ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2014
ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ สองหน้าของสัจจธรรม ~

[คัดลอกลิงก์]


ในชีวิตของเรามีทางเลือกอยู่สองทาง คือคล้อยตามไปกับโลก หรือพยายามปฏิบัติให้อยู่เหนือโลกพระพุทธเจ้านั้นท่านทรงปฏิบัติจนพระองค์เองทรงพ้นโลก ด้วยการตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณในทำนองเดียวกัน ปัญญาก็มีสอง คือปัญญาโลกีย์ กับปัญญาโลกุตตระ หากเราไม่ภาวนาฝึกปฏิบัติอบรมตนเองถึงจะมีปัญญาปานใด ก็เป็นเพียงปัญญาโลกีย์ เป็นโลกียวิสัย จะหลุดพ้นโลกไปไม่ได้เพราะโลกียวิสัยนั้น มันเวียนไปตามโลก เมื่อเวียนคล้อยไปตามโลก จิตก็เป็นโลกคิดอยู่แต่จะหามาใส่ตัวอยู่ไม่เป็นสุข หาไม่รู้จักพอ วิชาโลกีย์เลยกลายเป็นอวิชชา หาใช่วิชชาความรู้แจ้งไม่มันจึงเรียนไม่จบสักที เพราะมัวไปตามลาภ ตามยศ ตามสรรเสริญ ตามสุข พาใจให้ติดข้องเป็นกิเลสกองใหญ่
เมื่อได้มาก็หึงก็หวง เห็นแก่ตัว สู้ด้วยกำปั้นไม่ได้ ก็คิดสร้างเครื่องจักรเครื่องยนต์เครื่องกลเครื่องไก สร้างศาสตราวุธสร้างลูกระเบิดขว้างใส่กัน นี่คือโลกีย์มันไม่หยุดสักที เรียนไปก็เพื่อจะเอาโลก จะครองโลก ได้อะไรก็หวงอยู่นั่นแล้วนี่คือโลกียวิสัย เรียนไปแล้วก็จบไม่ได้
มาฝึกทางโลกุตตระ โลกุตตระนี้อยู่ได้ยาก ผู้ใดหวังมรรค หวังผล หวังนิพพานจึงจะทนอยู่ได้ จงทำตนให้เป็นคนมักน้อย สันโดษ กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำให้มันหมดโลกีย์
ถ้าเชื้อโลกีย์ไม่หมด มันก็ยาก มันยุ่ง ไม่หยุดสักที แม้มาบวชแล้วก็ยังคอยดึงให้ออกไปมันมาคอยให้ความรู้ความเห็น มันมาคอยปรุงคอยแต่งความรู้อยู่นั่นแล้ว ทำให้ใจติดข้องอยู่ในกามคุณทั้งห้าคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อารมณ์ของใจเป็นกาม คือความใคร่ในความสุขความทุกข์ ความดี ความชั่ว สารพัดอย่าง มีแต่กามทั้งนั้น
คนไม่รู้จักก็ว่า จะทำสิ่งในโลกนี้ให้มันเสร็จ ให้มันแล้วเหมือนคนที่มาเป็นรัฐมนตรีใหม่ก็คิดว่าตนต้องทำได้ บริหารได้แล้วก็เอาอะไรๆที่คนเก่าทำไว้ออกไปเสีย เอาวิธีบริหารของตนเข้ามาใช้แทนก็เลยต้องได้หามกันออก หามกันเข้าอยู่อย่างนั้นไม่ได้เรื่องสักที ที่ว่าจะทำให้เสร็จมันก็ไม่เสร็จ เพราะจะทำให้ถูกใจคนทุกคนนั้น มันทำไม่ได้หรอก
คนหนึ่งชอบน้อย คนหนึ่งชอบมาก คนหนึ่งชอบสั้น คนหนึ่งชอบยาว คนหนึ่งชอบเค็มคนหนึ่งชอบเผ็ด จะให้เหมือนกันนั้นไม่มีในโลก
คนอยู่ครองโลก ครองบ้าน ครองเมือง ทำทุกอย่างก็อยากให้มันสำเร็จ แต่ไม่มีทางสำเร็จหรอกเรื่องของโลกมันจบไม่เป็น ถ้าทำตามโลกแล้วจบได้ พระพุทธเจ้าท่านก็คงทรงทำแล้วเพราะท่านครองโลกอยู่ก่อน แต่นี่มันทำไม่ได้
ในเรื่องของกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นั้น รูปอะไรก็ไม่จับใจเท่ารูปผู้หญิงผู้หญิงรูปร่างบาดตา ก็ชวนมองอยู่แล้ว ยิ่งเดินซ้อกแซ้กๆก็ยิ่งมองเพลิน
เสียงอะไรมาจับใจเท่าเสียงผู้หญิงเป็นไม่มี มันบาดถึงหัวใจ กลิ่นก็เหมือนกันกลิ่นอะไรก็ไม่เหมือนกลิ่นผู้หญิง ติดกลิ่นอื่นก็ไม่เท่ากับติดกลิ่นผู้หญิงมันเป็นอย่างนั้น
รสอะไรก็ไม่เหมือน รสข้าว รสแกง รสสารพัดก็ไม่เทียบเท่ารสผู้หญิง หลงติดเข้าไปแล้วถอนได้ยากเพราะมันเป็นกามโผฏฐัพพะก็เช่นกัน จับต้องอะไรก็ไม่ทำให้มึนเมาปั่นป่วน จนหัวชนกันเหมือนกับจับต้องผู้หญิง
