ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

"ป้อม"เล่าเรื่อง

[คัดลอกลิงก์]
31#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-7 19:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
       

ตำรายามสามตา



            ท่านท้าวตรีเนตร เล็งญาณทราบเหตุ แต่ยามสามตา คือยามทิพยยนต์ ยามนี้วิเศษ ท่านท้าวเทเวศน์ หยั่งรู้เหตุผล ผู้ใดได้พบ ยามเจ้าจุมพล อาจเข้าใจคน รู้ทุกประการ
            เดือนแรมบ่ ผิด ให้นับ อาทิตย์ มาหาอังคาร เวียนไปตามค่ำ แล้วจึงนับยาม ชอบเวลางาม จึงทายอย่าคลาด
            ถ้าเดือนขึ้นไซร้ นับอาทิตย์ไปหาจันทกลา นับตามค่ำแล้ว จึงนับยามมาให้ชอบเวลา แม่นแล้วจึงทาย
            กำลังอังคาร ท่านท้าวมัฆวาน บอกไว้โดยหมาย จันทร์ปลอดมัธยม นิคมอุบาย ยามเจ้าฤาสาย เที่ยงแท้สัตย์จริง
            อาทิตย์ คือสีใส กำหนดลงไว้ อย่าได้ยุ่งยิ่ง ตรองให้เห็นเงื่อน อย่าเชือนประวิง ถูกแน่แท้จริง อย่ากริ่งสงสัย
            ถ้าดูสู้กัน  เล็งดูยามนั้น จะเป็นฉันใด ถ้ากำอยู่หลัง เบื้องหน้ายามใส ว่าเขาจักได้ เราแพ้เสียตน
            ถ้ากำอยู่หน้า ยามใสโสภา อยู่หลังเป็นต้น เขาพ่ายแพ้กุมเอา
            ถ้าข้าศึกมา  ถ้ากำอยู่หน้า ศึกมาถึงเรา ถ้าใสอยู่หน้า มาแล้วกลับเล่า หน้าปลอดจักเปล่า ถ้าเจ็บอย่าฟัง
            คนมากเท่าใด  ถ้าหน้ากำไซร้ คนมากโดยหวัง ถ้าว่าหน้าใส คนน้อยอย่าฟัง ถ้าปลอดอย่าหวัง หาไม่สักคน
            คนหาญหรือขลาด  หน้ากำสามารถ เรี่ยวแรงแสนกล หน้าใสพอดี บ่มีฤทธิรน หน้าปลอดอำพน ว่าชายเหมือนหญิง
            ถืออันใดมา  หน้ากำโสกา คือศาสตราจริง หน้าใสถือไม้ มาได้สักสิ่ง หน้าปลอดประวิง ว่าเดินเปล่ามา
            ว่าสูงหรือต่ำ  หน้ากำควรจำ ว่าสูงโสภา หน้าใสปานกลาง ปลอดต่ำ หนักหนา ทายตามเวลา ยามเจ้าไตรตรึงส์
            ว่างามมิงาม  หน้ากำอย่าขาม ว่างามบ่ถึง หน้าใสงามนัก หน้าปลอดพอถึง ยามเจ้าไตรตรึงส์
            ว่าหนุ่มหรือแก่  หน้ากำนั้นแล ว่าแก่ชรา หน้าใสกลางคน ปลอดเด็กหนักหนา ประคินเวลา แม่นแล้วจึงทาย
            คนผอม หรือพี  หน้ากำหมองศรี ว่าพีพ่วงกาย หน้าใสพอดี ฉวีเฉิดฉาย หน้าปลอดเร่งทาย ว่าผอมเสียศรี
            ดำแดงหรือขาว  หน้ากำควรกล่าว ว่าดำอัปรีย์ หน้าใสดำแดง เป็นแสงมีศรี หน้าปลอดขาวดี เที่ยงแท้โดยถวิล
            ต้นลงหรือปลายลง  หน้ากำเร่งทาย ว่าปลายลงดิน หน้าใสปลายขึ้น ต้นลงอาจิณ หน้าปลอดเร่งถวิล ว่านอนราบลง
            สุกหรือดิบห่าม  หน้ากำอย่าขาม ว่าสุกโดยตรง หน้าใสห่ามแท้ ทายแต่โดยตรง หน้าปลอดเร่งปลง ว่าดิบหนักหนา
            ว่าหญิงหรือชาย  หนำกำเร่งทาย ว่าชายละนา หน้าใสบัณฑิต พึงพิศโสภา หน้าปลอดทายว่า เป็นหญิงโสภาโดยหมาย
