ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

พระปัจเจกพุทธเจ้า

[คัดลอกลิงก์]
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-11 06:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระปัจเจกพุทธเจ้า : ในคำภีร์อนาคตวงศ์

... มีเรื่องของพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ปรากฏในคัมภีร์อื่นที่ไม่ใช่ในพระไตรปิฏก แต่ก็มีพุทธศาสนิกชนรู้จักคัมภีร์นี้พอสมควร นั่นคือ พระอานคตวงศ์ ซึ่งในคัมภีร์นี้ได้กล่าวถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ในอนาคต ๑๐ พระองค์ ในคัมภีร์นี้ได้กล่าวถึง อธิการ ในอดีตของ พระนรสีหสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้กล่าวไว้ดังนี้

เรื่องพระนรสีหสัมมาสัมพุทธเจ้า

... ดูก่อน พระธรรมเสนาบดี สารีบุตร ผู้มีอายุ เมื่อศาสนาของ พระเทวเทพสัมมาสัมพุทธเจ้า เสื่อมไปแล้ว ในกัปนั้น โตเทยยพราหมณ์ จักได้เป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระนรสีหสัมมาสัมพุทธเจ้า

... พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงีพระวรกายสูง ๖๐ ศอก แสงสว่างแห่งพระพุทธรัศมี กลางวันมีสีประหนึ่งว่า แสงสว่างแก้วมรณี กลางคืนเป็นเช่นกับแสงทอง ทรงมีต้นแคฝอยเป็นต้นไม้ตรัสรู้

... ด้วยพุทธานุภาพ มีข้าวสาลีหอมเกิดขึ้นตามปกติ มหาชนทุกจำพวกไม่ได้ค้าขาย ไม่ได้ทำไร่ไถนา พากันเก็บเอาข้าวสารแห่งสาลี มาหุงต้มบริโภค มีต้นกัลปพฤกษ์เกิดขึ้นต้นหนึ่ง มีสิ่งของต่างๆ เกิดขึ้น เพราะอาศัยต้นกัลปพฤกษ์ คนเหล่านั้นไม่ต้องแต่งกาย ตามปกติคนเหล่านั้น มีผิวพรรณสีเหมือนทอง

... เบื้องพระเศียรของพระผู้มีพระภาคเจ้า จะมีเศวตฉัตรแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ ปรากฏแก่กล้า จัดว่าได้มหาสมบัติ ด้วยประการฉะนี้


... ดูก่อน พระธรมเสนาบดี สารีบุตร ผู้เจริญ เมื่อศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้า ล่วงไปแล้ว ศาสนาของเรา ก็จักมีในกาล ระหว่างกลางศาสนาทั้งสอง โตเทยพราหมณ์ได้เป็นพ่อค้านามว่า นันทมาณพ

... สมัยหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เที่ยวบิณบาตอยู่ในเวลานั้น นันทมาณพ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ถวายผ้ากัมพลผืนหนึ่ง และทอง ๑ แสน เป็นทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ในเวลาถวายทานสิ้นสุดลง เขาได้ตั้งความปรารถนาไว้ว่า : -

..." ข้าแต่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เจริญ ด้วยผลแห่งทานอันนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ได้พระสัพพัญญตญาณเถิด "

... พระปัจเจกพุทธเจ้า รับเอาผ้าผืนนั้นมาห่มแล้ว เบื้องของพระปัจเจกพุทธเจ้าเหลือ ๑ ศอก เบื้องล่างจากพื้นเท้าเหลือประมาณ ๑ ศอก ยืนอยู่ด้วยพระบาททั้งคู่ นันทมาณพเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ตั้งความปรารถนาไว้ ๒ อย่างว่า :-

... " ข้าแต่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เจริญ ด้วยผลแห่งการถวายผ้ากัมพลเป็นทานนี้ ขออำนาจของข้าพเจ้าจงแผ่ไปเบื้องบน ๑ โยชน์ ในเบื้องล่าง ๑ โยชน์เถิด "

... ในเวลาจยคำปรารถนาพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ออกจากบ้านไป ตรงกลางทางนางกุมารีรุ่นคนหนึ่ง พบพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังเดินไป จึงเรียนถามท่านว่า :-

..." ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ใครถวายผ้าแก่พระคุณเจ้า? "

