Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
รู้เพื่อละ
[สั่งพิมพ์]
โดย:
kit007
เวลา:
2014-4-3 09:08
ชื่อกระทู้:
รู้เพื่อละ
รู้เพื่อละ
เรามาปฏิบัติต้องเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต
นี่เป็นหลักของมัน ความซื่อสัตย์เรารู้จักสุจริตเราก็รู้จักเมื่อไรถูกกิเลสมันครอบงำ เราก็รู้จักบางทีมันคิดรังเกียจคนโน้นคิดรังเกียจคนนี้ หรือคิดไม่ชอบใจกับอารมณ์เหล่านั้นเราอย่าไปหันเหกับมัน มันเป็นเรื่องธรรมดาของมันอย่างนั้นเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องรู้จักว่าอันนี้มันไม่ชอบแล้วถ้ารู้จักผิดแล้ว...มันคิดอย่างนั้นก็อย่าตามมันไปซิอย่าปฏิบัติตามมันซิมันจะสั่งงานเราเท่าไรเราก็ไม่ทำตามมันเพราะรู้ว่ามันผิดแล้วนี่เรียกว่าคนซื่อสัตย์อย่างคนมีศีล๕ ประการ ศีล๘ ประการ ตั้งมั่นอยู่แล้ว เมื่อไปถูกอารมณ์มันดึงดูดไปที่ไหนเราก็ไม่ไปกับมันแต่ให้รู้จัก
การปฏิบัติธรรมะไม่ใช่ว่าจะไปเรียนให้รู้อย่างเดียวหรอก
ได้เรียนเราก็รู้จักไม่เรียนเราก็รู้จักถ้าเรามีสติอยู่
หูฟังเสียง มันชอบใจไม่ชอบใจ นี่มันรู้จักแล้วมันรู้เรื่องปฏิบัติแล้ว
เรื่องชอบใจไม่ชอบใจ อย่าเอาเข้ามาในใจของเราแต่ฟังแล้วก็ให้รู้เรื่องของมันเรื่องชอบใจเรื่องไม่ชอบใจนี้คือหลักปฏิบัติ
ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติแล้วมันรู้จัก แต่คนเราเมื่อไปดูเรื่องที่ชอบใจแล้วก็จะเอาถ้าไม่ชอบใจก็ไม่เอาถ้าไม่ชอบแล้วก็วุ่นวายถ้าชอบก็สบายไปหน่อยนี่คือปฏิบัติอยู่ในวงอวิชชามันผิดทั้งนั้นแหละ
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านสอนน่ะ
ชอบก็ไม่ให้เอาไม่ชอบก็ไม่ให้เอา
ไม่มีชอบไม่มีไม่ชอบไม่มีรัก ไม่มีเกลียดเราเดินตรงเข้าไปหาสัจธรรมถ้ารู้จักแต่เรื่องบุญเรื่องบาป ฉันไม่เอาฉันจะเอาบุญอันนี้มันเป็นตัวอวิชชาเหมือนกันนะเรื่องไม่บาปไม่บุญ ทำไมไม่เดินเล่าเรื่องที่ว่าไม่ดีไม่ชั่ว ทำไมไม่เดินมันทางจะให้เราพ้นทุกข์ความดีที่แท้จริงมันอยู่เหนือดี เหนือชั่วมันอยู่เหนือผิดเหนือถูก
ฉะนั้น
การปฏิบัติอย่าให้ออกจากใจของเราให้ดูในใจของเราอย่าไปอาศัยข้างนอก
เมื่ออารมณ์มากระทบ มันก็เป็นพยานอยู่ในตัวแล้วไม่ต้องไปเรียนที่ไหนอีก...นี่คือภาวนาจะต้องเรียนอย่างนี้หาจิตที่แท้จริงจิตใจที่แท้จริงก็เหมือนกับใบไม้ใบไม้...ตามธรรมชาติของมันก็นิ่งๆเราก็รู้จักอีกเวลาหนึ่งมันกวัดแกว่ง...เพราะอะไร?มันถูกลม มันจึงกวัดแกว่ง จิตถ้ามันรู้อารมณ์แล้วเป็นต้นมันก็เป็นปกติของมันดู เท่านี้ก็พอแล้วไม่ต้องไปเรียนที่ไหนมันจะถูกอารมณ์สักเท่าไรก็ช่างเมื่อเรารู้ตามเป็นจริงแล้วมันก็นิ่ง มันสบายมัน สงบ มันระงับ
