การสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อทางศาสนาต่างๆนั้นสถานที่ที่ถูกสร้างจะต้องทำการออกแบบให้สอดคล้องกับจักวาลเพื่อเป็นการดึงอำนาจเบื้องสูงลงมารวมทั้งเป็นการนำพาพลังงานจากเบื้องต่ำขึ้นไปสู่เบื้องสูงทั้งนี้จึงเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับพลังงานจักรวาลโดยตรงอย่างเช่นการสร้างพีระมิดอันเป็นสถานที่ที่มีประจุกระแสพลังงานมหาศาลอยู่ภายในหรือการสร้างพระเจดีย์ต่างๆเช่นมหาปราสาทนครวัดนครธมการสร้างพระเจดีย์ต่างๆที่เราเห็นกันทุกวันนี้ก็ล้วนมาจากญาณทัศนะที่ล่วงรู้รูปแบบบางอย่างอันจะสามารถเชื้อเชิญพลังงานอันมหาศาลจากจักรวาลการรวบรวมพลังงานที่กระจัดกระจายให้เป็นระเบียบการแผ่พลังงานออกมาอย่างต่องนื่องและทรงประสิทธิภาพรวมทั้งการยกพลังงานชีวิตและคลื่นพลังงานภายในของผู้ที่เข้ามาให้สูงขึ้น
ศรีจักรานี้เป็นยันต์ที่ถือว่าเป็นสุดยอดของยันต์ทั้งปวงของชาวภารตะ ซึ่งถูกลอกเลียนไปใช้ในทิเบตแต่ก็ได้ไปแบบไม่ครบถ้วน เนื่องจากคติยันต์ฝ่ายฮินดูนั้นผูกสร้างอำนาจจากเทวะต่างๆด้วย การบูชาเทวราชที่เป็นรูปแบบหนึ่งของธรรมชาติ หรือบางทีคัมภีร์โบราณก็มักกล่าวว่า ธรรมชาติที่เราเห็นอยู่สัมผัสอยู่นี่ละที่เป็นส่วนหนึ่งของพระเป็นเจ้าของพวกเขา ซึ่งตรงนี้ลุงกุสต้องขอบอกว่าเรื่องราวของเทพเจ้าทางพราหมณ์เขานั้นนะไม่ใช่สิ่งที่เหลวไหลไร้สาระนา แต่เป็นการศึกษาในระดับคลาสสิกทีเดียวเชียวซึ่งต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า เรื่องทรงเจ้าเข้าผีที่ก่อคดีสะเทือนขวัญที่เพิ่งผ่านมาเร็วๆนี้มันเป็นคนละเรื่องกับศาสตร์ของทางพราหมณ์เขา ซึ่งไม่นิยมยอมรับเรื่องการประทับทรงนี้เลย โดยยกเว้นพวกกลุ่มชาวทมิฬ(อินเดียใต้) ที่มักมีพิธีทรงเจ้าแต่คนฮินดูส่วนใหญ่เขาไม่ยอมรับเนื่องจากมีคติว่าร่างกายของมนุษย์นั้น หยาบเกินกว่าภาวะของเทพเจ้าจะเข้าทาบทับจนสนิทได้ซึ่งผู้ที่จะเข้าถึงเทพเจ้าได้ต้องบำเพ็ญตบะเฉพาะ และต้องแสวงสันโดษจนจิตยกระดับเป็นที่สมาคมกับมหาเทวะทั้งหลายได้ เรื่องการทรงเจ้าเข้าผีแบบดำน้ำลุยไฟนี่ละลุงกุสไม่ยอมรับกิจพิธีเหล่านี้ว่า เป็นเรื่องของเทพเจ้าหรอกเพราะจากตำรับตำราที่เชื่อถือได้พบว่าเป็นพิธีกรรมของพวกคนป่าด้อยอารยะธรรมแบบพ่อมดหมอผีวูดู ซึ่งลัทธินิยมเทวะเรียกพวกนี้ว่า “อสูรนิกาย” นิยายจีนกำลังภายในเราจะได้ยินว่า “ม้อก่า”หรือนิกายอสูรนี่ละ สำหรับสายอารยะธรรมนี่ต้องบอกว่ามาคนละด้านเลย พวกเทพนิกายนี้เดิมของอินเดียนั้นมาตอนที่เผ่าอารยันบุกเข้าส่วนกลางของชมพูทวีป และสถาปนาเผ่าพันธุ์ของตนเข้าปกครองชาวพื้นเมืองเดิมที่เรียกว่ามิลักขะซึ่งมีส่วนหนึ่งอพยพถอยร่นมาสู่อินเดียทางตอนใต้ เผ่าอาระยันก็คือบรรพบุรุษของราชวงศ์ศากยะ ซึ่งเราจะไม่แปลกใจเลยที่ลำดับเทพเจ้าในพุทธศาสนานั้น บางประการเหมือนที่ปรากฏในคัมภีร์ก่อนยชุรเวทของพราหมณ์ และเป็นต้นเรื่องราววิชาการสายพระเวทต่างๆที่แตกสาขาออกมากมายจน แม้พุทธฝ่ายเถรวาทที่ยึดมั่นในธรรมวินัยดั้งเดิมที่พระศรีศากยะมุนีก็รับเอาความรู้นี้มาปรับใช้(ระดับฆารวาสธรรม) โดยอยู่ใต้พุทธปรัชญาอย่างกลมกลืนทั้งนี้ก็เพราะต่างเป็นเรื่องราวของสัจจะธรรมในธรรมชาติจึงเรียกว่าพูดจาภาษาเดียวกันนั่นเอง