... พระปัจเจกพุทธเจ้าบอกว่า " ดูก่อนอุบาสิกา พ่อค้านามว่า นันทมาณพ ถวายผ้ากัมพลผืนหนึ่งเป็นทานแก่อาตมาภาพ "

... นางกุมารีเรียนถามว่า:-

" ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เขาตั้งความปรารถนาว่าอย่างไร? "

... พระปัจเจกพุทธเจ้าบอกว่า " ดุก่อนอุบาสิกา พ่อค้านามว่า นันทมาณพ ได้ตั้งความปรารถไว้ ๒ อย่าง คือ ปรารถนาพระสัพัญญตญาณ ๒ ปรารถนาสมบัติคือความเป็นพระราชา "

... กุมารี ฟังคำนั้นแล้ว ทำจิตให้เลื่อมใส ถือเอาผ้าผืนหนึ่งถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ในเวลาถวายทานเสร็จ นางกุมารีจึงตั้งความปรารถนาไว้ว่า :-

" ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ด้วยการถวายผ้เป็นทานนี้ ถ้าชายพ่อค้าจักได้สมบัติแห่งมหาราชาไซร้ ดิฉันจักเป็นอัครมเหสีเขา "


12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-11 06:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สรุปว่า ในกาลนั้น ปุถุชนทั้งสอง สร้างศาลาไว้หลังหนึ่งในสถานที่ถวายทานนั้น ให้ช่างจิตรกรรมสลักรูปพระปัจเจกพุทธเจ้า ณ เสาร์ศาลานั้น นางกุมารีรวบผมบนศรีษะ เอาน้ำมันทาเอาไฟจุดบูชา

... นันทมาณพ กระทำการบริจาคทานนั้น ถวายทาน รักษาศีล ดำรงอยู่ชั่วอายุ ณ ที่นั้น ในเวลาสิ้นอายุ จุติแล้วไปบังเกิดในภพบนดาวดึงส์ กับก้วยนางกุมารีนั้น ในเวลานั้น คนทั้งสองดำรงอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สิ้นเวลา ๓๖ ล้านปี โดยนับปีของมนุษย์

... คนทั้งสองจุติจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น นันทมาณพ บังเกิดเป็น พระธรรมราชา ในนครทวาราวดี ฝ่ายกุมารีบังเกิดในมหหาสมบัติในตระกูลเศรษฐี ในพระนครนั้น

... บิดามารดา ได้นำนางกุมารีซึ่งมีอายุครบ ๑๖ ปี เข้าไปถวายแด่ พระธรรมราชา ญาติๆ ทั้งหลายได้ตั้งชื่อนางกุมารีว่า " มงคลเทวี "

... ก็พระนางมงคลเทวี ได้เป็นหัวหน้าหญิง ๑๖,๐๐๐ นางแล้ว ตกว่าพระธรรมราชาทรงให้หญิงนางสนมทั้งหมด จัดสำรับอาหารเลี้ยงกันและกันแล้ว นางสนมทุกนางจะได้นิ้วทองบริโภคอาหารก็หามิได้ นางมลคลเทวีเป็นเจ้าแห่งทาน ให้ทานอย่างเดียว ในกาลก่อนจึงได้นิ้วทองในปัจจุบัน

... พระเจ้าธรรมราชา กับพระนางมงคลเทวี ครั้นถวายทานเสมอกันในชาติก่อน จุติแล้ว ปัจจุบันจึงได้มหาสมบัติ ด้วยอานุภาพแห่งทาน นันทมาณพ ได้เสวยมนุษยสัมบัติ และเทวสมบัติแล้วบังเกิดเป็น โตเทยยพราหมณ์แล้ว

... ดูก่อนพระธรรมเสนาบดี สารีบุตร ผู้เจริญ ด้วยผลแห่งทาน โดตเทยยพราหมณ์จักได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า นรสีห์ ในอานคต

... ดูก่อนพระธรรมเสนาบดี สารีบุตร ผู้เจริญ ด้วยอาการอย่างนี้ สรรพสัตว์ หากยังไม่ได้บรรลุธรรม อันเลิศในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๘ องค์เหล่านี้คือ

ของเรา ๑ , ของพระรามพุทธเจ้า ๑ , ของพระธรรมราชาพุทธเจ้า ๑ , ของพระธรรมสามีพุทธเจ้า ๑ , ของพระนารทพุทธเจ้า ๑ , ของพระรังสีมุนีพุทธเจ้า ๑ , ของพระเทวเทพพุทธเจ้า