ฉะนั้น เมื่อลูกท้าวพญาที่ไปเรียนวิชากับอาจารย์ตักศิลาจนจบแล้วจะลาอาจารย์กลับบ้านอาจารย์จึงสอนว่า เวทย์มนต์กลมายาอะไรๆก็สอนให้ บอกให้จนหมดแล้ว เมื่อกลับไปครองบ้านครองเมืองแล้วมีอะไรมาก็ไม่ต้องกลัว จะสู้ได้หมดทั้งนั้น จะมีสัตว์ประเภทใดมาก็ไม่ต้องกลัวไม่ว่าจะเป็นสัตว์มีฟันอยู่ในปาก หรือมีเขาอยู่บนหัว มีงวง มีงา ก็คุ้มกันได้ทั้งสิ้นแต่ไม่รับรองอยู่แต่เฉพาะสัตว์จำพวกหนึ่ง ที่เขาไม่ได้อยู่บนหัวแต่หากไปอยู่ที่หน้าอกสัตว์ชนิดนี้ไม่มีมนต์ชนิดใดจะคุ้มกันได้มีแต่จะต้องคุ้มกันตัวเอง รู้จักไหมสัตว์ที่มีเขาอยู่หน้าอก นั่นแหละท่านจึงให้รักษาตัวเอาเอง
ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจแล้ว ทำให้อยากได้เงิน อยากได้ทอง อยากได้สิ่งอยากได้ของ ธรรมารมณ์อย่างนั้นไม่พอให้ล้มตาย แต่ถ้าเป็นธรรมารมณ์ที่ชุ่มด้วยน้ำกามเกิดขึ้นแล้วมันทำให้ลืมพ่อลืมแม่ แม้พ่อแม่เลี้ยงมา ก็หนีจากไปได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงพอเกิดขึ้นแล้วรั้งไม่อยู่สอนก็ไม่ฟัง
รูปหนึ่ง เสียงหนึ่ง กลิ่นหนึ่ง รสหนึ่ง โผฏฐัพพะหนึ่งธรรมารมณ์หนึ่ง เป็นบ่วงเป็นบ่วงของพญามาร พญามารแปลว่า ผู้ให้ร้ายต่อเรา บ่วงแปลว่าเครื่องผูกพันบ่วงของพญามารเปรียบได้กับแร้วของนายพราน นายพรานที่เป็นเจ้าของแร้ว นั่นแหละคือพญามารเชือกเป็นบ่วงเครื่องผูกของนายพราน
สัตว์ทั้งหลายเมื่อไปติดบ่วงเข้าแล้วลำบาก มันผูกไว้ ดึงไว้รอจนเจ้าของแร้วมาเหมือนกับนกไปติดแร้วเข้า แร้วมันรัดถูกคอดิ้นไปไหนก็ไม่หลุด ดิ้นปัดไปปัดมาอย่างนั้นแหละมันผูกไว้คอยนายพรานเจ้าของแร้ว ครั้นเจ้าของมาเห็นก็จบเรื่องนั้นแหละพญามารนกกลัวมาก สัตว์ทั้งหลายกลัวมาก เพราะหนีไปไหนไม่พ้น
บ่วงก็เช่นกัน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมา-รมณ์เป็นบ่วงผูกเอาไว้เมื่อเราติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็เหมือนกับปลากินเบ็ดรอให้เจ้าของเบ็ดมา ดิ้นไปไหนก็ไม่หลุด อันที่จริงแล้วมันยิ่งกว่าปลากินเบ็ดต้องเปรียบได้กับกบกินเบ็ดเพราะกบกินเบ็ดนั้น มันกินลงไปถึงไส้ถึงพุง แต่ปลากินเบ็ด ก็กินอยู่แค่ปาก
คนติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ก็เหมือนกัน แบบคนติดเหล้า ถ้าตับยังไม่แข็งไม่เลิก ติดตอนแรกๆก็ยังไม่รู้จักเรื่อง ก็หลงเพลิดเพลินไปเรื่อยๆ จนเกิดโรคร้ายขึ้นนั่นแหละเป็นทุกข์


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-1-28 18:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เหมือนบุรุษผู้หนึ่งหิวน้ำจัด เพราะเดินทางมาไกล มาขอกินน้ำ เจ้าของน้ำก็บอกว่าน้ำนี่จะกินก็ได้ สีมันก็ดี กลิ่นมันก็ดีรสมันก็ดี แต่ว่ากินเข้าไปแล้วมันเมานะบอกให้รู้เสียก่อน เมาจนตาย หรือเจ็บเจียนตายนั่นแหละ แต่บุรุษผู้หิวน้ำก็ไม่ฟังเพราะหิวมากเหมือนคนไข้หลังผ่าตัดที่ถูกหมอบังคับให้อดน้ำ ก็ร้องขอน้ำกิน
คนหิวในกามก็เหมือนกัน หิวในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ล้วนของเป็นพิษ พระพุทธเจ้าได้บอกไว้ว่ารูป เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั้น มันเป็นพิษเป็นบ่วง ก็ไม่ฟังกันเหมือนกับบุรุษหิวน้ำผู้นั้นที่ไม่ยอมฟังคำเตือนเพราะความหิวกระหายมันมีมาก ถึงจะต้องทุกข์ยากลำบากเพียงใดก็ขอให้ได้กินน้ำเถอะ เมื่อได้กินได้ดื่มแล้ว มันจะเมาจนตาย หรือเจียนตายก็ช่างมันจับจอกน้ำได้ก็ดื่มเอาๆ เหมือนกับคนหิวในกามก็กินรูป กินเสียง กินกลิ่น กินรสกินโผฏฐัพพะ กินธรรมารมณ์ รู้สึกอร่อยมาก ก็กินเอาๆหยุดไม่ได้ กินจนตาย ตายคากาม