ดังนั้น
การปฏิบัติให้เราเข้าใจของแยบคายในพุทธศาสนาของเรา
อย่างพวกเรานี้เป็นพระ เป็นเณร...ถามไปอีกทีหนึ่งว่ามันเณรจริงหรือเปล่ามันเป็นพระจริงหรือเปล่าถามตัวเองเข้าไปอีกไปเห็นตัวจริงแล้วแหม...มันจะไปเร่ร่อนอยู่ในบ้านมันไปคลุกคลีอยู่ในบ้านอย่างเรามาบวชในพุทธศาสนานี้ไม่ได้เสพกามแล้วเดี๋ยวนี้ก็เลยดีใจ ฉันไม่ได้เสพกามแล้วเลิกมาแล้วอันนี้เป็นคำพูดของเราที่ติดปากกันมา แต่เมื่อเรามองเข้าไปอีกทีว่า...ใครเสพนี่...ตามันเห็นรูปถ้ามันยังเกลียดเค๊า...มันก็ไปเสพเค๊าอีกถ้ามันชอบเค๊ามันก็ไปเสพเค๊าอีกตา หู จมูก ลิ้นกาย จิต ถ้าไปรู้เรื่องมัน...มันก็เสพทั้งหมดเดี๋ยวนี้ ทั้งพระทั้งเณรนี่...เสพกามอยู่นี้ไม่ได้หนีจากกามหรอกตาเห็นรูปผู้หญิงมันชอบไม๊...มันเสพแล้วนี่ จมูกดมกลิ่นมันหอม ชอบมัน...เสพแล้วนี่...เสพแล้วยังเสพกามอยู่ยังปล่อยวางอารมณ์ไม่ได้เรียกว่ายังเสพกามอยู่ที่ว่าเราเป็นพระนั้นสมมติขึ้นมาหรอก
แต่ก่อนเราก็เป็นโยมอยู่เมื่อวานเราเป็นโยมวันนี้ มาบวชเป็นพระก็นึกว่าเราเป็นพระเป็นเณรแล้วมันเป็น แต่รูปร่างน่ะความเป็นจริงใจมันยังอยู่ตรงนั้น...ใจยังอยู่เรา ต้องการตรงนั้นระวังตรงนั้นมันจึงถูก ตรงนั้นไม่ระงับมันก็ เป็นไปไม่ได้มันโลภ มันโกรธมันหลง มันเกิดมาจากตัวนั้นคือจิตอันนั้นถ้าระงับจิตไม่ได้ก็ไม่เป็นสมณะตรงนี้พระศาสดาท่านว่า การปฏิบัติมันเป็นอย่างนั้นให้ดูภายในจิตของเจ้าของให้มันเห็นอย่างคนอื่นทำผิดเราก็ยกโทษเขาเรื่อยๆไม่หยุดเพราะเขาทำผิดถ้าคิดไปอีกก็ดีส่วนหนึ่งเหมือนกันแต่คิดเข้าไปถึงที่สุดแล้วมันเรื่องของเขาเราจะไปแบกทำไม?มันทุกข์... เห็นไหมนั่นนานๆเราก็เลยพ่ายตามเขาไปด้วยเห็นเขาผิดแล้วก็ไปรื้อฟื้นขึ้นมาเห็นเขาผิด...ต่อไปเราก็ผิดอีกเพิ่มมันเข้าไปอันนี้ต้องให้รู้จักการปฏิบัติก็เหมือนกันอย่างนั้น
ศีล สมาธิ ปัญญาผมเองพูดบ่อยๆแต่ว่าคงจะไม่เข้าใจ หรือไม่เอาใจใส่
เรื่องศีลเรื่องสมาธิเรื่องปัญญามันเป็นสามอย่างแต่ธรรมะผมพูดว่ามันเป็นอันเดียว