... ในอนาคต โตเทยยพราหมณ์ จักเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า นรสีห์ ขอท่านทั้งหลายจงปรารถนาพบศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า นรสีห์ พระองค์นั้นเถิด

13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-11 06:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เหตุแห่งการบรรลุพระปัจเจกโพธิญาณ ที่ปรากฏในคัมภีร์ชาดก :

นอกจาก ขัคควิสาณสูตร ที่ปรากฏใน คัมภีร์สุตตนิบาต คัมภีร์อปทาน และ คัมภีร์จูฬนิทเทศแล้ว ในคัมภีร์ชาดก ก็ได้กล่าวถึงการบรรลุพระปัจเจกโพธิญาณไว้เหมือนกัน จะได้นำมาแสดงโดยลำดับ


กุมภการชาดก : คัมภีร์ชาดก

๑) พระกรกัณฆะปัจเจกพุทธเจ้า

... ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดในตระกูลช่างหม้อ ในหมู่บ้านใกล้ประตูนครพาราณสี เจริญวัยแล้วได้ครอบครองสมบัติ มีบุตรชาย ๑ คน บุตรหญิง ๑ คน เลี้ยงบุตภรรยาโดยอาศัยการทำหม้อ

... ในกาลครั้งนั้น พระราชาทรงพระนามว่า กรกัณฑะ ในทันตปุรนคร แคว้นกลิงคะมีพระราชบริพารมาก เมื่อเสด็จไปพระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วงใกล้ประตูพระราชอุทยานมีผลน่าเสวย เต็มไปด้วยผลเป็นพวง ประทับบนคอช้างต้นนั้นเอง ทรงเหยียดพระหัตถ์ออกไปเก็บผลมะม่วงพวงหนึ่ง แล้วเสด็จเข้าไปพระราชอุทยาน ประทับนั่งบนศิลาอาสน์ พระราชทานแก่คนที่ควรพระราชทาน แล้วจึงเสวยผลมะม่วง

... ตั้งแต่เวลาที่พระราชาทรงเก็บผลมะม่วงแล้ว ตามธรรมดาคนที่เหลือทั้งหลาย ก็ต้องพากันเก็บเหมือนกัน ดังนั้น อำมาตย์บ้าง พราหมณ์ และคหบดีบ้าง จึงพากันเขย่าผลมะม่วงให้หล่น แล้วรับประทานกัน ผู้ที่มาหลังๆ ก็ขึ้นต้นใช้ค้อนฟาดทำให้กิ่งหัก ทะลายลงกินกัน แม้แต่ผลดิบๆ ก็ไม่เหลือ

... ฝ่ายพระราชาทรงกรีฑา ในราชอุทยานตลอดทั้งวันแล้ว ตอนเย็นเมื่อทรงประทับนั่งบนคอช้างต้นที่ตกแต่งแล้ว เสด็จไปทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วงนั้นจึงลงจากคอช้าง แล้วเสด็จไปที่โคนมะม่วง ทรงมองดูลำต้นพลาง ทรงดำริว่า :-

" ต้นมะม่วงต้นนั้นเมื่อเช้านี้เอง เต็มไปด้วยผลเป็นพวงสง่างาม ทำความอิ่มตาอิ่มใจให้แก่ผู้ดูทั้งหลายยืนต้นอยู่ บัดนี้ เขาเก็บผลหมดแล้ว หักห้อยรุ่งริ่งยืนต้นอยู่ไม่งาม "

... เมื่อทรงมองดูต้นอื่นอีกได้ทรงเห็น ต้นมะม่วงต้นอื่นที่ไม่มีผลแล้ว ประทับยืนอยู่ที่ควงไม้นั่นเอง ทรงทำต้นมะม่วงมีผลให้เป็นอารมณ์ว่า :-

" ต้นไม้ต้นนั้นยืนต้นสง่างามเหมือนภูเขาแก้วมณีโล้น เพราะตัวเองไม่มีผล ส่วนมะม่วงต้นนี้ถึงความย่อยยับอย่างนี้ เพราะ ออกผล แม้ท่ามกลางเรือนนี้ก็เช่นกันกับต้นมะม่วงที่ออกผล ส่วนการบรรพชาเป็นเช่นกับต้นไม้ที่ไม่มีผล ผู้มีทรัพย์นั้นแหละมีภัย ส่วนผู้ที่ไม่มีทรัพย์ไม่มีภัย แม้เราก็ควรเป็นเหมือนต้นไม้ที่ไม่มีผล "

