ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

๐oOแรกพบประสบพักตร์Oo๐

[คัดลอกลิงก์]
พระกับผี

พระกับผี


บ่อยครั้งเหลือเกินสำหรับทุกท่านที่นิยมชมชอบเรื่องลึกลับ วิญญาณ ไสยศาสตร์ลี้ลับ ที่จะรับรู้เรื่องราวระหว่าง
"พระกับผี "ร้อยเรื่องราวชวนพิศวงพันลึกพิศดาร จนสมองซีกขวาของหลายๆท่านต้องทำงานหนักกับเรื่องที่

"เขาเล่าว่า"

เมื่อฟังเรื่องราวระหว่างพระกับผีจบแล้ว สมองซีกขวาก็ต้องทำงานหนักอีกครั้งเพื่อหาบทสรุปและ

หาคำตอบให้ตนเองตามหลักการและกำลังความสามารถกับพื้นฐานที่ตนเองถุกปลูกฝังมาเช่นไร


มากคนปลงใจเชื่อ

หลาย คนเชื่อครึ่งๆกลางๆ

และก็อีกไม่น้อยที่ไม่เชื่อเลย

ผมไม่มีเจตนา ที่จะชี้ชัดว่าให้เชื่อหรือไม่ให้เชื่อ แต่เห็นว่าเป็นประสบการณ์ตรงจากศิษย์ที่ศรัทธาในวัตถุมงคล

ของหลวงปู่ชื่นที่ถ่ายทอดเรื่องราวให้ผมฟังเมื่อครั้งหลวงปู่ชื่นท่านยังมีชีวิตอยู่


และเห็นว่าสมควรที่จะถ่ายทอดให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้และรับทราบ

เรื่องราวพระกับผีไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในอดีตที่เรารับรู้และรับทราบมาก็มีอยู่อีกมากโข


จึงขอยกตัวอย่างเพื่อรำลึกถึงเรื่องราว"พระกับผี" พอเป็นกษัย  


ก่อนที่จะรับทราบเรื่องราวของหลวงปู่ชื่น

เรื่องที่โด่งดังและเป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วกัน คงหนีไม่พ้นเรื่อง


สมเด็จพุฒาจารย์โต กับแม่นาค พระโขนง





ตามตำนานเล่ากันว่า ในสมัยของรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งที่แม่นาคออกอาละวาดหลอกหลอนผู้คนอย่างหนัก และครั้งหนึ่งข่าวแม่นาคหลอกหลอนหนักโดยเฉพาะที่แยกมหานาค(ในปัจจุบัน) ทำให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้มาทำการสะกดวิญญาณความเฮี้ยน และเจาะกะโหลกผีแม่นาคเอามาขัดเป็นมัน ลงอักขระอาคม ทำเป็นปั้นเหน่งคาดเอว ซึ่งหลังจากนั้นได้นำปั้นเหน่งไปเก็บรักษาไว้ที่วัดระฆังโฆสิตาราม



         

  ครั้นเมื่อท่านชรามากแล้ว ได้มอบปั้นเหน่งกระดูกหน้าผากแม่นาคนี้ไว้กับหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ซึ่งในภายหลังท่านได้เป็นหม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัต) ต่อมาท่านได้ประทานปั้นเหน่งแม่นาคให้กับหลวงพ่อพริ้ง หรือพระครูวิสุทธิ์ศิลาจารย์ แห่งวัดบางปะกอก ซึ่งภายหลังได้นำเอาปั้นเหน่งอันนี้มาถวายแด่กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ในเวลาต่อมา ก่อนที่ปั้นเหน่งแม่นาค จะถูกเปลี่ยนมือไปอีกหลายทอด และหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
อย่างไรก็ตาม "ปั้นเหน่งหรือกะโหลกหน้าผากแม่นาค" ถือได้ว่าเป็นหลักฐานที่หลงเหลือและจับต้องได้เพียงชิ้นเดียว จากตำนานรักอมตะระหว่างผีกับคน ที่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า ของศักดิ์สิทธิ์จากตำนานรักแม่นาค ตกทอดไปอยู่ในมือของผู้ใด?  



หลวงพ่อกี๋กับคนรับใช้



ในเขตอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ถ้าเอ่ยชื่อท่าน พระครูกิตตินนทคุณ หรือที่ชาวบ้านทั่วไปขนานนามท่านว่า หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง ส่วนใหญ่ผู้คนจะรู้จักท่านเป็นอย่างดี ว่าท่านเป็นอดีตพระเกจิอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญและเก่งกล้าทางด้านคาถาอาคม การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ผีเข้าหรือถูกคุณไสยต่างๆ

สมัยท่านมีชีวิตอยู่ใครมีเรื่องเดือดร้อน หรือต้องการให้ท่านขจัดปัดเป่า ท่านก็เมตตาช่วยเหลือให้ทุกรายไปโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ แม้ปัจจุบันท่านจะมรณภาพไปนานหลายปีแล้วก็ตาม แต่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของท่านก็ยังเป็นที่กล่าวขานตลอดเวลา

และยังเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจยามทุกข์ยาก เดือดร้อนด้วยเรื่องต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ผีเข้าเจ้าสิง หรือเรื่องอื่นๆ

หลวงพ่อกี๋นอกเหนือจากความขลังในอาคมและวัตถุมงคลแล้วท่านยังมีความเชี่ยวชาญ

ในเรื่องผีเจ้าเข้าสิงเป็นที่เลื่องลือ

สมัยก่อนวัดหูช้างจะมีโกดังเก็บศพ หลวงพ่อกี๋ท่านมักจะเข้าไปทำสมาธิในนั้นอยู่เสมอ
ในสมัยนั้นชาวบ้านคนไหนถูกผีเจ้าเข้าสิง ญาติๆมักจะนำมาให้หลวงพ่อกี๋ทำพิธีไล่ออกให้

เรียกว่าผีตนไหนที่ว่าเฮี้ยนๆ ที่ว่าแน่ๆ เจอหลวงพ่อกี๋ เป็นอันจอดทุกราย

วิธีการของหลวงพ่อกี๋ ท่านจะเรียกวิญญาณลงหม้อแล้วจึงทำพิธีส่งเขาไปเกิดในภพภูมิตามกุศลกรรมที่กระทำมา

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านมีกิจนิมนต์ออกนอกวัด ตอนขากับได้มีวิญญาณผีผู้ชายท่านหนึ่งตามท่านมาและขออยู่รับใช้ท่าน
ทราบชื่อต่อมาภายหลัง ว่าชื่อ ไอ้บัง ท่านมักจะเรียกว่าคนรับใช้

ครั้งหนึ่ง.

หลานของหลวงพ่อกี่ ได้เดินทางมาปรึกษาหลวงพ่อกี๋ เกี่ยวกับบ้านที่พักอาศัยอยู่ว่าที่บ้านมีเสาตกน้ำมัน
และมักจะมีเหตุการณ์แปลกๆอยู่เสมอ เหมือนมีธาตุพลังงานบางอย่างมาพักอาศัยอยู่รวมชายคาด้วย
โดยที่ไม่สามารถมองเห็น ด้วยตาเนื้อแต่..สัมผัสรับรู้ได้ว่ามี

ด้วยความไม่สบายใจอยากจะให้หลวงพ่อกี่ ตรวจดูให้หน่อยว่า ดี หรือไม่ดีอย่างไร

หลังจากแจ้งความจำนงค์ให้หลวงพ่อกี่ ทราบสักพัก ท่านก็ตะโกนออกไปว่า..

เฮ้ย..ไอ้บัง มึงไปดูบ้านให้เขาหน่อยซิ..

หลังจากนั้นหลวงพ่อกี่ ท่านก็ได้สนทนาสัพเพเหระกับหลานของท่าน  เพียงแค่ชั่วครู่เดียว

หลวงพ่อกี่ท่านก็ พูดขึ้นมาว่า..

ไอ้บัง มันไปดูบ้านของมึงมาแล้ว มันบอกเห็นแต่ กุมารเด็ก เล่นม้าก้านกล้วยอยู่ในบ้าน
เสาตกน้ำมันนะดี มีกุมารเด็กแฝงอยู่ในนั้น ให้จัดอาหาร เสื้อผ้า ของเล่นให้เขาด้วย

มีเหตุการณ์สำคัญที่สมควรจะบันทึกไว้ ที่พอจะสามารถยืนยันได้ว่า ผีไอ้บัง มีจริงๆ
  ช่วงเช้าของวันหนึ่ง ญาติโยมได้พายเรือเดินทางมาถวายอาหารเช้าที่วัด

สมัยนั้นหน้าวัดหูช้าง คือ คลองหลังวัดในปัจจุบัน
ห้วงเวลานั้นไม่ใช่ช่วงฤดูกาลน้ำหลาก น้ำในคลองหน้าวัดจึงมีปริมาณแห้งขอดเห็นขี้ตม ดินเลน และบ้างช่วงก็มีน้ำขังเป็นช่วงๆ สลับกันไป ต้องออกแรงใช้ไม้ไผ่ค้ำ ดันเรือ เพื่อให้แล่นออกไป

หลังจากถวายอาหารเช้าแล้วเสร็จ โยมที่น้ำอาหารมาถวายหลวงพ่อกี่ได้กราบลากลับ  พอขึ้นเรือได้สักพัก หลวงพ่อกี่ ท่านก็ตะโกนเสียงดังฟังชัดว่า..  ไอ้บัง เอย ไปส่งโยมเขาหน่อย โว้ย !!!