อย่างนี้ท่านเรียกว่าติดโลกียวิสัย ปัญญาโลกีย์ก็แสวงหารูป เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ถึงปัญญาจะดีสักปานใดก็ยังเป็นปัญญาโลกีย์อยู่นั่นเองสุขปานใดก็แค่สุขโลกีย์มันไม่สุขเหมือนโลกุตตระ คือมันไม่พ้นโลก
การฝึกทางโลกุตตระ คือทำให้มันหมดอุปาทาน ปฏิบัติให้หมดอุปาทาน ให้พิจารณาร่างกายนี่แหละพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้มันเบื่อ ให้มันหน่าย จนเกิดนิพพิทา ซึ่งเกิดได้ยากมันจึงเป็นของยากถ้าเรายังไม่เห็น ก็ยิ่งดูมันยาก
เราทั้งหลายพากันมาบวช เรียน เขียน อ่าน มาปฏิบัติภาวนา ก็พยายามตั้งใจของตัวเองแต่ก็ทำได้ยาก กำหนดข้อประพฤติปฏิบัติไว้อย่างนี้อย่างนั้นแล้ว ก็ทำได้เพียงวันหนึ่งสองวันหรือแค่สองชั่วโมง สามชั่วโมง ก็ลืมเสียแล้ว พอระลึกขึ้นได้ก็จับมันตั้งไว้อีกก็ได้เพียงชั่วคราว พอรูป เสียงกลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ผ่านมา ก็พังไปเสียอีกแล้วพอนึกได้ก็จับตั้งอีกปฏิบัติอีก นี่เรามักเป็นเสียอย่างนี้ เพราะสร้างทำนบไว้ไม่ดี ปฏิบัติไม่ทันเป็นไม่ทันเห็น มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น มันจึงเป็นโลกุตตระไม่ได้ ถ้าเป็นโลกุตตระได้มันพ้นไปจากสิ่งทั้งหลายนี่แล้ว มันก็สงบเท่านั้นเอง
ที่ไม่สงบทุกวันนี้ ก็เพราะของเก่ามันมากวนอยู่ไม่หยุด มันตามมาพัวพันเพราะมันติดตัวเคยชินเสียแล้ว จะแสวงหาทางออกทางไหน มันก็คอยมาผูกไว้ดึงไว้ไม่ให้ลืมที่เก่าของมันเราจึงเอาของเก่ามาใช้ มาชม มาอยู่ มากินกันอยู่อย่างนั้น
ผู้หญิงก็มีผู้ชายเป็นอุปสรรค ผู้ชายก็มีผู้หญิงเป็นอุปสรรคมันพอปานกันถ้าผู้ชายอยู่กับผู้ชายด้วยกัน มันก็ไม่มีอะไร หรือผู้หญิงอยู่กับผู้หญิงด้วยกันมันก็อย่างนั้นแหละ แต่พอผู้ชายไปเห็นผู้หญิงเข้า หัวใจมันเต้นติ๊กตั๊กๆ ผู้หญิงเห็นผู้ชายเข้าก็เหมือนกันหัวใจเต้นติ๊กตั๊กๆ เพราะมันดึงดูดซึ่งกันและกัน
นี่ก็เพราะไม่เห็นโทษของมัน หากไม่เห็นโทษแล้ว ก็ละไม่ได้ ต้องเห็นโทษในกามและเห็นประโยชน์ในการละกามแล้วจึงจะทำได้ หากปฏิบัติยังไม่พ้น แต่พยายามอดทนปฏิบัติต่อไปก็เรียกว่าทำได้ในเพียงระดับของศีลธรรมแต่ถ้าปฏิบัติได้เห็นชัดแล้วจะไม่ต้องอดทนเลย ที่มันยาก มันลำบาก ก็เพราะยังไม่เห็น
ในทางโลกนั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราทำไว้ ถ้าจวนเสร็จเรียบร้อยเราก็สบายถ้ายังไม่เสร็จก็เป็นห่วงผูกพัน นี่คือโลกีย์มันผูกพันตามไปอยู่เรื่อย ว่าจะทำให้หมดนั้นมันหมดไม่เป็นหรอก เหมือนกันกับพ่อค้า พบใครก็ว่าถ้าหมดหนี้หมดสินแล้วจะบวชเมื่อไรมันจะหมดเป็น เพราะพอหมดหนี้เก่า ก็กู้มาใหม่อีก พ่อค้าก็ไม่มีวันหมดหนี้หมดสินเมื่อกู้ไม่หยุด แล้วจะหมดได้อย่างไร นี่แหละปัญญาโลกีย์
การปฏิบัติของเรานี่ก็ให้เฝ้าดูจิตใจไว้ ข้อวัตรข้อใดมันหย่อน พอเห็น พอรู้สึกก็ให้ตั้งขึ้นใหม่ ถ้ามันหย่อนอีก ผู้มีสติก็ต้องจับมันตั้งขึ้นอีก ส่วนผู้ไม่มีสติก็จะปล่อยไปเลยผู้มีสติก็ดึงขึ้นมา ทำอยู่อย่างนั้นแหละ เรียกว่าทำไม่รู้จักแล้ว เพราะว่ามันเป็นโลกีย์มันจึงดึงไปดึงมาอยู่นั่นแหละ