... แล้วทรงกำหนดไตรลักษณ์เจริญวิปัสสนายังปัจเจกโพธิญาณให้เกิดขึ้นแล้ว ทรงรำลึกอยู่ว่า :-

"บัดนี้ เราทำลายกระท่อม คือ ท้องของมารดาแล้ว"

"การปฏิสนธิในภพทั้ง ๓ เราตัดขาดแล้ว"

"ส้วมแหล่งอุจจาระ คือ สงสารเราล้างแล้ว"

"กำแพงกระดูกเราพังแล้ว"

"เราจะไม่มีการปฏิสนธิอีก"


... ได้ทรงแต่งองค์ด้วยเครื่องประดับทั้งหมดประทับยืนอยู่แล้ว จึงอำมาตย์ทั้หลายได้ทูลพระองค์ว่า :-

"ข้าแต่มหาราช พระองค์เสด็จประทับยืนนานเกินไปแล้ว"

พระราชา : "เราไม่ใช่พระราชา แต่เราเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า"

อำมาตย์ : "ข้าแต่สมมุติเทพ ธรรมดาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย จะไม่เป็นเช่นกับด้วยพระองค์"

พระราชา : "ถ้าเช่นนั้นเป็นอย่างไร"

อำมาตย์ : "โกนผมโกนหนวด ปกปิดร่างกายด้วยผ้ากาสาวพัตร์ มีส่วนเปรียบเทียบด้วยดวงจันทร์ที่พ้นจากพระราหู พำนักอยู่เงื้อมนันทมูลในป่าหิมพานต์ พระปัจเจกทั้งหลายเป็นเช่นนี้"

14#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-11 06:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในขณะนั้น พระราชาทรงยกพระหัตถ์ขึ้นลูบเกศา ในทันทีนั้นเอง เพศคฤหัสถ์ก็อันตรธานไป เพศสมณะก็ปรากฏขึ้น สมณบริขารทั้งหลายที่พระองค์ตรัสถึงอย่างนี้ว่า :-

... ไตรจีวร บาตร มีดโกน เข็ม รัดประคตพร้อมด้วยกระบอกกรองน้ำ ๘ อย่างเหล่านี้ เป็นบริขารของภิกษุผู้ประกอบความเพียรได้ปกปิดพระกายขอองพระองค์ทันที

... พระองค์ประทับที่อากาศประทานพระโอวาทแก่คนทั้งหลายแล้ว ได้เสด็จไปสู่เงื้อมนันทมูลนั่นแหละ

---------------------------------



๒) พระนัคคชิปัจเจกพุทธเจ้า :

... ฝ่ายพระราชาทรงพระนามว่า นัคคชิ ในนครตักศิลา ที่แคว้นคันธาระ เสด็จไปท่ามกลางพระราชบัลลังก์ เบื้องบนปราสาท ทอดพระเนตรเห็นหญิงคนหนึ่ง ในมือแต่ละข้างประดับกำไลหยกข้างละอันนั่งบดของหอมอยู่ไม่ไกล ประทับนั่งทอดพระเนตร พลางดำริว่า :-

"กำไลหยกเหล่านั้นไม่กระทบกัน ไม่มีเสียงดัง เพราะเป็นข้างละอัน คือ แยกกันอยู่"

... ภายหลังนางเอากำไลแขนจากข้างขวามาสวมไว้ข้างซ้ายรวมกัน แล้วเริ่มเอามือขวาดึงของหอมมาบด กำไลแก้วมณีคือหยกที่มือซ้ายมากระทบกำไลข้างที่ ๒ จึงมีเสียงดังขึ้น

... พระราชาทอดพระเนตรเห็นกำไรแขนทั้ง ๒ ข้างเหล่านั้นกระทบกันอยู่มีเสียงดัง จึงทรงดำริว่า :-

