ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1885
ตอบกลับ: 0
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ประวัติเจ้าหลวงคำแดง

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2019-7-15 22:18

ประวัติเจ้าหลวงคำแดง
ศาลาเจ้าพ่อหลวงคำแดง วัดโพธาราม อำเภอแม่ใจจังหวัดพะเยา



ตำนานเจ้าหลวงคำแดงเป็นตำนานแพร่หลายในหลายจังหวัดทางภาคเหนือตอนบนดังปรากฏศาลเจ้าหลวงคำแดงกระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆ อาทิ ถ้ำเชียงดาวเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ลำปาง แม่ฮ่องสอนและน่าน ซึ่งศาลบางแห่งมีการประกอบพิธีกรรมเลี้ยงผีเจ้าหลวงคำแดงเป็นประจำทุกปี
“เจ้าหลวงคำ กับเจ้าจอมเทวี” นี้ ตามประวัติหรือตามตำนานเดิมกล่าวว่า ก่อนที่ทั้งสองจะมาอยู่ดอยเชียงดาวและดอยนางนั้น ชะรอยว่านางจอมเทวี มีนิวาสสถานบ้านเมืองอยู่ทางทิศใต้ แต่จะเป็นเมืองอะไรนั้นไม่ปรากฏชัด ส่วนเจ้าหลวงคำแดง เป็นราชโอรสของพระยางำเมือง เจ้าผู้ครองเมืองพะเยา ซึ่งหลังจากพ่อขุนงำเมือง พ่อขุนเม็งรายมหาราชและพ่อขุนรามคำแหง ได้ร่วมกันสร้างเมืองเชียงใหม่แล้ว พ่อขุนรามคำแหงก็เสด็จกลับไปกรุงสุโขทัย พ่อขุนงำเมืองก็เสด็จกลับสู่เมืองพะเยา ส่วนพ่อขุนเม็งรายมหาราชก็เป็นกษัตริย์ครองเมืองเชียงใหม่สืบต่อไป

ต่อมาอีกไม่นานนักพ่อขุนงำเมือง ก็สละราชสมบัติเสด็จไปประทับอยู่ที่เมืองเงิน ซึ่งปัจจุบันนี้ชาวบ้านเรียกกันว่าเมืองงาว จึงทรงให้พระราชโอรสขุนคำแดง (เจ้าพ่อหลวงคำแดง) อยู่รักษาการปกครองเมืองพะเยาแทนพระองค์ จากนั้นมาไม่นานนักมีข้าศึกเงี้ยวเข้ามาโจมตี และปล้นทรัพย์สินของประชาชน ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน เจ้าหลวงคำแดงจึงได้คุมทหารจำนวนหนึ่งพร้อมด้วยอาวุธทุกชนิดไปอยู่รักษาชายแดนป้องกันศัตรูจากเจ้าเมืองอื่นที่มักคุมทหารยกมาตีเมืองพะเยา ขณะที่เจ้าหลวงคำแดง พร้อมทหารเดินทางไปนั้นเป็นเวลาที่ตะวันคล้อยบ่ายลงไปมาก ประกอบกับเจ้าหลวงคำแดงและทหารต่างก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทาง จึงสั่งให้ทหารหยุดและจัดสถานที่พักผ่อน ณ ชายป่าท้ายบ้านแห่งหนึ่ง ประจวบกับเวลานั้นดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงจวนจะลับเหลี่ยมภูผาแล้ว มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งมีสิริร่างเลอโฉมอวบอั๋น ผิวพรรณผุดผ่องสวยงามน่าชมเชยเสียยิ่งนัก จะหาหญิงอื่นมาเทียบมิได้ในแคว้นนั้น เดินผ่านมายังค่ายที่พักของเจ้าหลวงคำแดง เมื่อสายตาของเจ้าหลวงคำแดงเห็นร่างของสตรีที่สวยสดซึ้งเข้าเช่นนั้น เกิดความคิดที่จะเข้าไปโอภาปราศรัยกับเธอเสียจริง

