Baan Jompra

ชื่อกระทู้: ขุนแผน...กับของดีสามอย่างใช้ทำอะไรบ้างในชีวิต [สั่งพิมพ์]

โดย: Ninprakarn    เวลา: 2014-8-10 11:32
ชื่อกระทู้: ขุนแผน...กับของดีสามอย่างใช้ทำอะไรบ้างในชีวิต
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Ninprakarn เมื่อ 2014-8-10 11:59

    เสกหญ้า ด้วยมหา ละลวยใหญ่   
       เข้าใกล้ สีหมอก แล้วบอกว่า
       จะไป กับเรา ก็เข้ามา            
       ยื่นหญ้า ให้พลัน ในทันที





  ขุนแผน...กับของดีสามอย่างใช้ทำอะไรบ้างในชีวิต
               ในสังคมแต่ละยุคสมัยจะพบว่ามีสิ่งที่ผู้คนใฝ่หาเพื่อให้ได้มาครอบครอบย่อมแตกต่างกันไป ตามแต่ค่านิยมของสังคมในยุคนั้น ๆ หนึ่งในความนอยมชมชอบของคนทั่วไปโดยเฉพาะผู้ที่ได้ชื่อว่า “ผู้ชาย” นั่นก็คือ “ของดี” หรือคงหมายถึงประเภทเครื่องรางของขลังนั่นเอง ในยุคสมัยหนึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานนักค่านิยมสิ่งนี้ยังเป็นที่สนใจของคนในทุกชนชั้นสังคม แม้ว่าระยะหลังจะเลือนหายไปบ้างแต่ก็ยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่ประปราย อย่างตัวละคร ในเรื่องขุนช้างขุนแผนวรรณคดีที่มีเค้าเรื่องของความเป็นจริงนี้ ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่แสดงให้เห็นค่านิยมนี้อย่างชัดเจน หนึ่งในตัวละครนั้นก็คงไม่พ้นพ่อพระเอกอย่าง “ขุนแผน"
ของดี ๓ อย่างของขุนแผนได้แก่

       ๑. กุมารทอง
       ๒. ม้าสีหมอก
       ๓. ดาบฟ้าฟื้น


        ความเป็นมาของการหาของดีมาไว้ในครอบครองของขุนแผนนั้นคือในช่วงเวลาที่ตนเองกลับมาจากไปศึกพบว่านางพิมหรือนางวันทองไปเป็นเมียขุนช้างและต่อมาขุนช้างยังกลั่นแกล้งให้ต้องเสียนางลาวทองอีกคน    จนเกิดความรู้สึกคับแค้นใจจึงพยายามหาหนทางให้ได้ของดี มาไว้กับตัวเพื่อเป็นการเสริมความแข็งแกร่งหรืออำนาจแห่งตนซึ่งคิดว่าหากต่อไปจะทำการใด ๆ ก็จะสะดวกง่ายดายและมีฤทธิ์มีอำนาจมากขึ้นตามแบบของชายชาตรีในยุคสมัยนั้น  จึงออกเดินทางเสาะแสวงหาของวิเศษดังกล่าว ซึ่งต่อมาก็ได้ดาบฟ้าฟื้นและม้าสีหมอก     
ในส่วนของการนำของดีทั้ง ๓อย่างไปใช้นั้นขอกล่าวแยกเป็นแต่ละอย่างดังนี้


        ๑.  กุมารทอง

            กุมารทองเป็นของดีอันดับแรกที่ขุนแผนได้มา  กุมารทองเป็นลูกของขุนแผนกับนางบัวคลี่ เมื่อตอนที่ขุนแผนถูกนางบัวคลี่ลอบฆ่า แต่ขุนแผนรู้ตัวตกดึกจึงผ่าท้องนางบัวคลี่แล้วนำเด็กไปทำพิธีในโบสถ์ ปลุกเสกด้วยคาถาอาคมและตั้งชื่อว่า กุมารทอง    กุมารทองนี้ติดตามขุนแผนไปทุกหนทุกแห่ง โดยไม่มีใครมองเห็น คอยรายงานเหตุการณ์ต่าง ๆให้ขุนแผนรู้อยู่เสมอ บางครั้งก็สามารถแปลงเป็นคนได้ การใช้กุมารทองของขุนแผนในครั้งแรกก็คือเมื่อหมื่นหาญพ่อของนางบัวคลี่ตามมา ขุนแผนก็ให้กุมารทองพาตนหนีออกจากวิหารที่เพิ่งทำพิธีเสร็จดังความว่า
                                       
“ขุนแผนไม่สะทกสะท้านอ่านมนตร์  ปลุกผีลูกผุดลุกขึ้นพูดจ้อ
                                    
ขุนแผนเต้นเผ่นโผนโจนขี่คอ         กุมารทองช่วยพ่อให้พ้นภัย


            และตอนที่ขุนแผนก็ไปลักพาตัวนางวันทองจากขุนช้างก็มีกุมารทองนำไปด้วยขณะที่ขุนแผนเกือบจะฆ่าขุนช้างและนางวันทองด้วยความโกรธแค้นแต่กุมารทองก็ได้เข้าขวางและห้ามเอาไว้ทั้งสองครั้งดังข้อความที่ว่า



                                       
“กุมารทองป้องปิดสะกิดดาบ      ประนมกราบยิ่งโกรธส่ง
                                   
ถีบต่อยเตะจากเตียงลง                     กุมารตรงยืนขวางไม่วางมือ”
                                         
“อึดอัดวัดเหวี่ยงกุมารทอง         อย่าปัดป้องกูจะฆ่าให้ฉิบหาย
                                   
กุมารทองยึดดาบง้างไม่วางวาย     คิดเสียดายทิ้งดาบกระเดื่องใจ

        
หลังจากนั้นกุมารทองก็ได้ติดตามขุนแผนไปทุกที่คอยปกป้องระวังภัยให้ขุนแผนและนางวันทองตลอดระยะเวลาที่ทั้งสองหนีไปด้วยกันจนไปอยู่กับพระพิจิตร  ต่อจากนี้ก็มีการกล่าวถึงกุมารทองน้อยมากหรือเรียกว่าบทบาทของกุมารทองหายไปช่วงระยะหนึ่ง  จนเมื่อนางวันทองถูกประหารแล้วขุนแผนก็ได้ให้กุมารทองอยู่กับพลายชุมพลซึ่งอยู่กับย่าในขณะที่ตนเองกลับไปเมืองกาญจนบุรีกับนางลาวทองและนางแก้วกิริยา  บทบาทของกุมารทองมาปรากฏชัดอีกครั้งหนึ่งเมื่อครั้งที่พลายชุมพลซึ่งเข้าไปปกป้องนางศรีมาลาจากการที่ถูกจหมื่นไวยตีจนพลาดมาถูกตนจึงหนีออกจากบ้านย่ามาหาพ่อและจะพบว่าในขณะที่เดินทางมาด้วยกันกับพลายชุมพลก็สามารถแปลงร่างเป็นเด็กวัยเดียวกันเดินทางไปเป็นเพื่อนน้อง  และอีกครั้งหนึ่งที่กุมารทองเดินทางไปสุโขทัยเพื่อตามหาตาและยาย