การมาบวชนั้นเป็นของยาก จะต้องตั้งอกตั้งใจ เป็นผู้มีศรัทธา ปฏิบัติไปจนมันรู้มันเห็นตามความเป็นจริง มันจึงจะเบื่อ เบื่อนั้นไม่ใช่ชัง ต้องเบื่อทั้งรักทั้งชังเบื่อทั้งสุขทั้งทุกข์คือเห็นทุกอย่างไม่เป็นแก่นสารนั่นเอง
ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นซับซ้อน ไม่เห็นได้โดยง่าย ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว เห็นไม่ได้เหมือนเราได้ไม้มาท่อนหนึ่ง เป็นไม้ท่อนใหญ่ แต่ความเป็นจริง ไม้ท่อนน้อยก็แทรกอยู่ในไม้ท่อนใหญ่นั้นแหละหรือได้ไม้ท่อนน้อยมา ไม้ท่อนใหญ่มันก็แทรกอยู่ในนั้นด้วย
โดยมากคนเราเห็นไม้ท่อนใหญ่ ก็เห็นแต่ว่ามันใหญ่เพราะคิดว่าน้อยจะไม่มีได้ไม้ท่อนน้อยก็เห็นแต่มันน้อย เพราะคิดว่าใหญ่ไม่มี มันไม่มองไปข้างหน้าไม่มองไปข้างหลังเมื่อสุขก็นึกว่าจะมีแต่สุข เมื่อทุกข์ก็นึกว่าจะมีแต่ทุกข์ไม่เห็นว่าทุกข์อยู่ที่ไหน สุขก็อยู่ที่นั่น สุขอยู่ที่ไหน ทุกข์ก็อยู่ที่นั่นไม่เห็นว่าใหญ่อยู่ที่ไหน น้อยก็อยู่ที่นั่น น้อยอยู่ที่ไหน ใหญ่ก็อยู่ที่นั่นให้คิดเห็นอย่างนั้น
คนเราไม่รู้จักคิดย้อนหน้าย้อนหลัง เห็นแต่หน้าเดียวไปเลยจึงไม่จบสักทีทุกอย่างมันต้องเห็นสองหน้า มีความสุขเกิดขึ้นมาก็อย่าลืมทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้นมาก็อย่าลืมสุข มันเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน เช่นว่า อาหารนั้นเป็นคุณแก่มนุษย์แก่สัตว์ทั้งหลายเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย อย่างนี้เป็นต้น แต่ความเป็นจริงอาหารเป็นโทษก็มีเหมือนกันมิใช่มันจะให้คุณแต่อย่างเดียว มันให้โทษด้วยก็มี เมื่อใดเราเห็นคุณ ก็ต้องเห็นโทษของมันด้วยเห็นโทษก็ต้องเห็นคุณด้วย เมื่อใดมีความชังก็ให้นึกถึงความรัก คิดได้อย่างนี้จะทำให้จิตใจของเราไม่ซวนเซไปมา
ได้อ่านหนังสือของเซ็นที่พวกเซ็นเขาแต่ง พวกเซ็นเป็นพวกมุ่งปฏิบัติ เขาไม่ใคร่สอนกันเป็นคำพูดนักเป็นต้นว่าพระเซ็นรูปหนึ่งนั่งหาวนอนขณะภาวนา อาจารย์ก็ถือไม้มาฟาดเข้าที่กลางหลังลูกศิษย์ที่ถูกตีก็พูดว่า "ขอบคุณครับ" เซ็นเขาสอนกันอย่างนั้น สอนให้เรียนรู้ด้วยการกระทำ
วันหนึ่งพระเซ็นนั่งประชุมกัน ธงที่ปักอยู่ข้างนอกก็โบกปลิวอยู่ไปมา พระเซ็นสององค์ก็เกิดปัญหาขึ้นว่าทำไมธงจึงโบกปลิวไปมา องค์หนึ่งว่าเพราะมีลม อีกองค์ก็ว่าเพราะมีธงต่างหากต่างก็โต้เถียงโดยยึดความคิดเห็นของตน อาจารย์ก็เลยตัดสินว่ามีความเห็นผิดด้วยกันทั้งคู่เพราะความจริงแล้วธงก็ไม่มี ลมก็ไม่มี
นี่ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างนี้ อย่าให้มีลม อย่าให้มีธง ถ้ามีธงก็ต้องมีลมถ้ามีลมก็ต้องมีธง มันก็เลยจบกันไม่ได้สักที น่าเอาเรื่องนี้มาพิจารณา วางให้มันว่างจากลมว่างจากธง ความเกิดไม่มี ความแก่ไม่มี ความเจ็บตายไม่มี มันว่าง ที่เราเข้าใจว่าธงเข้าใจว่าลมนั้นมันเป็นแต่ความรู้สึกที่สมมติขึ้นมาเท่านั้น ความจริงมันไม่มี น่าจะเอาไปฝึกใจของเรา

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-1-28 18:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในความว่างนั้น มัจจุราชตามไม่ทัน ความเกิด ความแก่ความเจ็บ ความตาย ตามไม่ทันมันหมดเรื่อง