ทันที ที่สิ้นเสียงหลวงพ่อกี่  เรือของโยมท่านนั้น ก็แล่นออกไปเองโดยไม่ต้องพายหรือใช้ไม่ไผ่ค้ำแต่อย่างใด
จนเรือมาอยู่นิ่งเมื่อถึงหน้าบ้านของโยมดังกล่าว..





หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ




ท่านเป็นพระภิกษุที่มีความกรุณาเมตตาอย่างสูง

ต่อผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีเคารพรักศรัทธาในตัวท่าน


เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณที่เคารพรักหลวงปู่ชื่นมาขออยู่ปรนนิบัติรับใช้

หลวงปู่ชื่นท่านก็มีเหมือนกันเรียกว่า...เต็มใจมา

โดยหลวงปู่ชื่นมิได้บังคับ จองจำ หรือผูกวิญญาญ แต่อย่างใด

ด้วยกุฏิที่ท่านพักอาศัยจำวัด อยู่บริเวณป่าช้าเก่า อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งก็ได้


ที่ทำให้ชีวิตท่าน เกี่ยวข้องกับโลกแห่งวิญญาณ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้





เรื่องมีอยู่ว่า..



.ช่วงสายของวันหนึ่ง ได้มีคณะศรัทธา6-7ท่าน ได้เดินทางมาวัด  

ทราบต่อมาว่าได้เดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร


ใช้รถตู้รับจ้างเป็นพาหนะในการโดยสาร ด้วยมีเป้าหมายหลัก คือ..


ต้องการจะมาบูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น ที่คณะศรัทธาได้ยินได้ฟัง

คำกล่าวขานเสียงร่ำเสียงลือว่า..


วัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น โคตร..ศักดิ์สิทธิ์


วัตถุมงคลที่ได้รับการอธิฐานจิตจากหลวงปู่ชื่นไม่เป็นสองรองใคร พลังจิตของหลวงปู่ชื่นสูงมาก

เทียบเท่าคณาจารย์รุ่นเก่าหลายๆท่าน หลังปี 2500


เมื่อคณะศรัทธาได้เดินทางมาถึงวัด เมื่อลงจากรถได้ ต่างคนก็รีบกุลีกุจอขึ้นกุฏิ ทันที..


ส่วนคนขับรถตู้ด้วยขอตัวนอนหลับผักผ่อนเอาแรงเพราะจะต้องตีรถกลับเข้ากรุงเทพ

ทันที่หลังคณะศรัทธาเสร็จกิจจากการกราบนมัสการหลวงปู่ชื่น




คณะศรัทธาได้ขึ้นมากราบสนธนากับหลวงปู่ชื่นชั่วครู่

ก็เข้าประเด็นเรื่องวัตถุมงคล ทันที เกินกว่าจะหยั่งจิตห้ามใจ อีกต่อไปไว้ได้



จึงได้บอกกล่าวหลวงปู่ชื่น ว่าต้องการชมวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น



เมื่อหลวงปู่รับทราบถึงความจำนงค์


หลวงปู่ชื่นท่าน  ทำท่าทางขยับตัวจะลุกจากอาสนะ เพื่อไปหยิบวัตถุมงคลให้คณะศรัทธาชม

อยู่ ๆ ท่านก็เปลี่ยนใจ ไม่ลุกขึ้น แต่กับเปล่งเสียงออกไปว่า.




อีนางน้อย หยิบพระให้หลวงปู่หน่อย..




ชั่วครู่..นั้นเอง


มี มือเด็กยื่นออกมาจากห้องของหลวงปู่ชื่น

พร้อมพระเครื่องที่กำอยู่ในมือ ส่งมาให้หลวงปู่



(ซึ่งจุดที่หลวงปู่ชื่นนั่งกับประตูห้องที่เปิดอยู่ ห่างกันไม่มาก)

จากคำบอกเล่า..รายงานว่าเห็นแต่มือยื่นออกมาเลยข้อศอกไปนิด

ซึ่งสีผิวจะขาวแตกต่างจากสีผิวคนทั่วไป

และชายหนึ่งในกลุ่มเกิดความสงสัยว่าหลวงปู่ชื่นเป็นพระ

เหตุใดจึงนำเด็กผู้หญิงมาไว้ในห้องจำวัตรของท่าน

จึงถือวิสาสะลุกขึ้นเดินไปดูที่ห้องทันที..

ซึ่งพบแต่ความว่างเปล่า  !!!

ห้องของหลวงปู่ชื่น ไม่ได้ใหญ่มาก

และไม่มีที่จะให้หลบซ่อนแต่ประการใด...

หรือเด็กจะกระโดนหนีทางหน้าต่างยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะหน้าต่างก็ปิด

และช่วงเวลาที่เห็นมือเด็กยื่นออกมา

กับช่วงที่ลุกขึ้นไปสำรวจห้อง ระยะเวลาห่างกันไม่ถึง 10.วินาที

ไม่ท่านแรกที่เข้าไปสำรวจห้องของหลวงปู่ชื่น แต่ไม่เจอเด็กแต่ประการใด.

จึงร้องอุทานเสียงหลง ว่า...

ไม่เห็นมีเด็กเลย แล้วมือที่เห็นเป็นมือใคร  ???

เป็นเรื่องล่ะที่นี้..คณะศรัทธาที่มาด้วยกันก็จุลีกุจอลุกขึ้นมาที่ห้องของหลวงปู่ชื่นกันใหญ่

พร้อมกับช่วยกันกวาดสายตาไปทั่วห้อง แต่ไร้ซึ่งเงาเจ้าของมือปริศนา..ดังกล่าว

จึงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ กัน อยู่ชั่วครู่

ก่อนที่จะตั้งคำถามกับหลวงปู่ชื่น เพื่อบีบเค้นหาความจริงให้ได้ว่ามือปริศนา

เป็นมือของใคร..???

หลวงปู่ชื่อท่านไม่ตอบ หรือ ให้ความกระจ่างอันใด

มีแต่รอยยิ้ม สลับกับ เสียงหัวเราะ แทนคำตอบ

เมื่อทราบว่าไม่ได้คำตอบจากหลวงปู่ชื่นแน่นนอน ทุกคนก็กลับมาให้ความสนใจกับวัตถุมงคลอีกครั้ง

และเมื่อได้วัตถุมงคลที่ทุกท่านต้องการ ตามตั้งใจและความปรารถนา

ตามที่ตั้งใจกันมาแต่แรก ครั้นเสร็จสมอารมณ์หมายแล้ว

จึงกราบลาหลวงปู่ชื่น เพื่อเดินทางกลับ

หลังจากทุกคนขึ้นรถตู้เพื่อเดินทางกลับ  


ขณะที่รถ
..กำลังเคลื่อนตัวออกไปจากข้างกุฏิของหลวงปู่ชื่น



เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา ถึงมือปริศนา ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ภายในรถตู้

คนขับรถ ก็พูดขึ้นมาว่าผมไม่เชื่อ พวกคุณอดหลับอดนอนมาทั้งคืน อาจจะตาฝาดกันก็ได้

พร้อมกับเสียงหัวเราะ ลั่น

ชั่วครู่..!!!เสียงคนในรถสามสี่ท่าน ก็ตะโกนเตือน คนขับรถตู้เกือบจะพร้อมๆกันว่า..

ตอไม้ พี่ ๆ ตอไม้  ระวังรถจะชน

แต่คนขับรถพูดตอบกลับมาว่า..
นั่นมันหมาไม่ใช่ตอไม้ครับ
พร้อมกลับเหยียบคันเร่งต่อไป

คงคิดว่าหมาคงจะวิ่งหนีไปเอง


พักเดียว..รถตู้เหมือนชนอะไรบางอย่าง เสียง..สปอยเลอร์หน้าแตกเสียงดังลั่น

เมื่อคนขับรถตู้ลงไปดู กลับเป็นตอไม้จริง ๆ ไม่ใช่หมาอย่างที่ตนเองเห็น


จึงเกิดความคิดว่าตนเองคงจะคิดดูถูกดูแคลนหลวงปู่แก่ๆ ในกุฏิไม้เล็กๆท่านนั้น

จึงขอนุญาติผู้ว่าจ้างถอยรถเพื่อไปกราบขมาหลวงปู่ชื่น

เมื่อกราบขอขมาเเทบเท้าหลวงปู่ชื่นแล้ว



หลวงปู่ชื่นท่านได้พูดขึ้นมาว่า..

สิ่งที่ไม่เคยเห็น อย่าคิดว่ามันไม่มีอยู่จริง





มาแล้วๆ รอมาเป็นปี
สาธุครับ
อาจารย์สรายุทธ ท่านรักหลวงปู่มากๆเลยครับ เรื่องราวน่าปลื้มใจมากๆครับ
MarcoReus ตอบกลับเมื่อ 2014-11-24 12:45
อาจารย์สรายุทธ ท่านรักหลวงปู่มากๆเลยครับ เรื่องราวน ...

ไม่ใช่เฉพาะหลวงปู่หรอกครับ...รักยังรักศิษย์ทุกๆๆคนครับ

ศิษย์บ้างคนที่ด่าอาจารย์ลับหลัง
ผมก็เห็นอาจารย์ยังรักยังเมตตาเค้าเลย
metha ตอบกลับเมื่อ 2014-11-24 13:29
ไม่ใช่เฉพาะหลวงปู่หรอกครับ...รักยังรักศิษย์ทุกๆๆคน ...

