ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ อุตริมนุสธรรม ~

[คัดลอกลิงก์]
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-22 17:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อาตมะว่ามีทางพอที่จะทำได้ เพราะเท่าที่สังเกตดูและได้ข้อมูลจากผู้ที่เขาภาวนาเป็นจริง ๆ  เขาบอกว่า ได้พิจารณา ผม ขน  เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก พอจิตสงบปุ๊บลงไป เรียนทางวิทยาศาสตร์โน่น รั้งก็ไม่อยู่ไปรบกวนมันก็ฟุ้งใหญ่ เลยต้องปล่อยให้มันค้นวิทยาศาสตร์ของมันไป นี่อันหนึ่งละ ทีนี้บางท่านใครเรียนมาทางไหน พอจิตสงบเป็นสมาธิลงไปแล้ว ตอนนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเป็นไปเอง เช่นอย่างสมมติว่าใครอาจจะนั่งสมาธิอยู่เวลานี้ พอจิตสงบปั๊บลงไป ตอนแรกก็ตั้งใจฟังหลวงพ่อเทศน์พอจิตสงบปั๊บลงไปแล้วจิตก็เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ มันดิ่งกลับไปตรวจดูบ้านช่อง ลูกคนโน้นอยู่อย่างไร ประตูหน้าต่างปิดดีหรือเปล่า อะไรทำนองนี้ มันไปตรวจค้นของมันอยู่โน้น แต่ว่าตัวสตินี้ก็วิ่งตาม ๆ ๆ ไปสะกดรอยรู้ทันหมด เพราะฉะนั้น ถ้าจะเป็นนักปฏิบัติธรรมเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงกันจริง ๆ เรื่องชีวิตประจำวันนี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติกำกับรู้อยู่ตลอดเวลา



            ถ้าสมมติว่าท่านเป็นอาจารย์สอนโรงเรียนต่าง ๆ ถ้าท่านคิดว่าท่านจะสอนสมาธิของนักเรียนนักศึกษาของท่านโดยที่ไม่ให้เขารู้สึกตัว เราก็มีวิธีการ พอเข้าไปยืนหน้าห้องปั๊บ เตือนนักเรียนทุกคน นักเรียนทุกคนทอดสายตามายังข้าพเจ้า ส่งความรู้สึกมาที่ข้าพเจ้า สนใจในตัวข้าพเจ้าอย่างเดียวเท่านั้น อย่าไปสนใจที่อื่น แล้วเรามีอะไรก็สอนไป ๆ พอรู้สึกว่านักเรียนของเราจะเผลอส่งใจไปอื่น ส่งสายตาไปอื่น เราเตือนเป็นระยะ ๆ จนกว่าจะจบชั่วโมงสอน ในทำนองนี้ เข้าใจว่านักศึกษาของเราจะได้สมาธิสนับสนุนการศึกษาอย่างไม่รู้ตัว อันนี้เรียกว่าฝึกสมาธิกันอย่างที่ผู้รับการฝึกไม่รู้ตัว ถ้าเราทั้งหลายที่ได้ฝึกสมาธิ รับการฝึกสมาธิอย่างที่ไม่รู้ตัวมาแล้วนี่ ถ้าท่านไม่มีสมาธิเรียนจบปริญญามาได้อย่างไร  ท่านจะทำงานใหญ่โตได้อย่างไร ครองบ้านครองเรือนได้อย่างไร อันนั้นสมาธิธรรมชาติที่เราเรียนมา ถ้าหากสมมติว่าเราตั้งใจมาฝึกสติให้มันรู้อยู่กับเรื่องธรรมชาติของเรานี้ให้มากที่สุดแล้ว รับรองว่าเราจะได้สมาธิ



            ทีนี้เรื่องการละบาป ละความชั่ว อะไรต่าง ๆ ศีล ๕ ข้อนี่มีแล้ว ไม่ต้องไปกังวล โลภ โกรธ หลง เอาไว้บ้าง เมื่อเช้านี่ได้ยินท่านกิตติวุฑโฒท่านเทศน์ ท่านบอกว่าเอาตัณหาปราบตัณหา ตัณหาความทะเยอทะยานมันเป็นกิเลสชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในจิตใจคน ในเมื่อจะปราบตัณหาเราก็เอาตัณหามาปราบตัณหา นี่หมายความว่าอย่างไร ความทะเยอทะยาน อยากได้  อยากดี  อยากมี  อยากเป็นเราพยายามเอาตัณหาของเรานี่ให้มันมาทะเยอทะยานอยากปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อให้ศีล  สมาธิ  ปัญญา มีพลังแก่กล้าขึ้น มันก็เป็นพลังขจัดตัณหาฝ่ายชั่ว นี่ท่านหมายความว่าอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เอากิเลสปราบกิเลส โลภ โกรธ หลง เรามีอยู่ในใจ เรามาฟังเทศน์เวลานี้เพราะความโลภ อยากได้ศีลได้ธรรม เรานั่งปฏิบัติเพราะความโลภ อยากได้สมาธิ เราใช้สติปัญญาค้นคิดพิจารณา เพราะความโลภอยากได้ปัญญา  เมื่อใช้พลังแห่งความโลภแสวงหาพลังของศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดขึ้นที่จิตของเราพร้อม  มันก็มีประสิทธิภาพ สามารถที่จะขจัดความโลภฝ่ายชั่วออกไปจากจิตใจได้อย่างไม่มีปัญหา  เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมเกี่ยวกับเรื่องสมาธิโดยตรง ถ้าเราจะละชั่ว ให้เคร่งในศีล ๕ ข้อ ถ้าเราจะปฏิบัติธรรมเพื่อให้เกิดมีสมาธิ เกิดมีปัญญา ต้องมั่นใจ ทำจิตให้มีอารมณ์สิ่งรู้  ทำสติให้มีสิ่งระลึก อารมณ์สิ่งรู้ของจิต  คือ ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติตามรู้กับสิ่งเหล่านี้ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจแล้วเมื่อเราฝึกจนคล่องตัว จนชำนิชำนาญ เราจะได้พลังทางสมาธิ สติปัญญาแก้ไขปัญหาชีวิตประจำวันของเราได้เป็นอย่างดี



            ในท้ายที่สุดนี้  ด้วยอำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงดลบันดาลให้ทุกท่านประสบความสำเร็จใจสิ่งที่พึงปรารถนา ในที่ทุกสถาน ตลอดกาลทุกเมื่อ เทอญ.

ที่มา http://www.thaniyo.com/index.php ... oput&Itemid=142
ขอบคุณน่ะขอรับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้