            เต็มหรือพร่องแห้ง  หน้ากำควรแถลง ว่าเต็มบ่มิคลา หน้าใสมิเต็ม งวดเข้มจงทาย หน้าปลอดกลับกลาย ว่าแห้งห่อนมี
            ขุนนางหรือไพร่  หน้ากำควรไข ว่าคุณมีส หน้าใสโสภา วาสนาพอดี หน้าปลอดกาลี เข็ญใจหนักหนา
            ไข้เป็นหรือตาย  หน้ากำเร่งทาย ว่าตาย บ่ คลา หน้าใสว่าไข้ ลำบากหนักหนา หน้าปลอดทายว่า ไข้นั้น บ่ ตาย
            ท่านรักหรือชัง  หน้ากำท่านหวัง รักดังลูกชาย หน้าใสมิรักมิชังโดยหมาย หน้าปลอดเร่งทาย ว่าชังหนักหนา
            หน้าจืดหรือหวาน  หน้ากำเปรียบปาน น้ำตาลโอชา หน้าใสรสหวาน ประมาณรสา หน้าปลอดทายว่า จืดชืดมิดี
            หน้าขม หรือเฝื่อนฝาด  หน้ากำสามารถ ว่าขมแสนทวี หน้าใสทายว่า ฝาดนักมิดี หน้าปลอดตรงที่ ว่าจืดจริงนา
            ว่าอยู่ หรือไป  ถ้าหน้ากำไซร้ ว่าไป บ่ ช้า หน้าใสแม้นไป กลางทางกลับมา หน้าปลอดทายว่า ว่าแต่จะไป
            สี่ตีนหรือสอง  หน้ากำควรสนอง ว่าสีตีนแท้ หน้าใสสองตีน ประคีนจงแน่ หน้าปลอดจงแก้ว่าตีน บ่ มี
            แม้นดูของหาย  หน้ากำเร่งทาย ว่าได้บัดนี้ หน้าใสแม้นได้ ช้าเจียนขวบปี หน้าปลอดหน่ายหนี บ่ ได้เลยนา
            แม้นดูปลูกเรือน  นับยามอย่าเชือน เร่งทายอย่าคลา แม้กำอยู่หลัง ยามใสอยู่หน้า ว่าดีหนักหนา ถาวรมีศรี หน้ากำนำพา คือ กำอยู่หน้า ท่านว่ามิดี แม่เรือนจะตาย วอดวายเป็นผี หน้าปลอดมิดี บอกให้รู้นา
            ว่าคว่ำหรือหงาย  หน้ากำเร่งทาย ว่าคว่ำ บ่ คลา หน้าใสหงายแท้ นอนแผ่อยู่นา หน้าปลอดทายว่า คะแคงแฝงตน
            ยามนี้วิเศษ ท่านท้าวตรีเนตร หยั่งรู้เหตุผล คือเนตรท่านเอง แลเล็งทิพยยนต์ สมเด็จจุมพล ให้ไว้เราทาย
            ผู้ใดได้พบ ยามเจ้าไตรภพ ร่ำเรียนกฎหมาย เดือนขึ้นเดือนลง วันคืนเช้าสาย ให้แม่นแล้วทายอย่าคลาดเวลา
            พระอาทิตย์ฤทธิไกร คือเนตรท้าวไท ท่านท้าวพันตา อยู่ตรวนลาด พระบาทภูวนา ดูงามหนักหนา รุ่งเรืองเฉิดฉัน
            ครั้นจักมีเหตุ ร้อนอาสน์ตรีเนตร ตรึกเหตุด้วยพลัน เล็งแลทั่วโลก ทุกทิศหฤหรรษ์ พระองค์ทรงธรรม์ เล็งตาทิพย์พราย
            ท่านให้นับยาม ครั้นรุ่งอร่าม สวยงามแก่งาย แม้ตะวันเที่ยง เฉวียงวันฉาย สายบ่ายแล้ว บ่ คลาย ฝ่ายค่ำสุริยัน
            ค่ำเฒ่าเข้านอน เด็กหลับกลับผ่อน ให้นอนเงียบพลัน เที่ยงคืนยามสาม ล่วงเข้าไก่ขัน ใกล้สุริยัน สุวรรณเรืองรอง
            ตำรานี้นะ ของท่านคุณพระ ครูเทพจอมทอง มาให้สมุห์วาสน์ สามารถท่องจำ ไว้สืบสนอง บทเบื้องต่อบรรพ์
            ข้าพระสมุห์ คิดอ่านทำนุ บำรุงเสกสรร เป็นกลอนกาพย์สาส์น วิลาสนี้พลัน ยี่สิบแปดบรรพ์ เป็นฉันท์บรรยาย
32#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-7 19:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
       

