิพากษาตัดสิน ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระพุทธองค์ยิ่งขึ้นว่า ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม อาตมาบำเพ็ญภาวนาที่อยู่ในธรรม กินในธรรมตลอดมา จะมาตกนรกได้อย่างไร
ชมนรกก่อนกลับ
เมื่อออกมาจากศาลาพันห้องแล้ว ก็เกิดความรู้สึกว่า จะกลับถ้ำคูหาสวรรค์บนโลกมนุษย์เลยก็เป็นการกลับมือเปล่า ควรจะเที่ยวดูชมเมืองนรกให้เป็นกำไรหูตาประดับสติปัญญาเสียหน่อยก็ดี เมืองนรกนี้มันมีอะไรบ้าง
คิดแล้วก็เดินไป พวกจ่ายมบาลทั้งหลายก็เปิดทางอำนวยความสะดวกให้ นิมนต์เลย ๆ พระคุณเจ้า อยากดูชมอะไรนิมนต์ตามสบาย
หลวงปู่คำคะนิงเล่าว่า พวกจ่ายมบาลนี้ก็เหมือนเสมียน ทำงานในที่ว่าการอำเภอหรือศาลากลาง รวมทั้งเป็นผู้คุมนักโทษในเรือนจำด้วยทำนองนั้นแหละ พวกเขามีจำนวนมาก ทำงานกันว้าวุ่นไม่ได้หยุดหย่อน
เดินไปก็เห็นที่คุมขังชั่วคราวเรียงรายสุดสายตา ห้องคุมขังเป็นเหล็ก ก็รู้ว่าที่นี่เป็นที่คุมขังชั่วคราวรอการตัดสิน ยังไม่ใช่นรกขุมสำคัญ ๆ

26#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-11 20:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สระขุมนรก
เมื่อยมบาลเปิดดูบัญชีแล้วก็หันมาประกาศกับร่างวิญญาณทั้งหลายว่า
“เฮ้ย.....พวกเจ้าทำไมเนื้อตัวสกปรกแท้เว้ย โน่น.....สระน้ำอยู่โน่น พวกเจ้ารีบพากันออกไปอาบน้ำชำระกายให้สะอาดเสียก่อนแล้วค่อยกลับเข้ามาพบข้า รีบออกไปเร็ว ๆ ข้าเหม็นจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้น ต่างก็ก้มลงมองสำรวจดูร่างตัวเองแล้วได้พบด้วยความตกใจว่า ร่างวิญญาณของแต่ละคนเปรอะเปื้อนเลอะเทอะ เต็มไปด้วยอุจจาระส่งกลิ่นเหม็นตลบไปทั่ว ไม่รู้ว่าอุจจาระนี้มาเปรอะเปื้อนได้อย่างไร
ต่างก็พากันวิ่งชุลมุนออกจากห้องตรงไปยังสระน้ำ หลวงพ่อคำคะนิงก็วิ่งตามไปด้วย สระน้ำนั้นกว้างใหญ่น้ำใสกระจ่างเหมือนกระจก กลางสระมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นแผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม
ทุกคนต่างพากันกระโดดลงไปในสระน้ำ หลวงพ่อคำคะนิงกระโดดลงไปปรากฏว่าน้ำลึกแค่หัวเข่า น้ำนั้นร้อนลุกเป็นไฟแดงฉานไหม้แข้งขาทันที
หลวงพ่อคำคะนิงตกใจบังเกิดความปวดร้อนอย่างแสนสาหัสต้องรีบกระโจนขึ้นไปยืนบนฝั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อขึ้นมาบนฝั่งได้แล้วไฟไหม้แข้งขาก็ดับไปความปวดร้อนหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ร่างวิญญาณคนอื่น ๆ พากันจมลึกลงไปในสระน้ำแล้วบังเกิดเป็นเปลวไฟลุกไหม้พรึบขึ้นแดงฉานโชติช่วงไปทั้งสระ คล้ายกับว่าน้ำในสระเป็นน้ำมันเบนซินไป ร่างวิญญาณของคนเหล่านั้นไม่ได้ตายไปในทันที หากแต่พากันดิ้นรนกระเสือกกระสนส่งเสีนงร้องโอดโอยโหยหวลอยู่ในสระน้ำเป็นภาพที่สยดสยองเหลือที่จะกล่าว
หลวงปู่คำคะนิงรู้ได้ในบัดดลว่า ที่แท้สระน้ำนี้เป็น “ขุมนรก” ขุมแรกสำหรับทดสอบบาปบุญคุณโทษของพวกวิญญาณนั่นเอง จ่ายมบาลนายหนึ่งเดินตรงเข้ามานิมนต์หลวงปู่ให้กลับเข้าไปเฝ้าพญายม

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้