เปรียบให้ฟังมันเป็นอันเดียวยังไงเหมือนมะม่วงใบนี้แหละมันเป็นใบเดียวแต่ว่ารสเปรี้ยวมันก็มีรสหวานมันก็มีกลิ่นหอมมันก็มีรสทั้งหลายกลิ่นทั้งหลายเหล่านี้มันก็ออกมาจากผลไม้อันเดียวกันธรรมะนี่ก็เหมือนกันเรียกว่า ศีลสมาธิ ปัญญาเป็นสาม แต่ความเป็นจริงอันนี้ไม่มีสามหรอกเหมือนมะม่วงใบนั้นหวานก็เกิดมาจากนั้นหอมก็เกิดมาจากนั้นเปรี้ยวก็เกิดมาจากนั้นมันแยกกันอยู่อย่างนี้แต่ก็อยู่ในมะม่วงใบเดียวกัน
เรียกว่าปฏิบัติธรรมะศีล สมาธิ ปัญญาถ้าเราพูด แล้วมันก็ดึงดูดความเห็นไปคนละอย่างการปฏิบัตินี่ก็เหมือนกัน
ถ้าปฏิบัติสมาธิมันก็ถึงปัญญาถึงศีลด้วย
เราจับมะม่วงใบนี้ขึ้น ทั้งหวานทั้งเปรี้ยวทั้งหอม อยู่ใบเดียวกันแต่พูดถึง กลิ่นและรสคนละอย่างแต่อยู่ใบเดียวกันอันนี้ธรรมะอันเดียว
เอโกธัมโมธรรมมีอันเดียวเท่านั้น
มีไม่มาก คือจิตของเราที่มันเห็นชัดแล้วมันก็วาง...ปล่อยหมดแค่นั้นที่เรามาทำอยู่นี้ บางคนก็ลำบากหลายคิดไม่ถึงทุกข์
บางทีก็นั่งสมาธิไม่อยากให้มันคิดอะไรไม่อยากให้มันรู้อะไรเดี๋ยวอันนั้นอันนี้มาดึงไปแล้วก็คุมมันไว้อันนี้คือ ความเข้าใจผิดใครจะดึงไปที่ไหน?ถ้าพูดตามความเป็นจริงแล้วนะ ให้มันดึงไปเถอะเสียงก็ให้มันได้ยินรูปก็ให้มันเห็นให้ มันรู้จักมันถึงจะมีปัญญา
การยืนการเดิน การนั่งการนอน ถ้าเรามีสติสังวรสำรวมอยู่ทุกเวลานั่นแหละมันจะอบรมศีล...อบรมสมาธิ...แล้วก็อบรมปัญญา
โดย:
kit007
เวลา:
2014-4-3 09:09
เมื่อทุกข์เกิดขึ้นมาก็รู้จักว่ามันทุกข์ทุกข์นี่มันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร?...มันจะเห็นอะไรไม๊ถ้าเราเห็นตามธรรมดามันก็ไม่ทุกข์เช่นว่าเราอยู่อย่างนี้ๆเราก็สบายอีกวาระหนึ่งเราอยากได้กระโถนใบนี้มายกมันขึ้นมา...ต่างแล้ว...ต่างกว่าแต่ก่อนที่ยังไม่ได้ยกกระโถนถ้าไปยกกระโถนขึ้นมามีความ รู้สึกว่ามันหนักมันเพิ่มขึ้นมา...มันมีเหตุหนักมันจะเกิดเพราะอะไร ถ้าไม่เพราะเราไปยกมันถ้าเราไม่ยกมันมันก็ไม่มีอะไรถ้าไม่ยก...มันเบาอะไรเป็นเหตุ...เท่านี้ก็รู้แล้วไม่ต้องไปเรียนที่ไหน
ถ้าเราไปยึดอะไรอันนั้นแหละเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ถ้าเราปล่อยมันก็ไม่มีทุกข์
ทำไมเราไปยึดมันก็เพราะมันอยากถึงไปยึดมันมามันก็หนักเท่านั้นแหละไม่ใช่อื่นไกลหรอกเห็นชัดตรงนี้
การปฏิบัติอย่างนี้เรียกว่าการยืน การเดินการนั่ง การนอนให้มีอยู่เสมอ
เราต้องแสวงหาศีลสมาธิ ปัญญาไปพร้อมกันเลยเมื่อบารมีเต็มมันก็เต็มพร้อมกัน