ตำรายามสามตา



            ท่านท้าวตรีเนตร เล็งญาณทราบเหตุ แต่ยามสามตา คือยามทิพยยนต์ ยามนี้วิเศษ ท่านท้าวเทเวศน์ หยั่งรู้เหตุผล ผู้ใดได้พบ ยามเจ้าจุมพล อาจเข้าใจคน รู้ทุกประการ
            เดือนแรมบ่ ผิด ให้นับ อาทิตย์ มาหาอังคาร เวียนไปตามค่ำ แล้วจึงนับยาม ชอบเวลางาม จึงทายอย่าคลาด
            ถ้าเดือนขึ้นไซร้ นับอาทิตย์ไปหาจันทกลา นับตามค่ำแล้ว จึงนับยามมาให้ชอบเวลา แม่นแล้วจึงทาย
            กำลังอังคาร ท่านท้าวมัฆวาน บอกไว้โดยหมาย จันทร์ปลอดมัธยม นิคมอุบาย ยามเจ้าฤาสาย เที่ยงแท้สัตย์จริง
            อาทิตย์ คือสีใส กำหนดลงไว้ อย่าได้ยุ่งยิ่ง ตรองให้เห็นเงื่อน อย่าเชือนประวิง ถูกแน่แท้จริง อย่ากริ่งสงสัย
            ถ้าดูสู้กัน  เล็งดูยามนั้น จะเป็นฉันใด ถ้ากำอยู่หลัง เบื้องหน้ายามใส ว่าเขาจักได้ เราแพ้เสียตน
            ถ้ากำอยู่หน้า ยามใสโสภา อยู่หลังเป็นต้น เขาพ่ายแพ้กุมเอา
            ถ้าข้าศึกมา  ถ้ากำอยู่หน้า ศึกมาถึงเรา ถ้าใสอยู่หน้า มาแล้วกลับเล่า หน้าปลอดจักเปล่า ถ้าเจ็บอย่าฟัง
            คนมากเท่าใด  ถ้าหน้ากำไซร้ คนมากโดยหวัง ถ้าว่าหน้าใส คนน้อยอย่าฟัง ถ้าปลอดอย่าหวัง หาไม่สักคน
            คนหาญหรือขลาด  หน้ากำสามารถ เรี่ยวแรงแสนกล หน้าใสพอดี บ่มีฤทธิรน หน้าปลอดอำพน ว่าชายเหมือนหญิง
            ถืออันใดมา  หน้ากำโสกา คือศาสตราจริง หน้าใสถือไม้ มาได้สักสิ่ง หน้าปลอดประวิง ว่าเดินเปล่ามา
            ว่าสูงหรือต่ำ  หน้ากำควรจำ ว่าสูงโสภา หน้าใสปานกลาง ปลอดต่ำ หนักหนา ทายตามเวลา ยามเจ้าไตรตรึงส์
            ว่างามมิงาม  หน้ากำอย่าขาม ว่างามบ่ถึง หน้าใสงามนัก หน้าปลอดพอถึง ยามเจ้าไตรตรึงส์
            ว่าหนุ่มหรือแก่  หน้ากำนั้นแล ว่าแก่ชรา หน้าใสกลางคน ปลอดเด็กหนักหนา ประคินเวลา แม่นแล้วจึงทาย
            คนผอม หรือพี  หน้ากำหมองศรี ว่าพีพ่วงกาย หน้าใสพอดี ฉวีเฉิดฉาย หน้าปลอดเร่งทาย ว่าผอมเสียศรี
            ดำแดงหรือขาว  หน้ากำควรกล่าว ว่าดำอัปรีย์ หน้าใสดำแดง เป็นแสงมีศรี หน้าปลอดขาวดี เที่ยงแท้โดยถวิล
            ต้นลงหรือปลายลง  หน้ากำเร่งทาย ว่าปลายลงดิน หน้าใสปลายขึ้น ต้นลงอาจิณ หน้าปลอดเร่งถวิล ว่านอนราบลง
            สุกหรือดิบห่าม  หน้ากำอย่าขาม ว่าสุกโดยตรง หน้าใสห่ามแท้ ทายแต่โดยตรง หน้าปลอดเร่งปลง ว่าดิบหนักหนา
            ว่าหญิงหรือชาย  หนำกำเร่งทาย ว่าชายละนา หน้าใสบัณฑิต พึงพิศโสภา หน้าปลอดทายว่า เป็นหญิงโสภาโดยหมาย
            เต็มหรือพร่องแห้ง  หน้ากำควรแถลง ว่าเต็มบ่มิคลา หน้าใสมิเต็ม งวดเข้มจงทาย หน้าปลอดกลับกลาย ว่าแห้งห่อนมี
            ขุนนางหรือไพร่  หน้ากำควรไข ว่าคุณมีส หน้าใสโสภา วาสนาพอดี หน้าปลอดกาลี เข็ญใจหนักหนา
            ไข้เป็นหรือตาย  หน้ากำเร่งทาย ว่าตาย บ่ คลา หน้าใสว่าไข้ ลำบากหนักหนา หน้าปลอดทายว่า ไข้นั้น บ่ ตาย
            ท่านรักหรือชัง  หน้ากำท่านหวัง รักดังลูกชาย หน้าใสมิรักมิชังโดยหมาย หน้าปลอดเร่งทาย ว่าชังหนักหนา
            หน้าจืดหรือหวาน  หน้ากำเปรียบปาน น้ำตาลโอชา หน้าใสรสหวาน ประมาณรสา หน้าปลอดทายว่า จืดชืดมิดี
            หน้าขม หรือเฝื่อนฝาด  หน้ากำสามารถ ว่าขมแสนทวี หน้าใสทายว่า ฝาดนักมิดี หน้าปลอดตรงที่ ว่าจืดจริงนา
            ว่าอยู่ หรือไป  ถ้าหน้ากำไซร้ ว่าไป บ่ ช้า หน้าใสแม้นไป กลางทางกลับมา หน้าปลอดทายว่า ว่าแต่จะไป
            สี่ตีนหรือสอง  หน้ากำควรสนอง ว่าสีตีนแท้ หน้าใสสองตีน ประคีนจงแน่ หน้าปลอดจงแก้ว่าตีน บ่ มี
            แม้นดูของหาย  หน้ากำเร่งทาย ว่าได้บัดนี้ หน้าใสแม้นได้ ช้าเจียนขวบปี หน้าปลอดหน่ายหนี บ่ ได้เลยนา
            แม้นดูปลูกเรือน  นับยามอย่าเชือน เร่งทายอย่าคลา แม้กำอยู่หลัง ยามใสอยู่หน้า ว่าดีหนักหนา ถาวรมีศรี หน้ากำนำพา คือ กำอยู่หน้า ท่านว่ามิดี แม่เรือนจะตาย วอดวายเป็นผี หน้าปลอดมิดี บอกให้รู้นา
            ว่าคว่ำหรือหงาย  หน้ากำเร่งทาย ว่าคว่ำ บ่ คลา หน้าใสหงายแท้ นอนแผ่อยู่นา หน้าปลอดทายว่า คะแคงแฝงตน
            ยามนี้วิเศษ ท่านท้าวตรีเนตร หยั่งรู้เหตุผล คือเนตรท่านเอง แลเล็งทิพยยนต์ สมเด็จจุมพล ให้ไว้เราทาย
            ผู้ใดได้พบ ยามเจ้าไตรภพ ร่ำเรียนกฎหมาย เดือนขึ้นเดือนลง วันคืนเช้าสาย ให้แม่นแล้วทายอย่าคลาดเวลา
            พระอาทิตย์ฤทธิไกร คือเนตรท้าวไท ท่านท้าวพันตา อยู่ตรวนลาด พระบาทภูวนา ดูงามหนักหนา รุ่งเรืองเฉิดฉัน
            ครั้นจักมีเหตุ ร้อนอาสน์ตรีเนตร ตรึกเหตุด้วยพลัน เล็งแลทั่วโลก ทุกทิศหฤหรรษ์ พระองค์ทรงธรรม์ เล็งตาทิพย์พราย
            ท่านให้นับยาม ครั้นรุ่งอร่าม สวยงามแก่งาย แม้ตะวันเที่ยง เฉวียงวันฉาย สายบ่ายแล้ว บ่ คลาย ฝ่ายค่ำสุริยัน
            ค่ำเฒ่าเข้านอน เด็กหลับกลับผ่อน ให้นอนเงียบพลัน เที่ยงคืนยามสาม ล่วงเข้าไก่ขัน ใกล้สุริยัน สุวรรณเรืองรอง
            ตำรานี้นะ ของท่านคุณพระ ครูเทพจอมทอง มาให้สมุห์วาสน์ สามารถท่องจำ ไว้สืบสนอง บทเบื้องต่อบรรพ์
            ข้าพระสมุห์ คิดอ่านทำนุ บำรุงเสกสรร เป็นกลอนกาพย์สาส์น วิลาสนี้พลัน ยี่สิบแปดบรรพ์ เป็นฉันท์บรรยาย
ยามสามตาอีกตำราหนึ่ง