ถ้าไปเห็นว่า มีธงอยู่ ก็ต้องมีลมมาพัด ถ้ามีลมอยู่ ก็ต้องไปพัดธง มันไม่จบสักทีเพราะความเห็นผิด แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฐิความเห็นชอบแล้ว ลมก็ไม่มี ธงก็ไม่มีก็เลยหมดหมดเรา หมดเขา หมดความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย หมดทุกอย่าง
ถ้าเป็นโลกียวิสัย ก็สอนกันไม่จบ ไม่แล้วสักที เราฟังก็ว่ามันยาก เพราะมันเป็นปัญญาโลกีย์หากเราพิจารณาได้ เราก็มีปัญญามาก พระพุทธเจ้าของเราก็เหมือนกัน เมื่อตอนที่ท่านครองโลกอยู่ท่านก็มีปัญญาโลกีย์ ต่อเมื่อท่านมีปัญญามากเข้าท่านจึงดับโลกีย์ได้ เป็นโลกุตตระเป็นผู้เลิศในโลก ไม่มีใครเหมือนท่าน
ถ้าเราทำความคิดไว้ในใจให้ได้ดังนี้ เห็นรูปก็ว่ารูปไม่มีได้ยินเสียงก็ว่าเสียงไม่มีได้กลิ่นก็ว่ากลิ่นไม่มี ลิ้มรสก็ว่ารสไม่มีมันก็หมด ที่เป็นรูปนั้นก็เพียงความรู้สึกได้ยินเสียงก็สักแต่ว่า ความรู้สึกที่มีกลิ่นก็สักแต่ว่ามีกลิ่น เป็นเพียงความรู้สึกรสก็เป็นแต่เพียงความรู้สึกแล้วก็หายไปตามความเป็นจริงก็ไม่มี
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นี้เป็นโลกีย์ถ้าเป็นโลกุตตระแล้วรูปไม่มี เสียงไม่มี กลิ่นไม่มี รสไม่มี โผฏฐัพพะไม่มี ธรรมารมณ์ไม่มี เป็นแต่ความรู้สึกเกิดขึ้นเท่านั้นแล้วก็หายไปไม่มีอะไรเมื่อไม่มีอะไร ตัวเราก็ไม่มี ตัวเขาก็ไม่มี
เมื่อตัวเราไม่มี ของเราก็ไม่มี ตัวเขาไม่มี ของเขาไม่มีความดับทุกข์นั้นเป็นไปในทำนองนี้คือไม่มีใครจะไปรับเอาทุกข์ แล้วใครจะเป็นทุกข์ ไม่มีใครไปรับเอาสุข แล้วใครจะเป็นสุข
นี่พอทุกข์เข้า ก็เรียกว่าเราทุกข์ เพราะเราไปเป็นเจ้าของมันก็ทุกข์ สุขเกิดขึ้นมาเราก็ไปเป็นเจ้าของสุข มันก็สุข ก็เลยยึดมั่น ถือมั่น อันนั้นแหละ เป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นเขาขึ้นมาเดี๋ยวนั้น มันก็เลยเป็นเรื่องเป็นราวไปอีก ไม่จบ
การที่พวกเราทั้งหลายออกจากบ้านมาสู่ป่า ก็คือมาสงบอารมณ์ หนีออกมาเพื่อสู้ไม่ใช่หนีมาเพื่อหนี ไม่ใช่เพราะแพ้เราจึงมา คนที่อยู่ในป่าแล้วก็ไปติดป่าคนอยู่ในเมือง แล้วก็ไปติดเมืองนั้น เรียกว่า คนหลงป่า คนหลงเมือง
พระพุทธเจ้าท่านว่า ออกมาอยู่ป่าเพื่อกายวิเวก จิตวิเวกอุปธิวิเวกต่างหากไม่ใช่ให้มาติดป่า มาเพื่อฝึก เพื่อเพาะปัญญามาเพาะให้เชื้อปัญญามันมีขึ้นอยู่ในที่วุ่นวาย เชื้อปัญญามันเกิดขึ้นยาก จึงมาเพาะอยู่ในป่า เท่านั้นเองเพาะเพื่อจะกลับไปต่อสู้ในเมือง
เราหนีรูป หนีเสียง หนีกลิ่น หนีรส หนีโผฏฐัพพะ หนีธรรมารมณ์ มาอย่างนี้ไม่ใช่หนีเพื่อจะแพ้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้หนีมาเพื่อฝึก หรือมาเพาะให้ปัญญาเกิดแล้วจะกลับไปรบกับมัน จะกลับไปต่อสู้กับมันด้วยปัญญา
ไม่ใช่เข้าไปอยู่ในป่าแล้ว ไม่มีรูป เสียง กลิ่น รส แล้วก็สบาย ไม่ใช่อย่างนั้นแต่ต้องการจะมาฝึก เพาะเชื้อปัญญาให้เกิดขึ้นในป่า ในที่สงบ เมื่อสงบแล้วปัญญาจะเกิด
เมื่อใคร่ครวญพิจารณาแล้ว ก็จะเห็นว่า รูป เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อเรา ก็เพราะเราโง่เรายังไม่มีปัญญา แต่ความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้คือครูสอนเราอย่างดี
เมื่ออยู่ในป่าแล้ว อย่าไปยึดป่า อย่ามีอุปาทานในป่า เรามานี้เพื่อมาทำให้ปัญญาเกิดถ้ายังไม่มีปัญญา ก็จะเห็นว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นั้นเป็นปฏิปักษ์กับเราเป็นข้าศึกของเรา