สัมมาทิฏฐิ...ปัญญาเห็นชอบทุกอย่างที่เป็นมรรคก็ชอบเต็มไปหมดเหมือนมะม่วงมันแก่มันก็แก่หมดทั้งลูกมัน พร้อมกันไปทั้งนั้นมันห่าม มันก็ห่ามไปหมดทั้งลูกมันสุก มัน ก็สุกไปหมดทั้งลูกเรื่องของมันเป็นอย่างนี้มันไม่แยกกันเรา ไปแยกมันออกก็เลยไม่รู้เรื่องมันจึงยุ่งยาก
ดังนั้น
การปฏิบัติของเราก็คือให้มีสติควบคุมเสมอในการยืน เดินนั่ง นอน ให้รู้จักผิดรู้จักถูก
อย่าไปมองดูข้างนอกถ้าไปยึดข้างนอกมันจะลืมตัวมันจะไม่เห็นตัว เราจะรักอันนั้นเราจะรังเกียจอันโน้นเพราะจิตเราเป็นเหตุเป็นต้นตอ ฉะนั้น
เราจะต้องดูจิตอันเดียวเท่านั้น
ถ้าเรารู้จักมันก็เป็นอย่างนั้น
ถ้าเราอยากจะรู้ของแน่นอน
พระพุทธองค์ท่านสอนให้
พิจารณาร่างกายตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาศีรษะศีรษะไปหาปลายเท้า
ให้เห็นชัดว่าก้อนนี้มันเป็นอย่างนั้นก้อนอื่นนอกนี้ก็เป็นอย่างนี้ไม่แปร ไม่เปลี่ยน
ฉะนั้นการปฏิบัติของเราท่านจึงให้อบรมศีลอบรมสมาธิ อบรมปัญญามันไปพร้อมกัน
ศีลมันสามัคคีสมาธิก็สามัคคีปัญญาก็สามัคคีพร้อมกันเหมือนมะม่วงใบนี้น่ะมันจะดิบมันก็สามัคคีกันดิบมันจะห่าม มันก็สามัคคีกันห่ามมันจะสุก มันก็สามัคคีกันสุกเพราะมะม่วงใบเดียวกันฉันนั้น การปฏิบัตินี้ก็เหมือนกัน
บางคนก็ไปนั่งไม่อยากให้มันรู้อะไรให้มันเงียบๆเหมือนเอาอะไรไปครอบไว้ไม่ให้รู้เห็นอะไรมันจะเกิดประโยชน์อะไรไม๊ ที่เราเข้าไปนั่งสงบนั้นไม่ใช่สงบกิเลสแต่มันทำจิตให้สงบชั่วคราวเท่านั้นแหละเหมือนเรานั่งอยู่นี่หายใจสบายๆนะสบายแต่เดี๋ยวนี้อีกต่อไปเราลองเอาประคตเอวมารัดพอให้มันแน่นรัดเข้าๆ.. ไอ้ความสบายมันจะไม่ค่อยมีความ ไม่สบายมันจะเพิ่มเข้ามาจนหายใจน้อยๆทนทุกข์ทรมานอยู่นานพอสมควรเราก็เอาประคตออกเลือดมันก็วิ่งสม่ำเสมอมีความรู้สึกสบาย
แต่ว่าเมื่อเอารัดเข้าไปมันก็ทุกข์ตรงนี้อีกพอระบาย ทุกข์ออกถึงที่เก่ามันก็นึกว่าเออ...อันนี้มันสบายแค่นี้น่ะดูซิก่อนจะสบาย มันทุกข์ก่อนเกือบตายเราไม่ตาย เห็นจะไม่รู้จักนะ มันสลัดกันตรงนี้แหละเราไปหลงอารมณ์ตรงนั้นแหละเมื่อปล่อยประคตเอวออกความสบายก็อยู่แค่นี้แหละแต่เมื่อ เราหยุดแค่นี้เราก็นึกว่าสบายแล้วก็อยากสบายให้ยิ่งไปกว่านี้นี่ของอันเก่านะเราสำคัญผิดเท่านั้นการปฏิบัตินี่ก็เหมือนกันฉันนั้น
จะอยากให้มันเป็นยังไงอยากจะไปนั่งไม่ให้มันมีอะไรไม่ให้คิดอะไรไม่ให้นึกอะไร...อันนั้นมันบาปหลายแล้ว...มันบาปหลาย
ไอ้ความคิดที่ว่ามันไม่ดีอารมณ์ที่มันไม่ดีถ้า เรารู้มันแล้วมันก็เกิดปัญญาเท่านั้น