เท่าไวดังใจคิดเจ้าหลวงคำแดงจึงย่างกรายเดินออกจากค่ายพักเข้าไปหาสตรีผู้นั้นพร้อมกับเอ่ยทักทายก่อน หญิงสาวหยุดเดินพร้อมกับหันมาตามเสียงที่กล่าวทัก ฉับพลันที่พบเห็นสายตาของหนุ่มสาวก็ประสานกันอย่างจัง จนทำให้หญิงสาวเอียงอายและหลบสายตาของหนุ่มในที่สุดเจ้าหลวงคำแดงก็เดินตามหญิงสาวคนนั้นไปจนถึงสวนผักแห่งนั้น หญิงสาวคนนั้นจึงแวะไปเก็บผักพร้อมกับเจ้าหลวงคำแดง ขณะที่ทั้งสองหนุ่มสาวช่วยกันเก็บผักพลางพูดคุยหยอกล้อกันพลางอย่างสุขใจอยู่นั้น ตอนหนึ่งเจ้าหลวงคำแดงได้เอ่ยถามหญิงสาวขึ้นว่า “ บ้านน้องสาวอยู่ไกลไหม” นางก็ตอบว่า “ไม่ไกลหรอก” หญิงสาวตอบพร้อมกับร่างนั้นก็หายวับไป ปรากฏเป็นกวางทองตรงพุ่มไม้ข้างหน้าและกวางทองก็วิ่งเหยาะ ๆ กลับไปทางค่ายพักของเจ้าหลวงคำแดง ส่วนเจ้าหลวงคำแดงพอเห็นอัศจรรย์เช่นนั้นถึงกับตกตลึงไปชั่วครูหนึ่ง พอหายจากตกตลึงจึงออกวิ่งไล่กวดไปติด ๆ พลางปากก็ร้องตะโกนบอกแก่ทหารว่า “กวางทองวิ่งผ่านไปทางหน้าค่ายเราให้สกัดจับไว้” จนไปถึงค่ายแล้วเจ้าหลวงคำแดงก็จัดทหารพร้อมอาวุธครบมือ ออกติดตามจับเจ้ากวางทองน้อยตัวนั้นไปเป็นเวลา ๓ วัน ก็ไล่จับกวางทองไม่ได้ พร้อมกับได้สั่งกำชับว่า ให้จับเป็นห้ามใช้อาวุธใด ๆ ทำร้ายร่างกายเจ้ากวางทอง

ต่อจากนั้นเจ้าหลวงคำแดงพร้อมทหาร ก็ออกติดตามเจ้ากวางทองขึ้นไปทางเหนือแต่เจ้าหลวงคำแดงก็ไม่ลดละความพยายาม โดยนำทหารติดตามไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเจ้ากวางทองหายลับสายตา เจ้าหลวงคำแดงยังไม่หมดความมานะหมายจะจับกวางทองให้ได้ จนเวลาล่วงเลยไป ๑๐ กว่าวันก็ยงไม่พบกวางทอง คงเห็นแต่รอยเท้าเท่านั้น และในวันหนึ่งที่ปรากฏแก่สายตาของเจ้าหลวงคำแดงและเหล่าทหารทั้งหลายคือ คราบ ของนางกวางทอง ซึ่งได้กลับกลายร่างจากกวางมาเป็นมนุษย์ เพราะได้ลอกคราบไว้ข้างห้วยใกล้บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันคือบ้านสบคาบ (เพี้ยนมาจากคำว่าคราบ) หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ไปประมาณ ๖ กิโลเมตร และเจ้าหลวงคำแดงก็ติดตามไปอีกจนไปพบร่างของเจ้ากวางทองที่กลับกลายเป็นหญิงสาวดังที่พบเห็นครั้งแรก ในป่าแห่งหนึ่ง อยู่ทางทิศตะวันออกของที่ว่าการอำเภอเชียงดาว ป่าแห่งนั้นมีชื่อว่า “ ดงเทวี ” ทันทีที่เจ้าหลวงคำแดงตามไปพบ หญิงสาวเห็นดังนั้นจึงกลับกลายร่างเป็นกวางทองอีกครั้ง เจ้าหลวงคำแดงสั่งให้ทหารกระจายกำลังโอบล้อมเจ้ากวางทองไว้พร้อมกับประกาศว่า หากใครปล่อยให้เจ้ากวางทองหลุดรอดออกไปตรงด่านของผู้ใด ผู้นั้นจะต้องถูกตัดหัว แต่ในที่สุดเจ้ากวางทองตัวนั้นก็หลุดรอดออกจากวงล้อมได้ พร้อมกับบอกว่า “หากข้าตามเจ้ากวางทองนี้ไปเกิน ๗ วัน ไม่เห็นข้ากลับมา ก็ให้พวกท่านกลับไปบอกพระราชบิดาของข้าทางบ้านด้วยและไม่ต้องเป็นห่วงข้าในเมื่อติดตามเอานางกวางทองตัวนี้มาไม่ได้ตังข้าเองก็จะไม่ยอมกลับบ้านเช่นกัน”

