Baan Jompra

ชื่อกระทู้: สมดุลย์สุขภาพ (สุขภาพดีไม่มีขาย) [สั่งพิมพ์]

โดย: AUD    เวลา: 2013-9-3 04:59
ชื่อกระทู้: สมดุลย์สุขภาพ (สุขภาพดีไม่มีขาย)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AUD เมื่อ 2014-10-5 07:39

ให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยที่คุณสามารถทำเองได้  ด้วยการฉลาดบริโภค จะทำให้
ตนเองให้มีอายุยืนยาวขึ้น





โดย: AUD    เวลา: 2013-9-3 04:59

โดย: AUD    เวลา: 2013-9-3 05:00


โดย: AUD    เวลา: 2013-9-3 05:03
[attach]4473[/attach]

"มะนาว" นอกจากเปรี้ยวแล้วยังมากด้วยสรรพคุณ

มะนาวเป็นผลไม้พื้นๆที่ใช้บริโภคกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่จะมีกี่คนที่จะรู้ว่ามะนาวลูกเล็กๆ นั้นมีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆได้มากมายหลายโรคด้วยกัน แก้ไอออกเลือด (ไอมีเลือดปน)

ใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา มะนาว 4 ลูก เกลือ 1 ช้อน หรือประมาณ 3-4 เม็ด ผสมให้เข้ากันดี ให้มีรสเปรี้ยวเค็มหวาน ใช้จิบทุกครั้งที่ไอ
ใช้มะนาว 108 ใบ เบี้ยจั๊กจั่น 11 ตัว ปูนขาวหนักประมาณ 4 บาท
วิธีทำ คั้นน้ำมะนาว ใส่เบี้ยจั๊กจั่นและปูนขาวปนกัน ดองประมาณ 3 คืน รับประทานครั้งละจอกชา แก้ไอออกเลือดดี

ต่อมทอนซิลอักเสบ
เอาน้ำมะนาว น้ำผึ้งและปูนขาวผสมดื่ม แก้ทอนซิลอักเสบ

แก้ซาง,ตุ่มในคอเด็ก,เสมหะ
เมล็ดมะนาวขับเสมหะแก้โรคซางของเด็ก แก้เม็ดยอดในปากโดยเอาเม็ดมะนาวเผาไฟ บดให้ละเอียด ใช้น้ำมะนาวหรือรากของมะนาวฝนกันน้ำเป็นกระสาย ผสมเข้าด้วยกัน แล้วกวาดซางเด็ก ให้เอาน้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วเอารากมะนาวฝนให้ข้นดี แล้วจึงเอาไปล้วงคอเด็กสัก 2-3 ครั้งก็หาย
ใช้เม็ดมะนาวเคี้ยวกิน ขับเสมหะ ใช้ติดต่อกัน 7 วัน ได้ผลดี

แก้เสียงแหบแห้ง
มะนาวทำให้เสียงไม่แหบแห้ง ตื่นตอนตอนเช้าทุกครั้งให้ผ่ามะนาวครึ่งหนึ่ง จิ้มเกลือบีบน้ำลงคอกลืนกิน ทำทุกเช้าทุกวัน ทำให้เสียงไม่แหบแห้ง

ก้างติดคอ
เมื่อก้างปลาติดคอ เอามะนาว 1 ลูกคั้น เอาแต่น้ำ เติมเกลือ น้ำตาลนิดหน่อยกรอกลงไปให้ตรงก้างที่ติดคอ อมไว้สักครู่ แล้วจึงค่อยกลืน ก้างจะอ่อนตัวหลุดลงไปในกระเพาะ ก้างปลาติดคอซึ่งเป็นชิ้นเล็กๆ เมื่อกลืนน้ำลายจะทำให้รำคาญเท่านั้น ให้ผ่ามะนาวแล้วนำมาอมไว้ในปาก อมจนรู้สึกรสเปรี้ยวของมะนาวเจือจางสัก 2-3 หน จะทำให้ก้างหลุดออกไปได้

ช่วยลดไข้
นำใบมะนาวมาหั่นฝอยๆ ชงด้วยน้ำเดือด ดื่มแบบน้ำชาจะช่วยลดไข้และใช้อมกลั้วคอฆ่าเชื้อโรคได้อีกด้วย
ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตกนิยมใช้เปลือกรากมะนาวต้มเป็นยาแก้ไข้อย่างดี และใช้ใบทำเป็นยาชงกินแก้ไข้ที่มีอาการตัวเหลืองเล็กน้อย นอกจากนี้ยังใช้น้ำมะนาวดื่มแก้กระหายน้ำ แก้ไข้อีกด้วย ที่ประเทศอินเดีย ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ นิยมรักษาโดยดื่มน้ำมะนาวแล้วพักผ่อน ถ้าเป็นไข้หวัดธรรมดา จะรับประทานผลอินทผลัมและดื่มน้ำมะนาวรักษา




โดย: AUD    เวลา: 2013-9-3 05:04
แก้ไข้ทับระดู
เอาใบมะนาว 100 ใบ มาต้มกินแล้วหาย

แก้ปวดศีรษะ
เอามะนาวมาฝานเป็นซีกบางๆ แล้วเอาปูนที่กินกับหมาก ละเลงด้านหน้าของซีกมะนาวนั้นบางๆ แล้วปิดตรงขมับ ทำอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการปวดก็ค่อยหายดีขึ้นทุกวันใช้น้ำมะนาวผสมกับน้ำตาลสัก 1 แก้ว ดื่มตอนเช้า ช่วยให้หายจากโรควิงเวียนและปวดหัวชาวมาเลเซีย ใช้ใบมะนาวผสมกับน้ำมะนาว บดทำเป็นยาใส่ผมแก้ปวดศีรษะ ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตก ใช้ใบมะนาวตำให้ละเอียดถูศีรษะหรือเคี้ยวรากมะนาวแก้ปวดศีรษะ