"กำไลแขนนี้เวลาอยู่ข้างละอันไม่กระทบกัน แต่อาศัยข้างที่ ๒ กระทบกันก็มีเสียงดังฉันใด แม้สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แต่ละคนๆ ไม่กระทบกัน ก็ไม่ส่งเสียง แต่พอมี ๒, ๓ คนขึ้นไปก็กระทบกันทำการทะเลาะกัน ส่วนเราวิจารณ์ราษฏรในราชสมบัติ ๒ แห่ง ในกัสมิระ และคันธาระ เราควรเหมือนกำไลแขนข้างเดียว ไม่วิจารณ์คนอื่น วิจารณ์ตัวเองเท่านั้นอยู่"

... แล้วทรงทำการกระทบกันแห่งกำไรให้เป็นอารมณ์แล้วทั้งๆ ที่ทรงนั่งอยู่นั่นแหละ ทรงกำหนดไตรลักษณ์ เจริญวิปัสสนา แล้วยังปัจเจกโพธิญาณให้เกิด...ฯลฯ (เนื้อความที่เหลือเหมือนนัยตอนแรก)


๓) พระนิมิราชปัจเจกพุทธเจ้า :

... ที่มิถิลานครในวิเทหรัฐ พระเจ้านิมิราช เสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว มีคณะอำมาตย์แวดล้อม ได้ประทับยืนทอดพระเนตรระหว่างถนน ทางสีหบัญชรที่เปิดไว้

... ครั้งนั้น เหยี่ยวตัวหนึ่งคาบเอาชื้นเนื้อจากเขียงที่ตลาดแล้วบินขึ้นฟ้าไป นกทั้งหลายมีแร้งเป็นต้น บินล้อมเหยี่ยวตัวนั้น ข้างโน้นบ้างข้างนี้บ้าง ใช้จงอยปากจิกใช้ปีกตี ใช้เท้าเฉี่ยวไป เพราะเหตุแห่งอาหาร มันทนาการรังแกตนไม่ไหว จึงทิ้งก้อนเนื้อก้อนนั้นไป นกเหล่าอื่นก็พากันละเหยี่ยวตัวนี้ติดตามนกตัวนั้นไป ถึงนกตัวนั้นปล่อยแล้ว ตัวอื่นก็คาบไป นกทั้งหลายก็พากันรุมตีนกแม้ตัวนั้นเหมือนกัน

... พระราชาทรงเห็นนกเหล่านั้นแล้ว ทรงดำริว่า:-

"นกตัวใดๆ คาบก้อนเนื้อ นกตัวนั้นๆ แหละมีความทุกข์ ส่วนนกตัวใดๆ ทิ้งสละก้อนเนื้อนั้นทิ้ง นกตัวนั้นๆ แหละมีความสุข"

"แม้กามคุณ ๕ เหล่านี้ ผู้ใดๆ ยึดถือไว้ ผู้นั้นๆ แหละมีความทุกข์ ส่วนผู้ใดไม่ยึดถือนั่นแหละมีความสุข เพราะว่ากามเหล่านี้ เป็นของสาธาณะสำหรับคนจำนวนมาก"

"ก็แล เรามีหญิงหมื่นหกพันนาง เราควรจะละกามคุณทั้ง ๕ แล้วเป็นสุขเหมือนเหยี่ยวตัวที่ทิ้งก้อนเนื้อฉะนั้น"

... พระองค์ทรงมนสิการโดยแยบคายอยู่ทั้งๆ ที่ทรงนั่งอยู่นั่นแหละ ทรงกำหนดไตรลักษณ์ เจริญวิปัสสนาแล้วยังปัจเจกโพธิญาณให้เกิดขึ้น...ฯลฯ (เนื้อความที่เหลือเหมือนนัยตอนแรก)


๔) พระทุมมุขะปัจเจกพุทธเจ้า :

ในแคว้นอุตรปัญจาละในกปิลนคร พระราชาทรงพระนามว่า ทุมมุขะ เสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว ทรงประดับเครื่องอลังการพร้อมสรรพ มีหมู่อำมาตย์ห้อมล้อม ได้ประทับยืนทอดพระเนตรพระลานหลวง ทางสีหบัญชรที่เปิดไว้

... ในขณะนั้น คนเลี้ยงวัวทั้งหลาย ต่างก็เปิดประตูคอกวัว พวกวัวตัวผู้ออกจากคอก แล้วก็ติดตามวัวตัวเมียตัวหนึ่งด้วยอำนาจกิเลส