            เมื่อจะดูยามสามตานี้ ถ้าเดือนข้างขึ้น ให้นับแต่อาทิตย์มาหาจันทร์ ถ้าเดือนข้างแรม ให้นับแต่จันทร์มาหาอังคาร เมื่อได้เศษเท่าใดแล้ว ให้ทายตามเศษนั้น ๆ ดังนี้
            ถ้าดูของหาย ถ้าเศษ ๑ คนในเรือนเอาไปซ่อนไว้ ให้หาจงดี ถ้าเศษ ๒ คนมาสำนักอาศัย ลักไปซ่อนไว้หนบูรพา แลทักษิณ จะมีพี้น้องเอามาคืนให้ ถ้าเศษ ๓ ของนั้นอยู่ทิศประจิม และพายัพ จะได้คืนแล
            ถ้าเขาถามว่า ผู้ลักไปนั้นหญิงหรือชาย ถ้าเศษ ๑ ว่าผู้หญิงเรือนเดียวกัน ลักไปซ่อนไว้ แทบฝั่งน้ำ และประตูใหญ่ ถ้าเศษ ๒ ทายว่า ผู้ชายบัณฑิตลักไปไว้แทบประตู เศษ ๓ ผู้ใหญ่ต่างเรือนลักไป แล
            ถ้าดูตาย  ถ้าเศษ ๑ ว่ามิตาย มีผู้เลี้ยงรักษา ถ้าเศษ ๒ มิเป็นไร มีผู้จะเลี้ยงรักษา แต่ว่าจะได้ลำบาก ถ้าเศษ ๓ ว่าตายจริง แล
            ถ้าถามว่าศึกจะมาหรือไม่  ถ้าเศษ ๑ ว่ามิมา ถ้าเศษ ๒ มาถึงครึ่งทาง ถ้าเศษ ๓ จะมาถึงพลัน แล
            ถ้าถามว่าผู้ใดจะมา  ถ้าเศษ ๑ ตัวพระยามาเอง ถ้าเศษ ๒ มาแต่เสนาผู้ใหญ่ มากึ่งหนทางแล้วกลับไป ถ้าเศษ ๓ มาแต่นายทหารผู้ใหญ่ แล
            ถ้าถามว่ามาถึงวันใด  ถ้าเศษ ๑ มาถึงวันนี้ ถ้าเศษ ๔,๕,๖,๗ ไม่มา ถ้าเศษ ๒ จะมาถึงใน ๑-๒ วัน ถ้าเศษ ๓ มามิมาเท่ากัน แล
            ถ้าถามว่าแพ้หรือชนะ  ถ้าเศษ ๑ หนีเรา ถ้าเศษ ๒ แรงเท่ากับ ถ้าเศษ ๓ เขามาแรงกว่าเรา ตั้งทัพอยู่ทิศพายัพ สองวันจึงจะชนะ แล
            ถ้าถามว่าไปทัพ จะได้รบหรือไม่ได้รบ  ถ้าเศษ ๑ มิได้รบ ถ้าเศษ ๒ ได้รบสักหน่อยหนึ่ง ถ้าเศษ ๓ ตั้งทัพรบ แล
            ถ้าถามว่าจะได้หรือไม่ได้  ถ้าเศษ ๑ ว่าจะได้ต้นทาง จะเอาได้หลาย ถ้าเศษ ๒ ว่ามิได้ ถ้าเศษ ๓ จะได้ภายนอกเมือง แล
            ถ้าถามว่าจะได้เชลยหรือมิได้  ถ้าเศษ ๑ ว่าจะได้ ถ้าเศษ ๒ ได้แต่มนตรี และนางเทวี ถ้าเศษ ๓ จะได้ขุนนางผู้ใหญ่ แล
            ถ้าถามว่ามีที่ไปจะมาช้าหรือมาเร็ว  ถ้าเศษ ๑ ว่ายังมิมา ถ้าเศษ ๒ เพิ่งจะมา ถ้าเศษ ๓ มาถึงในเดี๋ยวนี้ ถ้าวันนี้ไม่มาอีก ๓ วันหรือ ๗ วัน จะมา แล
            ถ้าถามว่าจะไปบกหรือไปเรือดี  ถ้าเศษ ๑ ไปบกดี ถ้าเศษ ๒ ไปเรือแต่พอคุ้มตัว ถ้าเศษ ๓ ไปบกมีลาภสองประการ แต่ไม่มีลาภต่อหน้า แล
            ถ้าถามว่าไปรบโจรจะแพ้หรือชนะ  ถ้าเศษ ๑ ว่าเราชนะ ถ้าเศษ ๒ แรงเท่ากัน ถ้าเศษ ๓ โจรแรงกว่าเรา แล
33#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-7 20:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
         พบตำราพิชัยสงคราม 2 เล่มที่เมืองเพชรบูรณ์ นักวิชาการเชื่ออายุกว่า 200 ปี ชี้เป็นฉบับกลางแปลง ใช้จริงในการทำสงคราม มีรูปภาพการตั้งทัพ ผังกำลังศึก เผยเป็นฉบับภาพที่สมบูรณ์ที่สุดหลังพบมาแล้ว 3 เล่ม เล็งศึกษานำมาใช้ในการศึกใด ยกให้เป็นฉบับ "พรหมบุญ" เป็นเกียรติแก่ตระกูลที่ครอบครอง
         นายปริญญา สัญญะเดช นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธไทยโบราณและเจ้าของพิพิธภัณฑ์บ้านขุนศึก กรุงเทพมหานคร (กทม.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ว่า ได้พบตำราพิชัยสงคราม ที่คาดว่าเป็นฉบับหลวง อายุประมาณ 200 ปี โดยเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้ร่วมประชุมกับนายกองเอกวิลาศ รุจิวัฒนพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ นางธีรพร พรพฤฒิพันธุ์ นายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ นายวิศัลย์ โฆษิตานนท์ อดีตนายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ ที่หอประวัติศาสตร์เพชบุระ อ.เมืองเพชรบูรณ์ กรณีการพบตำราพิชัยสงครามล้ำค่า คาดอยู่ในช่วงยุคสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์มีอายุเก่าแก่ราว 200 ปี ซึ่งนายมาวิณห์ พรหมบุญ นำมามอบให้ และได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่หอประวัติศาสตร์เพชบุระ
34#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-7 20:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
35#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-11 18:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


[size=+2]
เกษตรทฤษฎีใหม่

การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นทฤษฎีแห่งการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและการบริหารงานในการทำการเกษตรที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ทรงพระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทย เพื่อแก้ไขปัญหาการเกษตร โดยการแบ่งพื้นที่การเกษตรออกเป็น 4 ส่วน คือ ส่วนที่หนึ่งขุดสระกักเก็บน้ำ จำนวน 30% ของพื้นที่ ส่วนที่สอง ปลูกข้าว จำนวน 30% ของพื้นที่ ส่วนที่สาม ปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น และส่วนที่สี่ เป็น พื้นที่ที่ใช้สร้างสิ่งปลูกสร้างเช่น ที่อยู่อาศัย โรงเรือนเลี้ยงสัตว์ ฉาง จำนวน 10% ของพื้นที่ จำนวนสัดส่วนของพื้นที่นี้ทั้งหมดสามารถปรับเพิ่มหรือลด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสภาพพื้นที่แต่ละแห่ง เช่นครอบครัวหนึ่งมีสมาชิกจำนวน 4 คน พื้นที่มีแหล่งน้ำใช้ได้ตลอดทั้งปี แต่ดินม ีความอุดมสมบูรณ์ต่ำก็ควรปรับลดพื้นที่ขุดสระ และเพิ่มพื้นที่นาข้าวเพื่อให้มีข้าวบริโภคเพียงพอตลอดทั้งปี



พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง จำนวน 3.6 ไร่ (30%) ขุดสระกักเก็บน้ำจำนวน 2 สระ สามารถกักเก็บน้ำ ได้รวม 10,455 ลูกบาศก์เมตร เพียงพอ ต่อการนำน้ำมาใช้ ในการทำการเกษตรได้ทั้งป ีแต่การผันน้ำมาใช้นั้น ยังคงต้องใช้เครื่องจักรกลในการสูบน้ำมาใช้ ทำให้สูญเสียพลังงานเชื้อเพลิง
จำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ถ้าสามารถลดการใช้พลังงานลงได้หรือ หาพลังงาน เชื้อเพลิงอื่นทดแทน หรือมีการวางแผนการใช้น้ำ เช่น หากพื้นที่มีระดับที่ต่างกันมาก สามารถวางท่อนำน้ำออกมาใช้โดยไม่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำและน้ำมัน เป็นการจัดการทำให้
ต้นทุนการเกษตรลดลงได้ในระยะยาว


พื้นที่ส่วนที่สอง 3.6 ไร่ (30%) ใช้ปลูกข้าว ดำเนินการในปี 2547 เตรียมดิน หว่านกล้าและปักดำโดยใช้ข้าวจ้าวหอมมะลิ 105 จำนวน 40 กิโลกรัม ทำการกำจัดวัชพืชในนาข้าว โดยการถอน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16 – 20 – 0 จำนวน 30 กิโลกรัมและปุ๋ยเคมีสูตร 40 – 0 – 0 จำนวน 30 กิโลกรัม



พื้นที่ส่วนที่สาม 3.6 ไร่ (30%) ปลูกพืชแบบผสมผสาน โดยแบ่งพื้นที่ปลูกดังนี้

1. พื้นที่จำนวน 2 ไร่ ปลูกมะม่วงพันธุ์โชคอนันต์ จำนวน 50 ต้น
2. พื้นที่จำนวน 0.5 ไร่ ปลูกกล้วยน้ำหว้า จำนวน 60 ต้น
3. พื้นที่จำนวน 0.5 ไร่ ปลูกพืชผัก จำนวน 20 แปลง
4. พื้นที่จำนวน 0.6 ไร่ ปลูกไม้ใช้สอย อาทิเช่น
- ต้นสัก จำนวน 30 ต้น
- ต้นยูคาลิปตัส จำนวน 80 ต้น
- ต้นไผ่รวก จำนวน 10 ต้น
- ต้นไผ่ตง จำนวน 5 ต้น
- ต้นหวาย จำนวน 30 ต้น



ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
36#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-11 19:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พื้นที่ส่วนที่สี่ 1.2 ไร่ (10%) เป็นพื้นที่สร้างที่อยู่อาศัยและคอกสัตว์
1. สร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ จำนวน 1 หลังขนาด 3*4 เมตร เลี้ยงไก่แล้ว 3 รุ่น จำนวน 200 ตัว คัดไว้เป็นพ่อพันธุ์ จำนวน 2 ตัวและแม่พันธุ์ จำนวน 10 ตัว
2. สร้างโรงเรือนเลี้ยงเป็ดจำนวน 1 หลัง ขนาด 3*4 เมตร ใช้เลี้ยงเป็ด 3 รุ่น จำนวน 129 ตัว คัดไว้เป็นพ่อพันธุ์ จำนวน 2 ตัวและแม่พันธุ์ จำนวน 10 ตัว
3. สร้างโรงเรือนสุกร จำนวน 1 หลัง ขนาด 3.5*19.5 เมตร ดำเนินการเลี้ยงสุกรจำนวน 20 ตัว
4. สร้างศาลาถ่ายทอดเทคโนโลยี จำนวน 1 หลัง ขนาด 3.5*10.5 เมตร ใช้เป็นพื้นที่แสดงและถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรและผู้สนใจทั่วไป



37#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-11 19:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้






ทดลองปลูกมะนาวในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ แนะวิธีให้ผู้สนใจลองทำดูได้ ใช้เวลาเพียง 9 เดือนก็จะได้เห็นผล

ผ่านไป 9 เดือนเต็มของการทดลองปลูกมะนาวในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ 600 ลิตร ใช้วัสดุปลูกที่เป็นกาบมะพร้าวสับ 2 ส่วนหน้าดินดี 1 ส่วน ผสมปุ๋ยเคมี 16-16-16 หรือ 12-12-17 ผสมคลุกลงไป 1 กก.ตั้งแต่เริ่มแรกเพียงครั้งเดียว พันธุ์มะนาวที่ทดลองมีสองพันธุ์คือตาฮิติ(ทูลเกล้า)และแป้น ระบบน้ำเป็นน้ำหยดวันละประมาณ 10 ลิตรให้วันเว้นวัน มีการตัดแต่งกิ่งกระโดงและกิ่งน้ำค้างภายในพุ่มออกเป็นระยะๆเพื่อให้ทรงพุ่ม โปร่ง ผลจากการสังเกตในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาดังนี้
1 การให้ปุ๋ยเคมีโดยวิธีดังกล่าวคลุกไปพร้อมกับวัสดุปลูกเป็นวิธีหนึ่งในการ สำรองธาตุอาหารอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอให้แก่มะนาวโดยที่ธาตุอาหารมีการสูญ เสียน้อยเนื่องจากมีการให้น้ำแบบหยดระดับความชื้นที่เรียกชื้นพอหมาดๆหรือ Field capacity ทำให้น้ำไม่มีการไหลบ่าออกนอกทรงพุ่ม

2 ระบบน้ำที่ให้เป็นแบบหยด 2 หัวหยดโดยขณะต้นเล็กใช้เพียงหัวเดียวให้วันละประมาณ 6 ลิตรวันเว้นวัน
เมื่อต้นโตทรงพุ่มแผ่คลุมถุงได้เพิ่มจำนวนหัวหยดเป็น 2 หัว เพิ่มการให้เป็น 12 ลิตร/วันเว้นวัน โดยใช้เครื่องมือวัดความชื้นในดินให้ดินชื้นพอหมาดๆหรือ Field capacity

3 พ่นสารเคมีป้องกันแมลงซึ่งหลักๆคือหนอนชอนใบโดยพ่นประมาณ 10 วัน/ครั้งตามอาการ หากใบสะอาดโรคแคงเกอร์จะทำลายน้อยมากหรือไม่มีเลย

4 มีการตัดแต่งกิ่งโดยเฉพาะกิ่งกระโดงและกิ่งน้ำค้างออกเป็นช่วงๆเพื่อควบคุม ทรงพุ่มให้แผ่ออกไม่สูงเกินไป โดยเฉพาะพันธุ์แป้นจะมีการแตกกิ่งกระโดงและกิ่งน้ำค้างภายในจำนวนมากอยู่ เสมอ