แก้เลือดออกตามไรฟัน
เกิดจากการขาดวิตามินซี ทำให้เหงือกบวมและมีเลือดออกตามไรฟันเป็นประจำ หรือมีเลือดออกได้ง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล มีจุดพรายย้ำขึ้นตามผิวหนัง อาจมีเลือดออกจนซีดได้ ถ้าอาการรุนแรง จะมีอาการปวดน่อง ข้อเท้าบวม การรักษาให้กินมะนาวหรือผลไม้เปรี้ยวๆ เช่น ส้ม จะแก้ได้

แก้โรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟัน ใช้มะนาวถูฟันสักพักเลือดก็จะหยุด

แก้เหงือกบวม
ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่เหงือกวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น

แก้ลิ้นเป็นฝ้า
ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 3ครั้ง
ขจัดคราบบุหรี่
ใช้มะนาวถูฟันที่มีคราบบุหรี่จับ เมื่อใช้มะนาวถู คราบนั้นจะหาย ถ้าฟันผู้ที่รับประทานหมากต้องถูกบ่อยๆ ถ้าจับมากหลายวันแล้วต้องถอดฟันแช่น้ำมะนาวไว้ค้างคืน ( หมายถึงผู้ใส่ฟันปลอมนะ) ฟันจะขาวสะอาดเงางาม

ยาบ้วนปาก
บีบน้ำมะนาวลงในแก้วสัก 2-3 หยดเท่านั้น บ้วนปากได้สะอาดยอดเยี่ยม

แก้เป็นลมวิงเวียน อยากอาเจียน
ใช้มะนาวผ่าซีก โรยเกลือป่น เหยาะน้ำตาลทรายขาวสักนิดบีบกินลงไปพักเดียวหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้จากการตั้งครรภ์ เมารถ แพ้อากาศ มะนาวช่วยคุณได้ ใช้มะนาวจิ้มเกลืออมไว้ในปากสักครูจะรู้สึกสดชื่นจากการ เป็นลมวิงเวียน หน้ามืดได้ ใช้เปลือกมะนาวแกะออกแล้วบีบหรือดมใกล้จมูก แก้เป็นลม วิงเวียน หน้ามืดตาลาย ด้านประเทศฟิลิปปินส์และประเทศจีน ใช้เปลือกลูกมะนาวขยี้ใก้ดมแก้คลื่นไส้หรือเป็นลม หมอพื้นเมืองชาวอินเดีย นิยมใช้น้ำมะนาวแก้อาเจียน

แก้วิงเวียนเมื่อคลอดบุตร
เอามะนาวปอกใส่ภาชนะ 2-3 ลูก เพื่อให้คนที่คลอดบุตรนั้นกินแก้วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย เอามะนาว 3 ผล เกลือป่นและพริกไทยป่นพอควร ละลายด้วยน้ำร้อน แทรกเหล้าโรงประทาณให้ได้สักครึ่งถ้วยชา เวลาตกฟากรับประทาน 1 ครั้ง หรือรับประทาณต่อไปอีกก็ได้

แก้เมาเหล้า เมายา
ดื่มน้ำมะนาวหรืออมกับเกลือ สำหรับคนเมาเหล้าหรือวิงเวียนจะเป็นลม

แก้ลมเงียบ
เอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอมประมาณ 1 อาทิตย์

โดย: AUD    เวลา: 2013-9-3 05:05
แก้ตาแดง
เอามะนาวผ่า แล้วเอาเมล็ดในออกให้หมด แล้วก็บีบเอาน้ำมะนาวหยอดลงในตาทั้ง 2 ข้างหลายๆหยด สัก 1-2 นาที พอหายแสบแล้วล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เช็ดหน้าเรียบร้อยแล้วก็สบาย และใช้มะนาวต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะหายตาแดง

บำรุงตา
ใช้มะนาวสดทั้งลูกฝานตามที่เห็นสมควร แล้วบีบใส่ตาประจำ ประมาณเดือนหรือสองเดือนครั้งก็ใช้ได้ ( เนื่องจากตาเป็นอวันวะที่บอบบางมาก และน้ำมะนาวนั้นหยอดลงไปแล้วจะรู้สึกแสบตา ดังนั้น เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจึงไม่ควรใช้น้ำมะนาวนี้หยอดตา)

บำรุงผิว
เอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้ว นำมาทาบริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า ช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี

แก้ผิวแตก
ใช้มะนาวทาผิวหนังทำให้ชุ่มชื้น ไม่แตกกร้านในช่วงอากาศแห้ง

แก้สิวฝ้า
ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง การรักษาอย่างง่ายที่ถูกวิธี คือ การทำความสะอาดใบหน้า เพื่อลดไขมันและกำจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขนบนใบหน้า หรือบริเวณอก คอ ที่มีสิวขึ้น ฉะนั้นมะนาวจะช่วยรักษาสิงให้ลดน้อยลงได้ เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อนๆจะทำให้เนื้อเยื่อที่ตามแล้วหลุกออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน กรดอ่อนๆจะช่วยกำจัดเชื้อโรคและช่วยกำจัดไขมันได้บ้าง
วิธีใช้ คือ ล้างหน้าด้วยสบู่ธรรมดาให้สะอาดแล้วผ่ามะนาวทาบริเวณที่มีสิวขึ้นให้เปียก ชุ่มจนทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออกด้วยสบู่อีกครั้ง ทำเช่นนี้วันละ 1-2 ครั้ง เช้าและเย็น

ใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อยๆยุบหายไปในที่สุด
ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ไข่ขาว 1 ช้อนชา ผสมกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเอาไปแต้มที่ตุ่มสิว หรือผู้ที่ไม่มีสิว ใช้ทาบางๆทั่วไปประมาณ 30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสบู่ หน้าจะนิ่มนวลอยู่เสมอ