         ๒.  ดาบฟ้าฟื้น


              การได้ดาบฟ้าฟื้นมานั้นนับว่าเป็นเรื่องยากมากเพราะต้องนำเหล็กรวมทั้งโลหะอื่นที่ล้วนแต่เป็นของหายากแล้วจากนั้นจึงนำมาหลอมรวมกัน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนพอสมควร และต้องอาศัยความรู้ความสามารถมากเช่นกัน เมื่อได้อาวุธชิ้นนี้มาแล้วขุนแผนก็นำไปใช้ในการไปลักพาตัวนางวันทองจากบ้าน         ขุนช้างเป็นอันดับแรก รวมไปถึงการนำวันทองหนีไปในป่า  ใช้ในการสู้รบกับขุนช้างที่มาตามนางวันทองและยังใช้ในตอนที่สู้รบกับกองทหารที่ตามจับตัวขุนแผน และในที่สุดขุนแผนก็ได้มอบตัวกับพระพิจิตรและยอมรับโทษ ในขณะที่ได้นำดาบฟ้าฟื้นไว้ในต้นไทร  และเมื่อขุนแผนชนะความขุนช้างจึงทูลขอนางลาวทองทำให้   พระพันวษาโกรธสั่งให้จองจำ   จนเมื่อครั้งที่ต้องไปรบศึกที่เชียงใหม่ขุนแผนจึงกลับมาเอาดาบฟ้าฟื้นอีกครั้ง แต่ ก็ไม่ได้ใช้ดาบฟ้าฟื้นในการรบ เมื่อเสร็จศึกครั้งนี้ขุนแผนได้มอบดาบฟ้าฟื้นไว้กับจหมื่นไวย แต่เมื่อจหมื่นไวย ถูกนางสร้อยฟ้าทำเสน่ห์ขุนแผนมาเตือนก็ถูกจหมื่นไวยต่อว่าและลำเลิกบุญคุณที่ช่วยให้ได้ออกจากคุก ขุนแผนโกรธจึงทวงดาบฟ้าฟื้นกลับ และดาบฟ้าฟื้นมามีบทบาทอีกครั้งคือตอนที่ขุนแผนได้มอบให้พลายชุมพลให้สังหารจระเข้เถรขวาด


         ๓. ม้าสีหมอก

              ม้าสีหมอกเป็นม้าแสนรู้พาหนะประจำตัวขุนแผน  สีหมอกเป็นม้าที่มีลักษณะดี ต้องตามตำราขุนแผนจึงเข้าไปขอซื้อแล้วเสกหญ้าให้กิน สีหมอกก็ติดตามขุนแผนไปโดยดี  ภารกิจสำคัญของสีหมอกคือการช่วยนำขุนแผนไปลักพาตัวนางวันทองจากบ้านขุนช้างและหนีไปด้วยกัน และมีบทบาทในการต่อสู้กับขุนช้างที่มาตามนางวันทอง และรบกับกองทหารที่มาจับตัวขุนแผน จากนั้นก็มารับนางวันทองเดินทางรอนแรมไปในป่าจนนางวันทองท้องจึงพาไปหาพระพิจิตร  จากนั้นก็ฝากม้าสีหมอกไว้กับพระพิจิตรในขณะที่ตนเอง ต้องไปรับโทษ
*
              ขุนแผนติดคุกอยู่สิบปีก่อนที่จะมีรับสั่งให้ไปช่วยจหมื่นไวยรบศึกที่เชียงใหม่ ขุนแผนจึงได้มารับ        ม้าสีหมอกในขณะที่ม้าสีหมอกแก่ชราลงแต่เมื่อได้กินหญ้าเสกของขุนแผนก็มีกำลังกลับมาอีกครั้งและพา   ขุนแผนเดินทางไปยังเมืองเชียงใหม่  ในตอนที่รบศึกนั้นขุนแผนไม่ได้ใช้ม้าสีหมอกหากแต่ใช้ช้างแทน  และหลังจากนั้นเรื่องราวของสีหมอกก็ลดน้อยลงจนมาปรากฏอีกครั้งคือตอนที่ขุนแผนไปรบศึกที่พลายชุมพลปลอมตัวมาท้ารบพระพันวษาซึ่งได้ส่งตัวขุนแผนและจหมื่นไวยออกรบ  และสุดท้ายที่กล่าวถึงมาสีหมอกคือขุนแผนเดินทางมาอยุธยาเพื่อมอบดาบฟ้าฟื้นให้พลายชุมพลฆ่าจระเข้เถรขวาด

             จึงสรุปได้ว่าขุนแผนได้พยายามเสาะของดีทั้งสาม เพื่อเป็นผู้ช่วย เป็นเครื่องรางของขลังและพาหนะชั้นดีให้สมกับความชายชาตรี  ตามวิสัยของหนุ่มไทยในสมัยก่อน  และได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองเป็น มากกว่าเพื่อบ้านเมือง



            แล้วหากของดีเหล่านี้ยังมีมาถึงยุคปัจจุบัน จะมีใครลองคิดไหมว่า บทบาทของของดีเหล่านี้จะไปหนักอยู่ที่เรื่องใด เรื่องส่วนตัว หรือเรื่องบ้านเมือง หรืออาจจะเป็นเอาเรื่องบ้านเมืองมาเป็นเรื่องส่วนตัว

http://www.sahavicha.com

โดย: Ninprakarn    เวลา: 2014-8-10 11:33
ดาบฟ้าฟื้น  

การทำศาสตราวุธสมัยก่อน ค่อนข้างพิถีพิถันมาก
ทั้งการหาฤกษ์ ผานาที ทั้งเหล็กต่างๆที่นำมาหลอมเป็นใบมีด
แถมความยาววัดนิ้วของใบมีดต้องไม่ตกที่อวมงคลด้วย