ความเมตตาของอาจารย์ที่มีให้แก่ลูกศิษย์ สาธุ
หลวงปู่ชื่น  ติคญาโณ
วัดตาอี อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์
สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เกิดกลียุคทั่วโลก ยิ่งประเทศเล็กประเทศน้อยได้รับผลกระทบมากที่สุด นอกจากข้าวยากหมากแพงแล้ว ประชาชนยังต้องรับกรรมหนักเพราะครอบครัวแตกสลายเนื่องจากความแร้นแค้นยากจนเป็นสาเหตุใหญ่
   ครอบครัวของหลวงปู่ชื่น  ติคญาโณ ซึ่งเป็นชาวกัมพูชาก็ได้รับความรุนแรงของไฟสงครามเช่นเดียวกัน ทำให้ญาติพี่น้องของหลวงปู่ชื่นลับหายตายจากไปหลายคน  ซึ่งประเทศกัมพูชาขณะนั้นร้อนระอุสุด ๆ จนดูโหดร้ายไปทุกอย่าง  ทำให้หลวงปู่ชื่นเกิดความเบื่อหน่ายจึงเดินธุดงค์เข้ามายังแผ่นดินไทยที่มีแต่ความสงบร่มเย็น
   ?หลวงปู่ชื่น นามเดิมชื่อ ชื่น นามสกุล ศรีโสด เกิดเมื่อวันศุกร์ เดือน 11 ปีมะเมีย  ตรงกับปี พ.ศ. 2461  เกิดที่บ้านหินกอง อำเภอหินกอง จังหวัดสวายศรีโสพล  ประเทศกัมพูชา  โยมบิดาชื่อ นายชุบ โยมมารดาชื่อ พิม ศรีโสด  มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 7 คน คือ นายเรียว, นายโพธิ์, นายบุญ, นายเกิด, หลวงปู่ชื่น, นางยอด และนางยาว ครอบครัวมีอาชีพทำนาทำไร่ตามประสาชาวบ้านในชนบททั่วไปของชาวเขมร
   ชีวิตในวัยเยาว์ของหลวงปู่ชื่น นิสัยท่านเป็นคนใจบุญ มีความสุขุมลุ่มลึก  และมีใจโอบอ้อมอารีชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง  ทั้งยังมีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก ๆ  พออายุได้ 15 ปี ได้ขอบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งพ่อแม่ไม่ขัดข้อง ท่านจึงได้บวชเป็นสามเณร ณ วัดในหมู่บ้านเกิดของท่าน
   หลังจากบวชเณรได้ระยะหนึ่งพอถึงอายุ 20 ปี หลวงปู่ชื่นก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาโดยได้รับฉายาว่า ?ติคญาโณ? เมื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยสมบูรณ์แล้ว หลวงปู่ชื่นได้ศึกษาบทสวดมนต์และบทสวดปาติโมกข์ ซึ่งใช้เวลาเพียงหนึ่งพรรษาก็สวดพระปาติโมกข์ได้แล้ว นับว่าหาพระที่เก่งเช่นนี้น้อยมาก เพราะการท่องบทพระปาติโมกข์พระบางรูปต้องใช้เวลานานนับ 5 ปี 10 ปี เนื่องจากเป็นบทสวดที่ยาวและยากที่สุดนั่นเอง
   ?หลวงปู่ชื่นสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในพรรษาที่ 3 หลังจากนั้นท่านจึงออกเดินธุดงค์ปลงสังขารลัดเลาะไปตามป่าดงพงพี ข้ามเขาลงห้วยในดินแดนประเทศกัมพูชา ทำให้ท่านได้พบกับครูบาอาจารย์ที่เก่ง ๆ อยู่หลายรูป ซึ่งแต่ละอาจารย์ก็ได้ถ่ายทอดวิชาอาคมที่ตนมีอยู่ให้หลวงปู่ชื่นจนหมดสิ้น โดยเฉพาะฤๅษีที่บำเพ็ญพรตอยู่กลางป่าดงดิบได้ถ่ายทอดวิชาขั้นสุดยอดให้หลวงปู่ชื่น เพื่อให้นำไปช่วยเหลือศิษย์ต่อไปอีก?
   หลวงปู่ชื่นเป็นพระเถระที่มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย  มีศีลจารวัตรที่งดงาม  ชอบบำเพ็ญกุศลเพื่อเสริมสร้างบารมีให้แก่กล้าขึ้น ท่านจะตื่นตั้งแต่ตีสามทำวัตรสวดมนต์  และช่วงค่ำก็เช่นกันท่านจะสวดมนต์มิได้ขาด (นอกจากจะมีกิจนิมนต์และป่วยเท่านั้น)
   ?หลวงปู่ชื่นชอบทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมเป็นที่สุด และให้ความเป็นธรรมแก่ศิษยานุศิษย์เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ทั้งหลายอีกด้วย ท่านจึงเป็นที่รักเคารพของศิษย์และประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมากในขณะนี้?
ได้อาจารย์เก่งวิชาทุกด้าน

   หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ เป็นศิษย์สายเขากุเลน ซึ่งเป็นศูนย์รวมเวทวิทยาอาคมชั้นสูง ที่เป็นฉบับแท้ดั้งเดิมของเขมรโบราณ อาจารย์องค์แรกของท่านคือ ?หลวงปู่เอื้อย และหลวงปู่ดี สุวรรณดี สองปรมาจารย์ผู้มีพลังจิตอันลึกล้ำ ทั้งยังมีอิทธิฤทธิ์-ปาฏิหาริย์มากมายเป็นที่เลื่องลือกันมากในประเทศกัมพูชา
   หลวงปู่ชื่นได้มองเห็นกาลไกลไปข้างหน้าว่า พรเวทวิทยาคม ที่ท่านกำลังศึกษาอยู่นี้จะเป็นประโยชน์มากแก่การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทั้งยังได้ช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยมและผู้เดือดร้อนต่าง ๆ ในอนาคตภายหน้าแน่นอน ท่านจึงมุมานะพยายามขยันศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมจนสุดความสามารถ ตลอดจนศึกษาการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั่งสมาธิควบคู่ไปด้วย เพื่อเพิ่มพูนพลังจิตให้แก่กล้าขึ้น
   ?หลวงปู่ชื่นท่านเรียนกรรมฐานควบคู่ไปกับวิชาอาคมจนท่านเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยมีการทดสอบจากผู้เป็นอาจารย์จนเป็นที่พอใจ  โดยเฉพาะหลวงปู่เอื้อยท่านมีเมตตาถ่ายทอดวิชาและเคล็ดลับต่าง ๆ ให้หลวงปู่ชื่นจนหมดสิ้น  หลวงปู่เอื้อยท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเขมร  ดังชนิดผู้หลักผู้ใหญ่ในเขมรขณะนั้นยังมอบตัวเป็นศิษย์หลายคน?  ในเวลาต่อมาเมื่อหลวงปู่เอื้อยมรณภาพลง หลวงปู่ชื่นจึงออกเดินธุดงค์บุกป่าฝ่าดงดิบในดินแดนเขมรเพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์อีกมากมาย  จนกระทั่งท่านได้พบกับหลวงปู่ดี  สุวรรณดี  บน ?เขากุเลน? ซึ่งท่านเป็นพระผู้มากด้วยอภิญญาญาณชั้นสูง  และเป็นผู้มีพลังจิตอันลึกล้ำมหัศจรรย์เหนือโลกโดยแท้
   ด้วยบุญญาบารมีของหลวงปู่ชื่น ติคญาโณ  ทำให้หลวงปู่ดีรับหลวงปู่ชื่นเป็นศิษย์แล้วจึงพากันออกเดินธุดงค์ไปด้วยกันตามสถานที่ต่าง ๆ หลวงปู่ชื่นได้ศึกษากรรมฐานและเวทวิทยาคมกับธาตุทั้ง 4 ตลอดจนเกร็ดเคล็ดลับการสร้าง-การปลุกเสกวัตถุมงคล เครื่องรางต่าง ๆ มากมายจากหลวงปู่ดี ทำให้ท่านมีวิชาติดตัวมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
   หลวงปู่ชื่นได้เมตตาเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ในการเดินธุดงค์ของท่านให้ฟังว่า ?หลวงปู่ดีท่านนี้เก่งมาก ท่านเชี่ยวชาญพระเวทแทบทุกชนิด  ท่านเคยเสกผ้าให้เป็นนกกระยางได้  และเสกใบไม้ให้เป็นต่อเป็นแตนได้  ทั้งยังรู้ภาษาสัตว์แทบทุกชนิด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านสามารถล่องหนหายตัวและย่นระยะทางได้  ตลอดจนท่านเดินบนผิวน้ำได้อย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย?  หลวงปู่ชื่นเล่าว่า หลวงปู่ดีท่านเคยแสดงให้ดูมาแล้ว  ท่านเห็นกับตามาแล้วจึงกล้ามาเล่าให้ฟัง  ท่านแสดงให้ดูก็เพื่อให้เป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติธรรมสืบต่อกันไปนั่นเอง  ?การเรียนวิชาอาคมจะมีฤทธิ์เข้มขลังได้  ต้องประกอบไปด้วยพลังจิตอันเป็นสมาธิแก่กล้าควบคู่กันไปด้วย หลวงปู่ชื่นกล่าว
   หลวงปู่ชื่นเป็นพระที่คงแก่เรียนคือท่านชอบศึกษาค้นคว้าตำรับตำราและวิชาการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอักขระเลขยันต์  หรือวิชาอาคมอะไรท่านจะทดลองสร้างทดลองปลุกเสกอยู่เสมอ  เมื่อท่านลองแล้วเห็นว่าดีจริงและใช้ได้ผลดีจริงตามตำรา ท่านก็คัดวิชาวิเศษเหล่านั้นมาสร้างมาปลุกวัตถุมงคลให้บรรดาลูกศิษย์ และลูกหลานท่านให้ได้รับแต่สิ่งที่เป็นมงคลเป็นของวิเศษไว้บูชากัน  จากการคัดเลือกพิจารณาตรวจจากหลวงปู่ชื่นแล้วว่า ดีจริง-เห็นผลจริง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่วัตถุมงคลของท่านมีประสบการณ์ต่อเนื่องเรื่อยมา จนเป็นที่กล่าวขานร่ำลือจากปากของผู้ที่บูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่นว่ายอดเยี่ยมอยู่ในชณะนี้
   ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงขอนำท่านทั้งหลายได้รู้จักหลวงปู่ชื่น  เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้มีโอกาสรู้จักหลวงปู่ชื่นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน และใกล้ชิดหลวงปู่มากขึ้น เพราะลูกศิษย์บางคนอยู่ห่างไกลซึ่งยังไม่มีโอกาสเดินทางมากราบไหว้หลวงปู่  จะด้วยสาเหตุและปัจจัยใด ๆ ก็ตาม  ผู้เขียนขอเป็นสื่อ  ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อเป็นการหยั่งความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่ลูกศิษย์ที่มีความเคารพนับถือหลวงปู่  หรือท่านที่มีวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่นไว้แล้ว  ขอให้รู้ว่าเราทั้งหลายก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์องค์เดียวกัน  เพราะมีวัตถุมงคลที่มาจากการปลุกเสกจากหลวงปู่ด้วยกันทั้งนั้น  ทั้งนี้เพื่อช่วยจรรโลงเกียรติคุณของหลวงปู่ชื่นให้แพร่หลายขจรไป  ตลอดยั่งยืนนานต่อไปในภายภาคหน้านั่นเอง