มะนาวรักษาโรค

ลบรอยแผลเป็น
รอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ ใช้น้ำมะนาวผสมดินสอพองทาบริเวณที่เป็น ทำให้หน้าไม่ดำ หรืออาจใช้ใบมะลิสดตำผสมเพิ่มเข้าไปอีกก็ได้

แก้ขาลาย
คนที่มีขาลายเป็นจุดด่างดำเม็ดเล็กๆนั้น แก้ได้โดยเอาน้ำมะนาวบีบใส่ดินสอพองหมาดๆ แล้วทาทุกๆคืนก่อนนอน พอรุ่งเช้าก็ล้างออก ทำอย่างนี้ทุกวัน ไม่นานวันรอยด่างดำก็ลบหายไปเอง

แก้น้ำเหลืองเสีย
ใช้ใบมะนาว 108 ใบกับเกลือหรือดีเกลือ 2 บาท หรือประมาณ 3 ช้อนคาวรวมกัน ต้มรับประทานเป็นยาระบายถ่ายน้ำเหลืองเสีย รับประทานครั้งละครึ่งถ้วยแก้วกลาง วันละ 1 ครั้งก่อนเข้านอน

แก้ส้นเท้าแตก
เอามะนาวสดผ่าซีกแล้วบีบมะนาวให้หยดลงบนบริเวณที่เป็นแผลนั้น เพียงวันละ 2-3 ครั้งภายใน 7 วัน โรคส้นเท้าแตกจะหายไปเอง

ดับกลิ่นเต่า
ใช้น้ำมะนาวทารักแร้ป้องกันกลิ่นเต่า

แก้โรคผิวหนัง
ประเทศแถบทวีปอาฟริกาตะวันตกและประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวทาแก้โรคผิวหนัง แต่ของอินเดีย เวลาอาบน้ำ ห้ามฟอกสบู่บริเวณที่เป็น

แก้กลาก เกลื้อน หิด
นำกำมะถันตำให้ละเอียดบีบมะนาวใส่พอสมควร ทาบริเวณที่เป็นเกลื้อนหลังอาบน้ำและก่อนนอน เคยใช้กับญาติโยมหลายราย ผลออกมาแล้วหายเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์
ใช้มะนาวผ่าซีกแตะผงกำมะถันแล้วมาถูบริเวณที่เป็นหิด กลากเกลื้อนจะกายในเร็ววัน

แก้หูด
เอาเปลือกมะนาวหมักกับน้ำส้มสายชู 2 วัน ตัดเปลือมะนาวมาปิดที่หูด ปิดทับด้วยพลาสเตอร์ค้างคืนไว้ รุ่งเช้าจึงเอาออก ให้ทำเช่นนี้นาน 2 อาทิตย์

แก้พุพอง
ใช้รากมะนาวฝนกับน้ำซาวข้าว ทาแก้พุพอง แสบร้อน

แก้น้ำกัดเท้า
ใช้มะนาวทาที่เป็นตุ่มคัน น้ำกัดเท้า ทาแล้วทิ้งให้แห้ง ล้างออกด้วยน้ำสบู่ ให้ผ้าเช็ดให้แห้ง แล้วเอาแป้งทา ตุ่มคันก็จะหาย

แก้ปูนซีเมนต์กัด
เวลาถูกปูนซีเมนต์กัดตามมือ เท้า เอามะนาวมาตัดกลางลูก แล้วบีบน้ำมะนาวตรงที่ปูนกัดก็จะหาย

แก้คัน
ใช้มะนาวตัดกลางลูกรมไฟพออุ่น ถูทาตามที่คันภายใน 2-3 วัน จะหาย
เรื่องแก้คันนี้ในประเทศอินเดีย ใช้มะนาวผสมน้ำผึ้ง ทาบริเวณที่คันและเวลาอาบน้ำ อย่าฟอกสบู่บริเวณที่คัน ใช้ทาทุกครั้งเมื่อรู้สึกคั

แก้หนอนคัน
แถวชนบทมีตัวหนอนหลายชนิด เมื่อเราไปถูกมันเข้าจะทำให้เนื้อตรงบริเวณนั้นคันมาถึงกับเน่าเปื่อยก็มี ถ้าไปถูกตัวหนอนแล้วคันแต่ยังไม่เปื่อยเป็นแผล ให้เอามะนาวผ่าซีกถูตรงที่คันนั้น แต่ถ้าเปื่อยเป็นแผลแล้ว ให้เอาบานไม่รู้โรยมาตำกับปูนที่กินกับหมากผสมน้ำเล็กน้อย ทาตรงแผยเปื่อยรับรองหาย

แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย
ใช้ระงับความเจ็บปวดจากพิษแมลงได้ โดยใช้มะนาวพอกบริเวณปากแผลทิ้งไว้ 2-3 นาทีแล้วเปลี่ยนใหม่ทำดูจะหายปวด
ในประเทศจีน ใช้ผลสดคั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่ถูกตะขาบกัด แมลงป่องต่อยทันทีจะแก้ได้

แก้สังคัง
ใช้มะนาวผ่าซีก ทาก่อนนอนและหลังตื่นนอน เพียงไม่กี่วันก็หาย

โดย: AUD    เวลา: 2013-9-3 05:05
ใช้สระผม แก้คันศีรษะ
ใช้น้ำมะนาวสระผมทำให้ผมสะอาด หอม
ถ้าคันศีรษะบ่อย ใช้น้ำมะนาวนวดศีรษะให้ทั่วสักครู่ก่อนสระผมจะแก้ได้

แก้หัวโน
ใช้แป้งดินสอพองผสมน้ำมะนาว ทาตรงที่ช้ำบวมสักพักใหญ่ๆ อาการปวดบวม ปูด ก็จะยุบ หมั่นทาวันละ 1-2 ครั้ง ภายใน 2 วันก็จะหายไปเอง