ตามลักษณะของดาบฟ้าฟื้นแล้ว
ดูจากความยาวคือ "ยาวถึงศอกกำมาหน้าลูกไก่"
หมายความว่า ยาวเท่ากับความยาวของศอก+หนึ่งฝ่ามือของขุนแผน
ดาบฟ้าฟื้นจึงค่อนข้างจะสั้น ไม่เหมาะสำหรับรบบนหลังม้า
และไม่ใช่ดาบสำหรับรบแบบประชิดตัวหรือทะลวงฟัน

เพราะดาบสร้างจากเหล็กและโลหะหลายชนิด
ทำให้ดาบฟ้าฟื้นเป็นดาบที่แข็ง คม แต่เปราะ
พ่อขุนแผนของเราจึงไม่ได้ใช้ดาบฟ้าฟื้นสำหรับรบ
แต่ใช้ดาบฟ้าฟื้นสำหรับเป็นดาบคู่บารมี

เป็นวัตถุมงคลที่มีอิทธิฤทธิ์อย่างหนึ่ง
ใช้ต่อสู้กับพวกภูตผีปีศาจ
และพวกที่มีวิชาอยู่ยงคงกระพัน
ดาบฟ้าฟื้นจงเป็นมีดหมอขนาดใหญ่เล่มหนึ่งนั่นเอง






โดย: Ninprakarn    เวลา: 2014-8-10 11:40
อาวุธคู่กาย
ที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่ง
ของนักรบไทย ก็คือ  

ดาบ

ซึ่งเหล่าขุนทหารทั้งหลาย
ก็ต่างแสวงหาเหล็กน้ำดี  
วิธีตีสาระพัน
แล้วแต่ ตำราใคร ตำรามัน
แหละ ขอรับ

แต่ในนิทานเรื่องนี้
ดูเหมือนกับว่า
พ่อพระเอกขุนแผนของเรา
จะได้ ดาบ
ที่เรืองอิทธิฤทธิ์เป็นพิเศษ
เพราะได้รวบรวม สรรพศาสตรา
และตำราตีที่ขมังเวทย์
มาไว้ด้วยกันเลย

ตั้งแต่หา วัตถุดิบ กันเลยทีเดียว
ดังนี้ ขอรับ




จะจัดแจง ตีดาบ ไว้ปราบศึก   
ตรองตรึก หาเหล็ก ไว้หนักหนา     
ได้เสร็จสม อารมณ์ ตามตำรา        
ท่านวางไว้ ในมหา ศาสตราคม

เอาเหล็กยอด พระเจดีย์ มหาธาตุ   
ยอดปราสาท ทวารา มาประสม
เหล็กขนัน ผีพราย ตายทั้งกลม      
เหล็กตรึงโลง ตรึงปั้นลม สลักเพชร

เหล็กหอกสัมฤทธิ์ กริชทองแดง พระแสงหัก
เหล็กปฏัก สลักประตู ตะปูเห็ด
พร้อมเหล็ก เบญจพรรณ กัลเม็ด      
เหล็กบ้าน พร้อมเสร็จ ทุกสิ่งแท้

เอาเหล็กไหล เหล็กหล่อ บ่อพระแสง   
เหล็กกำแพง น้ำพี้ ทั้งเหล็กแร่
ทองคำ สัมฤทธิ์  นาก อแจ            
เงินที่แท้ ชาติเหล็ก ทองแดงดง ฯ



         

ก็สารพัดเหล็กทีเดียวแหละ ขอรับ

จากนั้น ก็ถึงกรรมวิธี
หล่อเหล็ก
ตีเหล็ก

เริ่มด้วยการสุมไฟ  
หลอมเหล็กทั้งหลาย ที่คัดมาดังกล่าว
ให้เป็นแท่งเดียวกัน
แล้วแช่ใน น้ำยา สูตรพิเศษ ไว้อีกสามวัน
จึงตีเหล็กนั้น
ให้เรียวลงเป็นรูปดาบ

ตีไปเรื่อย ๆ  
จนครบเจ็ดครั้ง
แล้วก็รอฤกษ์ดี

ที่จัก ตีเป็นดาบจริง

คือ วันเสาร์ ขึ้นสิบห้าค่ำ  
ซึ่งก็จะต้อง ตั้งมณฑลพิธี
โดยปลูกศาลเพียงตาขึ้น
จัดหาเครื่องบัตรพลี

(ไม่ใช่บัดกรีนะขอรับ)

มีหัวหมูบายศรี
เป็ด ไก่ ธูป เทียน ทอง
และจัดหาเครื่องมือ

เช่น ทั่งตีเหล็ก
เครื่องสูบลม
เตาถ่าน เป็นต้น

ครั้นได้ฤกษ์
ก็เริ่มพิธี ตีดาบ
ดังนี้ ขอรับ





ช่างเหล็กดี ฝีมือ ลือทั้งกรุง         
ผ้าขาวนุ่ง ผ้าขาวห่ม ดูคมสัน
วงสาย สิญจน์เสก ลงเลขยันต์        
คนสำคัญ คอยดู ซึ่งฤกษ์ดี
                                                   
ครั้นได้ พิชัยฤกษ์ ราชฤทธิ์           
อาทิตย์ เที่ยงฤกษ์ ราชสีห์
ขุนแผน สูบเหล็ก ห้แดงดี           
นายช่างตี รีดรูป ให้เรียวปลาย

ที่ตรงกลาง กว้างงาม สามนิ้วกึ่ง      
ยาวถึง ศอกกำมา หน้าลูกไก่
เผาชุบ สามแดง แทงตะไบ         
บัดเดี๋ยวใจ เกลี้ยงพลัน เปนมันยับ

อานดี มิได้มี ขนแมวพาด            
เลื่อมปราด เนื้อเขียว ดูคมหนับ
เลื่อมพราย คล้ายแสง แมลงทับ   
ปลั่งปลาบ วาบวับ จับแสงตะวัน

ด้ามนั้น ทำด้วยไม้ ชัยพฤกษ์         
จารึก ยันต์พุทธจักร ที่เหล็กกั่น
เอาผมพราย ร้ายดุ ประจุพลัน         
แล้วเอาชัน กรอกด้าม เสียบัดดล

ครั้นเสร็จสรรพ จับแกว่ง แสงวะวับ   
เกิดโกลา ฟ้าพยับ โพยมหน
เสียงอื้ออึง เอิกเกริก ได้ฤกษ์บน      
ฟ้าคำรน ฝนพยับ อยู่ครั่นครื้น