ถ้าปัญญาเกิดขึ้นแล้ว รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะธรรมารมณ์ นั้น ไม่ใช่ข้าศึกแต่เป็นสภาวะที่ให้ความรู้ความเห็นแก่เราอย่างแจ้งชัด เมื่อสามารถกลับความเห็นอย่างนี้แสดงว่าปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว
ยกตัวอย่างง่ายๆอย่างไก่ป่า เราก็รู้กันทุกคนว่า ไก่ป่านั้นเป็นอย่างไรสัตว์ในโลกนี้ที่จะกลัวมนุษย์ยิ่งไปกว่าไก่ป่านั้นไม่มีแล้ว เมื่อมาอยู่ในป่านี้ครั้งแรกก็เคยสอนไก่ป่า เคยเฝ้าดูมัน แล้วก็ได้ความรู้จากไก่ป่าหลายอย่าง
ครั้งแรกมันมาเพียงตัวเดียว เดินผ่านมา เราก็เดินจงกรมอยู่ในป่า มันจะเข้ามาใกล้ก็ไม่มองมัน มันจะทำอะไรก็ไม่มองมัน ไม่ทำกิริยาอันใดกระทบกระทั่งมันเลย ต่อไปก็ลองหยุดมองดูมันพอสายตาเราไปถูกมันเข้า มันวิ่งหนีเลย แต่พอเราไม่มองมันก็คุ้ยเขี่ยอาหารกินตามเรื่องของมันแต่พอมองเมื่อไร ก็วิ่งหนีเมื่อนั้น
นานเข้าสักหน่อย มันคงเห็นความสงบของเรา จิตใจของมันก็เลยว่าง แต่พอหว่านข้าวให้เท่านั้นไก่มันก็หนีเลย ก็ช่างมันก็หว่านทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวมันก็กลับมาที่ตรงนั้นอีกแต่ยังไม่กล้ากินข้าวที่หว่านไว้ให้ มันไม่รู้จัก นึกว่าเราจะไปฆ่าไปแกงมันเราก็ไม่ว่าอะไร กินก็ช่าง ไม่กินก็ช่าง ไม่สนใจกับมัน
ไม่ช้า มันก็ไปคุ้ยเขี่ยหากินตรงนั้น มันคงเริ่มมีความรู้สึกของมันแล้ววันต่อมามันก็มาตรงนั้นอีก มันก็ได้กินข้าวอีก พอข้าวหมด ก็หว่านไว้ให้อีกมันก็วิ่งหนีอีก แต่เมื่อทำซ้ำอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ตอนหลังมันก็เพียงแต่เดินหนีไปไม่ไกลแล้วก็กลับมากินข้าวที่หว่านให้นั้น นี่ก็ได้เรื่องแล้ว
ตอนแรก ไก่มันเห็นข้าวสารเป็นข้าศึก เพราะมันไม่รู้จักเพราะมันดูไม่ชัดมันจึงวิ่งหนีเรื่อยไป ต่อมามันเชื่องเข้า จึงกลับมาดูตามความเป็นจริง ก็เห็นว่านี่ข้าวสารนี่ ไม่ใช่ข้าศึกไม่มีอันตราย มันก็มากินจนตลอดทุกวันนี้ นี่เรียกว่าเราก็ได้ความรู้จากมัน
เราออกมาอยู่ในป่า ก็นึกว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏ-ฐัพพะ ธรรมารมณ์ ในบ้านเป็นข้าศึกต่อเราจริงอยู่ เมื่อเรายังไม่รู้ มันก็เป็นข้าศึกจริงๆ แต่ถ้าเรารู้ตามความเป็นจริงของมันแล้วก็เหมือนไก่รู้จักข้าวสารว่าเป็นข้าวสาร ไม่ใช่ข้าศึก ข้าศึกก็หายไป
เรากับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็เหมือนกันฉันนั้น มันไม่ใช่ข้าศึกของเราหรอกแต่เพราะเราคิดผิด เห็นผิด พิจารณาผิด จึงว่ามันเป็นข้าศึก ถ้าพิจารณาถูกแล้วก็ไม่ใช่ข้าศึก แต่กลับเป็นสิ่งที่ให้ความรู้ ให้วิชา ให้ความฉลาดแก่เราต่างหาก

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-1-28 18:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แต่ถ้าไม่รู้ ก็คิดว่าเป็นข้าศึก เหมือนกันกับไก่ที่เห็นข้าวสารเป็นข้าศึกมันนั่นแหละถ้าเห็นข้าวสารเป็นข้าวสารแล้วข้าศึกมันก็หายไป พอเป็นอย่างนี้ก็เรียกว่าไก่มันเกิดวิปัสสนาแล้ว เพราะมันรู้ตามเป็นจริง มันจึงเชื่อง ไม่กลัว ไม่ตื่นเต้น
เรานี้ก็เหมือนกันฉันนั้น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะธรรมารมณ์ เป็นเครื่องให้เราตรัสรู้ธรรมะเป็นที่ให้ข้อคิดแก่ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ถ้าเราเห็นชัดตามเป็นจริงแล้ว ก็จะเป็นอย่างนั้นถ้าไม่เห็นชัดก็จะเป็นข้าศึกต่อเราตลอดไป แล้วเราก็จะหนีไปอยู่ป่าเรื่อยๆ