พบสหธรรมิกเก่า   
   หลังจากหลวงปู่ชื่นธุดงค์ไปในที่ต่าง ๆ มากมาย  จนกระทั่งท่านเดินทางไปจำพรรษาอยู่ที่วัดนาราก อำเภอครบุรี  จังหวัดนครราชสีมา ท่านอยู่ได้ 5 พรรษาจึงได้เดินธุดงค์ต่อเรื่อยไปจวบจนอายุท่านมากขึ้น กำลังวังชาถดถอย ท่านจึงอยู่กับที่ระยะหนึ่ง ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2524 หลวงปู่ชื่นได้รับนิมนต์เดินทางไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดแห่งหนึ่งใน เขตจังหวัดบุรีรัมย์ งานนั้นหลวงปู่นิล อนุตโร เจ้าอาวาสวัดตาอีรูปปัจจุบันซึ่งเคยเป็น ?สหธรรมิก? (เพื่อน) เก่าก่อนกันมาก็ได้รับนิมนต์จากทางเจ้าภาพให้เป็นพระคู่สวดเช่นกัน
   หลังจากพระทุกองค์เสด็จจากกิจนิมนต์แล้ว  ทางเจ้าภาพได้จัดถวายอาหารเพลให้ฉัน  หลวงปู่นิลกับหลวงปู่ชื่นนั่งฉันในวงเดียวกัน  หลวงปู่นิลหันมองพระที่นั่งอยู่ข้างตัว  ท่านคิดในใจว่าคล้ายเคยเห็นกันมาก่อน  แต่ท่านยังจำไม่ได้ว่าเคยเห็นกันที่ไหน เพราะความที่จากกันมานานหลายสิบปีทำให้ท่านทั้งสองแทบจำกันไม่ได้  หลวงปู่นิลได้แต่คิดในใจว่าพระองค์นี้ทำไมช่างเหมือนหลวงปู่ชื่นเสียเหลือเกิน  จนอดใจไม่ไหวจึงเอ่ยถามไปว่า
   หลวงพ่อท่านอยู่วัดไหน ชื่ออะไร
   หลวงปู่ชื่นตอบกลับไปทันที
   อาตมาชื่อชื่น เป็นพระธุดงค์ยังไม่มีวัดจำพรรษา
   หลวงปู่นิลนั่งคิดตั้งนานที่แท้ก็ใช่หลวงปู่ชื่นจริง ๆ ด้วย  เมื่อท่านทั้งสองได้นั่งสนทนากันแล้วหลวงปู่นิลจึงได้ออกปากนิมนต์หลวงปู่ชื่นให้มาจำพรรษาอยู่ด้วยกันที่วัดตาอี  ประกอบกับช่วงนั้นหลวงปู่ชื่นมีอายุมากแล้วและชาวบ้านตาอีก็ได้นิมนต์ท่านไว้ไม่ให้เดินธุดงค์อีก  นับตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ชื่นจึงได้อยู่จำพรรษาที่วัดตาอีเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้

เพชรเริ่มทอแสง
   หลังจากหลวงปู่ชื่นมาอยู่วัดตาอีแล้วท่านได้เก็บตัวเงียบอยู่แต่ภายในกุฏิหลังเล็ก ๆ เหมือนพระหลวงตาแก่ ๆ ธรรมดา  แทบไม่มีใครรู้เลยว่าท่านเป็นพระที่มี พลังจิต และมีอาคมเข้มขลังมาก จนกระทั่งกลางปี พ.ศ. 2542 หลวงปู่ชื่นได้สร้างวัตถุมงคลออกมา 2-3 รุ่น  ผลปรากฏว่าผู้ที่นำวัตถุมงคลของท่านไปบูชาต่างมีประสบการณ์ต่าง ๆ นานามากมาย  จากปากต่อปากทำให้วัตถุมงคลที่ท่านบรรจุพลังจิตเวทวิทยาคมที่มี ?พลังมหัศจรรย์? ความวิเศษขลัง ยับยั้งภัยพาล  อาถรรพณ์จัญไร ขจัดสรรพทุกข์ สรรพโรค สรรพภัยที่มีอานุภาพ  ทั้งเมตตามหานิยม มหาโชค มหาลาภ ค้าขายดีเยี่ยม คุ้มครองป้องกัน ทำให้ชื่อเสียงหลวงปู่ชื่นดังขึ้นมาเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไปมากขึ้นเป็นลำดับ  จากปากผู้ที่ได้บูชาวัตถุมงคลของท่านไปบูชาส่วนใหญ่ยอมรับว่าวัตถุมงคลของท่านดีเยี่ยมจริง ๆ ใช้แล้วได้ผลดีเกินคาด  ส่วนสาเหตุที่ท่านยอมเปิดตัวและจัดสร้างวัตถุมงคลออกมาเป็นทางการเนื่องจาก ท่านกำลังก่อสร้างอุโบสถซึ่งขาดปัจจัยอยู่อีกมาก  อีกประการหนึ่งหลวงปู่เคยบอกไว้ว่า
   ถึงเวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านให้เปิดตัวแล้ว เพื่อนำความรู้เวทวิทยาคมที่ได้ร่ำเรียนมาสงเคราะห์พุทธศาสนิกชน และจัดสร้างถาวรวัตถุเพื่อการพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป

เสกหินลงสระกลายเป็นงูยักษ์
   เมื่อครั้งที่หลวงปู่ชื่นมาอยู่ที่วัดตาอีใหม่ ๆ นั้น  ท่านได้เร่งทำความเพียรปฏิบัติธรรมจนพลังจิตแก่กล้า ด้วยท่านเป็นพระที่รักสันโดษชอบเก็บตัวเงียบ ๆ อยู่แต่ภายในกุฏิ  ชาวบ้านจึงคิดว่าท่านเป็นหลวงตาแก่ ๆ ไม่มีอะไร  เป็นพระธรรมดาไม่มีวิชาอาคมอันใด
   ต่อมาทางวัดได้ขุดสระใหม่ ทางเจ้าอาวาสจึงประกาศบอกชาวบ้านว่า ห้ามลงอาบน้ำในสระ เพราะสระน้ำแห่งนี้พระเณรต้องใช้ดื่มกิน แต่ชาวบ้านขาดความเกรงใจท่าน ตกเย็นทั้งหนุ่มสาวพากันลงว่ายน้ำเล่นในสระอย่างสนุกสนาน บ้างก็นำผ้ามาซักทำให้ฟองแฟ๊บที่ซักลอยเต็มคุ้งสระ บอกแล้วก็เฉย เตือนแล้วก็ไม่หยุด
   หลวงปู่ชื่นจึงใช้ไม้ตายเพื่อให้รู้จักที่ต่ำที่สูง  และที่ควรมิควรกันบ้าง ท่านจึงนำก้อนหินมาสองก้อน แล้วเสกด้วยคาถาอาคมจากนั้นท่านโยนลงไปในสระน้ำ
   สามวันต่อมาพวกที่ชอบลงเล่นน้ำในสระภายในวัดต่างก็ตกใจแตกตื่นขึ้นตลิ่งกันแทบไม่ทัน เพราะเห็นพญางูยักษ์สองตัวว่ายน้ำไปมาในสระให้เห็นกับตากันจะจะ   ชาวบ้านตาอีเห็นกันทั้งหมู่บ้าน
   เรื่องนี้เป็นที่เลื่องลือกันมากในอำเภอบ้านกรวด  ถ้าหากใครมีโอกาสได้ไปที่วัดตาอีลองสอบถามชาวบ้านดูก็ได้  และจากวันนั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งถึงวันนี้ก็ไม่มีใครกล้าลงไปเล่นน้ำในสระที่วัดตาอีกันอีกเลย...
หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ วัดตาอี จ.บุรีรัมย์ ยอดพระเกจิอาจารย์สายเขมรที่มีสายพระเวทย์สุดเข้มขลังเปี่ยมไปด้วยเมตตาบารมี มีพลังจิตญานขั้นสูง หลวงปู่ท่านเป็นพระสงฆ์ สายวิปัสนากรรมฐาน ถือธุดงค์เป็นวัตร ท่านเป็นหนึ่งในศิษย์สายเขากุเลนซึ่งเป็นสถานที่ ในการเจริญวิปัสสนากรรรมฐานและพระเวทย์วิทยาคมขั้นสูง และยังเคยฝากตัวเป็นศิษย์เล่าเรียนวิชาอาคมจากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าอีกด้วย ซึ่งข้อมูลนี้น้อยคนที่จะรู้จัก วัตถุมงคลที่หลวงปู่ได้ทำการอธิฐานจิตปลุกเสก ล้วนแล้วแต่แรง เห็นผล และสร้างประสบการณ์ให้กับผู้ใช้บูชามากมาย โดยเฉพาะทางมหาเสน่ห์ เมตตา-มหานิยม โชคลาภ ค้าขาย วัตถุมงคลของท่านหลายรายการที่สร้างออกมาแล้วสร้างประสบการณ์ใช้กับผู้ใช้บูชามากเป็นที่กล่าวขานกัน เช่น กุมารทองดูดรก(พรายขอดทรัพย์) พระปิดตามหาลาภลอยองค์ฝังตะกรุดทองคำ ฝังแร่  ที่มีประสบการณ์สูงทางด้าน โชคลาภ ค้าขาย และ ขุนแผนขุนแผนนาคเกี้ยว ของท่านก็เป็นที่นิยมสูง ถึงแม้หลวงปู่ท่านจะมรณะภาพไปแล้วแต่ก็ยังมีผู้คนเสาะแสวงหาวัตถุมงคลของท่านอยู่ไม่ขาด เพราะว่าใช้แล้ว
พุทธคุณครอบจักรวาล เห็นผลทันที เมื่อลูกศิษย์ใช้บูชา ทำให้ชื่อเสียงหลวงปู่ชื่นดังขึ้นมาเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไป ในประเทศ และ ต่างประเทศ มากขึ้นเป็นลำดับ  จากปากผู้ที่ได้บูชาวัตถุมงคลของท่านไปบูชาส่วนใหญ่ยอมรับว่าวัตถุมงคลของท่านดีเยี่ยมจริง ๆ ใช้แล้วได้ผลดีเกินคาด

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
~.อ้อมกอดสุดท้าย.~

หลวงปู่ชื่น ท่านเป็นพระเก่งมากบารมี
แต่ชอบเก็บตัวไม่ค่อยสุงสิงกับใคร

เรื่องความรักความเมตตาที่มีต่อศิษย์มากมายเหลือคณานับดั่งมหาสมุทรที่ไร้ฝั่ง

เคยมีเด็ก ญ. แถวๆวัด เกิดมาไม่ค่อยแข็งแรงนัก ทราบมาว่าเป็นโรคโปลิโอ

หลวงปู่ก็ใช้พระเวทพระมนต์ รักษาจนหาย

ไปแข่งตะกร้อโรงเรียนหลวงปู่ท่านก็เมตตาลงยันต์ที่เท้าให้จนได้แชมป์

เด็กคนนี้เมื่อก่อนมักจะมาส่งข้าวให้หลวงปู่อยู่เสมอ

หลวงปู่ท่านก็ให้เงินไปโรงเรียนเป็นค่าตอบแทน
ซื้อโทรทัศน์โทรศัพท์ให้

หลวงปู่ท่านไปไหนมาไหนกลับมาก็มีของมาฝากเสมอ

สืบต่อมาแม่เด็กคนนี้ล้มป่วยเป็นมะเร็ง หลวงปู่ท่านก็ให้ผมไปหาโน่นนี้นั่น ตามที่ท่านสั่งเพื่อจะมารักษา แต่ก็ไม่ดีขึ้น

หลวงปู่ท่านว่า..แกหมดอายุขัยแล้ว ต่อไม่ติด

ฝ่ายทางลูกสาวผู้ป่วยก็วิ่งไปหาหมอดู ที่ร่ำลือกันเป็นยิ่งนักว่า..

หมอดูตาทิพย์ แม่นยำฉมังสุด

หมอดูแกว่า..

อีก 3 วัน ผู้ป่วยก็จะสิ้นใจ

ลูกสาวถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว การพลัดพรากศาสดาท่านว่า..

เป็นเรื่องธรรมดาไม่จากวันนี้ วันหน้าก็ต้องพราก

แต่คนสมัญชนคนธรรมดาๆ อย่างเราๆ ท่านๆ ไม่ได้ถูกฝึกจิตถึงขั้นอริยะบุคคล

การสูญเสีย ของอันเป็นที่รักแห่งตน

จึงเป็นเรื่องที่ทรมานจิตใจเป็นยิ่งนัก

ดั่งวลีที่ว่า..

ไม่เจอกับตัวเอง ไม่รู้หรอก


เพื่อให้ผู้อ่านจิตตนาการให้เห็นภาพได้ชัดขอยกตัวอย่างสมมุติ..

วันเวลาดังนี้ครับ..

สมมุติว่า..ไปดูหมอวันอาทิตย์

หมอดูบอกว่า..

อีกสามวันแม่จะสิ้นใจ หมายความสมมุติว่า..

วันพุธแม่จะเสีย

เผอิญ วัน ศุกร์  จะเป็นวันครบรอบวันเกิดของลูกสาว

ทางลูกสาวจะมาเล่าเรื่องราวที่ไปดูหมอมาเล่าให้หลวงปู่ฟัง

หลวงปู่ท่านว่า ..จริงของเขา

ให้อีนางทำใจนะ อย่างไงหลวงปู่ก็ไม่ทิ้งเอง


หลวงปู่เจ้าขา..อย่างไงหนูขอให้แม่มีอายุถึงวันเกิดหนูนะเจ้าค่ะ



หลวงปู่ท่านนั่งเงียบ

ไม่มีใครล่วงรู้และทราบได้ว่า..

ท่านกำลังคิดอะไรอยู่.

ก่อนที่ท่านจะพูดขึ้นมาว่า..

อีนางเอ็งกลับบ้านไปดูแม่เถอะ

คืนนี้หลวงปู่จะลองขอเขาให้


ค่ำคืนของวันพุธ

ตามกำหนดการ ที่พญามัจจุราชท่านกำลังทำหน้าที่ของท่าน อย่างเที่ยงตรง สมบูรณ์

อาทิตย์อัสดง นกหนูกาไก่ เริ่มกลับรัง


ล่วงเลยเวลามามากกว่า 3 ช.ม.

ความมืดมิดปกคลุมไปทั่ว

มีเพียงแสงจันทร์และเเสงไฟน้อยๆ
จากหลอดนิออนเล็กๆ ดวงหนึ่ง

ลอดแสงมาจากร่องกุฎิเล็กๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่มุนหนึ่งของป่าช้า

เสียงหรีดหริ่งเรไรร้องระงมมา ชมแสงจันทราว่าเพลานอน

แต่หลวงปู่ท่าน..นั่งรอเวลา

รออะไรสักอย่าง

เพื่อจะทำพิธีการสำคัญบางอย่าง

ด้วยอาการเตรียมพร้อมเสมอ


ราตรีนี้มีเราเพียงสองคน ผ่านความทุกข์ทน
ตรากตรําทํางาน เพื่อปลดปล่อยบ่วงทุกข์แก่เวไนยะ


นอนเถิดลูกหลานรัก พักผ่อนให้สบาย ...
หลวงปู่ชื่น จักปกป้องดูแล

ห้วงเวลาแห่งเวลาที่รอคอยก็บังเกิดขึ้น

เมื่อหริดหริ่งเรไร เงียบเสียงลงอย่างผิดปกติ

ซึ่งแปลกไปจากก่อนหน้านี้

ความสงบเงียบ วังเวง  จนรู้สึกได้

ไม่มีแม้นกระทั่งสียงลมกระทบใบไม้

ก่อนที่จะได้ยินแสงนกแสกร้องก้องอากาศ

บินตัดวัดมุ่งตรงไปทางบ้านผู้ป่วย

หลวงปู่ท่านรู้ฤกษ์พระกาฬจร
ท่านจึงทราบว่า.

