ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1927
ตอบกลับ: 1
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ไสยเวทของชาวมุสลิม

[คัดลอกลิงก์]


วิชาหินเบา สุเหล่า แขก จีน ชาวมุสลิม ชอบมีเรื่องกับทหารเรือเพราะเขตทหารเรือมีถิ่นฐานบ้านช่องที่ทางฝ่ายกองทัพเรือปลุกให้ครอบครัวทหารเรืออยู่ สาเหตุที่จะมีก็เนื่องจากทางฝ่ายมุสลิมมีลูกหลานสาวสวยเป็นที่ต้องตาต้องใจของบุรุษเพศชายหนุ่มซึ่งอยู่ต่างถิ่นต่างตำบลมาเกี่ยวพาราสีทำให้ชายหนุ่มที่เป็นมุสลิมกีดกันมีเรื่องวิวาทชกต่อยทำร้ายร่างกายเรื่องถึงโรงพักเสมอ

และยิ่งกว่านี้ยังมีพวกทหารเรือที่เกเรชอบข่มเหงลูกและหลานสาวของชาวมุสลิมอยู่เสมอทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นคนละสัญชาติศาสนาหญิงสาวชาวมุสลิมเคารพนับถือประเพณีเชื่อคำอบรมของพ่อแม่ห้ามไม่ให้ยุ่งกับชายหนุ่มต่างศาสนา มีทหารเรือยศชั้นพันจ่าตรีชื่อสาคร บุนนาค มาติดพันหลงรักนางสาว โรติมา ฮารี ซึ่งเป็นลูกสาวโตะอีหม์าชื่อ ยูโซะ ฮารี ซึ่งเป็นหัวหน้าชาวมุสลิมสุเหล่าแขก

ยูโซะ ฮารี ตั้งร้านอาหารหวานคาวมีเจ้าหนุ่มทั้งไม่หนุ่มทั้งไทยจีนแขกมาช่วยกันอุดหนุนกิจการค้าเจริญเพราะมีลูกสาวแสนสวยเป็นคนช่วยเสริฟอาหารขาย เป็นที่สุดสวาทของ ยูโซะผู้เป็นพ่อและเป็นที่รักของชายหนุ่มทั้งหลายแต่เธอยังไม่เคยคิดในเรื่องความรัก

ชายหนุ่มที่หลงรักและติดตามเธออยู่เสมอชื่อ พันจ่าสาคร บุญนาค ได้เขียนจดหมายรักถึงเธอเธอก็ฉีกทิ้ง ยูโซะ ผู้เป็นพ่อเห็นจดหมายที่เธอฉีกทิ้งเอาจดหมายที่เหลือไปให้ กาเซ็ม ลูกชายคนโตอ่านข้อความให้ฟังรู้ว่าเป็นจดหมายของจ่าสาครซึ่งเป็นทหารเรือและเป็นคนสนิทของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

เพราะจ่าสาครใช้นามสกุลเดียวกับพระชนนีของเสด็จในกรมฯ รู้นิสัยอันธพาลของจ่าสาครเพราะมามีเรื่องหึงหวงไล่ตีมากับชายหนุ่มคนอื่นอยู่เสมอไม่มีใครกล้าที่จะฟ้องร้องตำรวจและยิ่งกว่านี้ทหารเรือกำลังเฟื่องอำนาจ

เพื่อที่จะอยู่โดยสันติสุข ยูโซะ จึงเรียกจ่าสาครมาที่บ้านให้ลูกชายคนโตมาถาม จ่าสาคร สงสัยจึงถามกาเซ็ม ว่ามีธุระอะไร กาเซมจึงเล่าเรื่องจดหมายให้ฟังจ่าสาคร จึงพาจ่าเดิมและจ่าสังเวียน ซึ่งมีนามสกุลเดียวกันมาด้วยและได้นำอาวุธมีดปืนมาเป็นเครื่องป้องกันตัว

เมื่อจ่าทั้งสามมาถึงบ้าน นายยูโซะก็ต้อนรับอย่าง ถามจ่าสาครว่าจ่ามารักลูกสาวผมบริสุทธิ์ทั้งกายวาจาใจผมได้ทราบจากจดหมายที่จะเขียนถึงลูกสาวผม จ่าสาครบอกว่าบังกาเซมบอกผมแล้วผมไม่ขัดข้อง