ลุงกุสเล่าเรื่องมายิกของชาวตะวันตกมาก็หลายตอนเลยอยากนำเรื่องราวของชาวภารตะที่นับว่าเป็นต้นตำรับมายิก หรือพระเวทสายสำคัญสายหนึ่งของโลกมาเล่าสู่กันฟังบ้างและพบว่า ในกระบวนยันต์ต่างๆที่มีใช้ในบ้านเรานั้นส่วนใหญ่พัฒนาดัดแปลงมาจากสายพราหมณ์มากพอสมควร ทั้งนี้เราต้องยอมรับอยู่ว่าวิทยาการของพราหมณ์(ในระดับทางโลกีย์วิสัย) นั้นถือว่าเป็นสุดยอดของโลกสายหนึ่งทีเดียวเชียวเดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่บอก
การปรับเปลี่ยนเงื่อนไขกาลเวลาของยุคต่างๆที่ซ้อนมิติอยู่ในจักรวาล ซึ่งโดยปกตินั้น จะแสดงสถานะยุคทางกาลเวลานั้นสี่สถาน เริ่มตั้งแต่เริ่มต้นยุคสร้าง จนสิ้นสุด(มหากาลียุคคือปัจจุบันนั่นเอง) ซึ่งเป็นการดับยุคแล้วเกิดวัฏฏะยุคทางกาลเวลาใหม่ สิ่งเหล่านี้ได้ปรากฏในการเคลื่อนที่ของระบบสุริยะทั้งระบบที่โลก เป็นแกนในการสร้างความสัมพันธ์กับดาวเคราะห์อื่นๆนั้น ก็จะมีลักษณะการอย่างเช่นการเกิดจุดสุริยะฉายเป็นเสมือน ประตูสวรรค์สี่ครั้งตามที่กล่าวมานั้นก็ตาม ลักษณะดังกล่าวยังปรากฏให้เห็นเป็นฤดูในปีนั้นก็มีความแตกต่างตามสภาวะที่ปรากฏในธรรมชาติ ซึ่งบางคนอาจถกเถียงว่า บางส่วนอย่างพื้นที่ตรงใกล้เส้นศูนย์สูตร หรือบริเวณขั้วการหมุนของโลกนั้นจะมีฤดูกาลปรากฏให้เห็นไม่ถึงสี่ฤดูกาลก็ขอแก้ว่า ฤดูทั้งสี่นั้นยังมีอยู่แต่ช่วงที่ปรากฏในแต่ละพื้นที่นั้นเหมือนจุดเงา ที่บางบริเวณอาจเกิดการทาบซ้อนหรือมีระยะสั้นจึงไม่อาจสังเกตเห็น ความเป็นไปดังกล่าวย่อมแสดงให้ประจักษ์แจ้งถึงประตูแห่งจักรวาล ที่มีอยู่ถึงสี่ด้านและเป็นที่มาของเทพผู้พิทักษณ์ที่เรารู้จักในคติพุทธศาสนาว่า จตุโลกบาล ยังไงละหลานๆ ซึ่งกระบวนดาวฤกษ์ดาวเคราะห์ ทั้งหลายนี้จะมีแรงกระทำต่อกันอยู่ตลอดจึงรักษาสถานะที่เป็นในขณะนั้น ได้หากดาวใดหรือสิ่งใดมีการเปลี่ยนแปลงภายในที่รบกวนระบบใหญ่ก็จะเกิดการไม่สมดุล และดำรงอยู่ไม่ได้ ความรู้นี้จึงเกิดปรัชญาเรื่อง “กรรม” ของพราหมณ์ที่มีนัยใกล้เคียงกับที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ(กฏไอแซคนิวตันทั้งสามข้อ)คือ “หากกรรมเพียงนิดปรากฏก็กระเทือนทั่วจักรวาล” การกระทำของใครก็ตามจึงส่งผลต่อระบบจักรวาล ทั้งระบบต่างที่ผลปรากฏจะมากน้อยกว่ากันเท่านั้น หลักกรรมที่ว่าจึงเกิดจารีต “อหิงสา” คือการไม่เบียดเบียนเป็นการรักษาตัวเอง และระบบไว้เพราะเชื่อว่าหาก