วันไหน  เวลาใด พระกาฬจะจรมาจากทิศไหน

สิ้นเสียงร้องของนกแสก

อีกหนึ่งพญานกแห่งรัตติกาล
ที่โบราณเชื่อว่า เป็นพาหนะของพระกาฬเจ้า

หลวงปู่ชื่น ท่านจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย

ก่อนจะนั่งสมาธิไม่ไหวติง

ทันทีทันใด วินาทีนั้นเอง

อากาศก็กลับพลันป่วนแปรอีกครั้ง

จากก่อนหน้าที่เงียบสงบ จนเเทบจะได้ยินเสียงหายใจของตนเอง

ก็บังเกิด กระแสลมดั่งพายุโหมกระหน่ำ
เสียงใบไม้ต้องสายลม ทอดเสียงดังเกรียวกราวไปตามทิศทางลม . สนั่น, ดังลั่น,

เสียงอื้ออึง หวีดลั่นเซ็งแซ่ ไปทั้งคุ้งป่าช้า

ประหนึ่งดั่งว่า..

พระกาฬทรงพิโรธ ที่มีใครมาขว้างภาระกิจอันเที่ยงธรรมของท่าน

ส่วนหลวงปู่ชื่นท่านก็ยังคงนั่งสมาธิสงบนิ่ง เยือกเย็น แต่ดูทรงพลังกล้าแข็งดุจหินผา

เปลวเทียนต้องลม จากลมพายุที่ลอดผ่านเข้ามาในกุฎิ


ดูที..รึ..!!

พระเพลิงบนยอดเทียนส่ายไปเอียงมา แสง ไฟ ริบ ห รี จะ ดับ แหล่ มิ ดับ แหล่ ฉาย ไป จน เห็น

ร่างของหลวงปู่ชื่น ที่ต้องแสงเทียน สว่าง สลัว สลับกันไปมา ตามแสงของไฟเทียน

ที่บางทีก็ริบรี่ บางทีก็สว่าง ด้วยกำลังของลม

ดูช่างน่าระทึกเป็นยิ่งนัก

เวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่ได้จดจำ

ความสงบก็กลับมาอีกครั้ง

เสียงหรีดหริ่งเรไร ก็เริ่มส่งเสียงขานรับกันไปมาอีกครั้ง

จากน้อยไปหามาก จนเสียงดังลั่นไปทั่ว อีกครั้ง

เปลวเทียนที่ไหวไปมาก่อนหน้าก็สว่างสงบ ลุกโชติช่วง ดั่งเดิม

ให้ความรู้สึก อบอุ่นขึ้นมามากโข

หลังจากนั้นหลวงปู่ท่านก็ถอดสมาธิ ก็ที่จะเข้าห้องจำวัตร

รุ่งเช้าของวันใหม่

ผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับท่านแม้นจะมีคำถามมากมายในหัวสมอง จากเหตุการณ์เมื่อคืน

ของบางอย่างเราต้องรู้กาลรู้วาระที่เหมาะสม

บางที บางเรื่อง บางครั้งบางคราว

เราก็ไม่จำเป็นต้องรับรู้ในทันทีทันใดก็ได้

หลวงปู่เป็นพระที่แปลกอยู่อย่าง

เวลาอยากรู้  บางครั้งท่านก็ไม่บอก

แต่พอหมดอยาก ท่านกลับเล่าให้ฟัง

ผมอยู่กับหลวงปู่ตลอดไปไหนไปกัน ทำไมจะไม่รู้นิสัยใจคอซึ่งกันและกันดี

ตอนนั้นผมคาดการณ์เอาเองว่าต้องสำเร็จแน่

ผลคือผู้ป่วยไม่หมดลมตามที่หมอดูตาทิพย์ทำนายไว้

ล่วงเลยมาถึงวันครบรอบคล้ายวันเกิดของ เด็ก ญ.

เค้าได้มีโอกาสอยู่กับมารดา
ได้กอดมารดาอย่างมีความสุข

ถึงจะเป็น..

อ้อมกอดสุดท้ายของคนทั้งสอง
มันช่างมีความสุขเป็นล้นพ้นเกินจะบรรยาย

ก่อนที่รุ่งเช้าวันต่อมามารดาจะลาลับอย่างไม่วันหวนกลับ


ความลับเรื่องนี้ ทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีใครทราบว่า.

ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ของการขอบิณฑบาตต่อรองกับพญามัจจุราชไว้

มีผมเท่านั้นที่ทราบว่าแผ่นทองเปลวแห่งเมตตา

ที่ปิดหลังพระครั้งนี้


ใครเป็นคนปิด


#.ขอให้เจ้านั้นสุขใจ หลวงปู่ก็มีความสุขแล้ว.#


สัจธรรม  เกิด  แก่  เจ็บ  ตาย เป็นธรรมดา.
   

“พักผ่อนเสียบ้าง เพราะว่า ถึงเราจะทำไปมากมายสักเท่าใด ก็เท่านั้นแหละ เมื่อถึงเวลาเข้าจริงๆ ก็เอาอะไรไปไม่ได้ แม้แต่สักชิ้นเดียว เราต้องทิ้งไว้ในโลกนี้เท่านั้น จึงควรมีการพักผ่อน.”
หลักพิจารณา ๕ ประการ: “ อภิณณหปัจจเวกขณะ ”.

       เรามีความแก่เป็นธรรมดา...หนีความแก่ไปไม่พ้น.

       เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา...หนีความเจ็บไปไม่ต้น.

       เรามีความตายเป็นธรรมดา...หนีความตายไปไม่ต้น.

       เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก  ที่ชอบใจ เป็นธรรมดา...เราหนีจากกฎเกณฑ์ข้อนี้ไปไม่พ้น.

       เราทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว...เราจะหนีจากผลที่เราได้ทำไว้ไม่ได้เด็ดขาด.

“การทำตามคำสอนของตถาคต ก็คือ ไม่โกรธในการประทุษร้ายของโจรคนนั้น  แม้เขาจะเลื่อยขาเราก็ยังไม่โกรธ  เรามีความควบคุมจิตใจได้  เราอดได้ เราทนได้ เรายิ้มรับกับเหตุการณ์ได้  นั่นแหละชื่อว่าได้  ปฏิบัติตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า.”

“เธออย่าไปยินดี ยินร้าย กับคำพูดของคนใดๆ เขาพูดชมเราก็อย่ายินดี พูดติเราก็อย่ายินร้าย.”

“พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้ดีนา  บอกว่า ใครมาด่าใครคนหนึ่ง  แล้วใครคนนั้นโกรธ ด่าตอบอีกคน  คนที่ด่าทีหลังเลวกว่าคนแรก .”

“อุดมการณ์ของชีวิตไว้ว่า  เราเกิดมาเพื่อความดี  เราอยู่เพื่อความดี  เราจะคิดแต่เรื่องดี  จะพูดแต่เรื่องดี จะทำแต่เรื่องดี  เราจะไม่คิดเรื่องชั่ว เรื่องร้าย  เพราะสิ่งนั้นมันจะทำให้เรามีราคาน้อยลงไป จนกระทั่งหมดราคาการเกิดมาแล้วทำให้ตนหมดราคานั่นเขาเรียกว่า เสียชาติที่ได้เกิดมา ไม่ได้เรื่องอะไร.”

“ความจริงแท้นั้นไม่มี  พระพุทธศาสนาสอนเรื่องไม่มี  ส่วนลึกเรื่องไม่มี คือ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีอะไร ทั้งนั้น

(ต้องคิดอย่างละเอียด)”.

“ ไปเก็บเอามานั่งกลุ้มใจเล่นๆ เรื่องเก่า ๗ วันแล้ว ๓ เดือนแล้ว ๓ ปีแล้ว เอามานั่งคิดให้กลุ้มใจเล่น เหมือนไม่มีงานทำ เป็นคนว่างงาน  เลยหาเรื่องให้กลุ้มใจเล่น มันเรื่องอะไร? ”

การเข้าถึงแก่นแท้ของพระรัตนตรัย
      การทำอะไรที่เป็นวัตถุนั้น  ทำแต่น้อยพอสมควร  แต่ว่าการทำตนให้เข้าถึงเนื้อแท้ขององค์พระพุทธเจ้า นั่นแหละเป็นเรื่องสำคัญ. เราอย่าไปยึดถืออะไร แต่ให้เรารู้ว่าเรามีกายมีใจ  ใจเรานี้จะต้องปฏิบัติเรื่อยๆ จนถึงจุดหมายปลายทาง คือ “ความพ้นทุกข์”.

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2019-5-11 05:03



“เดี๋ยวครุฑก็บินหรอก”
หลวงปู่ชื่นเสกครุฑบิน


เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดที่ วัดแห่งหนึ่งใน กทม.