5 ข้อสังเกตเรื่องพันธุ์มะนาว มะนาวตาฮิติจะมีความเหมาะสมมากในการปลูกในภาชนะ ต้นแข็งแรง ไม่มีโรคแคงเกอร์ให้เห็น รวมทั้งทนต่อโรคสำคัญคือไวรัสกรีนนิ่งและทริสเตซ่า ทรงพุ่มแผ่ออกกว้างกว่าสูง เริ่มให้ออกดอกและติดผลได้เมื่ออายุประมาณ 8 เดือนและสามารถออกดอกติดผลอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องบังคับ มะนาวตาฮิติจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ปลูกมะนาวในภาชนะบนดาดฟ้าหรือข้างๆบ้านไว้ รับประทานเองในครัวเรือน ต่างจากมะนาวแป้นที่อายุเท่ากันยังไม่ปรากฏการออกดอกแต่อย่างใดเนื่องจากต้น ยังอยู่ในช่วงระยะเจริญเติบโต 1 ปีแล้วจึงจะเริ่มออกดอกและต้องบังคับน้ำ ควบคุมปุ๋ยด้วยจึงจะออกดอกได้ดี(ทำให้ต้นโทรมได้)

6 ข้อมูลที่น่าสนใจในการพัฒนามะนาวนอกฤดูโดยการใช้ต้นตอมะขวิดเสียบยอดจะทำให้ ได้มะนาวต้นเตี้ยและออกนอกฤดูโดยไม่ต้องบังคับ ข้อมูลนี้ได้จากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ปลูกส้มเช้งหรือส้มตราบนต้นตอมะขวิดทำ ให้ส้มเช้งออกนอกฤดูอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ต้องบังคับและทำให้ได้ส้มต้นเตี้ย สามารถปลูกในระบบชิดได้อย่างดี
ท่านที่เคารพครับตื่นเช้าขึ้นมานุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวเดินดูต้นมะนาวในสวน เห็นต้นเจริญเติบโตสบายใจอย่างบอกไม่ถูก อาชีพเกษตรเป็นอาชีพที่อิสระครับ อนาคตอันใกล้นี้เกษตรไทยและเกษตรโลกจะเป็นทองแล้วครับ อยู่ที่ใครจะมีโอกาสขุดและขุดอย่างไรหยั่งยืนยาวนาน

หมายเหตุ ข้อมูลนี้ผู้เขียนบันทึกไว้จากสวนของตัวเองเมื่อปี 2554 ก่อนเกิดการน้ำท่วมใหญ่แต่โชคดีที่บริเวณนั้นได้รับการป้องกันจากอบต.ลาด หลุมแก้วน้ำจึงไม่ท่วม ขณะนี้ปี 2556 มะนาวตาฮิติและแป้นในถุงพลาสติกขนาด 600 ลิตรยังอยู่ โดยได้ปลูกแป้นพิจิตรเพื่อศึกษาเพิ่มเข้าไปด้วย มะนาวแต่พันธุ์มีดีไปคนละอย่างแต่หากจะปลูกไว้รับประทานเองในพื้นที่จำกัด ตาฮิติน่าพิจารณามากที่สุด ผลโต ไม่มีหนาม ทนโรค ผลใหญ่ น้ำมากแม้กลิ่นและรสไม่เข้มแบบมะนาวต้นแบบอย่างแป้นก็ตาม

เปรม ณ สงขลา
38#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-11 19:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เคล็ดลับในการปลูกผักหวานป่า

ผักหวานเป็นผักที่มีวิตามิน C สูง อร่อย เป็นผักที่ปลอดภัยจากสารเคมีครับที่สำคัญหากินยากและราคาแพงมาก มีคนนำมาปลูกแต่ส่วนใหญ่มักจะล้มเหลวผมเลยเอาเคล็ดลับการปลูกมาฝากผู้ที่ สนใจครับ

ข้อ 1 ก่อนปลูกผักหวาน ต้องปลูกไม้พี่เลี้ยงให้ร่มเงาก่อนสัก 1 ปี ไม้ที่ดีและเหมาะกับการปลูกที่สุดคือ ต้นแคบ้านครับ เพราะหาง่าย โตไว เป็นพืชตระกูลถั่ว ช่วยตรึงไนโตรเจน เป็นปุ๋ยให้ดินครับ ให้ร่มเงาพอประมาณไม่ทึบจนแสงลอดผ่านไม่ได้ ลำต้นตรง ดอกเอามาแกงส้มอร่อยครับ





ในรูปคือต้นแคที่ปลูกไว้เป็นไม้พี่เลี้ยงให้ร่มเงาครับ

ข้อที่ 2 การปลูกโดยการเพาะเม็ดจะโตเร็วกว่าปลูกจากกล้าครับ การปลูกจากกล้าที่เราซื้อมาต้องระวังเรื่องรากอย่าให้กระทบกระเทือน อย่าให้ดินหุ้มรากแตกครับ ไม่งั้นต้นมักตายหรือแกรนครับ

การซื้อเม็ดผักหวานที่สุกจะหาได้ยาก ถ้าได้เม็ดสดมาก็ต้องล้างเอาเปลือกหุ้มเมล็ดออกก่อน การล้างเม็ดต้องใส่ถุงมือ ไม่งั้นมันจะกัดมือ ล้างเสร็จให้ผึ่งไว้ในร่ม พอแห้งต้องเอาเม็ลดเก็บไว้ในตู้เย็นครับ เพราะเม็ดผักหวานจะมีช่วงเดือนเมษายน ปีละ 1 ครั้ง การปลูกจะต้องรอปลูกช่วงต้นฝน หรือเดือน พค -กค การเก็บในตู้เย็นจะช่วยยืดเวลาและรักษา % งอกครับ

ข้อ 3 ช่วงต้นฝนที่เราจะปลูก เราก็เอาเมล็ดมาเพาะในแกลบดำ หรือ เอากระสอบชุบน้ำแล้วเอาคลุมเมล็ด และรดน้ำให้มีความชื้นส่ำเสมอ เพื่อรอให้รากมันงอก เมื่อได้เม็ดพร้อมราก แล้วจึงย้ายไปปลูกในหลุม หรือบางคนก็เอาเม็ดไปปลูกเลย แต่การปลูกต้องมั่นใจว่าฝนตกอย่างต่อเนื่อง ถ้าฝนทิ้งช่วงต้องรดน้ำบ่อยๆครับเพื่อเพิ่ม % การงอกครับ