กรรมที่มนุษย์ร่วมกันก่อมากๆก็อาจมีผลกระทบกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ต่างๆที่แปรปรวนไปเรื่องนี้ดูจะสอดคล้องกับหลักศาสนาใหญ่ทุกศาสนาเลยละ (ไม่รู้ว่า คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ จะเกี่ยวหรือไม่? แต่นักศาสนาหลายคนเชื่อว่าเป็นสัญญาณเตือนมนุษย์จากบางสิ่งบางอย่างว่าให้ปรับการกระทำของตนเสียใหม่) ขณะที่จักรวาลดำเนินธรรมชาติความเป็นไปที่เล่ามา โดยในระหว่างที่ยุคกาลเวลานี้ยังดำเนินไปนั้นจะมีพลังงานบางประการรักษาสมดุลของจักรวาลไว้คือ ก่อเกิด(พรหม) รักษาสถานะ(นารายณ์) ทำลายเพื่อสร้างสภาวะใหม่(ศิวะ) รวมเรียกว่า “พระเป็นเจ้า” นั่นเอง โดยอาศัยแบบจำลองเสาหลักของกาลเวลาที่เรียกว่า “ศรีไกรลาส” ซึ่งเป็นจุดที่กาลเวลาสงบนิ่งที่อดีต ปัจจุบันและอนาคตเป็นหนึ่งเดียวกันอาจกล่าวว่าลักษณะเช่นนี้เป็น การตกผลึกของวัฏฏะจักรการเวลาซึ่งได้กำหนดเหตุการณ์ดังกล่าวในลักษณะภาพรูปทรงเรขาคณิต ซึ่งในทางวัตถุนั้นเราไม่อาจเห็นได้ง่ายนัก แต่โดยหลักวิชาทางพราหมณ์ยุคก่อนได้เรียนรู้กลไกการเคลื่อนขยายอาณาเขตของจักรวาล ที่มีการสามารถเล็งหาจุดศูนย์กลางการเคลื่อนออกนั้น (ปัจจุบันนักดาราศาสตร์ก็ยอมรับว่า จักรวาลขยายตัวออกทุกขณะ) ในทางวัตถุนั้นหากหลานๆลุงกุสอยากจะลองค้นคว้าเรื่องสถานที่ที่เป็นจุดยึดตรึงกาลเวลา ก็สามารถหาได้จากเข็มทิศที่ลองวางแนวเข็มทิศที่เป็นสนามแม่เหล็กในบ้านดู ก็จะพบว่าแต่ละพื้นที่มีเส้นแรงแม่เหล็กที่ไม่เป็นแนวเดียวกันทั้งหมด ทั้งนี้ก็เนื่องจากกลไกของวัตถุต่างๆในบ้านที่สะท้อนพลังงานแม่เหล็กโลกออกมาไม่เหมือนกัน ซ้ำปัจจุบันได้มีการค้นพบและใช้ประโยชน์จากไฟฟ้าในชีวิตประจำวันมากมาย จนเกิดสนามพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้ามั่วไปหมด จุดยึดตรึงต่างๆที่สามารถอยู่ในระนาบเดียวกันได้ย่อมเกิดเส้นแรงลัพธ์ ซึ่งหากเราขีดเส้นแนวแกนขั้วแม่เหล็กจากจุดต่างๆได้มากพอก็จะเห็นแนวๆหนึ่ง ที่เป็นแกนหลักของแนวเล็กๆในสนามแม่เหล็กบริเวณนั้นเสมอ (ในหนึ่งตารางเมตรต้องทำแนวขั้วแม่เหล็กหรือแนวเข็มทิศอย่างน้อยหกสิบจุดในอัตราเฉลี่ยต่อพื้นที่ ที่ใกล้เคียงหรือก็คือแบ่งพื้นที่นั้นออกให้ได้อย่างน้อยหกสิบส่วนนั่นเอง) แนวแกนที่ว่าจะเป็นจุดยึดตรึงเวลาหรือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในบริเวณนั้น ซึ่งหากเราพบว่าวันใดแนวแกนที่ว่านั้นมีการเบี่ยงเบนเกินกว่าหนึ่งองศาครึ่ง ก็จะแสดงว่าสนามแม่เหล็กในโลกอาจมีการกระทบจากคลื่นพลังงานบางอย่าง และมีการบิดตัวเนื่องจากเกิดการประทุใต้โลกซึ่งนั่นก็คือการบอกเหตุของแผ่นดินไหวนั่นเอง) ความรู้นี้เท่าที่ลุงกุสค้นและคว้ามานั้นคงยังไม่อาจยืนยันตามหลักวิทยาศาสตร์ได้สักเท่า เพราะถามใครก็มักได้ความแบบไม่จบเรื่องซักกะที ที่ลุงกุส(เจ้าเก่า)ยกมาเล่าก็เพื่อให้ลองทดสอบและสร้างความเข้าใจตลอดจน พิสูจน์เรื่องสนามพลังงานในชั้นต่างๆที่อยู่รอบๆตัวเราโดยจะเข้าใจได้ในระดับที่สูงขึ้นได้เองว่า “ศรีจักรา” นั้นทำงานอย่างไร? ![]() | ![]() |