อย่านึกว่าเรามาอยู่ป่าแล้ว ก็สบายแล้ว อย่าคิดอย่างนั้นอย่าเอาอย่างนั้นอย่าเอาความสงบแค่นั้น ว่าเราไม่ค่อยได้เห็นรูป ไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้กลิ่นไม่ได้รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์แล้วเราก็อยู่สบายแล้ว อย่าคิดเพียงแค่นั้น ให้คิดว่าเรามาเพื่อเพาะเชื้อปัญญาให้เกิดขึ้น เมื่อมีปัญญารู้ตามเป็นจริงแล้ว ก็ไม่ลุ่มๆดอนๆไม่ต่ำๆสูงๆ
พอถูกอารมณ์ดีก็เป็นอย่างหนึ่ง ถูกอารมณ์ร้ายก็เป็นอย่างหนึ่ง ถูกอารมณ์ที่ชอบใจก็เป็นอย่างหนึ่งถูกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจก็เป็นอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นอย่างนี้ก็แสดงว่ามันยังเป็นข้าศึกอยู่ถ้าหมดข้าศึกแล้วมันจะเสมอกัน ไม่ลุ่มๆดอนๆ ไม่ต่ำๆสูงๆ รู้เรื่องของโลกว่ามันอย่างนั้นเองเป็นโลกธรรม โลกธรรมเลยเปลี่ยนเป็นมรรค โลกธรรมมีแปดอย่าง มรรคก็มีแปดอย่างโลกธรรมอยู่ที่ไหน มรรคก็อยู่ที่นั่น ถ้ารู้แจ้งเมื่อใด โลกธรรมเลยกลายเป็นมรรคแปดถ้ายังไม่รู้ มันก็ยังเป็นโลกธรรม
เมื่อสัมมาทิฐิเกิดขึ้นก็เป็นดังนี้ มันพ้นทุกข์อยู่ที่ตรงนี้ไม่ใช่พ้นทุกข์โดยวิ่งไปที่ตรงไหนฉะนั้นอย่าพรวดพราด การภาวนาต้องค่อยๆทำ การทำความสงบต้องค่อยๆทำ มันจะสงบไปบ้างก็เอามันจะไม่สงบไปบ้างก็เอาเรื่องจิตมันเป็นอย่างนั้น เราก็อยู่ของเราไปเรื่อยๆ
บางครั้งปัญญามันก็ไม่เกิด ก็เคยเป็นเหมือนกัน เมื่อไม่มีปัญญา จะไปคิดให้ปัญญามันเกิดมันก็ไม่เกิด มันเฉยๆอยู่อย่างนั้น ก็เลยมาคิดใหม่ เราจะพิจารณาสิ่งที่ไม่มีมันก็ไม่ได้ เมื่อไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องไปแก้มัน ไม่มีปัญหาก็ไม่ต้องไปแก้มันไม่ต้องไปค้นมัน อยู่ไปเฉยๆธรรมดาๆอย่างนั้นแหละแต่ต้องอยู่ด้วยความมีสติสัมปชัญญะอยู่ด้วยปัญญา ไม่ใช่อยู่เพลินไปตามอารมณ์ อยู่ด้วยความระมัดระวังปฏิบัติของเราไปเรื่อยๆถ้ามีเรื่องอะไรมา ก็พิจารณา ถ้าไม่มีก็แล้วไป
ได้ไปเห็นแมงมุมเป็นตัวอย่าง แมงมุมทำรังของมันเหมือนข่าย มันสานข่ายไปขึงไว้ตามช่องต่างๆเราไปนั่งพิจารณาดูมันทำข่ายขึงไว้เหมือนจอหนัง เสร็จแล้วมันก็เก็บตัวมันเองเงียบอยู่ตรงกลางข่ายไม่วิ่งไปไหน พอมีแมลงวันหรือแมลงอื่นๆ บินผ่านข่ายของมัน พอถูกข่ายเท่านั้นข่ายก็สะเทือน พอข่ายสะเทือนปุ๊บ มันก็วิ่งออกจากรังทันที ไปจับตัวแมลงไว้เป็นอาหารเสร็จแล้วมันก็เก็บไว้ที่กลางตาข่ายตามเดิม ไม่ว่าจะมีผึ้งหรือแมลงอื่นใดมาถูกข่ายของมันพอข่ายสะเทือน มันก็วิ่งออกมาจับแมลงนั้น แล้วก็กลับไปเกาะนิ่งอยู่ที่ตรงกลางข่ายไม่ให้ใครเห็นทุกทีไป
พอได้เห็นแมงมุมทำอย่างนั้น เราก็มีปัญญาแล้วอายตนะทั้งหก คือ ตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ นี้ ใจอยู่ตรงกลาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แผ่พังพานออกไป อารมณ์นั้นเหมือนแมลงต่างๆพอรูปมาก็มาถึงตาเสียงมาก็มาถึงหู กลิ่นมาก็มาถึงจมูก รสมาก็มาถึงลิ้น โผฏฐัพพะมาก็มาถึงกายใจเป็นผู้รู้จัก มันก็สะเทือนถึงใจ เท่านี้ก็เกิดปัญญาแล้ว
เราจะอยู่ด้วยการเก็บตัวไว้ เหมือนแมงมุม ที่เก็บตัวไว้ในข่ายของมัน ไม่ต้องไปไหนพอแมลงต่างๆมันผ่านข่าย ก็ทำให้สะเทือนถึงตัว รู้สึกได้ ก็ออกไปจับแมลงไว้แล้วก็กลับไปอยู่ที่เดิม