ฟ้าผ่า เปรี้ยงเปรี้ยง เสียงโด่งดัง     
ขุนแผนฟัง จิตฟู ให้ชูชื่น
ได้นิมิตร ฟ้าเปรี้ยง ดังเสียงปืน   
   


ใ ห้ ชื่ อว่ า  ฟ้ า  ฟื้ น    อั น เ  ก รี ย  ง ไ ก  ร  ฯ




ตรงนี้
กระผม อยากให้พ่อแม่พี่น้อง ลองสังเกต
ถึงความเป็นเคล็ด ในรายละเอียด
ของดาบฟ้าฟื้น เล่มนี้

เช่น  กลางใบดาบ กว้างสามนิ้วครึ่ง  
ยาวหนึ่งศอก บวกกับ อีกหนึ่งกำมือต่อ  
ปลายดาบ เป็นแบบที่เรียกว่า หน้าลูกไก่

(อันนี้ยังสงสัยอยู่ ?)

และ เวลาตี  
ต้อง เผา ดาบ
แล้วชุบน้ำ ถึงสามครั้ง  
เนื้อเหล็กจึงจะ ละเอียดระยิบระยับ ไม่มีตำหนิ

อย่างที่เรียกว่า
อานดี ไม่มี ขนแมวพาด
นั่นแหละ ขอรับ

ส่วนด้ามดาบ
ก็ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์
อันเป็นไม้มงคล
สักยันต์พุทธจักร

ในด้ามกลวง บรรจุผมผีพราย

(ไม่ทราบว่าไปเอามาจากไหน)

และเมื่อสำเร็จเสร็จสรรพ   
จับกวัดแกว่ง
ก็เกิดฟ้าพยับอื้ออึง
จึงตั้งชื่อให้ว่า

ฟ้าฟื้น



นอกจากนี้ ยังมีที่กล่าวถึงฝักดาบ
ว่าทำด้วยไม้ ระงับสรรพยา
ลงรักสีดำ
กาบหุ้ม ด้วย ทองคำบางตะพาน
ทองคำลือชื่อ
แห่งเหมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

สมรรถนะ ก็คือ
สามารถ ฟันต้นรัง ขนาดสามกำครึ่ง ขาด
จากการลงดาบเพียงครั้งเดียว

(ถ้าเป็นคน ก็เรียกว่า
สะพายแล่ง เลาะซี่โครงกัน
ยังกะฟัน
ด้วยพระแสงของ้าวกัน
ทีเดียวแหละ ขอรับ )


.
แล้ว ขุนแผน
จึง ตบรางวัลนายช่างตีดาบ
ไปด้วยเงินถึง สิบห้าบาท
ทีเดียวแหละ ขอรับ




โดย: Ninprakarn    เวลา: 2014-8-10 11:42
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Ninprakarn เมื่อ 2014-8-10 11:50

เสร็จสรรพธุระจากเรื่อง ดาบ
แล้วก็คงต้องว่ากันถึงเรื่อง

ม้าสีหมอก




จะกล่าวถึง หลวงทรงพล กับ พันภาณ
กับไพร่สามสิบสี่คน
ก็ได้รับพระราชโองการ
ให้ไปรับม้า
ที่ หลวงศรีวรข่าน
ไปซื้อมาจากประเทศนอก
ที่เมือลง ตะนาวศรี

(น่าจะเปน ม้า อิหร่าน นะฮะ
เพราะเคยได้ยินว่า หลวงศรีวรข่าน เปนตำแหน่ง ขุนนาง แขก เจ้ากรม ท่าขวา

ว่าการค้าขายทางต่างประเทศ
ในสายของ พ่อค้าแขก
ประมาณนั้น



แต่ก็ต้องรออยู่ ที่เมืองมะริด ตั้งครึ่งปี
เนื่องจาก ต้องรอ ฤดูลมสำเภา

หลวงศรี ฯ จึงได้กลับมา
พร้อมกับ ม้าไทย และม้าเทศ ถึงหกสิบห้าม้า

แต่ . . .

ก็มีม้าอยู่ตัวหนึ่ง
ชื่อ

ม้าสีหมอก


เป็นลูกของ
อีเหลืองเมืองมะริด
กับ ม้าน้ำ ที่เป็นพ่อ

(คงจะเป็นชื่อเฉพาะอะไรสักอย่างหนึ่งนะขอรับ
หวังว่าคงจะไม่ใช่พวกเดียวกัน
กับที่บอกพวกไอ้ตัวเล็กว่า
ม้วนหางสิลูก เป็นแน่)

ม้าสีหมอกตัวนี้
เกิดวันเสาร์ ขึ้นเก้าค่ำ  

มันหลงตามแม่มันมาเข้ากอง
เห็นเขาต้อนม้าหลวงข้ามน้ำมาเป็นฝูง
ก็ตามมา  

พอเขาพักม้าที่ เขาบันไดอิฐ เพชรบุรี

ม้าสีหมอก
ก็ อาละวาด กัดกับม้าเทศ
จนหลวงทรงพล แกขัดใจ
พยายามไล่แห่
แต่มันก็ไม่ยอมไป
คงติดตามกองม้าหลวงมาเรื่อย ๆ  
จนเป็นที่เกลียดชัง ของเจ้าพนักงาน
ผู้ควบคุมกองม้านั้น ยิ่งนัก


ก็พอดี  
พ่อขุนแผน เรา
ก็ผ่านมาพบพอดี  
พอเห็น ม้าสีหมอก เข้า
ก็รู้สึกถูกชะตา เป็นอันมาก
จึงเข้าไปเจรจาขอซื้อ  . . .



ครานั้น ขุนแผน แสนสนิท         
ทุกทิศ ลือทั่ว กลัวสยอง
เห็นม้า สีหมอก ออกลำพอง      
สมปอง ปรารถนา ที่นึกไว้

ลักษณะ ถูกต้อง ตำราสิ้น         
ดังองค์อินทร์ เทวราช ประสาทให้
ท่วงที แคล่วคล่อง ว่องไว           
ก็เข้าไป หาหลวง ทรงพลพลัน

อาชา ตัวน้อย ของท่านฤา            
จะขายซื้อ ฤาเอาไว้ อย่างไรนั่น
หากกระไร จงได้ เมตตากัน      
จะขอปัน ซื้อม้า สีหมอกไป ฯ



หลวงทรงพลจึงว่า

โอ๊ย  ทูลหัวทูนเกล้าไปเลย
เจ้าประคุณเอ๋ย

ม้าเวรตะไลอะไร
ซนเป็นบ้า อย่างนี้
เกิดมา จนแก่
จนเปนนายกองคุมม้าหลวง
ก็นานมาแล้ว
ไม่เคยพบไม่เคยเห็น อย่างนี้

มันไม่ใช่ม้าหลวงดอก
แต่มันติดแม่มาจาก เมืองมะริด

เอ้า . . .   
ถ้าพ่ออยากจะซื้อจริง ๆ ละก็ . . .