ก่อนแต่งกับลูกสาวผมจะต้องโอนเข้ามาอยู่ศาสนาเดียวกับผม จ่าสาครตอบว่าในข้อนี้ผมไม่อาจที่จะทำตามได้ เหตุขัดข้องก็เพราะผมมีเครื่องรางของขลังผมสักน้ำมันงาจากหลวงพ่อกบจังหวัดนครสวรรค์เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกับเสด็จในกรม ถ้าโอนศาสนาแล้ววิชาจะเสื่อม

ยูโซะอีหม่ำพูดว่าอย่าเข้าใจผิด พระคาถาพระเวทนั้นศาสนาพุทธกับศาสนามุสลิมก็ต้องอาศัยความแน่วแน่ของพลังจิต อย่าว่าแต่พระคาถาของแกเลย พระคาถาของผมก็มีเป็นวิชาคงกระพันชาตรี ชื่อว่าวิชาหินเบาคงทนต่อคมอาวุธปืนและแม้แต่จะเอาก้อนหินโตเท่าไหกระเทียมทุ่มคอก็ไม่เป็นอะไรแม้ว่าหินนั้นจะหนักแสนหนักก็ไม่อาจทำอันตรายได้ เพราะพระคาถามีอำนาจบังคับให้หินเบา พระคาถาของจ่าป้องกันอันตรายจากหินก้อนใหญ่ได้หรือไม่

จ่าจึงตอบว่าสามารถป้องกันได้ทุกอย่าง ทั้งจ่าและผมก็ไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าของใครจะแน่กว่ากัน จ่ากับผมมาทดลองแสดงให้เป็นขวัญตาเพื่อให้เป็นประวัติศาสตร์และให้คนทั้งหลายดูเล่น
จ่าสาคร บุนนาค ผู้อ่อนต่อโลกมากทางไสยศาสตร์เพราะวิชาหินเบานี้บุคคลที่จะได้มาจะต้องเป็นชาวมุสลิมที่ต้องไปศึกษาที่นครเมกกะเป็นเวลา 3 ปี จึงจะเรียนสำเร็จเป็นวิชาพิเศษมนต์คาถาของไทยมีแต่เครื่องรางของขลังป้องกันอาวุธคมมีดอาวุธปืนไม่มีวิชาที่จะให้พระคาถาบังคับให้หินเบาได้

พวกที่ไปศึกษานครเมกกะพวกนี้เก่งระเบิดน้ำ ลุยไฟและวิชาหินเบา เดี๋ยวท่านผู้อ่านคอยฟังว่า จ่าสาครจะเป็นผู้แพ้หรือชนะเมื่อเป็นที่ตกลงกันแล้ว ยูโซะ ฮารี ก็บอกให้กาเซนจัดหอก 3 เล่ม ก้อนหินขนาดเท่าไหกระเทียม 3 ลูก หินนั้นยกแทบไม่ไหว

การทดลองนั้นยูโซะให้จ่าสาครแทงด้วยหอกเล่มละครั้ง แทงข้างหลัง 2 ทีด้านหน้าอก 1 ทีเสร็จแล้วให้จ่าสาครเอาหินทุ่มหลังทุ่มตอและทุ่มหัวถึง 3 ครั้ง ปรากฏว่า ยูโซะไม่เป็นอันตรายเลย จ่าสาครกับพวก 2 คนปรึกษากันว่าจะไม่เอาอยู่แล้วเพราะไม่เคยมีวิชาหินเบาแต่ก็ต้องมีมานะไม่ว่าจะมีภัยอันตรายก็ต้องต่อสู้ ศักดิ์ศรีของชาติอาชาไนยพร้อมกับยืนให้ยูโซะ ใช้หอกแทงด้านหลังและด้านหน้าตามสัญญา ต่อจากนั้นยูโซะพยายามจะเอาหินทุ่มหัวจ่าสาคร

แต่อำนาจแห่งคุณธรรมที่มีฝังประจำใจ โต๊ะอิหม่ำผู้เรืองฤทธิ์ผู้มีศีลธรรมอันดีงามจะทุ่มคอ จ่าสาครหรือที่หัวก็น่ากลัวจะถึงซึ่งความตาย ประกอบกับมีความกลัวและเกรงใจในเสด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จึงชงักมือทุ่มแต่เพียงเบาครั้งแรกหินถูกข้างหลังจาสาคร ขนาดเบาๆ เลือดยังไหลออกจากทางปากอาการสาหัส
ยูโซะทุ่มเพียงครั้งเดียวเพื่อนถึงกับต้องเอาไปโรงพยาบาลเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนัก

เช้าวันรุ่งขึ้น เสด็จในกรมฯ ตื่นบรรทมแต่เช้าทุกเช้าจ่าสาครจะนำกาแฟมาถวายพร้อมด้วยขนมปังแต่เช้าวันนี้มันหายหัวไปไหนจ่าเติม ซึ่งเป็นเพื่อนจ่าสาครได้เล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างละเอียดเสด็จในกรมฯดำรัสถึงอาการป่วย อ้ายพวกนี้ไม่รู้จักที่ตาย ไปเล่นกับพวกวิชาหินเบาได้หรือ จ่าเติมบอกอาการว่าจ่าสาครป่วยหนัก เสด็จในกรมฯ บอกว่าจ่าเติมมึงพากูไปเยี่ยมอ้ายจ่าสาครหน่อย มันลงสักน้ำมันกับหลวงพ่อทองวัดเขากบจังหวัดนครสวรรค์เช่นเดียวกับกู

เมื่อมาเยี่ยมจ่าสาคร จ่าสาครยังพูดไม่ได้และนอนคว่ำหน้าอยู่ กระดูกสันหลังหัก เสด็จในกรมมาหา ยูโซะ ที่บ้าน ยูโซะตกใจเพราะเสด็จในกรมฯ มาถึงบ้าน ยิ่งรู้ว่าจ่าสาครเป็นคนสนิทของเสด็จในกรมฯ มีความกลัวตกประหม่าจนงันงก จึงมากราบแทบพระบาท

เสด็จในกรมฯ ดำรัสถามว่าเรียนมาจากไหนวิชาหินเบานี้ ยูโซะก็กราบทูลดังได้กล่าวมาแล้ว ประชาชนชาวมุสลิมเมื่อได้รับประสิทธิ์ประสาทวิชาหินเบามาจากนครเมกกะ ผู้นั้นจะต้องเคร่งในศีลธรรม
ไม่กินเนื้อสัตว์ทุกชนิดกินแต่พวกผักถั่วงาพระเจ้าค่ะ

เสด็จในกรมฯ ดำรัสว่าไม่มีอะไรที่จะลงโทษไม่ต้องกลัว อั๊วเป็นนักเลงเพราะเรื่องที่เกิดขึ้น ต่างคนต่างมีอาจารย์เมื่อทดลองกันแล้วแพ้ก็รู้จักแพ้ วิชานี้เป็นวิชาที่ทดลองประจักษ์เป็นความจริง เเต่อั๊ว ต้องการทดลองตัวยูโซะ ให้ประจักษ์ อยากจะดูฤทธิ์ซิว่าจะมีอานุภาพทนรับหินก้อนใหญ่ได้หรือไม่




2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2017-12-21 22:03 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ยูโซะ จึงจัดแจงนำหอก 3 เล่มหินสามก้อนมาวางไว้ต่อหน้าพระพักตร์เสด็จในกรมแล้วก็หมอบอยู่ตรงพระพักตร์สองมือกราบพระบาทเสด็จในกรมฯ มีพระดำรัสให้จ่าเติมจัดการทดลองยูโซะโดยให้จ่าเติมแทงด้วยหอก 3 ครั้ง ด้านหลัง 2 ครั้งด้านหน้าอก 1 ครั้งปรากฏว่า ยูโซะไม่ระคายผิวหนัง และตอนที่จะเอาหินทุ่ม ทรงมีพระดำรัสถามยูโซะว่าให้ทุ่มที่ไหน ยูโซะตอบว่าให้ทุ่มหัวทุ่มคอทุ่มหลัง 3ครั้ง

เสด็จในกรมฯ ตกพระทัยเอื้อมพระหัตถ์ไปหยิบลองยกน้ำหนักดูรู้สึกว่ามันหนักมากหันมาพระดำรัสว่า ทุ่มไปแล้วไม่มีอันตรายนะเจ้า ไม่มีพระเจ้าค่ะ เป็นคำกราบทูล โดยมีความเป็นห่วง
เสด็จในกรมฯ ถอยพระวรกายมาแล้วหันพระพักตร์ไปทางจ่าเติมแล้วพยักพระพักต์ จ่าเติม เริ่มทุ่ม