ที่นี้แกนที่เป็นศูนย์กลางพลังงานต่างๆบนโลกที่เหล่าดาวเคราะห์ใหญ่น้อย และดาวฤกษ์ร่วมกระทำที่ชาวภารตะเรียกว่า “เทพนพพระเคราะห์” นั้นละจะมีจุดศูนย์กลางแรงลัพธ์อยู่บนพื้นที่ต่างๆกระจายอยู่ทั่วโลก ที่เห็นๆก็ ปิรามิดในประเทศ อิยิปต์ไง ส่วนในภารตะหรือ อินตะระเดีย(อินเดีย)นั้น เขาค้นพบเขาลูกหนึ่งมีสีขาวอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยปัจจุบันจุดนี้อยู่แถบเนปาลตรงรอยต่อกับทิเบต มีพลังงานในระดับเข้มข้นมากและภูเขาลูกนี้ดูแปลกคือสีของภูเขานั้นออกขาวโพลน ทั้งที่พื้นดินด้านล่างๆลงมามีสีดำตามปกติก็เลยเรียกตามลักษณะว่า ไกรลาส ซึ่งแปลว่า เขาเผือก (ขาว)นั่นเอง อันว่าเขาไกรลาสนี้เองและที่เหล่าโยคีนักบวชต่างนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์นักหนา เลยจัดคอนโดเอ้ย!!!! วิมานสถิตให้มหาเทพองค์สำคัญคือ สดาศิวะ ท่านประทับอยู่ ในแต่ละปีจะมีโยคีผู้นับถือ สดาศิวะอย่างจริงจังจำนวนมากเสี่ยงตายต่อสู้กับความหนาวเหน็บจาริกเดินทางด้วยเท้าเปล่าไปประทักษิณ (การแสดงการเคารพด้วยการเดินรอบสิ่งนั้นในทิศทางตามเข็มนาฬิกา)รอบเขาลูกนี้แล้วกล่าวปัญจมหามนต์ที่ว่า “โอมนมัสศิวา” ว่ากันว่ากว่าจะครบรอบหนึ่งต้องว่ามนต์ห้าพยางค์นี้เป็นพันๆหมื่นๆครั้ง และกลับมาด้วยของที่ระลึกนับถือแทนองค์สดาศิวะเป็นเพียงหินสีดำก้อนเล็กๆก้อนเดียว เรียกว่า “ศรีไกรลาสศิลา” ซึ่งนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก
(ศรีจักราบทสรุปต่อจากฉบับที่แล้ว) ........... การใช้ศรีจักราเพื่อสร้างความสมดุลในสถานที่
การใช้ศรีจักราในการบำบัดอาการป่วยบางระดับ ที่อาจเป็นการผิดปกติจากความไม่สมดุลของร่างกายที่มีสาเหตุจากร่างกายเองหรือได้รับพลังแฝง วางศรีจักราบนฝ่ามือพินทุอยู่ตรงเส้นสุขภาพของลายมือคะเนกลางฝ่ามือ ให้กำหนดถึงศรีจักรา กล่าวมนตราจนรูสึกถึงพลังที่แผ่มาครอบคลุมจากนั้นนึกถึงเทวะที่ท่านศรัทธากล่าวบูชา(สรรเสริญคุณ) แล้วขออำนาจให้บำบัดอาการดังกล่าว หายใจเข้าออกยาวๆแบบสบายๆ ทำประมาณสิบห้านาทีกำหนดจิต ที่ศรีจักราดึงความศักดิ์สิทธิ์เข้าตัวกล่าวมนตราความเร็วระดับที่รู้สึกว่ากำลังสบายไม่เร็วช้าไป (ใช้ความรู้สึกเราเป็นตัวกำหนด) หากเจ็บปวดที่ไหนให้กำหนดนำ สิทธิอำนาจความศักดิ์สิทธิ์นั้นไปละลายจุดนั้นจินตภาพให้ความป่วยไข้ให้หายไปหายใจออกยาวๆ (ทำเสร็จแล้วควรอาบน้ำชำระไอโรคทันที) 

| ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://www.baanjompra.com/webboard/) | Powered by Discuz! X3.2 |