แก้ผิวหนังฟกช้ำ
ผสมน้ำมะนาวกับดินสอพองข้นๆ ทาบริเวณที่มีอาการผิวเนื้อถูกกระแทกเขียวฟกช้ำ หรือบวมโน จะหายเป็นปกติ

น้ำมะนาวรักษาโรค

แก้หนามปัก
แก้หนามปักคา ใช้มะนาวกับน้ำมันตับปลา ใส่ที่แผลจะดูดหนามออกมาได้

แก้เล็บขบ
เอามะนาวมาผ่าตรงส่วนหัวออกขนาดพอสอดนิ้วเข้าไปได้ ใช้มีดคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย เสร็จแล้วเอาปูนทาบางๆ แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป แล้วทิ้งไว้ ทำดังนี้ 2-3 ครั้ง อาการเล็บขบจะหายไป

แก้ปลาดุกยัก
ใช้มะนาวผ่าซีกแล้วกดหรือถูครงรอยปลาดุกยักสักพักหนึ่ง จะหายปวดภายใน 4-5นาที

แก้งูกัด
แก้งูกัดให้ปฏิบัติดังนี้
1. ให้คนเจ็บนอนราบๆ เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายช้าลง และพิษงูจะได้แผ่ซ่านช้าลงด้วย

2. ถ้าถูกงูพิษกัดที่แขนและขา ให้เอาเชือกรัดเหนือแผลหน่อย กะให้รัดอยู่ในระหว่างแผลกับหัวใจของคนเจ็บ การรัดให้รัดพอให้เลือดตรงผิวหนังนั้นหยุดไหลเพื่อกันไม่ให้พิษผ่านเข้าเส้น โลหิตดำเท่านั้น ไม่ต้องรัดแน่นมากจนหลอดเลือดที่อยู่ลึกลงไปพลอยหยุดไหลไปด้วย ถ้ารัดพอดีๆจะสังเกตเห็นน้ำเหลืองไหลซึมออกจากแผลอยู่เรื่อยๆ

3. ใช้ใบมีดโกนที่สะอาดและฆ่าเชื้อแล้ว กรีดลงบนแผลเป็นรูปกากบาท ลึกสัก 1 ใน 8 นิ้ว ยาว สัก 1 ใน 4 นิ้ว ทั้ง 2 เขี้ยว อย่าตกใจว่าจะเสียเลือด เพราะมันจะช่วยล้างพิษออกด้วย ให้ใช้ปากดูดพิษออกมาจากแผลที่กรีด พิษงูจะไม่เป็นอันตรายเมื่อเข้าไปอยุ่ในปาก นอกจากจะมีแผลในปากหรือฟันผุเท่านั้น เมื่อดูดพิษออกมาให้รีบบ้วนทิ้ง แล้ววางน้ำแข็งที่แผลสลับกับการดูดช่วยด้วย และระวังให้แขน ขาที่ถูกงูกัดให้อยู่ต่ำๆไว้ หมายเหตุ ถ้าฟันผุหรือมีแผลในปาก ใช้ขวดอุ่นให้ร้อน (ระวังแตก) เอาปากขวดทาบกับแผล เพื่อช่วยดูดเลือดออกจากแผลแทน

4. ให้กินน้ำมะนาว ขนาดผลโตๆสัก 1 ผล น้ำมะนาวจะไปทำปฏิกิริยากับพิษงูที่แล่นเข้าสู่กระเพาะอาหาร สักครูก็จะอาเจียนออกมา มีเลือดปนเล้กน้อย ซึ่งแสดงว่าพิษงูได้หมดฤทธิ์แล้ว

5. คนเจ็บจะเกิดความมั่นใจและค่อยหายกลัว ให้เขาดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มร้อนๆ ได้ แต่อย่าให้กินเหล้า พิษงูมันเดินเข้าหัวใจอย่างช้าๆ แต่หลังจากที่ถูกงูกัด อาจปวดมากจนถึงกับช็อค ให้คนเจ็บอยู่เงียบๆ เพราะถ้าไปทำอะไรเข้า จะเป็นการเร่งพิษเดินทางเข้าสู่หัวใจเร็วเข้าอีก ให้ใช้น้ำแข็งหรือผ้าชุบน้ำแข็งวางที่แผล จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ และรีบนำส่งรักษาที่โรงพยาบาล

ป้องกันงู
เมื่อใช้มะนาวคั้นเอาน้ำหมดแล้ว เอาเปลือกวางท้องเอาไว้ใกล้ๆที่นอน จะทำให้งูไม่มารบกวน เพราะได้กลิ่นมะนาว

แก้แมงคาเรืองเข้าหู
นำน้ำมะนาวอย่างเดียว กรองด้วยผ้า ใช้หยอดหู แก้แมงคาเรืองเข้าหู ถ้าตัวยังไม่ตายจะหนีออกมา ถ้าไม่หนีออกมาตัวจะตายในหู

แก้ฝี

แก้ปวดฝีใช้รากสดฝนกับเหล้าทา
ขูดเอาผิวมะนาว ผสมกับปูนแดงปิด ฝีจะหาย

แก้ฝีมะตอย
เอามะนาวทั้งลูก มาคว้านไส้ในออกให้เอานิ้วเข้าไปได้ แล้วเอาปูน(กินหมาก)ทาเข้าไปในลูกมะนาวเล็กน้อย แล้วสวมเข้านิ้วที่มีฝีขึ้น

แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
ให้เอาน้ำมะนาวมาชะโลมบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษปวดแสบปวดร้อนได้ผล

แก้บาดทะยัก
เมื่อถูกตะปูตำ หนามเกี่ยว หรือถูกของที่มีคม เอาน้ำมะนาวบีบใส่แผลที่เป็น จะป้องกันบาดทะยักได้

แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
แก้อาการปวดท้อง แน่นท้อง เอาผลมะนาวครึ่งผล บีบเอาน้ำมะนาวใช้กินกับน้ำอ้อย หรือน้ำตาล แก้อาการนี้ได้
เด็กท้องอืดร้องกวนในเวลากลางคืน เอาปูนเคี้ยวหมากขยี้ลงบนฝ่ามือ บีบน้ำมะนาวคลุกให้ทั่ว แล้วทาท้องเด็ก สักครู่เด็กจะผายลม 2-3 ครั้ง แล้วหยุดร้องไห้ หลับสบายตลอดคืน เพราะน้ำมะนาวทำปฏิกิริยากับปูน ให้ความร้อนเกิดความอบอุ่น


โดย: AUD    เวลา: 2013-9-3 05:06
รักษาโรคกระเพาะ
เปลือกผลมะนาว ใช้ชงกับน้ำอุ่น ดื่มเป็นยาขับลมและแก้โรคกระเพาะได้

แก้ท้องผูก
ใช้มะนาว ประมาณค่อนแก้วกาแฟ ใส่เกลือเล็กน้อย ให้เค็มพอประมาณ ดื่มทุกวันเป็นยาระบายได้ดี ทำให้เจริญอาหาร

แก้ท้องร่วง
ประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวกับน้ำสะอาดดื่มแก้ท้องร่วง

แก้อาหารเป็นพิษ
น้ำมะนาว น้ำปูนใส เติมเกลือให้มีรสเค็ม กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ แก้อาหารเป็นพิษ

แก้ผิดสำแลง
รากมะนาว ฝนกับน้ำซาวข้าวรับประทานแก้ผิดอาหาร ถ้าได้รากมะนาวหวานยิ่งดี
เอามะนาวบีบเอาน้ำใส่ถ้วย แล้วเอาปูนกินหมากมาแช่น้ำ แล้วเอาน้ำใสๆของปูนมาผสมน้ำมะนาว แล้วรับประทานแก้กินของผิดได้เป็นอย่างดี

แก้บิด
ใช้มะนาวกับน้ำผึ้งเอาเท่าๆกัน กินครั้งละ 1 ถ้วยตะไล สัก 2-3 ถ้วย แก้บิดได้ หรือจะผสมน้ำปูนใส อย่างละเท่าๆกัน ก็ได้ผลเช่นกัน
ชาวมาเลเซียใช้รากมะนาวต้มกินแก้บิด

ขับพยาธิไส้เดือน
ชาวอินเดียใช้น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งดื่มขับพยาธิไส้เดือน

แก้นิ่ว
เอามะนาวมา บีบมะนาวแช่หินปูน หากหินปูนละลาย ก็เอารากมะนาวนั้นมาต้มกิน นิ่ว คือหินปูนในกระเพาะปัสสาวะ จะอยู่ได้อย่างไรก็ต้องละลายออกมาหมดอย่างแน่นอน หากนิ่วก้อนใหญ่ก็ต้องใช้เวลาหน่อย
แก้ปัสสาวะกระปริบกระปรอย
ใช้ใบมะนาวสดต้มกินกับน้ำตาลแดง ประมาณ 2-3 วันก็หาย
แก้ระดูขาว
น้ำมะนาว 2 ช้อน เกลือ น้ำตาลนิดหน่อย ผสมน้ำสุก ใส่น้ำแข็งรับประทานแก้และรักษาสตรีมีระดูขาวมากๆ
ฟอกโลหิต
ใช้ใบมะนาว 7 ใบ ต้มผสมกับน้ำ กินครั้งละ 3 ถ้วยชา วันละ 3 เวลา ได้ผลดี

แก้โลหิตจาง
ให้เอาผลมะนาวผ่าซีก บีบเอาเฉพาะน้ำ ผสมกับน้ำหวานแล้วปรุงด้วยเกลือทะเลพอสมควร ใส่น้ำแข็ง ใช้รับประทานบ่อยๆ เป็นยาบำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง และทำให้มีฟิวพรรณผุดผ่องมีน้ำมีนวล

แก้เหน็บชา
ให้เอาลูกมะนาวเท่าอายุคนป่วย ใช้มีดบางคมๆ ผ่าสองเอาหนึ่ง ส่วนที่ไม่เอาแล้วแต่เราจะเอาไปทำอะไร ให้เอาน้ำตาลทรายขาว 1 ลิตร เกลือ 1 ลิตร เอาน้ำ 4 ลิตร ต้มให้เดือด ยกลง พอเย็นหน่อยก็เทใส่ไห แล้วจึงเอามะนาวส่วนที่เอาเทลงดองไว้ในไห ปิดปากไห ไปฝังไว้ในข้าวเปลือก 7 วัน แล้วเอาน้ำมากินให้หมด แล้วเอากากไปตำตากแดดให้แห้ง เอามากินให้หมด โรคเหน็บชาจะหายไป

แก้ร้อนในกระหายน้ำ
มะนาวสามารถแก้ความกระหายได้ดี กินน้ำมะนาวใส่น้ำแข็งแล้ว จะรู้สึกชุ่มคอ

แก้อ่อนเพลีย
ใช้มะนาว 1 ผลครึ่ง บีบเอาแต่น้ำใส่แก้ว แล้วใส่น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำให้ได้ประมาณครึ่งแก้ว กะให้หวานพอดี ดื่มให้หมด จะรู้สึกกระชุ่มกระชวยดี
เวลาฟื้นจากไข้ทานอาหารไม่อร่อยหรือไม่อยากทานอะไรเลยต้องแก้ด้วยอาหารที่มี รสเปรี้ยว ใส่มะนาวหรือชงน้ำมะนาวดื่ม หรือกินมะนาวจิ้มยาหอม หรือกินมะนาวจิ้มเกลือ