ปี 43 หลวงปู่ชื่น ท่านได้มาจำพรรษาอยู่วัดแห่งหนึ่งใน กทม.   หลวงปู่ชื่นท่านก็เมตตาต้อนรับสงเคราะห์ศิษย์ ตามแบบอย่างที่พระเกจิทั่วไปเขาปฏิบัติกัน วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 20.00 น. ได้มีชายคนหนึ่งสักอักขระยันต์เต็มตัว ทราบชื่อต่อมาภายหลังว่า ชื่อ พี่เสือ ได้นำวัตถุมงคลจากสำนักต่างๆ ใส่พานมาให้ หลวงปู่ชื่น ท่านปลุกเสกบรรจุอิทธิคุณเพิ่ม หนึ่งในวัตถุมงคลดังกล่าว มีกล่องที่ภายในบรรจุ “พระยาครุฑ” อยู่องค์หนึ่ง ขณะที่ หลวงปู่ชื่น ท่านบริกรรมพระเวทเพ่งกระแสจิตลงไปสถิตในวัตถุมงคลอยู่นั้น กล่องที่บรรจุ”พระยาครุฑ” อยู่ภายในได้มีการเคลื่อนไหวสั่นอย่างเห็นได้ชัด ประจักษ์แจ้งแก่สายตาทุกคู่ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ หลวงปู่ชื่น ท่านจึงหยุดบริกรรมพระเวท ชั่วครู่นึ่งและมองตาไปที่กล่องพร้อมกับพูดบอกเจ้าของวัตถุมงคลว่า “เดี๋ยวครุฑก็บินหรอก” ไม่รู้ว่าหลวงปู่ท่านทราบได้อย่างไรว่าภายในกล่องมีพระยาครุฑอยู่ “พี่เสือ” ก็ใช่ย่อย บอก หลวงปู่เสกให้เต็มที่เลยครับ! หลวงปู่ชื่น ท่าน มองหน้าก่อนที่จะหลับตาบริกรรมพระเวท ส่งกระแสจิตลงกองวัตถุมงคลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทุกคนต้องตกตะลึง! เมื่อโสตประสาทของทุกท่านได้ยินเหมือนเสียง วัตถุอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น “พุ่งเสียดสีอากาศ”


ออกจากกองวัตถุมงคล เสียงพุ่งขึ้นหายไปในท้องฟ้า เมื่อ หลวงปู่ชื่น ท่านถอดจิต ออกจากกองวัตถุมงคล “พี่เสือ” ได้หยิบวัตถุมงคลออกจากพาน พร้อมกับได้เปิดกล่อง “พระยาครุฑ” ปรากฏว่าภายในกล่องมีแต่ความว่างเปล่า ไร้เงาพระยาครุฑ “พี่เสือ” ถึงกับหน้าถอดสีออกอาการไม่สู้ดีนัก จึงได้กราบขอขมา หลวงปู่ชื่นที่กล่าววาจาท้าท้ายท่านพร้อมกับน้ำตาเสือที่รินไหล เพราะ”พระยาครุฑ” องค์นี้ “พี่เสือ” แกรักของแกมาก เป็นของเก่าเป็นมรดกตกทอด เมื่อ หลวงปู่ชื่น เห็นเช่นนั้น ท่านก็รับปากว่า “จะขึ้นไปต่อรองกับเขาให้” คืนนั้นท่านจึง งดรับแขก ให้ญาติโยมที่มากลับกันไปก่อน หลังจากนั้นท่านให้หาพานทองมา 1 ใบ พร้อมกับดอกมะลิมาโรยลงในพานโดย หลวงปู่ชื่น ท่านนั่งสมาธิร่างกายไม่ไหวติง จากเวลา 21.00 น. ร่วงระยะเวลาจนมาถึง 04.00 น. คนที่นอนอยู่ร่วมห้องกับหลวงปู่ชื่น ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างตกลงมาที่พานพร้อมกับได้ยินเสียงหลวงปู่ว่า.....


“ยี้มาแล้วๆ”  


สักครู่ หลวงปูชื่น ก็เดินออกมา พร้อมกับบอกให้โทรไปบอก “พี่เสือ” ว่าได้ “พระยาครุฑ” กลับมาแล้ว เมื่อ “พี่เสือ” ได้รับโทรศัพท์ก็รีบบึ่งมอเตอร์ไซค์ไปวัด ในเวลานั้นเช่นกัน เมื่อได้กราบหลวงปู่อย่างงามๆ 3 ครั้ง หลวงปู่ได้ยื่น “พระยาครุฑ”ส่งให้ หลังจากนั้น หลวงปู่ชื่น และ พี่เสือ ได้สนทนากันได้ใจความว่า “พระยาครุฑ”


องค์นี้เก็บรักษาไว้ดีๆนะเขาทำพิธีมาดี “พี่เสือ” จึงได้เรียนถามหลวงปู่ว่า “ทำไม? พระยาครุฑจึงบินหนีไปละครับ?”


หลวงปู่ชื่น ท่านบอกว่า “พระยาครุฑ”เป็นของสูง เวลาทำพิธีควรแยกต่างหาก” เรื่องที่เล่ามานี้สามารถ ยืนยันถึงพลังจิตตานุภาพของหลวงปู่ชื่น ได้เป็นอย่างดี


บทความผลงานการเขียนของ อ.สรายุทธ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2019-5-11 05:03

ใบไม้แห่งชัยชนะ

เรื่องนี้คณะครูโรงเรียนบ้านตาอี และ อ.บ.ต.ตึ๋ง เป็นพยานบุคคลเรื่องมีอยู่ว่า..เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านตาอีจะเดินทางไปแข่งขันกีฬาฟุตบอลโรงเรียนประจำจังหวัด คณะครูที่คุมทีมได้พานักกีฬาเดินทางมากราบขอพรชัยจาก หลวงปู่ชื่น ท่านได้ให้นักกีฬาทุกคนลงไปเก็บ “ยอดใบไม้” มาคนละใบ เมื่อเก็บใบไม้เป็นที่เรียบร้อยครบทุกคนแล้ว ได้นำใบไม้มาถวายท่าน หลวงปู่ชื่น ท่านรับใบไม้แล้วนำไปใส่พานอธิฐานจิต บริกรรมพระเวทอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะมอบใบไม้ให้เด็กติดตัว เวลาแข่งขัน ท่านบอกให้เอาใบไม้ทัดหู แต่เด็กกลัวใบไม้จะหล่น จึงเอาหนังยางมามัดใบไม้ใส่กับเสื้อ และแล้ววันแข่งขันจริงมาถึงขึ้น “ยอดใบไม้อาคม” ของหลวงปู่ชื่น ได้สำแดงเดช พานักกีฬาชนะทุกรอบจนสามารถทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศ คุณครู ท่านหนึ่งบอกว่า...ไม่น่าเชื่อนักกีฬาฟุตบอลทุกคนเล่นบอลไม่ค่อยเก่ง แข่งขันครั้งใดดูเป็นรองทุกครั้งไป แต่ก็สามารถเอาชนะมาได้ตลอดแปลกมากๆเรียกว่ามาถึงจุดนี้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว  ดังนั้นรอบชิงชนะเลิศ จะชนะ หรือ แพ้ก็ไม่เสียใจ และวันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงเป็นวันที่นักกีฬาโนเนมม้ามืดที่โดนดูถูกดูแคลนทุกครั้งที่ลงแข่งขัน ซ้ำยังโดนสบปรามาสว่าที่ทะลุเข้ามาถึงรอบชิงเพราะโชคช่วย(ความจริงหลวงปู่ชื่นช่วย) ก่อนจะเดินทางไปแข่งขัน คณะครูที่คุมทีมได้พานักกีฬามาขอพร ให้หลวงปู่ชื่น รดน้ำมนต์ให้เพื่อความเป็นสิริมคล ท่านยังพูดกระเช้าเด็กๆ ว่า “เอาถ้วยรางวัลมาให้หลวงปู่ดูหน่อยนะ...!!!”

“ยอดใบไม้อาคม” ของหลวงปู่ชื่น จะสำแดงเดชอีกหรือไม่? นักกีฬาโรงเรียนบ้านตาอี จะได้เป็นแชมป์หรือเปล่า? จะแพ้หรือชนะ?เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
นักกีฬาคู่แข่งขันก็เป็นแชมป์ประจำจังหวัดมาหลายสมัย เรียกว่า “แชมป์ผูกขาด” ก็ว่าได้ ไอ้เรา... รือ!! ก็นักเตะบ้านนอกที่นักกีฬาในทีมบางคนยังเตะบอลผิดๆถูกๆเมื่อวิถีโคจรมาเจอ “แชมป์เก่า”  ก็ต้องสู้ถวายหัวประกาศเพลงเตะโรงเรียนบ้านตาอีให้จังหวัดบุรีรัมย์ “ตะลึง” เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่โรงเรียนบ้านตาอี คณะครูหลายๆท่านปากก็บอกว่า ถึงจะแพ้ก็ไม่เสียใจ เพราะมาไกลเกินฝันที่คาดไว้แล้ว แต่ในใจซิมันก็ยังมีความหวังอยู่ลึกๆอยากให้เด็กเป็นแชมป์ เฝ้าแต่ภาวนาทุกครั้งขอให้ “ใบไม้อาคม” ของ หลวงปู่ชื่น แสดงอิทธิฤทธิ์อีกสักครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย ขอบารมีหลวงปู่ชื่น จงมาโปรดลูกๆด้วยเทอญ ผลการแข่งขันในวันนั้น...นักเตะโรงเรียนบ้านตาอี มี “ชัยชนะ” โค่นแชมป์เก่าลงอย่างราบคาบ ประกาศศักดาลบคำปรามาส นำถ้วยเกียรติยศและความภาคภูมิใจสู่โรงเรียนบ้านตาอี คณะคุณครูที่คุมทีมไม่ต้องพูดถึงดีใจกระโดดกอดกันจนน้ำตาไหลพราก นักกีฬาทุกคนนำใบไม้ใส่มือพนมเทิดไว้เหนือหัว “ใบไม้แห่งชัยชนะ ใบไม้อาคม ใบไม้แห่งเกียรติยศ” สำหรับใบไม้อาคมเคยขอร้องให้ท่านทำให้ หลวงปู่ชื่น ท่านบอกว่า ถ้าจะให้ดีต้องเอาใบไม้ที่เวลาลมหมุน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ลมบ้าหมู หอบเอาใบไม้ขึ้นไป”  ถ้าเห็นให้วิ่งเข้าไปใช้ปากคาบใบไม้มา ถ้าเอาได้นำมาให้ หลวงปู่ชื่น ท่านจะทำให้ ทำเป็นตะกรุดอีกที่หนึ่ง ท่านว่ามีฤทธิ์เท่าหนุมาน แต่จนแล้วจนรอดก็คาบไม่เคยได้ซักที คิดถึงทีไรเสียดายทุกที