ฉันจะขายให้ก็ได้ . . .

แล้ว หลวงทรงพล
ก็ขายม้าสีหมอก ให้ ขุนแผน
ในราคาถึง หกสิบบาท

(สิบห้าตำลึง)

ทีเดียวเจียวแหละ ขอรับ

แถมรับทรัพย์เข้ากระเป๋าสบายไปเลย

เพราะว่าม้าสีหมอก
มันไม่ได้ขึ้นบัญชีม้าหลวงเอาไว้
แต่มันตามแม่มาเอง
ดังกล่าวแล้ว ขอรับ

ขุนแผนตกลงทันที ขอรับ




ขุนแผน ได้ฟัง  เจ้าของว่า      
สมมาด ปรารถนา ที่มุ่งหมาย
แก้เงิน นับให้ ไม่กลับกลาย        
แล้วเยื้องกราย มาที่ สีหมอกม้า

เสกหญ้า ด้วยมหา ละลวยใหญ่   
เข้าใกล้ สีหมอก แล้วบอกว่า
จะไป กับเรา ก็เข้ามา            
ยื่นหญ้าใ ห้พลัน ในทันที

สีหมอก รับหญ้า มาเคี้ยวกลืน   
ชมชื่น ปรีดิ์เปรม เกษมศรี
ให้มีใจ จงรัก ด้วยภักดี            
ติดขุนแผน เดินรี่ ตามหลังไป

ขุนแผนลูบหลังสีหมอกม้า         
ผูกอานผ่านหน้าบังเหียนใส่
ซองหางเชิดชูดูละไม            
ล้วนขลิบทองของใหม่วิไลตา

ขุนแผน หยียบโกลน โผนขึ้นขี่        
พาชี โผนผก ยกหน้า
ควบใหญ่ ใส่น้อย รอยเรียบมา        
บ่าวข้า ตามหลัง สะพรั่งไป ฯ



ก็เปนอันว่า
พ่อ ขุนแผน ของเรา
ก็ได้ ของสำคัญ ครบสามอย่าง  
ดังที่ใจปรารถนาแล้วนะ ขอรับ  


และ เมื่อได้

สะพาย ย่ามกุมารทอง
ถือ ดาบฟ้าฟื้น
ขี่ ม้าสีหมอก  

กลับมาอยู่ที่บ้านแม่ ที่เมืองกาญจน์ ได้ไม่นาน

ก็มีอาการ ร้อนอาสน์ ขึ้นมา ทีเดียวเจียว ? ? ?



ก็ด้วย
อ้ายเรื่องเก่า
ที่ รู้ รู้ กันอยู่นั่นแล

ดังนี้ ขอรับ

http://topicstock.pantip.com

โดย: Ninprakarn    เวลา: 2014-8-10 11:47
กุมารทอง


ขุนแผนปลุกกุมารทอง

ขุนแผนเดินตัดป่าไปถึงวัดใต้ และเข้าไปในวิหารปิดประตูแน่นหนา แล้วจึงทำพิธีปลุกกุมารทองจนถึงรุ่งเช้า

"วางย่ามเปิดกลักแล้วชักชุด ตีเหล็กไฟจุดเทียนขึ้นแดงร่า
เอาไม้ชัยพฤกษ์พระยายาปักเป็นขาพาดกันกุมารวาง
ยันต์นารายณ์แผลงฤทธิ์ปิดศรีษะ เอายันต์ราชะปะพื้นล่าง
ยันต์นารายณ์ฉีกอกปกปิดกลาง ลงยันต์นางพระธรณีที่พื้นดิน
เอาไม้รักปักเสาขึ้นสี่ทิศ ยันต์ปิดปักธงวงสายสิญจน์
ลงเพดานยันต์สังวาลอัมมรินทร์ ก็พร้อมสิ้นในตำราถูกท่าทาง
เอาไม้มะริดกันเกราเถากันภัย ก่อชุดจุดไฟใส่พื้นล่าง
ตั้งจิตสนิทดีไว้ที่ทางภาวนานั่งย่างกุมารทอง"
หมื่นหาญและนางสีจันทร์เห็นลูกสาวถูกฆ่าเลือดนองอยู่ก็รู้ว่าขุนแผนชิงลูบคม  ก็เกณฑ์บ่าวไพร่ให้ไปตามจับขุนแผนมาให้ได้ พวกบ่าวไพร่ตามรอยเลือดไปถึงวิหารวัดใต้  แอบดูที่รูกุญแจเห็นขุนแผนนั่งอยู่ก็พังประตูเข้าไป
ฝ่ายขุนแผนไม่สะทกสะท้าน กลับนั่งอ่านมนต์ปลุกลูกอยู่ จนผีลูกลุกขึ้นพูดได้  ขุนแผนจึงร่ายมนต์กำบังตัวแล้วขึ้นขี่คอกุมารทอง และบอกให้กุมารทองช่วยตนให้พ้นภัยด้วย กุมารทองก็พาพ่อออกทางรูกุญแจหนีไปได้ โดยที่พวกหมื่นหาญไม่เห็นตัว เมื่อออกมาแล้วจึงได้คลายมนต์ยืนจูงผีกุมารทองอยู่  พวกทหารและบ่าวไพร่ก็จะเข้าต่อสู้กับขุนแผน  ขุนแผนก็ร้องบอกว่า ต้องการฆ่าแต่หมื่นหาญ หมื่นหาญโกรธมาก ชี้หน้าด่าว่าขุนแผนเป็นคนเนรคุณ จะไม่ยอมไว้ชีวิตอีก
ขุนแผนโกรธบอกว่า  โทษของหมื่นหาญกลับไม่พูด ที่ได้คบคิดกับลูกวางยาพิษ  เพราะเหตุนี้จึงทำให้ต้องฆ่านางบัวคลี่  และหมื่นหาญก็จะต้องตายด้วย  แล้วก็ถือกริชตรงไปหาหมื่นหาญ หมื่นหาญเข้าต่อสู้แต่เพลี้ยงพล้ำ จึงขอชีวิต ฝ่ายขุนแผนเห็นดังนั้นก็กล่าวสำทับว่า โทษของหมื่นหาญนั้นสมควรตาย  หากตนไม่คิดว่าเคยมีบุญคุณได้เลี้ยงดูมา ทั้งนางสีจันทร์ได้ให้เสื้อผ้าและเงินทอง นับว่าเป็นบุญคุณ ครั้งนี้จึงจะยกโทษให้ แล้วก็ขึ้นขี่คอโหงพรายกำบังกายกลับไปบ้านกาญจนบุรี หมื่นหาญนั้นเมื่อเห็นฤทธิ์ขุนแผนแล้ว ก็เห็นว่าที่ตนมีวิชาดีนั้นยังไม่ได้เสี้ยวของขุนแผนทำให้แค้นใจ  และอับอายบ่าวไพร่ที่ตนพ่ายแพ้ขุนแผน จึงบอกให้บ่าวไพร่กลับไปบ้าน แล้วช่วยกันต่อโลงใส่ศพนางบัวคลี่ไปฝัง