ข้อ 4 การขุดหลุมไม่ต้องกว้างมาก แต่เน้นความลึกให้ลึกสัก 30-50 ซ.ม. เหมือนขุดเสาบ้าน เราขุดลึกเพราะต้องการให้รากมันเดินลงดินได้ลึกๆ ในแนวดิ่ง เพื่อให้ต้นเจริญเติบโดไดเร็ว เลียนแบบธรรมชาติแหล่งที่อยู่อาศัยในธรรมชาติที่มันชอบดินลูกลัง หรือดินที่โปร่ง ที่รากมันเดินได้เร็วตามความพรุนของดิน
ขั้นตอนการเตรียมดิน เราเอาปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายแล้วแนะนำ มูลวัวนมที่เก็บไว้อย่างน้อย 6 เดือน มูลไก่ไม่แนะนำเพราะมันเค็ม มีกรดยูริคสูง ต้นมันจะเสียน้ำและเหี่ยวตาย เมือผสมดินเสร็จเอาดินลงไปก้นหลุม จนเต็มหลุมและพูนดินให้สูงกว่าระดิบผิวดินสัก 5-10 ซ.ม. ต้องสูงกว่าระดับดินมีเหตุผลครับเพื่อกันน้ำขังในช่วงฝนตกหนักเมล็ดถ้าน้ำ ขังเมล็ดจะเน่าครับ การเตรียมหลุมควรเตรียมล่วงหน้าก่อนปลูกสัก 1 เดือนครับ

ข้อที่ 5 เมื่อฝนเริ่มตกและมั่นใจว่าเข้าหน้าฝนดีแล้ว เราก็เตรียมเมล็ดตาม ข้อ 3 เลยครับ การปลูกถ้าเพาะให้เม็ดมีราก การฝังเม็ดมีเคล็ดลับคือเราใช้ไม้ไผ่ขนาด ครึ่งนึ้วแทงทำรูนำร่องไปก่อน ให้ลึกกกว่ารากเล็กน้อย แล้วค่อยๆหย่อนเมล็ดลงไปอย่าให้รากขาด ค่อยๆกลบดิน กรณีไม่ได้เพาะให้รากงอกการหยอดเมล็ด ก็ใช้ไม่แทงนำร่องให้ลึก 5 ซม หยอดเมล็ดลงไปโดยเอาส่วนขั้วเมล็ดขึ้นบน แล้วค่อยกลบดินบางๆ จากนั้นก็คลุมหลุมปลูกด้วยฟางบางๆครับ
ผักหวานมันจะใช้เวลางอกนานมากครับ ประมาณ 2-3 เดือน ถึงจะเห็นต้นอ่อนครับ บางทีรอจนนึกว่ามันจะไม่งอกซะแล้ว ระหว่างนั้นฝนทิ้งช่วงต้องรดน้ำวันเว้นวันครับ (การหยอดเม็ดหลุมละ 2-3 เมล็ดให้ห่างกันในแต่ละมุม กันบางเมล็ดไม่งอกครับ หรือบางต้นตายในช่วงปีแรก)

ข้อที่ 6 จากนั้นมาถึงเคล็ดลับอีกข้อ คือ การทำที่ป้องกันต้นอ่อนครับช่วงปีแรกสำคัญครับ การทำที่ป้องกันจะช่วยมันรอดพ้นจากการจิกของไก่ การเหยียบต้นอ่อนของสัตว์เลี้ยงหรือศัตรูอื่นๆ ป้องกันแดดจัดที่จะทำให้ต้นมันตาย หรือรอดจากอากาศแห้งแล้ง การทำก็ง่ายๆคือใช้ไม้ไผ่มาปักหลัก 4 - 6 มุม สูงสัก 50 ซม (ในภาพทำต่ำไปหน่อย พอปีที่ 2 ต้นมันจะล้นออกมา แต่ต้องรอให้ลำต้นสูงสัก 30 ซม จึงจะมั่นใจได้ว่าต้นมันรอดไม่ต้องการที่ป้องกันอีก) จากนั้นก็ล้อมด้วย ตาข่ายเขียวรอบหลุมที่ปลูก ด้านบนก็ใช้ตาข่ายคลุมด้วยกรณีที่แดดตอนบ่ายแรงส่องตรงๆโดนต้นผักหวาน หรือใช้ทางมะพร้าวคลุมก็ได้ แต่ถ้าพืชนำร่องให้ร่มเงาไม่ให้โดนแดดตอนบ่ายตรงๆ ก็ไม่ต้องใช้ที่คลุมด้านบนก็ได้ครับ ถ้าอยู่กลางแดดทั้งวันไม่มีร่มเงาจากไม้นำร่อง จำเป็นมากสำหรับการพรางแสง ตาขายเขียวที่ใช้ใช้ป้องกันแสงได้ที่ 50- 60 % หมายความว่าแสงลอดได้ 40 -50%ครับ






ข้อที่ 7 ระยะปลูกไม่แน่นอนครับแล้วแต่ว่าเราจะต้องการปลูกเป็นพุ่มแบบระยะชิด เพื่อเก็บเอาแต่ยอดขาย หรือซึ่งต้องการปลูกแบบห่างกันพื่อให้ต้นใหญ่เอาผลิตเมล็ด (บางทีต้องรอเกิน 10 ปี กว่าจะให้เม็ด) และเก็บยอดด้วยก็ปลูกห่าง
ตามความเหมาะสมกับพื้นที่ครับ ให้ถือหลักว่าดินเลวปลูกถี่ ดินดีปลูกห่าง ตามหลักของวิชาเกษตรที่เคยได้เรียนมาตอนอยู่มหาวิทยาลัยครับ

(ที่ทดลองปลูกหลังบ้านผม เป็นแบบปลูกชิด ระยะ 2*2 เมตร เป็นการทดลองปลูกเพื่อเก็บยอดครับ )


ข้อที่ 7 เคล็ดลับการดูแล แรกปลูก - 1 ปีครึ่ง เป็นช่วงวิกฤติของผักหวานครับต้นที่โตก็โตไปเลยครับ ต้นที่ตายก็ตายโดยไม่มีเหตุผล ต้นที่แกรนก็แกรนไป เพื่อนๆสูง 50 ซม บางต้นยังแกรนเลยอายุ 3 ปีแล้วสูงไม่ถึง 20 ซม การกำบังแดดโดยร่มเงาต้นไม้นำร่องเป็นสิ่งสำคัญ และ ต้องช่วยเรื่องการป้องกันลำต้นในช่วง แรกปลูก- 2 ปีแรก ด้วยมุ้งเขียวจะช่วยให้มันรอดมากขึ้น จากการประเมินด้วยสายตา อัตราการงอกของเมล็ดอยู่ประมาณ 70% ตอนที่ปลูก
เมื่อมันงอกแล้วเป็นต้น มันจะรอดเหลืออีกไม่เกิน 80% ของต้นที่งอกครับในปีที่ 2 ก็ถือว่าสูงกว่าปลูกแบบฝากเทวดาดูแลมากครับ