อันนั้นแหละตัวสำคัญไอ้คนนี้พูดไม่ถูกหูเราเราไม่ชอบใจอยากจะหนีมันไปนี่แหละ ตัวสำคัญแล้วนี่ต้องให้เราปฏิบัติให้รู้ตัวของเราแล้วเพราะเรา มันหลงนี่หลงเพราะอะไร?เพราะเราไม่ชอบก็หนีไปอันนี้มัน ไม่พ้นถ้าเราไปอีกไปพบเสียงอันนี้อยู่ข้างหน้าอีกเราก็ไม่ ชอบใจอีก...ไปอีกมันก็ตายเปล่าๆเท่านั้นแหละมีความสงบ ไม่มีความสงบต้องให้รู้มัน
เราปฏิบัติให้รู้จัก
อย่าไปขังตัวของเราถึงสงบขนาดไหนก็อย่าทิ้งความรู้สึก
ถ้าทิ้งความรู้สึกมันก็เป็นบ้า...ให้มี
ความรู้ตัวของมัน...เรียกว่า
พุทโธ
...เราอย่าไปบ่นแต่ปากของ เราเท่านั้นแต่ให้มันถึงจิตของเจ้าของการปฏิบัติต้องเป็นอย่างนั้นบางคนนั่งไม่สงบไม่คิดอย่างนั้นก็ไปอย่างนี้ก็ว่ามันไปแล้วฉันก็ไปดึงมันมามันไปอีก ก็ไปดึงมาอีกเลยเป็นบ้าใครดึงใครก็ไม่รู้ใครไปใครมาก็ไม่รู้...ไม่รู้เรื่องไม่มีใครไปใครมาหรอกนั่นจะมีใครมาใครไปเล่า...ดูให้มันดีๆตรงนั้น
อย่างที่ผมพูดใบไม้ปกติของมันมันนิ่ง ถ้ามันกวัดแกว่ง เพราะอะไร?ลมมาถูกมันจิตใจของเราก็เหมือนกันถ้า มันฟุ้งซ่านรำคาญกวัดแกว่งก็เพราะถูกอารมณ์ถ้าจิตแท้ๆแล้ว มันนิ่งอยู่อย่างนั้นสว่างอยู่อย่างนั้นรู้อยู่อย่างนั้นอันนี้ เราเข้าใจผิดกันจะต้องให้มันรู้จักให้สังวรสำรวมให้รู้จักว่ามันผิดมันถูกผิดก็รู้ ถูกก็รู้มันจะคิดผิดขนาดไหนก็ช่างเรารู้ ว่าอันนี้มันคิดผิดเข้าใจผิด ไม่ให้มันดึงดูดเราไปได้แล้วก็กลับมาตรงนี้ เพราะมันมั่นอยู่แล้วไม่ให้มันขาดจากนี้ไปแค่นี้... ก็เป็นสังวรศีลแล้วก็เป็นสมาธิแล้วปัญญาก็จะเกิดขึ้นมา
ทำอันนั้น...หลับตาก็ไม่ผิดหรอกแต่ให้รู้จักเวลาพอสมควร นั่งไม่รู้ไม่เอาต้องให้รู้จักหายใจเข้า-ออก...รู้...เข้าไปบ่มไว้ อะไรผ่านเข้ามารู้จักหมดทุกอย่างออกจากที่นี่ก็มีสติเดินไป ตาเห็นรูปก็รู้จักหูฟังเสียงก็รู้จักรู้จักทุกสิ่งทุกอย่างรู้จักผิด รู้จักถูกเมื่อรู้จักผิดรู้จักถูกแล้วก็พยายามละมันให้ มันไปเหนือกว่านั้นอีกจนกว่าใจของเราไม่มีผิดไม่มีถูก...เหนือแล้วนี่ คือเราปล่อยวางมันเสียให้รู้จักอย่างนั้นนี่เรียกว่าการปฏิบัติของเราฯ
ธรรมโอวาทหลวงพ่อชาสุภัทโท แสดงแก่พระเณร
ที่มา
http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/ ... rder_to_Let_Go.html
โดย:
oustayutt
เวลา:
2014-4-3 22:37
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://www.baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2