เมื่อเจ้าหลวงคำแดง สั่งการให้ทหารเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว จึงออกติดตามนางกวางทองตัวนั้นไปทางตะวันตกซึ่งนางกวางทองมุ่งหน้าไปสู่เขาใหญ่ลูกหนึ่ง เป็นเขาที่ถ้ำเชียงดาวปัจจุบัน ขณะที่เจ้าหลวงคำแดงติดตามนางกวางทองไปอย่างกระชั้นชิดนั้น นางกวางทองก็แปลงร่างเป็นหญิงสาวอีกครั้งหนึ่งแล้ววิ่งหายเข้าไปในถ้ำนี้ เจ้าหลวงคำแดงผู้ซึ่งมีความรักและเสน่หาต่อหญิงสาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงได้เข้าในถ้ำเช่นเดียวกัน ตราบเท่าทุกวันนี้ก็ไม่กลับออกมา และเป็นสิ่งสถิตรักษาถ้ำเชียงดาวอยู่จนราษฎรในหมู่บ้านปลูกสร้างศาลไว้ชื่อว่า “ ศาลเจ้าพ่อหลวงคำแดง” และในวันใดเดือนใดที่เป็นนิมิตอันดี ท้องฟ้าปราศจากเมฆฝ้าตามประวัติกล่าวว่าจะปรากฏเป็นลูกกลม ๆ คล้ายกับพระธาตุพร้อมทั้งแสงสว่างลอยออกมาจากหลังดอยหลวงเชียงดาว แล้วเคลื่อนไปทางทิศตะวันออกเป็นเวลาประมาณ ๕ นาที ก็จะปรากฏมีเสียงดังคล้ายกับเสียงปืนใหญ่เกิดขึ้นพร้อมกับแสงสว่างนั้นหายไปเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักซึ่งชาวบ้านมักพูดกันว่า “เจ้าหลวงคำแดงลั่นอะม๊อก “ หรือนัยหนึ่งเรียกว่า “ วิญญาณของเจ้าหลวงคำแดงไปเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอน



บางตำราเล่าขานสืบทอดกันมาว่า เจ้าหลวงคำแดงนั้นมีความสัมพันธ์ ระหว่างชาวไทยกับชาวลัวะ บริ เวณแจ่งเจ็ดลินในปัจจุบัน เคยเป็นที่ตั้งของชาวลัวะ เป็นที่อยู่ของชาวลัวะมาก่อน ดังนั้นเจ้าหลวงคำแดงได้ปกป้องและสร้างเมืองแห่งนี้มาก่อน และชาวล้านนามีความเชื่อว่าหากตายลงไป ก็จะได้อยู่ช่วยปกปักรักษาเมืองแห่งนี้ โดยมีเจ้าหลวงคำแดง นั้นเป็นหัวหน้าผี ผู้ครองและสิงสถิตย์อยู่บริเวณดังกล่าวด้วย


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้