จ่าเติมทุ่มครั้งที่ 1 จับหินก้อนใหญ่สองมือแล้วก็ทุ่มเต็มกำลังแรง ไปที่หัวยุโซะ ครั้งที่ 2 ทุ่มพี่คอครั้งที่ 3 ที่ด้านหลัง ทั้งสามครั้ง ไม่ปรากฏอาการเจ็บปวดที่ไหนเป็นอันว่าการทดลองประจักษ์ว่าวิชาหินเบาเป็นวิชาที่มีอนุภาพเฉพาะผู้ที่ไปเรียนนครเมกกะกลับมาแล้วถูกแต่งตั้งให้เป็นโต๊ะอิหม่ำ หรือใช้ซายีปกครองชาวมุสลิมด้วยความสงบสุข

หากแม้นมีชาวมุสลิมคนใดจะมาขอเรียนวิชาหินเบาก็ประสิทธิ์ประสาทให้ต้องถือศีลกินเจจึงจะสัมฤทธิ์ผลการทดลองได้ผ่านพ้นไปแล้วเสด็จในกรมได้ประชุมชาวมุสลิมชาวไทยตั้งแต่โรงเรียนนายเรือจนมาติดวัดคหบดีทางฝ่ายเหนือจรดทางใต้ถึงคลองสานทุกคนได้รับคำสั่งตามมาประชุมพร้อมหน้า

มีพระดำรัสให้ชาวมุสลิมและชาวไทยทั้งหลายให้รักษาน้ำใจซึ่งมีความโอบอ้อมอารีต่อกันและขอร้องไม่ให้มีเรื่องทะเลาะวิวาทกันอย่าอวดเก่งอวดอำนาจว่ามีเครื่องรางของขลังวิวาทกันแล้วก็จะนำมาซึ่งความแตกแยกมีเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในประเทศของเราเราก็จะต้องสละชีพเพื่อชาติไทยมีครูบาอาจารย์ที่ทรงคุณวุฒิก็พยายามฝากเนื้อฝากตัวเพื่อหาของดีมาป้องกันครอบครัวป้องกันประเทศชาติ

เราก็มีเครื่องป้องกันต่อสู้กับศัตรูและต่อสู้กับข้าศึก ย่อมมีภาษีเหนือกว่า ก่อนที่จะหาอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ก็ต้องสืบดูก่อนว่า ท่านผู้นั้นมีความรู้ในด้านไสยศาสตร์เก่งจริงหรือไม่อย่าไปหลงเชื่ออาจารย์ปลอมที่หลอกลวงเอาเงินโดยอ้างว่าตัวมีความรู้แต่ความจริงไม่มีความรู้ ถ้าเอาของปลอมมาใช้ มันเป็นอันตรายร้ายกาจอาจทำให้เราเจ็บตัวและอาจจะถึงตายก็ได้

รู้อะไรก็ให้รู้จริงเสียก่อนไม่ใช่อวดเก่งว่ามีเครื่องรางของขลังป้องกันตัวได้ เราจะต้องใช้ปฏิภาณสืบให้รู้ว่าศัตรูของเรานั้นมีวิชาทางไหนเสียก่อน ถ้าเราไม่อาจสู้ได้ เราก็ต้องรีบถอยไม่ใช่รู้แล้วว่าสู้ไม่ได้ดันขืนสู้ ก็มีแต่จะทำให้ตัวตาย ดังเช่นจ่าสาครเป็นต้น ถ้ายูโซะอาฆาตในเรื่องจ่าสาครเขียนจดหมายถึงลูกสาวเขา

เขาเอาหินทุ่มหัวก็ตายเปล่าเพราะไม่มีวิชาหินเบาตัวเองไม่ได้เรียนมานั่นเองและอีกข้อหนึ่งในเรื่องชู้สาวจะเป็นคนไทยมุสลิมจีนพม่าเขมรความรักโดยเจตนาโดยตั้งใจรักก็ไม่มีอะไรขัดข้องผู้หญิงต่างศาสนาให้เหตุผลว่าถ้ารักเธอต้องโอนศาสนา เราโอนศาสนาก็ได้เพราะความรักไม่มีพรมแดนกั้นจะเป็นศาสนาไหนก็แล้วแต่ย่อมอบรมสั่งสอนให้ประพฤติแต่ในสิ่งที่โลกนิยมยกย่องสรรเสริญละเว้นความชั่ว