เป็นยาอายุวัฒนะ
ใช้มะนาว 1 ลูกผ่าออกเอาเม็ดท้อง แล้วคั้นเอาน้ำชงกับน้ำตาล 2 ช้อน และน้ำร้อนพอควร ทำให้แข็งแรงและชุ่มชื่นในลำคอ
ใช้มะนาว 50 ผล น้ำผึ้ง 1 ขวดขาว พริกไทยร่อนครึ่งลิตรเล็ก ตำพริกไทยให้ป่น ใส่ผ้าขาวบางห่อ ใส่โหลดองรวมกันประมาณ 3 วัน นำมากินได้เป็นยาอายุวัฒนะ

ยาเจริญอาหาร
เอามะนาว 30 ลูกผ่าซีกทั้งเปลือกแล้วเอายาดำหนัก 5 บาท ใส่ดีเกลือเล็กน้อย หร้อมกับเกลือแกงอีกพอประมาณจนรู้สึกว่ามีรสเค็ม เอายาทั้งหมดใส่ขวดโหลดองไว้ประมาณ 3 คืน รับประทานมีสรรพคุณทำให้เป็นยาระบายถ่ายพยาธิ และเจริญอาหาร

แก้ความดัน
เอาใบมะนาว 108 ใบ ต้มรับประทานแก้โรคความดันต่ำและสูง

แก้ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ (โรครูมาติซั่ม)
– ให้ดื่มน้ำมะนาว ดังนี้

วันที่ 1 ให้ดื่มน้ำมะนาว 2 ผล
วันที่ 2 ให้ดื่มน้ำมะนาว 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง
วันที่ 3 ให้ดื่มน้ำมะนาว 6 ผล แบ่งให้วันละ 3 ครั้ง
ให้เพิ่มมะนาวเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 10 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง
วันที่ 11 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 2 ผล
วันที่ 12 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง
ให้เพิ่มมะนาวเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 20 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง

ลดความอ้วน
การดื่มเครื่องดื่มต้องใส่น้ำตาลน้อยที่สุด และควรดื่มวันละ 8-10 แก้วทุกวัน ตื่นเช้าควรดื่มน้ำมะนาว 1 ผล ในน้ำอุ่นและขนมปังไม่เกิน 1 แผ่น ก่อนอาหารทุกมื้อควรดื่มน้ำมะนาวครึ่งผลผสมน้ำเย็น ก่อนอาหารกลางวันและอาหารเย็นจะช่วยให้อิ่ม อย่าให้ดื่มขณะที่ทานอาหาร ถ้ารู้สึกหิวก่อนเวลาอาหารไม่ว่ามื้อใด ให้รับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว หรือน้ำส้ม น้ำมะนาวสักแก้ว

รักษาโรคได้มากจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยน่ะครับ ว่ามะนาวเพียงลูกเล็กๆก็สามารถนำมารักษาโรคในตัวเรามากขนาดนี้ แต่ทั้งหมดนี้ ก็ไม่ใช่ว่า มะนาวจะรักษาได้ 100 % เลยนะครับ แต่ก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยบรรเทาอาการ และแก้ไขได้จ้า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.สุขภาพไทย.com/

โดย: AUD    เวลา: 2013-9-3 05:08

โดย: AUD    เวลา: 2013-9-4 06:35
[attach]4505[/attach]

ทางการแพทย์แผนจีนเชื่อว่า โรคทุกชนิด จะหนัก เบา ร้อน เย็น กำเริบ หรือหย่อน ล้วนจะต้องปรากฏที่ "ลิ้น" และต่อไปนี้คือ 7 อาการ "ลิ้น" ผิดปกติบอกโรค
      
       1. ลิ้นสีขาวซีด ร่างกายกำลังประสบปัญหาโลหิตจาง หรือเกิดจากมีเลือดออกในระบบทางเดินอาหารโดยไม่รู้ตัว
      
       2. ลิ้นสีเขียวม่วง อาจบ่งบอกถึงภาวะที่ร่างกายขาดออกซิเจน หรือเป็นโรคหัวใจพิการ หรืออาจพบได้ในคนไข้ตับแข็งหรือตับวาย
      
       3. ลิ้นมีฝ้าคล้ำ อาจเกิดจากการสูบบุหรี่ หรือได้รับยาปฏิชีวนะมากเกินไป หรือติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งจะไปทำลายแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์บนลิ้น
      
       4. ลิ้นเป็นฝ้าขาว อาจพบในเด็กทารก คนแก่ หรือคนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งจะทำให้เกิดการติดเชื้อราที่ลิ้น แต่ถ้าพบในคนหนุ่มสาวอาจมีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง นอกจากนี้ยังบอกถึงคนที่มีปัญหาสุขภาพช่องปากเรื้อรังอีกด้วย
      
       5. ลิ้นแดงและเจ็บ เกิดจากการขาดสารอาหารจำพวก วิตามินบี 1 (ธัญพืช ข้าวซ้อมมือ ถั่วต่างๆ งา ตับ)
      
       6. ลิ้นอักเสบ แดงและเจ็บ มีเลือดออกง่าย ร่วมกับบริเวณขอบลิ้นแตกเป็นร่องแผล เกิดจากการขาดสารจำพวก วิตามินบี 5 (ถั่วลิสงไม่ปรุงรส งา อะโวกาโด แอปเปิ้ล แอพริคอตแห้ง)
      
       7. ทั่วลิ้นมีฝ้าขาว ร่วมกับมีจุดแดงๆ บนลิ้น และมีไข้ร่วมด้วย มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสบางชนิด
      
       ส่วนคนที่บ่งบอกว่าเลือดลมดี สุขภาพดี เลือดในกายดี จะมี "ลิ้น" เป็นสีชมพู มีความชุ่มชื้นพอเหมาะ ไม่มีฝ้าขาวเหลืองบนลิ้น
      
       ข้อควรรู้ในการดูลิ้น
      
       - แสงสว่าง ต้องมีแสงสว่างอย่างพอเพียง ต้องเป็นแสงธรรมชาติ
      
       - อาจมีสารบางอย่างที่ทำให้สีของฝ้าแตกต่างกันไป เช่น น้ำนม น้ำผลไม้บางอย่าง ได้แก่ น้ำกระเจี๊ยบ น้ำส้ม เป็นต้น
      
       เรียบเรียงข้อมูลจากนิตยสารชีวจิต


ที่มา http://www.manager.co.th

โดย: AUD    เวลา: 2013-9-4 21:31
[attach]4526[/attach]

โดย: sriyan3    เวลา: 2013-9-5 08:29
ขอบคุณคร้าบ
โดย: AUD    เวลา: 2013-9-5 21:10
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AUD เมื่อ 2013-9-5 21:12

มาล้างลำไส้กัน

[attach]4544[/attach]

คุณเคยรู้มั้ยว่าลำไส้ของเราสกปรกแค่ไหน??

