ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2736
ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ จิตหลอกจิต ~

[คัดลอกลิงก์]


โลก คือ จิต ของคนเรา มาหลอกลวงจิตให้หลงในสิ่งต่างๆ ว่าเป็นจริงเป็นจัง แต่แล้วสิ่งเหล่านี้เป็นแต่เพียงมายาเท่านั้นเกิดมาแล้วก็สลาย แตกดับไปตามธรรมดาของมัน

เช่นมนุษย์เกิดมาจากธาตุ ๔ ประชุมกันเข้าเป็นก้อนอันหนึ่งเขาเรียกกันว่า ก้อนธาตุ จิตมนุษย์เข้าไปยึดถือเอา จึงสมมุติเรียกว่าเป็นมนุษย์ เป็นหญิง เป็นชาย เป็นหนุ่ม เป็นสาว แต่งงานกันมีลูกออกมา หลงรักหลงใคร่ แล้วก็โกรธเกลียดชังกัน เบียดเบียน ฆ่าฟัน อิจฉาริษยา ซึ่งกันและกัน ส่วนอาชีพการงานก็เหมือนกัน เกิดมาในโลกกับเขาแล้ว จะไม่ทำก็อยู่กับเขาไม่ได้ ต้องกระทำ ทำมาค้าขาย หรือกสิกรรมกสิกร หรือเป็นข้าราชการทำไปจนวันตายก็ไม่จบไม่สิ้น คนนี้ตายไปแล้วคนใหม่เกิดมา ตั้งต้นทำอีก ยังไม่ทันหมดทันสิ้นก็ตายไปอีกแล้ว

ตราบใดโลกนี้ยังมีอยู่ มนุษย์คนเราก็เกิดมาทำอยู่อย่างนี้ร่ำไปทุกๆ คน เมื่อตายไปแล้วก็ไม่มีใครหอบเอาสิ่งที่ตนกระทำไว้นั้นไปด้วยสักคนเดียว แม้แต่ร่างกายก็ทอดทิ้ง เว้นแต่กรรมดี และกรรมชั่วที่ตนทำไว้เท่านั้น ที่ตามจิตใจของตนไป

โลกจิต ที่มีวิญญาณครองยังหลอกจิตได้ ไม่เห็นแปลกอะไรเลย แม้ที่สุด โลกที่หาวิญญาณครองไม่ได้ ก็ยังหลอกจิตเลย เราจะเห็นได้จากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เช่น ป่า ดง พงไพร ต้นไม้ประกอบด้วยพันธ์ไม้นานาชนิด เกิดในดงงดงาม เขียวชอุ่ม ประกอบด้วย กิ่ง ก้านดอก ผล เป็นช่อระย้า เรียงลำดับเป็นระเบียบเรียบร้อย ยิ่งกว่าคนเอาไปประดับตกแต่งไว้ ใครเห็นแล้วก็นิยมชมว่าสวยงาม ส่วนผาเล่าก็มีชะโงกเงื้อมงุ้ม เป็นตุ่ม เป็นต่อม มีชะง่อน ชะเงื้อม เพิงผา ดูน่าอัศจรรย์ เป็นหลั่นเป็นถ้องแถว ดังคนเอามาเรียงลำดับให้วิจิตรงดงาม

ส่วนแม่น้ำลำธารซึ่งตกลงแต่ที่สูงแล้วก็ไหลลงสู่ที่ต่ำ เป็นลำธาร มีแง่มีมุม เป็นลุ่มเป็นดอน มีน้ำไหลวกวนเวียน มีหมู่มัจฉาปลาหลากหลายพันธุ์ว่ายวนเป็นหมู่ๆ ดูแล้วก็จับใจ ดูไป เพลินไปทำให้ใจหลงใหลไปตามๆ กัน ดูแล้วเหมือนของเหล่านั้นจะเป็นจริงเป็นจังเดี๋ยวๆ ของเหล่านั้นก็อันตรธานหายจากความทรงจำของเรา หรือมิฉะนั้นคนเราก็จักต้องอันตรธานหายไปจากสิ่งเหล่านั้น ไม่มีอะไรเหลือหลออยู่ในโลกนี้สักอันเดียว เป็นอนิจจังทั้งสิ้น

เมื่อของในโลกนี้เป็นของหลอกลวงได้ “ธรรม” ธรรมที่เป็นโลกีย์ ก็หลอกลวงได้เหมือนกัน เราจะเห็นได้จากการนั่งสมาธิภาวนา เมื่อจิตจะรวมเข้าเป็นสมาธิ ตกใจผวา เหมือนกับมีคนมาผลักบางทีมีเสียงเปรี้ยง เหมือนเสียงฟ้าผ่าลงมาก็มี บางทีกายของเราแตกออกเป็นซีกๆ ก็มี บางทีมีแสงสว่างจ้าขึ้นมาแลเห็นสิ่งต่างๆ เข้าใจว่าเป็นจริงเป็นจัง พอลืมตาขึ้นหายหมด สารพัดแต่มันจะเกิด บางทีพอจิตจะรวมเข้าไป ปรากฏเห็นภูต ผี ปีศาจ ทำเป็นหน้ายักษ์ หน้ามารมาเลยกลัววิ่งหนี เลยเสียสติเป็นบ้าไปก็มี ธรรมที่ยังเป็นโลกีย์อยู่ก็หลอกลวงได้ เช่นเดียวกับโลกๆ เรานี้แหละ

บางทีเราพิจารณาร่างกายอันนี้ให้เป็นอสุภะ เมื่อใจเราน้อมเชื่อมั่นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเลยเกิดอสุภะขึ้นมา เปื่อยเน่าเฟะไปทั้งตัวเลย แต่แท้ที่จริงแล้ว ร่างกายมันก็เป็นอสุภะธรรมดาๆ เท่าที่มันมีอยู่นั้นแหละ แต่เราเข้าใจผิด หลงไปเชื่อตามจิตมันหลอก เลยหลงเชื่อว่าเป็นอสุภะจริงๆ ไปยึดถือเอาจนเหม็นติดไม้ติดมือติดตัว ไปไหนก็มีแต่กลิ่นอสุภะทั้งนั้น

จิตเราที่ฝึกหัดให้เข้าถึงธรรมแล้ว แต่ธรรมนั้นมันยังเป็นโลกียะอยู่ มันหลอกได้เหมือนกัน พระพุทธเจ้าจึงเทศนาว่า “จิตหลอกจิต”




หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
สาธุ ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้