... ในจำนวนวัวเหล่านั้น โคถึกใหญ่ตัวหนึ่งเขาคม เห็นวัวตัวผู้อื่นกำลังเดินมา มีความเห็นแก่ตัว คือหึงด้วยอำนาจกิเลสครอบงำ จึงใช้เขาแหลมขวิดที่หว่างขา ไส้ใหญ่ทั้งหลายของวัวตัวนั้น ก็ทะลักออกมาทางปากแผล มันถงความสิ้นชีวิต ณ ที่นั้นนั่นเอง

... พระราชาทรงเห็นเหตุการณนั้นแล้ว ทรงดำริว่า:-

" สัตว์โลกทั้งหลาย ตั้งต้นแต่สัตว์เดียรรัจฉานไปถึงทุกข์ด้วยอำนาจกิเลส วัวผู้ตัวนี้อาศัยกิเลสถึงความสิ้นชีวิต สัตว์แม้เหล่าอื่นก็หวั่นไหวเพราะกิเลสทั้งหลายนั้นเอง เราควรประหารกิเลสที่เป็นเหตุให้สัตว์ทังหลายหวั่นไหว"

... พระองค์ประทับยืนอยู่นั่นแหละ ทรงกำหนดไตรลักษณ์ เจริญวิปัสสา แล้วยังพระโพธิญาณให้เกิดขึ้น...ฯลฯ (เนื้อความที่เหลือเหมือนนัยตอนแรก)


...อยู่มาวันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๔ องค์เหล่านั้น กำหนดเวลาภิกขาจารแล้ว ก็เสด็จออกจากเงื้อมนันทมูลกะ ทรงเคี้ยวไม้ชำระฟันนาคลดา ที่สระอโนดาต ทรงทำการชำระพระวรกายแล้ว ประทับยืนบนพื้นมโนศิลา ทรงนุ่งสบงแล้วถือเอา บาตรและจีวรเหาะขึ้นไปบนอากาศด้วยฤทธิ์ ทรงย่ำเมฆ ๕ สี ไปแล้ว เสด็จลง ณ ที่ไม่ไกลหมู่บ้านใกล้ประตูนครพาราณสี ทรงหุ่มจีวรในที่สำราญแห่งหนึ่ง ทรงถือบาตรเสด็จเข้าไปในหมู่บ้าน ใกล้ประตูเมืองเที่ยวบิณฑบาต ลุ ถึงประตูบ้านพระโพธิสัตว์

... พระโพธิสัตว์ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นแล้วก็ดีใจ นิมนต์ให้ท่านเข้าไปในบ้าน ใหนั่งบนอาสนะที่ปูไว้แล้วถวายทักขิโนทกอังคาส ด้วยของเคี้ยวของฉันอันปราณีต นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่งไหว้พระสังฆเถระแล้วทูลถามว่า...


15#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-11 06:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การบรรพชาของพระองค์ทั้งหลายงามเหลือเกิน อินทร์ทรีย์ของพระองค์ทั้งหลายผ่องใส ฉวีวรรณก็ผุดผ่อง พระองค์ทรงเห็นอารมณ์อะไรหนอ จึงทรงเข้าถึงการบรรพชาด้วยอกนาจภิกขาจารวัตร"

... และได้เข้าทูลถามพระเถระที่เหลือเหมือน ทูลถามพระสังฆเถระ

... พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๔ องค์นั้น ได้ตรัสบอกเรื่องการออกบวชของตนๆ แก่พระโพธิสัตว์นั้นโดยนัยมีอาทิว่า "อาตมาภาพเป็นพระราชาชื่อโน้น ในนครโน้น ในแคว้นโน้น แล้วตรัสคาถาองค์ละ ๑ คาถาว่า :-

"อาตมาภาพเห็นต้นมะม่วง ที่งอกงาม ผลเขียวไปทั้งต้น ในระหว่างป่ามะม่วง... เมื่อกลับออกมา ได้เห็นมะม่วงนั้นหักย่อยยับ เพราะ ผล ของมันเป็นเหตุ... ครั้นเห็นแล้วอาตมาภาพจึงได้ประพฤติภิกขาจาริยวัตร"

"หญิงสาวคนหนึ่งสวมกำไลแขนหินหยกเกลี้ยงกลมคู่หนึ่ง ที่นายช่างผู้ชำนาญเจียรนัยแล้ว ไม่มี เสียงดัง... แต่เพราะศัยกำไลแขนข้างทั้ง ๒ จึงมี เสียงดังขึ้น... อาตมาภาพได้เห็น เหตุนั้นแล้วจึงได้ประพฤติภิกขาจาริยวัตร"