โดย: Ninprakarn    เวลา: 2014-8-10 11:49
ส่วนประกอบของการทำดาบฟ้าฟื้น

๑. เหล็กยอดเจดีย์มหาธาตุ - เหล็กที่เป็นโครงสร้างของยอดเจดีย์องค์ใหญ่ที่มีพระธาตุบรรจุอยู่

๒. เหล็กของยอดปราสาท(วัง) - เหล็กที่ยอดประตูที่ทำเป็นทรงปราสาทยอดแหลม อย่างประตูวิเศษไชย

๓. เหล็กขนัน – อันนี้เกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์ ประมาณว่าใช้ปราบผีตายโหงมาแล้ว (แถมตายทั้งกลมอีก) ขนัน  คือ  ต้นไม้อย่างหนึ่งคล้ายกับต้นขนุน ชื่ออย่างนั้น อนึ่งการทำเมื่อทารกตายในท้องเขาใส่ในหม้อทำเลขยันต์ปิดปากหม้อด้วย เพื่อจะกันมิให้หลอก

๔. ตะปูตอกฝาโลงศพ – เป็นตะปูที่ตอกโลงผีนั่นเอง

๕. พวกอาวุธที่ชำรุดจากการทำศึก – อันนี้ในสมัยโบราณถือว่าเป็นของที่ขลังมากๆ

๖. เหล็กปฏัก – เหล็กปฏัก คือสิ่งที่ใช้แทงคอวัว ควายสมัยก่อน เหล็กชนิดนี้หาได้ง่าย ไปตามบ้านนอก  เป็นเหล็กที่ตอกอยู่ที่ปลายไม้รวกที่ตันใช้ตะไบถูให้แหลม สำหรับแทงวัวที่มันดื้อไม่ทำตามคำสั่ง

๗. สลักประตู – อันนี้เข้าใจว่ามีคุณด้านการเชื้อเชิญ เป็นเหล็กลิ่มหรือกลอน ที่ทำให้หัวไว้เป็นปุ่ม เมื่อตอกลงไปแล้ว จะถอนยากมาก ช่างบางคนตอกเหล็กชนิดนี้ลงไปจนจมหัว เมื่อจะถอนต้องแซะเนื้อไม้เพื่อให้คีมคีบได้สะดวกจึงจะถอนขึ้น ซึ่งทำให้เนื้อไม้ตรงนั้นมีตำหนิ ไม่สวย

๘. เหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด –เบญจพรรณ ตามรูปศัพท์ก็คือ แดง ดำ เขียว (คราม) เหลือง ขาว เหล็กที่อยู่ในลักษณะห้าสีชนิดนี้เป็นเหล็กชนิดใด คาดว่ามีมี 5 อย่าง ทองคำ ดีบุก เงิน ทองแดง และตะกั่ว

๙. เหล็กไหล –  ผู้ที่จะได้เหล็กชนิดนี้จะต้องแก่ไสยศาสตร์ เล่นแร่แปรธาติหรือผีมาเข้าฝัน อย่างที่เรียกกันว่าผีบอก จากนั้นจึงไปนั่งบริกรรมเอาเทียนชัยไปจุดลนเข้าที่สถานที่ผีบอก เหล็กจะย้อยหรือไหลออกมา นังเลงเล่นพระหากันให้วุ่นไป เขาว่าอยู่ยงคงกระพัน

๑๐. เหล็กหล่อบ่อพระแสง – เหล็กจากที่นี่ใช้ทำอาวุธให้พระมหากษัตริย์เท่านั้น คือ เหล็กหล่อที่เอามาจากบ่อพระแสง จ.อุตรดิถต์

๑๑. เหล็กน้ำพี้ – เป็นเหล็กขึ้นชื่อของชาวไทยเลย

๑๒. ทองคำ สัมฤทธิ์ นาก จากเมืองอาเจะห์  อินโดนีเซีย

๑๓. เงินแท้ เหล็กกล้า ทองแดง – เป็นวัสดุหลักที่ใช้ทำดาบ

๑๔. ยาผง – อันนี้เหมือนตัวประสานให้โลหะเข้ากัน ส่วนใหญ่เป็น ผงถ่าน+ผงกำมะถัน+ผงตะไบเหล็ก

จากส่วนผสมเหล่านี้ก็จะได้แท่งโลหะที่พร้อมสำหรับการตีดาบแล้ว


http://topicstock.pantip.com
โดย: Ninprakarn    เวลา: 2014-8-10 12:02
คําภีร์มหาศาสตราคม ดาบฟ้าฟื้นของขุนแผน