วันนี้มีวิธีทำความสะอาดลำไส้และทำให้หน้าท้องเล็กลงได้มาให้ทำตามกันนะจ้ะ ^^ เราจะทำบ่อยๆช่วงก่อนไปเที่ยว เพราะการไปเที่ยวที่มีทะเลจะต้องใส่ชุดว่ายน้ำ เพราะฉะนั้น พุงห้ามมีเลย หน้าท้องต้องเก็บ วิธีนี้ง่ายและทำได้จริง ถ้าทำได้ทุกวันหน้าใสนะเอออ

ลำไส้ของเราเมื่อมีไขมันเกาะมากๆๆ ไขมันเหล่านี้จะทำให้กระเพาะอาหารตับม้ามดูดซึมทุกอย่างได้แย่มาก อาหารที่ว่าง่ายนิดเดียว เอ๊ จะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มไม่แน่ใจ 555 ไม่รู้จะเรียกประเภทไหนดี

-ส่วนผสมมีดังนี้

1. โยเกิร์ต ครึ่งถ้วย
2. นมสด 1 กล่อง
3. น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
4. มะนาว 1 ลูก

-วิธีทำ

นำเครื่องปรุงทั้งหมดผสมให้เข้ากันชิมรสตามใจชอบเลยย หรืออยากทานเยอะก็ทบสองเท่าของทั้งหมด เป็นโยเกิร์ตหนึ่งถ้วย นมสดสองกล่อง น้ำผึ้งสองช้อน มะนาวสองลูก (กินให้หมดก็แล้วกัน >.<)

ทำเสร็จก็ยกกระดกแก้ว ทานง่ายกว่าเหล้าเบียร์

ต้องดื่มตอนเช้า มื้อเดียวก่อนอาหาร มื้ออื่นไม่เห็นผล มะนาวก็ควรบีบแล้วกินทันที เพื่อรักษาคุณสมบัติวิตามินซีไว้ และควรดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว จะเห็นผลดียิ่งขึ้นแน่นอนน ลองทำดูแล้วจะรู้ว่ามันเจ๋งจริงๆๆนะ แต่ต้องทานแต่เช้า ส่วนข้าวเช้าก็ทานปรกติ รับรองงระบบเมตาบอลิซึ่มก็ทำงานเพิ่มสองเท่า ข้าวเช้าก็ไม่อดด สุขภาพดี หน้าใสนั่นก็เป็น

เพราะ

ส่วนผสมต่างๆเมื่อรวมกันแล้วกินลงไปมันจะช่วยในการปรับธาตุ ซึ่งการปรับธาตุไม่ต้องไปหาซื้อยาที่ไหนหรอกค่ะ หาเอาของในครัวมาทำก็ได้ แถมยังได้ประโยชน์ในการล้างพิษในลำไส้ ล้างไขมัน กินวันแรกๆ จะ เห็นเลยว่าอุจจาระจะเป็นสีดำ และไล่ลมในกระเพาะดีมาก ระยะต่อมา เมื่อลำไส้และกระเพาะอาหารในร่างกายปรับตัวได้กับอาหารที่กินแล้วจะเข้าสู่ ภาวะปกติ แต่ต่อมาจะมีความรู้สึกว่าหน้าท้องยุบลงไปเรื่อยควรกินทุกเช้าติดต่อกันทุกวันจนเป็นนิสัยนะคะ

ก่อนอื่นเราต้องมารู้จักว่าไขมันไอ้พวกที่เกาะผนังลำไส้เหรือที่ต่างๆเรามีโทษยังไงก่อน

ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร ตับ ม้ามให้ดูดซึมทุกอย่างบกพร่องเป็นเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ได้ง่ายมาก

ถ้าไขมันเกาะที่

1. ถุงน้ำดี ทำให้นอนไม่หลับ อารมณ์ฉุนเฉียว นิ่วในไต สายตาเสื่อม ปวดเมื่อยตามร่างกาย

2. เลือดเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้มึนศรีษะ

3. ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลงและเป็นคนขี้หนาว

4. ม้ามชื้น ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมันเป็นผลทำให้อ้วนง่าย

5. ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่ายเพราะม้ามไปเบียดปอด

6. ถ้าไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะทำให้ลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ เป็นผลทำให้เป็นหวัดในตอนเช้าหรือหวัดเรื้อรัง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้

7. ถ้าไขมันในตับสูง การสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก

ถ้าทำเมนูสุขภาพเมนูที่ว่านี้และทานทุกวัน คุณจะหายจากโรคพวกนี้ แม้จะใช้เวลาแต่มั่นใจได้ว่ามันจะไม่เพิ่มขึ้นหรือลุกลามแน่นอน


ที่มา https://www.facebook.com/Pretty.Body.Club
โดย: matmee2550    เวลา: 2013-9-6 13:28
เยี่ยม
โดย: AUD    เวลา: 2013-9-7 21:04