"นกจำนวนมากพากันบินตามรุมล้อม ตีจิกนกตัวหนึ่งที่กำลังนำก้อนเนื้อมา เพราะ อาหาร เป็นเหตุ... อาตมาภาพได้เห็นเหตุนั้นแล้วจึงได้ประพฤติภิกขาจาริยวัตร"

"อาตมาภาพได้เห็นวัวตัวผู้ตัวหนึ่งท่ามกลางฝูง มีหนอกขึ้นเปลี่ยว ประกอบด้วยสีสวยและมีกำลังมาก ได้เห็นมันขวิดวัวตัวหนึ่งตาย เพราะ กาม เป็นเหตุ... ครั้นได้เห็นเหตุนั้นแล้วจึงได้ประพฤติภิกขาจาริยวัตร"

... พระโพธิสัตว์ครั้นได้สดับคาถาแต่ละคาถา ได้ทำการสดุดีพระปัจเจกพุทธเจ้าแต่ละองค์ว่า :-

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังข้าพระองค์ขอโอกาส อารมณ์นั้นเหมาะสมสำหรับเหล่าข้าพระองค์ทีเดียว"

... พระโพธิสัตวืสดับธรรมกคานั้น ที่ท่านทั้ง ๔ ทรงแสดงแล้ว เป็นผู้ไม่มีเยื่อใยในฆราวาส เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จไปแล้ว รับปประทานอาหารเช้าแล้ว นั่งสำราญอยู่ ได้เรียกภรรยามาพูดว่า

"พระปัจเจกพุทธเจ้า ๔ องค์นี้ สละราชสมบัติออกผนวช ไม่มีกังวล ไม่มีห่วงใยให้กาลเวลาล่วงไปด้วยความสุข เกิดจากการบรรพชา ส่วนเราเลี้ยงชีพด้วยค่าจ้าง เราจะมีประโยชน์อะไรด้วยการครองเรือน เธอจงสงเคราะห์คือเลี้ยงดูลูกอยู่บ้านเถิด" แล้วกล่าวคาถาว่า :-

"พระราชาเหล่านี้คือ พระเจ้ากรกัณฑะของชาวกลิงคะ ๑ , พระเจ้านัดดชิของชาวคันธาระ ๑ ,

พระเจ้านิมิราชของชาววิเทหะ ๑ , พระเจ้าทุมมุขะของชาวปัญจาละ ๑

ทรงละแว่นแคว้นออกผนวช หาความห่วงใยมิได้

พระราชาเหล่านี้ แม้ทุกพพระองค์ เสมอด้วยเทพเจ้า

เสด็จมาพบกัน ย่อมสง่างามเหมือนไปลุกโชนฉะนั้น

ดูก่อนนางผู้โชคดี แม้เราละกามทั้งหลายทิ้งแล้ว ดำรงอยู่ตาส่วนของตนเที่ยวไปคนเดียว"

... ภรรยานั้นครั้นได้ฟังถ้อยคำของเขาแล้ว จึงพูดว่า

"ข้าแต่นาย ตั้งแต่เวลาได้ฟังธรรมกถา ของพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว แม้ฉันเองใจก็ไม่สถิตอยู่ในบ้าน" แล้วได้กล่าวคาถานี้ว่า:-

"เวลานี้เท่านั้น เวลาอื่นนอกจากนี้จะไม่มีเลย ภายหลังคงไม่มีผู้พร่ำสอนฉัน... ข้าแต่ท่านผู้มีโชค ฉันเองก็จักพ้นจากมือชาย เที่ยวไปคนเดียว เหมือนนางนกพ้นจากข้อง ฉะนั้น"

... พระโพธิสัตว์ครั้นได้ฟังคำของนางแล้ว ได้นิ่งอยู่ ส่วนนางประสงค์จะลวงพระโพธิสัตว์แล้วบวชก่อน จึงกล่าวว่า

16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-11 06:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
"ข้าแต่นาย ฉันจักไปทำน้ำดื่ม ขอท่านจงดูลูกไว้"