คําภีร์มหาศาสตราคม ดาบฟ้าฟื้นของขุนแผน ลุประมาณปีพุทธศักราช 167 เมื่อขุนแผนได้กุมารทองแล้ว
เกิดความคิดตีดาบไว้ปราบศรัตรู จึงไปหาเหล็กสําหรับทํามีดตามที่ระบุไว้ ในคําภีร์มหาศาสตราคมมาจน
ครบถ้วนคือ เอาเหล็กยอดพระเจดีย์มหาธาตุ ยอดประสาททวารามาประสม เหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลม
เหล็กตรึงโลงตรึงปั้นลมสลักเพชร หอกสําฤทธิ์กริชทองแดงพระแสงหัก เหล็กปฏักสลักประตูตาปูเห็ด
พร้อมเหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด เหล็กบ้านพร้อมเสร็จทุกสิ่งแท้ เอาเหล็กไหลเหล็กหล่อบ่อพระแสง
เหล็กกําแพงนําพี้ทั้งเหล็กแร่ ทองคําสําฤทธิ์นากอะแจ เงินที่แท้ธาตุเหล็กทองแดงคงยังได้รวมด้วยเหล็ก
สารพัดบิ่น สารพัดหักอีก108ชนิดมาร่วมด้วย เมื่อได้เหล็กมาพร้อมแล้ว จึงตั้งมณฑลพิธีล้อมด้วย
ราชวัฏฉัตรธงทั้ง4มุม ตรงกลางตั้งพิธีดาดด้วยผ้าขาว ลงยันต์เพดานทั้งหน้าหลัง แล้วหาเครื่องกระยาสังเวย
สําหรับบูชาเทพยดาอารักษ์และครูบาอาจารย์ ผู้ประสิทธิ์ประสาทอันประกอบด้วย

มัจฉะมังษาหาร6ประการ


พร้อมเครื่องกระยาบวช ขนมแห้ง ขนมหวานอีกผลไม้9 อย่าง เทียนเงินเทียนทองหนัก4บาท 1 คู่

เมื่อได้วันดีคือวันเสาร์ขึ้น 15 คํา จึงบูชาครูบาอาจารย์และเทพยดาฟ้าดิน จึงเริ่มพิธีตีดาบขึ้นทันที
เอาสูบทั่งตั้งไว้ในพิธี เอาถ่านที่ต้องย่างวางในนั้น ช่างเหล็กมีฝีมือลือทั้งกรุง ผ้าขาวนุ่งผ้าขาวห่มดูคมสัน
วงสายสิญจ์เศกลงเลขยันต์ คนสําคัญคอยดูซึ่งฤกษ์ดี ครั้นได้พิชัยฤกษ์ราชฤทธิ์ พระอาทิตย์เที่ยงฤกษ์ราชสีห์
ขุนแผนสูบเหล็กให้แดงดี นายช่างตีรีดรูปให้เรียวปลาย

ที่ตรงกลางกว้างงามสามนิ้วกึ่ง ยาวหนึ่งศอกกํามา
หน้าลูกไก่ เผาชุบสามแดงแทงตะไบ บัดเดี๋ยวใจเกลี้ยงพลันเป็นมันยับแล้วลงกั่นดาบข้างแบน ด้วยคาถา
บารมีพระพุทธเจ้าคือ อายันตุโภนโต อิธะทานะ สีละเนกขัมมะ ปัญญา สะหะวิริยะขันติ สัจจาธิฎฐานะเมตตุ
เปกขา ยุทธายะโว คัณหะถะอาวุธานิ/ ลงกั่นดาบด้านสัน ด้วยพระคาถาหัวใจพระยาสมาสดังนี้ นานามุสะระ
หะระ บัพพะตะคะรุ กะลิงคะระ สะระธนู คะทาสิโต มาระหัตถา มาระคะนาเอาทองแดงที่ใช้สําหรับห่อหุ้มกั่น
ดาบมาลงถมด้วยพระคาถา นวหรคุณ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ 108 ครั้ง แล้วลงถมด้วยพระคาถาต่างอีก









พระคาถาพุทธนิมิตร์ ลงถม9ครั้ง พุทธัสสะ อิธิพุทธัสสะ พุทธะนิมิตตัง ปฏิมานะพุทโธ ธาตุพุทโธ นิมิตตะพุทโธ
กายะพุทโธ สูญญะพุทโธ เอคะตานัง กายะรูปะสูญยัง พุทธะนิมิตตัง อิทธิฤทธิ์พุทธะ นิมิตตังลงถมอีก9ครั้งด้วย
คาถา อะสิสัตติ ธนูเจวะ สัพเพเตอาวุทธานิจะ ภัคคะภัคคา วิจุณณานิ โลมังมาเมนะผุสสันติ/ ตามด้วยคาถา
พรหมสี่หน้าลงถมอีก9ครั้งว่า สหัสสะสีเส ปิเจโปโส สีเสสีเส สะตังมุกขา มุกเข มุกเข สะตังชิวหา
ชีวะกัปโป มหิทธิโก นะสักโกติ จะวัณเณตุง/


ตามด้วยคาถาลงถมอีก9ครั้งบารมี30ทัศน์ ว่าอิติปารมิตาติงสา
อิติสัพพัญญูมาคะตา อิติโพธิมนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโมลงถมด้วยคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า9ครั้งว่า อิติปิโส
วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนาพุทธะตังโสอิอิโสตังพุทธะปิติอิ/

และตามด้วยอรหันต์8ทิศ9ครั้งว่า

อิระชาคะตะระสา ติหังจะโตโรถินัง ปิสัมระโลปุสัตพุท โสมาณะกะริถาโธ ภะสัมสัมวิสะเทภะ คะพุทปันทูทัม
วะคะ วาโธโนอะมะมะวา อะวิสุนุสานุติ/ แล้วตามด้วย พุทธังกันตัง ธัมมังกันตัง สังฆังกันตัง พุทธังสิทธิ
ธัมมังสิทธิ สังฆังสิทธิ/9ครั้ง แล้วลงถมตามด้วยคาถา นะผุด ผัดผิด ปฏิเสวามิ 9 ครั้งแล้วจึงลงประทับด้วย
คาถานี้อีกครั้งหนึ่งว่า สัตถาธะนุง อากัตถิตุง ทัตวา วิสัชเชตุง นาทาสิ ( บทนี้เมื่อลงให้ผ่อนลมหายใจออก
ลงจบเดียว ) กัณหะเนหะ หายใจเข้า พุทธังปัจจุขาด ธัมมังปัจจุขาด สังฆังปัจจุขาด ( หายใจเข้าออก สลับกัน
ไปทีละบท )