มนต์มหาสะกดจินดามณี


เรื่องนี้ขอเล่าบูชาคุณครูอีกสักเรื่อง เพื่อที่จะยืนยันถึงพลังจิตอันแก่กล้าพร้อมพลังเวทมหัศจรรย์ของ หลวงปูชื่น เรื่องนี้ อ.บ.ต. ตึ๋ง เป็นคนเล่าให้ฟังครับ ครั้งหนึ่ง อ.บ.ต.. ตึ๋ง ต้องการ ไก่ป่าที่อาศัยอยู่ในวัดนำไปเลี้ยง เพื่อนำไปผสมพันธ์ อนุรักษ์สัตว์ป่าไว้ จึงได้เตรียมอุปกรณ์จับไก่ป่าติดมือไปด้วย เมื่อเดินทางมาถึงวัดตาอี ได้เข้าไปขออนุญาต หลวงปู่ชื่น พร้อมกับชี้แจงว่าจะนำไปอนุรักษ์ เพาะพันธ์ไว้ เมื่อหลวงปู่ชื่น ท่านทราบเหตุผล ท่านถามมาว่า “แล้วจะจับอย่างไร?” อ.บ.ต. ตึ๋ง บอกว่า “เอาแหมากาง แล้วช่วยกันวิ่งต้อนไก่เข้าแห”  หลวงปู่ชื่น ท่านหัวเราะใหญ่ ท่านนึกขำถึงวิธีจับไก่ป่า ของ อ.ต.บ. ตึ๋ง  สักครู่ ท่านจึงเดินลงมาจากกุฏิ พร้อมกับพูดบอก อ.บ.ต. ตึ๋ง ว่า “เองจะเอาตัวไหน?” อ.บ.ต. ตึ๋ง มองดูไก่ป่า พิจารณาอยู่พักหนึ่ง จึงชี้นิ้วไปยังไก่ป่าตัวหนึ่ง หลวงปู่ชื่น ถามกำชับเพื่อความแน่ใจเป็นครั้งสุดท้าย “เอาตัวนี้แน่นะ” ครับ...หลวงปู่ อ.บ.ต. ตึ๋ง ตอบ หลวงปู่ชื่น ท่านยืนสงบนิ่ง เพ่งสายตาไปทีไก่ป่า ซักครู่ไก่ป่าตัวนั้นได้เดินมาหา หลวงปู่ชื่น ท่านก็ก้มตัวลงจับไก่ป่าตัวนั้นส่งมอบให้ อ.บ.ต. ตึ๋ง ท่านได้กล่าวกำชับว่า “อย่าฆ่ามันนะ” หลังจากส่งไก่ให้ อ.บ.ต. ตึ๋ง แล้ว สักพักก็มีตะกวดเดิน เข้ามาหา หลวงปู่ชื่น มาเคลียคลอที่เท้าท่าน อาการเดียวกับไก่ป่าไม่มีผิด อ.บ.ต. ตึ๋ง ยังแซวหลวงปู่ชื่น ว่าตัวนี้ผมไม่ได้เอานะครับ สงสัยมันคงโดนลูกหลง หลวงปู่ชื่น ท่านหัวเราะชอบใจใหญ่


เรื่องพลังจิตตานุภาพ ของ หลวงปู่ชื่น ยังมีอีกมากมายหลายเรื่องนัก เอาไว้ถ้ามีโอกาสจะนำเสนอ ให้อ่านเป็นลำดับต่อไปครับ คราวนี้วกมาเรื่อง “ขุนแผนชมตลาด” อีกหนึ่งของดีที่หลวงปู่ชื่น ท่านได้แผ่พลังจิตสถิตมหาเวทมหามนต์ไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานได้ครอบครอง วัตถุมงคลของท่านแทบทุกชนิด จะมีเทพเทวารักษาอยู่ ผู้มีความสามารถสำเร็จทางจิตหลายท่านนำวัตถุมงคลของท่านไปตรวจสอบ หลายท่านยืนยันตรงกันอย่างน่าอัศจรรย์ว่า อิทธิวัตถุมงคลที่หลวงปู่ชื่น อธิฐานจิตบรรจุมหาเวทมหามนต์ว่า “มีเทวดาที่เป็นบริวารพระสยามเทวาธิราชรักษาอยู่มีรัศมีสีทอง ใส่ชฎา ทรงพระขรรค์มีอิทธิฤทธิ์บารมีสูง ควรบูชาไว้ในที่สูง” ที่บอกกล่าวใช่ว่าจะชี้นำหรือชักชวนให้เชื่อ โปรดใช้วิจารณญาณ เพราะเรื่องของทางจิต เป็นเรื่องละเอียดอ่อนไม่สามารถหาหลักฐานมาหักล้างหรือจับต้องได้ ถ้าอยากทราบ คุณต้องฝึกสมาธิเอาจิตเข้าไปดูกันเอาเองครับ เห็นว่ามันแปลกเพราะเมื่อตรวจสอบแล้วพูดตรงกัน ปกติแล้วพระปฏิมาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่น ทุกชนิด ท่านจะบรรจุด้วยมนต์อาถรรพณ์ราชาธิราช หรือ  อาถรรพณ์มหาจักรพรรดิ์ เป็นสายพระเวทที่สืบทอดมาจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พระองค์ใช้สวดบูชาเป็นประจำ ทำให้พระองค์มีชัยชนะไปทั่วสารทิศ ศัตรูที่คิดร้ายจะแพ้ภัยไปเอง และอีกบทที่เกี่ยวกับเทวดา คือ มนต์เทวา 4 ทิศครับ ท่านว่า เดินทางไปทิศไหน เทวดาที่ประจำทิศนั้นจะมาปกปักษ์ดูแลรักษา วัตถุมงคลของท่านมักจะบอกเสมอว่าให้เก็บไว้ในที่สูง วันพระควรถวายดอกมะลิหรือซื้อน้ำหอมมาฉีดถวาย ถ้าศิษย์หลายท่านที่เคยไปกราบท่านที่วัดในกุฏิท่าน ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นขวดน้ำหอม ซึ่งท่านจะฉีดวัตถุมงคล ศิษย์หลายท่านคงทราบดี “ขุนแผนชมตลาด” เท่าที่ผมจำได้ ท่านเคยบอกว่า “ดีทางเขาสังคม เด่นสง่ากว่าเขา” เคยมีศิษย์จากกรุงเทพ เดินทางไปหาท่านไปร่วมทำบุญสร้างอุโบสถกับหลวงปูชื่น ก่อนจะลากลับ หลวงปู่ชื่น ท่านได้มอบ “ขุนแผนชมตลาด” ให้ไป ศิษย์ท่านดังกล่าวได้ถามหลวงปู่ชื่นว่า “ดีอย่างไร?” หลวงปู่ชื่นบอกว่า “พรุ่งนี้เองลองพกไปตลาดดู” เมื่อเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯ รุ่งเช้าก็ลองพกพระติดตัวไปซื้อของที่ร้านไหน แม่ค้าก็แถมของให้เป็นพิเศษ แต่ที่แปลกคือ เวลาซื้อของ แม่ค้าจะทอนเงินผิดแทบทุกร้าน “พระขุนแผนชมตลาด”ชุดนี้ท่านเสกจนต้นไม้ข้างกุฏิโค่นลงมาเลยครับ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ต้องลองเอาไปใช้ดูครับ เพราะคืนนั้นผมไปนอนกับท่านที่กุฏิจึงได้เห็นเหตุการณ์แต่เรื่องบางอย่างพูดมากไปก็ไม่ดี เรื่องบางเรื่องมัน “เหนือคำบรรยาย”เป็นเรื่องยากที่จะบอกกล่าว เรื่องของจิตเรื่องของพระเวทย์หรือพุทธศาสนาเป็นเรื่องของการปฏิบัติ และค้นคว้าถึงจะบรรลุเป้าหมาย  ประเภทปฏิบัติแต่ไม่ยอมค้นคว้าศึกษา หรือ ศึกษาค้นคว้า แต่ไม่ได้ปฏิบัติ มันจะมีประโยชน์อะไรจริงมั๊ยครับ


บทความผลงานการเขียนของ อ.สรายุทธ

ความเป็นศิษย์อาจารย์นี้.!!


มันมีความผูกพันเหนียวแน่น.....
ความเป็นศิษย์ร่วมพ่อแม่ครูบาอาจารย์เดียวกัน เป็นสหายธรรมกันมา ก็มีความผูกพันที่เหนียวแน่น.....


เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน.....


เป็นลูกพ่อแม่เดียวกัน.....


ในทางโลกเราอาจจะนับสายสกุลกันที่ชาติกำเนิดโครตเหง้าความเป็นสายเลือดครอบครัวเดียวกัน.....


แต่ในทางธรรมเรานับสายสกุลกันที่ความผูกพันเป็นศิษย์ร่วมพ่อแม่ครูบาอาจารย์เดียวกันมา....


เป็นวงศ์วานของท่าน  อยู่ภายใต้ร่มเงาติคญาโณด้วยกัน


อยู่ในความเมตตาของหลวงปู่ชื่นท่านร่วมกันมา

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้