แล้วจึงถือเอาหม้อน้ำที่ทำเป็นเหมือนเดินไปท่าน้ำ แล้วหนีไป ถึงสำนักของพวกดาบสที่ใกล้นครแล้วก็บวช

... พระโพธิสัตว์ทราบว่านางไม่มาจึงเลี้ยงเด็กเอง ต่อมาเมื่อเด็กเหล่านั้นเติบโตขึ้นหน่อยหนึ่ง สามารถรู้ดีรู้ชั่วแล้ว เพื่อจะทดลองเด็กเหล่านั้น

วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์เมื่อหุงข้าวสวย ได้หุงดิบไปหน่อย วันหนึ่งแปหน่อย วันหนึ่งไหม้ วันหนึ่ปรุงอาหารจืดไป วันหนึ่งเค็มไป เด็กทั้งหลายพุดว่า วันนี้ดิบ วันนี้แฉะ วันนี้ไหม้ วันนี้จืด วันนี้เค็มไป พระโพธิสัตว์พูดว่า

"ลูกเอ๋ย วันนี้ข้าวดิบ" แล้วคิดว่า " บัดนี้ เด็กเหล่านี้รู้จักดิบ สุก จืดและเค็มจัดแล้ว จักสามารถเลี้ยงชีพตามธรรมดาของตน เราควรจะบวชละ"

ต่อมาท่านได้มอบเด็กเหล่านั้นให้พวกญาติพูดว่า

"ดูก่อนพ่อและแม่ ขอจงเลี้ยงเด็กเหล่านี้ให้ดีเถิด"

แล้วเมื่อพวกญาติกำลังโอดครวญอยู่นั่นเองได้ออกจากพระนครไปบวชเป็นฤาษีอยู่ใกล้ๆ พระนครนั่นเอง

... อยู่มาวันหนึ่ง นางปริพาชิกา คือ ภรรยาเก่า ได้เห็นท่านกำลังเที่ยวภิกขาจารในนครพาราณสี ไหว้แล้วจึงพุดว่า

"ข้าแต่พระคุณเจ้า ท่านเห็นจะให้ลูกทั้งหลายพินาศไปแล้ว"

พระมหาสัตว์ ตอบว่า "เราไม่ได้ให้ลูกพินาศ ออกบวชในเวลาที่พวกเขาสามารถรู้ดีรู้ชั่วแล้ว เธออย่าคิดถึงพวกเขา จงยินดีในการบวชเถิด" แล้วได้กล่าวคาถาสุดท้ายว่า :-

"เด็กทั้งหลายรู้จักดิบ รู้จักสุก รู้จักเค็มและจืด ฉันเห้นข้อนั้นแล้วจึงบวช... เธอจงเที่ยวไปเพื่อภิกษาเถิด ฉันก้จะเที่ยวไปเพื่อภิกษา"

... พระโพธิสัตว์ตักเตือนปริพาชิกา ด้วยประการอย่างนี้แล้วก็ส่งตัวไป ฝ่ายปปริพาชิการับโอวาทไหว้พระมหาสัตว์แล้ว จึงไปสู่สถานที่ตามใจชอบ

ได้ทราบว่านอกจากวันนั้นแล้ว ทั้ง ๒ ท่านนั้น ก็ไม่ได้พบเห็นกันอีก ฝ่ายพระโพธิสัตว์ให้ฌานและอภิญญาเกิดขึ้นแล้ว ได้เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก

... พระศาสดาครั้นทรงนำพระรรมเทศนานี้มาแล้ว ได้ทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลายประชุมชาดกไว้ว่า

- ในที่สุดแห่งสัจธรรม ภิกษุ ๕๐๐ รูปดำรงอยู่แล้วใน อรหัตผล

- ธิดา ในครั้งนั้นได้แก่ อุบลวรรณาเถรี ในบัดนี้

- บุตร ได้แก่ พระราหุลเถระ

- ปริพาชิกา ได้แก่ มารดา พระราหุลเถระ

- ส่วนปริพาชก คือ เราตถาคต ฉะนั้นแล


ที่มา...https://sites.google.com/site/sphrathewtheph/Home-3
ขอบคุณครับ

สาธุ สาธุ สาธุ
19#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-12 15:01 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มีพระท่านหนึ่งเคยบอกมาว่า...

หลวงปู่ฮิง โชติโญ ท่านเป็น..

พระปัจเจกฯ
ขอบคุณน่ะขอรับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้