ไม่แตกต่างอะไรกับใจของเราเลย อยู่ตรงนี้ ให้อยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ อยู่ด้วยความระมัดระวังอยู่ด้วยปัญญา อยู่ด้วยความคิดถูกต้อง เราอยู่ตรงนี้ เมื่อไม่มีอะไร เราก็อยู่เฉยๆแต่ไม่ใช่อยู่ด้วยความไม่ประมาท
ถึงเราจะไม่เดินจงกรม ไม่นั่งสมาธิ ไม่อะไรก็ช่างเถิดแต่เราอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะอยู่ด้วยความระมัดระวัง อยู่ด้วยปัญญาไม่ใช่อยู่ด้วยความประมาท นี่เป็นสิ่งสำคัญไม่ใช่เราจะนั่งตลอดวันตลอดคืน เอาแต่พอกำลังของเรา ตามสมควรแก่ร่างกายของเรา
แต่เรื่องจิตนี้ เป็นของสำคัญมาก ให้รู้อายตนะว่ามันส่งส่ายเข้ามาเป็นอย่างไรให้รู้จักสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เหมือนแมงมุมที่พอข่ายสะเทือน มันก็วิ่งไปจับเอาตัวแมลงได้ทันที
ฉะนั้น เมื่ออารมณ์มากระทบอายตนะ มันก็มาถึงจิตทันที เมื่อไปจับผ่านทุกข์ก็ให้เห็นมันโดยความเป็นอนิจจังทุกขัง อนัตตา แล้วจะเอามันไปไว้ที่ไหนล่ะอนิจจัง ทุกขังอนัตตา เหล่านี้ก็เอาไปไว้เป็นอาหารของจิตของเรา ถ้าทำได้อย่างนี้มันก็หมดเท่านั้นแหละ
จิตที่มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นอาหาร เป็นจิตที่กำหนดรู้ เมื่อรู้ว่าอันนั้นเป็นอนิจจังมันก็ไม่เที่ยง ทุกขังเป็นทุกข์ อนัตตา ก็ไม่ใช่เราแล้ว ดูมันให้ชัด มันไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์ มันไม่เป็นแก่นสาร จะเอามันไปทำไม มันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของเราจะไปเอาอะไรกับมัน มันก็หมดตรงนี้
ดูแมงมุมแล้ว ก็น้อมเข้ามาหาจิตของเรา มันก็เหมือนกันเท่านั้น ถ้าจิตเห็นอนิจจังทุกขัง อนัตตา มันก็วาง ไม่เป็นเจ้าของสุข ไม่เป็นเจ้าของทุกข์อีกแล้ว ถ้าเห็นชัดได้อย่างนี้มันก็ได้ความเท่านั้นแหละจะทำอะไรๆอยู่ก็สบาย ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว มีแต่การภาวนาจะเจริญยิ่งขึ้นเท่านั้น
ถ้าทำอย่างนี้อยู่ด้วยความระมัดระวัง ก็เป็นการที่เราจะพ้นจากวัฏสงสารได้ที่เรายังไม่พ้นจากวัฏสงสาร ก็เพราะยังปรารถนาอะไรๆอยู่ทั้งนั้น การไม่ทำผิดไม่ทำบาปนั้น มันอยู่ในระดับศีลธรรม เวลาสวดมนต์ก็ว่า ขออย่าให้พลัดพรากจากของที่รักที่ชอบใจอย่างนี้มันเป็นธรรมของเด็กน้อย เป็นธรรมของคนที่ยังปล่อยอะไรไม่ได้ นี่คือความปรารถนาของคนปรารถนาให้อายุยืน ปรารถนาไม่อยากตาย ปรารถนาไม่อยากเป็นโรค ปรารถนาไม่อยากอย่างนั้นอย่างนี้นี่แหละความปรารถนาของคน
"ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง" ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์นี่แหละมันสับหัวเข้าไปอีก มันเป็นเรื่องปรารถนาทั้งนั้น ไม่ว่าใครก็ปรารถนาอย่างนั้นทุกคนไม่เห็นมีใครอยากหมด อยากจนจริงๆสักคน
การปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งละเอียด ผู้มีกิริยานุ่มนวลสำรวมปฏิบัติไม่เปลี่ยนแปลงสม่ำเสมออยู่เรื่อย นั่นแหละจึงจะรู้จัก มันจะเกิดอะไรก็ช่างมันเถิด ขอแต่ให้มั่นคงแน่วแน่เอาไว้อย่าซวนเซหวั่นไหว

ที่มา http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/ ... ces_of_Reality.html

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้