สําหรับแผ่นทองแดงด้านหลังนั้นลงประทับด้วยพระคาถานี้ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา
ลงถม9ครั้ง แล้วตามด้วย นะโมพุทธายะ อิติปาระมิตาติงสา โนวะปะตานุภาเวนะ มาระเสนา อะติกกันตา
มาระนิทรา ทัสสะปาระมิตา ทะมาระนิทรา ปาระชังฆานิทรา ทัสสะปาระมิตา โลหะกันตา นามะเตนะโม
มาตาปิตุพุทธะคุณัง สัพพะสัตรูวิธังเสนตุ อะเสสะโต เอวังทัสสะวัณโณ ปฏิฐิตัง จักรวาฬะ สัพพะสัตตานุ
ภาเวนะ มาราโมระอะติกกันตา ทัสสะพรหมมานุภาเวนะ สัพพะสัตรูวินาสสันติเมื่อลงทองแดงห่อกั่นดาบแล้ว



จึงเอาเกษร108 และยามุกใหญ่มาบดให้ละเอียด เพื่อบรรจุในด้าม (ยามุกใหญ่คือยาสารพะดอย่าง ) หินซึ่ง
ใช้บดยานั้นลงด้วยพระคาถา มหาโสฬสมงคล ลงถม9ครั้ง ตามด้วยคาถาหัวใจพระธรรมเจ็ดคําภีร์9ครั้ง
คาถาพรหมสี่หน้า9ครั้ง คาถาพุทธนิมิต9ครั้ง คาถาพระเจ้า16พระองค์9ครั้ง คาถาอะระหันต์8ทิศ9ครั้ง









คาถาบารมี30ทัศน์9ครั้ง คาถาหัวใจสนธิ งะญะนะมะ 9ครั้ง คาถาพระกรณีย์ จะภะกะสะ 9ครั้งขณะบดยา
ให้ภาวนาพระคาถานี้ งะญะนะมะ จะภะกะสะ อะระหังสุคะโตภะคะวา นะมะพะทะ อิกะวิติ อิสวาสุ นะโม
พุทธายะ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ปะติลิยะติ พุทธังสิทธิ ธัมมังสิทธิ สังฆังสิทธิ จนกว่าจะบดยาเสร็จด้ามมีดให้
ใช้ไม้ ชัยพฤกษ์ แกะเป็นรูปท้าวเวสสุวรรณ เขียนคาถาเป็นตัวเลข ลงที่องค์ท่าน ลงเลข3ตรีนิสิงเหที่ปาก
ท้าวเวสสุวรรณ ว่าด้วยสูตรคือ มะอะอุตรีนิสิงเห ลงเลข7ที่ตาทั้งสองของท่านว่าสูตรสะธะวิปิปะสะอุ
สัตตะนาเค ลงเลข5ที่อกของท่านว่า อาปามะจุปะปัญจะเพชรฉลูกัญเจวะ ลงเลข4ที่หัวไหล่ทั้งสองของท่านว่า
นะมะพะทะจัตตุเทวา ลงเลข6 ที่ขาทั้งสองของท่านว่า อิสวาสุฉอวัชชะราชา ลงเลข5ที่ด้านหลังท่านว่า
ทีมะสังอังขุปัญจะ อินทรานะเมวะจะ ลงเลข1 ที่ตาตุ่มทั้งสองข้างว่า มิเอกะยักขา ลงเลข9 ที่ศรีษะท่านว่า


อะสังวิสุโลปุสะพุภะนวะเทวา ลงเลข5 ที่แขนซ้ายว่า สหะชะตะตรีปัญจะพรหมาสะหะบดี ลงเลข5 ที่แขนขวาว่า
นะโมพุทธายะ ปัญจะพุทธานะมามิหัง ลงเลข2 ที่ศอกทั้งสองข้างว่า พุทโธทะเวราชา ลงเลข8 ที่สะโพกทั้งสองข้าง
ว่า เสพุเสวะเสตะอะเส อัฏฐะอะระหันตาใช้พระคาถาท้าวเวสสุวรรณลงด้ามมีดให้ทั่วว่า
เวสสุวรรโณมหาราชา สัพเพเทวาเสเจวะ อาฬะวะกาทะโย ปิจะขัคคัง ตาละปัตตัง ทิสวา สัพเพยักขา
ปะลายันติ เวสสุวรรโณมหาราชา จัตตุโลกะปาลายัสสะสิโน อิติภูตา มหาภูตา สัพเพยักขาปะลายันติ
ลงกระบองท้าวเวสสุวรรณด้วย นะโมพุทธายะ



สิทธิการิยะ ผู้ใดได้มีวาสนามีศาสตราวุธเล่มนี้แล้ว จะประเสริฐทุกประการ ปราบปรามศัตรูและภูติผีปิศาจ
ได้ทุกชนิด แม้เข้าผจญสงครามก็ได้ชัยชนะต่อข้าศึก ใช้สะกดคนเป็นมหาจังงังอย่างแท้จริง ติดตัวไว้สารพัด
คงกะพันชาตรีจากอาวุธทั้งปวง เรียกได้ว่าเป็นมีดมหาปราบ/ อนึ่งยาที่เหลือจากการบรรจุด้ามมีดนั้น เอามา
ผสมกับรักปั้นเป็นองค์พระภควัมบดี(พระปิดตา) ไว้ติดตัวเป็นมงคลอย่างประเสริฐ/ อนึ่งตํารามีดมหา
ศาสตราคมนี้เป็นของจริง ผู้ที่จะสร้างต้องเป็นสาธุชนคนดี จึงจะมีความเจริญ ถ้าเป็นมิจฉาชนคนชั่ว
แล้วก็ไม่จักเกิดประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น โบราญจารย์ผู้เป็นเจ้าของตํารานี้ได้สาปแช่งไว้อย่างรุนแรงถ้าผู้มีมีด
นี้ทําชั่ว




ลงไว้เป็นวิทยาทานแก่อนุชนรุ่นหลัง
แว่นวัดอรุณ
ข้อมูลจาก กะฉ่อนพระเครื่อง

http://www.watnongmuang.com

โดย: kit007    เวลา: 2014-8-14 11:33
ขอบคุณครับ



โดย: Ninprakarn    เวลา: 2014-9-22 03:49
kit007 ตอบกลับเมื่อ 2014-8-14 11:33
ขอบคุณครับ


โดย: รามเทพ    เวลา: 2014-10-2 05:16
ขอบคุณครับ
โดย: lnw    เวลา: 2014-11-15 22:52

โดย: Ninprakarn    เวลา: 2017-10-20 07:17
    เสกหญ้า ด้วยมหา ละลวยใหญ่   
        เข้าใกล้ สีหมอก แล้วบอกว่า
       จะไป กับเรา ก็เข้ามา            
        ยื่นหญ้า ให้พลัน ในทันที











ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://www.baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2