เมื่อไม่สามารถจะโอนศาสนาได้เพราะเจ้าตัวไม่สมัครผู้หญิงอื่นมีถมไปหาใหม่มันก็ไม่ยาก อะไรนัก จะเป็นศาสนาไหนพระเวทคาถาโดยอาศัยความแน่นอน ของพลังจิตฝ่ายสูงเป็นข้อใหญ่ เสด็จในกรมฯ เห็นยูโซะเป็นคนดี ทรงมีพระดำรัสให้สร้างกุฏิจีนเพิ่มขึ้นเมื่อใครจะมาเรียนวิชาก็ให้มาเรียนที่บ้านที่สร้างใหม่นี้ยังปรากฏอยู่ทุกวันนี้

เสด็จในกรมฯขอเรียนจากโต๊ะอิหม่ำ ยูโซะๆว่าขอเชิญเสด็จในกรมไปประภาสนครเมกกะ สนพระทัยไปเรียนโดยโอนศาสนาก็จะได้รับผลสมประสงฆ์พระเจ้าค่ะ

เสด็จในกรมฯ มีพระดำรัสว่าในโอกาสหน้าวันขึ้น 15 ค่ำ จะมาทำพิธีบังกายให้โต๊ะอีหม่ำได้รู้ฤทธิ์ บุญฤทธิ์ บุญเดชของเสด็จในกรมโปรดติดตามตอนต่อไป…จบจ้า เรื่องหน้าพบกับตี๋ใหญ่ศิษย์หลวงพ่อสุดวัดกาหลง ตี๋ใหญ่ไม่ได้เป็นโจรในสันดารความเป็นมาของตี๋ใหญ่จะเป็นอย่างไรโปรดติดตามครับ

แถมอีกนิดนะครับตัวนี้เป็นวิชาเก้าเฮน่าจะเป็นคนละวิชาเเต่คล้ายกัน

◎วิชาชาตรีหินเบา 9 เฮ ◎

วิชาชาตรี เก้าเฮ หินเบา ต้นเค้าวิชาเดิมเป็นของแขกอิสลาม สายพระเวทย์อันเก่าแก่โบราณ ผู้ได้เรียนแล้ว มักร้อนวิชา เพราะครูแรง หากไม่เจริญพระกรรมฐานควบคุมดังสายพุทธนิยมปฏิบัติ จะทำให้ชอบลองวิชา หากไม่มีศีลควบคุม สุดท้ายจะเข้าตัว จัดเป็น วิชากินตัวแขนงหนึ่ง ที่มักบั่นทอนอายุของผู้ฝึก เพราะผู้ฝึกจำต้องทดลองวิชาอยู่เสมอๆ เพื่อให้วิชาคงอยู่ เมื่อขาดการทดลองไปนานๆ วิชาก็จะกินตัวไปเรื่อยๆ ดุจสนิมที่กินเนื้อเหล็ก ผู้ที่ฝึกถึงขั้นสุดยอด จึงมักจะเป็นพระอภิญญาที่ทรงศีลบริสุทธิ์ หรือ เป็นพระฤาษีที่ทรงตบะแก่กล้า อาศัยอยู่ในป่าลึก และ มักถ่ายทอดพลังจิตลงในวัตถุมงคลให้ศิษย์ไว้ มากกว่าที่จะสอนวิชาให้ เพราะทำการรักษาได้ง่ายกว่า และ ไม่มีผลข้างเคียง เหมือนเรียนวิชาที่แรงๆ ยกเว้น ผู้นั้นจะมีพื้นฐานที่ดี (ทำบุญมาดี) และ มีดวงชะตากล้าแข็ง (มีจิตใจที่เข้มแข็ง) จึงจะถ่ายทอดให้ ซึ่งจะเลือกถ่ายทอดให้เฉพาะคนเท่านั้น

อนึ่ง วิชาชาตรี นี้ มักจะเรียนกันเป็นคู่ (คือ ต้องมีเพื่อนเรียนอีกคน) และ ดวงชะตาต้องแข็งพอ เรียนเสร็จแล้ว ต้องผลัดกันทุ่มหินใส่กัน อำนาจของวิชาจะทำให้หินเบาเหมือนปุยนุ่น (หินเบา) ที่เรียกว่า ชาตรี คือ ทำอันตรายแก่ร่างกายไม่ได้ แม้เพียงขุมขน ที่เรียกว่า เก้าเฮ เพราะ ขึ้นต้นคาถาด้วยคำว่า เฮ เก้าครั้ง… เช่น เฮ กังกริง บาตรู ฯลฯ เป็นต้น (แต่ก็แพ้ของบางอย่างอยู่ แต่ในที่นี้ไม่ขอเปิดเผย เพราะจะเป็นการทำลายเคล็ดวิชา แก้ทางของวิชาโดยใช่เหตุ)



ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้