39#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-11 19:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ข้อที่ 8 เคล็ดลับที่สำคัญ เมื่อเข้าปีที่ 2 มันต้องผ่านฤดูหนาวและฤดูแล้งที่สำคัญของมัน ถ้าผ่านไม่ได้มันมักจะตายช่วงนี้แหละครับ ข้อปฎิบัติต้อง รดน้ำวันเว้นวัน รดจนชุ่ม แต่ไม่แฉะจนน้ำขังนะครับ มันจะเน่าตายครับ ต้องทำต่อเนื่อง จนเข้าฤดูฝนปีที่ 2 ครับ ต้นมันจะใหญ่ขึ้นผิดหูผิดตาครับ พอเข้าแล้งปีที่ 3 ต้นมันจะโตพอที่จะหาเลี้ยงตัวเองได้ แต่ก็ต้องรดน้ำครับ 7 วันครั้ง และคลุมโคนต้นด้วยฟางข้าวเพื่อลดการระเหยของน้ำ

ภาพของผักหวานที่สมบูรณ์ผ่านมา 1 ปีครึ่งครับ








จะเห็นว่าการปลูกผักหวานต้องใช้การดูแลแบบใกล้ชิดอย่างน้อย 3 ปี จึงมั่นใจว่ามันจะรอดแน่นอน จากนั้นก็ฝากเทวดาเลี้ยงได้เลยครับ มันจะอึดสุดๆ และให้ยอดท่านกินในหน้าแล้ง


ข้อ 9 เคล็ดลับที่ดูว่าต้นผักหวานอายุ 3 ปี ขนาดไหนถึงจะปล่อยไม่ต้องดูแล ผมให้ข้อสังเกตุง่ายๆ

> ต้นต้องสูงไม่น้อยกว่า 50 ซม
> เราสังเกตเปลือกที่ลำต้นจะมีสีน้ำตาลเข้ม เหมือนผิวต้นกระถิน
> การเจริญเติบโตในปีต่อไปจะค่อยๆโตช้าๆ ไม่รวดเร็วเหมือนสามปีแรกครับ
> ช่วงหน้าแล้ง มีนาคม มันจะเริ่มแตกยอดอ่อนให้เราเก็บครับ

ผมมีต้นที่ผมปลูกอีกสวนมาให้ดูครับ อายุ 3 ปี ที่โตเป็นปกติ สมบูรณ์และเริ่มให้ยอดอ่อนครับ (ส่วนที่โตไม่ดีลองไปดูในบล็อดเก่าของผมที่เขียนไว้ครับ)








ข้อ 10 เคล็ดลับการดูแล

> การให้ปุ๋ยให้ปุ๋ยคอกเท่านั้น และที่มันชอบคือมูลโคที่เก็บสักครึ่งปี ผ่านการย่อยสลาย ให้ช่วงต้นฝนโรยรอบๆทรงพุ่ม ต้นละ 5 - 10 กก แล้วแต่ขนาดต้น มูลสัตว์อื่นต้องหมักอย่างน้อย 1 ปี ขึ้นไป ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ไม่ควรให้เป็นดีที่สุด

> ผักหวานชอบดินร่วน ดินลูกรัง หรือดินที่มีการระบายน้ำดี ไม่ชอบดินเหนียวดินที่ระบายน้ำไม่ดี ไม่ชอบที่แฉะ เราจะพบผักหวานในป่าเต็งรัง ป่าละเมาะ ป่าที่มีการทิ้งใบในหน้าแล้ง หรือ พบมากตามภูเขาแถว จ.ลำปาง ลำพูน ตาก กาญจนบุรี ที่มีหน้าแล้งชัดเจน เราจะพบว่าไฟไหม้ป่าจากล่าสัตว์และการเก็บของป่า ที่สำคัญก็คือ ผักหวาน เมื่อมีผักหวานคนเก็บของป่าจะใช้ไฟเผาเอาไข่มดแดงไฟก็จะไหม้ป่า และการเผาป่าของคนเก็บของป่าเพื่อจะให้ เห็ดถอบ หรือ เห็ดเผาะ มันเป็นเห็ดดิน พอเผาเสร็จ เมื่อฝนตกมันจะเกิดดีขึ้น คนเก็บของป่าเล่าให้ฟัง ตอนแรกไปทำงานทางเหนือสงสัยว่าไฟทำไมไหม้ป่าบ่อยพอไปถามคนเก็บของป่าเลยรู้ ครับ การปลูกผักหวานช่วยลดโลกร้อน ตามกระแสรักโลกครับ
40#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-11 19:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
> การบังคับผักหวานแทงช่อ ง่ายๆ คือ การรูดใบผักหวานจากกิ่งให้หมด จากนั้นรดน้ำวันเว้นวันครับ

> ศัตรูพืชพอมีแต่ไม่มาก ที่พบคือ เพลี้ยแป้ง และเพลี้ยไฟ ที่ชอบมาดูดน้ำเลี้ยงตอนต้นยังเล็ก ในช่วงที่แล้งจัดๆ ฝนทิ้งช่วงนานๆ


ผมชอบกินผักหวานครับ แกงผักหวานใส่ปลาย่างสุดยอดของอาหารครับ
หรือ เอามาผัดน้ำมันหอยก็อร่อยๆสุดๆ เอาสเต็กมาแลกก็ไม่ยอม

>>> สาเหตุที่ผมปลูกผักหวานเพราะผมขี้เกียจครับ ตอนเด็กๆผมอยู่ลพบุรีช่วงหน้าแล้งก็จะไปหาเก็บผักหวานป่า ตามป่าละเมาะ หรือชายเขา ไกลก็ไกล ร้อนมากช่วง เมษายน แดดโคตรร้อน มันจะมีอยู่ไม่กี่จุด และไม่มีการบอกกัน ถ้าไปช้าจะโดนเก็บไปก่อน เดินไปฟรี ถ้ารอให้มันออกช่อใหม่ก็ช้าไป จึงเป็นที่มาของการพยายามปลูกผักหวานของผม ตอนนี้หน้าแล้งผมมีผักหวานกินตลอด ทุกปี

>>> สุดท้าย ถ้าข้อมูลทีประโยชน์กับท่าน ก็ขอยกความดีให้คุณพ่อของผม ที่ปลูกและดูแล ผมเพียงหาเมล็ดให้ท่านปลูกเท่านั้นเองครับ เมื่อสวนหลังบ้านผมมีผักหวานโตขึ้น ปีหน้าจะเอามารายงานผู้ที่สนใจครับ<<<
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้