อันตรายจากน้ำมะนาวเทียม

ใครที่ชอบทานส้มตำคงคุ้นตาดีกับภาพแส่ค้าขายส้มตำปรุงรสด้วยน้ำมะนาวสีเขียวใสๆ ที่บรรจุอยู่ในขวดแก้ว (อันที่จริงก็ไม่ถึงกับทุกร้านหรอกนะครับ) น้ำมะนาวที่เห็นนั้นเรียกว่าน้ำมะนาวเทียมหรือเกร็ดมะนาว ให้มีรสเปรี้ยวแหลม ราคาถูก อีกทั้งยังมีสีสันคล้ายคลึงกันกับน้ำมะนาวจริงเกือบทุกประการ

สิ่งที่ต้องระวังสำหรับผู้ที่ทานน้ำมะนาวเทียมเป็นประจำก็คือ เครื่องปรุงรสดังกล่าวผลิตมาจากกรด “ซิตริก” ซึ่งถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม มีความบริสุทธิ์น้อยและมีสารปนเปื้อน ที่สำคัญต่อ สามารถย่อยสลายสิ่งต่างๆได้ ไม่เว้นแม้แต่อวัยวะภายในระบบทางเดินอาหารของผู้บริโภค ผู้ที่ชื่นชอบอาหารรสแซบทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นต้มยำ ส้มตา หรือแม้แต่น้ำหวานหรือไอศกรีมรสมะนาวต้องคอยสังเกตวัตถุดิบที่พ่อค้า – แม่ค้าใช้ดูให้ดี

นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างส่วนหนึ่งของอาหารที่มีสารปนเปื้อน ในความเป็นจริงแล้ว อาหารต่างๆ ที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรม และมุ่งหวังผลประโยชน์การค้อเป็นสำคัญ ล้วนมีสารพิษชนิดใดชนิดหนึ่งที่เจือปนอยู่ทั้งนั้น นับเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งของมนุษย์ยุคปัจจุบันที่ไม่อาจสืบทราบที่มา ตลอดจนเส้นทางการเดินทางของอาหารที่ตนทานได้

หนทางป้องก้นจึงควรที่จะหลรกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีสารปนเปื้อน หรือใช้วิธีการบริโภคอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน หรือใช้วิธีการรับประทานอาหารเหล่านี้หมุนเนียนสับเปลี่ยนทานอาหารให้ได้หลากหลายประเภทโดยไม่ซ้ำหน้ากันก็จะช่วยลดความเสี่ยงสะสมในการรับและสะสมสารพิษภายในร่างกายลงได้

ส่วนการรณรงค์ให้ผู้ประกอบการ ลด ละ เลิก การใช้สารเคมีนั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลายาวนานครับ

ที่มา : นิตยาสาร BE Well


โดย: AUD    เวลา: 2013-9-9 06:43


4 วิธีลดท้องอืดด้วยตัวเอง

ท้องอืดเป็นอาการที่พบได้ในคนทั่วไป มีสาเหตุจากระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เกิดแก๊สและกรดส่วนเกินในกระเพาะอาหาร แต่หากพึ่งยาลดกรดทุกครั้งไป อาจส่งผลเสียได้ แค่ปรับพฤติกรรมด้วย 4 วิธี ดังนี้ ก็ทำให้คุณห่างไกลอาการที่ว่าได้ไม่ยาก

- ทานมื้อเล็กบ่อยๆ และเคี้ยวให้ละเอียด เพราะอาหารมื้อใหญ่ และการดื่มน้ำคราวละมากๆ จะทำให้กระเพาะอาหารโป่งออก ทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างหย่อนลง เกิดกรดไหลย้อนได้มากขึ้น

- ค่อยๆ ลดของหวาน เนื้อสัตว์ และอาหารมัน โดยจดบันทึกรายการอาหาร ทำเครื่องหมายไว้ว่า วันเวลาใดมีอาการ เพื่อจะได้เลี่ยงอาหารชนิดนั้นเสีย เพราะกระเพาะอาหารใช้เวลาย่อยอาหารนาน 6-8 ชั่วโมง ซึ่งทำให้เกิดการหมักหมม กลายเป็นแก๊สในท้อง

- เลี่ยงผักดิบในตอนเย็น เพราะผักมีเส้นใยมาก ถ้ากินมากไปจะทำให้ท้องอืดได้ เนื่องจากร่างกายไม่มีน้ำย่อยเส้นใยนี้ แต่ต้องอาศัยแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่เป็นตัวย่อย คุณอาจเปลี่ยนมากินผักลวกหรือผักต้มแทนได้

- ถ้าจุกเสียดแน่นท้องแล้ว ให้ลุกขึ้นเคลื่อนไหวร่างกาย ดื่มน้ำอุ่น หรือกินสมุนไพรที่มีฤทธิ์ขับลมอย่างขมิ้นชัน หากท้องอืดก่อนนอนให้นำผ้าห่มหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้น 6-8 นิ้ว จะทำให้กรดและน้ำย่อยไหลลงกระเพาะอาหารได้เร็วขึ้น 67%

ขอบคุณข้อมูลจาก healthandcuisine.com


โดย: AUD    เวลา: 2013-9-10 06:17
[attach]4600[/attach]

อยากมีสุขภาพที่ดี เริ่มต้นง่ายๆโดยการจัดตู้เย็นครับ

โดย: AUD    เวลา: 2013-9-11 22:03
เรื่องของ"น้ำแร่" ที่ควรรู้

[attach]4636[/attach]
ในปัจจุบันนี้มีความสนใจในเรื่องน้ำแร่ชนิดต่างๆที่มีมากมายหลายยี่ห้อหลายรูปแบบ แต่ก่อนที่คุณผลต่อสุขภาพ โดยเฉพาะ "น้ำแร่พลังแม่เหล็ก" แต่เนื่องจากข้อมูลจากการศึกษาเท่าที่รวบรวมได้ยังมีน้อยและไม่ชัดเจน จึงขอกล่าวถึง"น้ำแร่ที่ได้จากธรรมชาติ" ซึ่งอาจจะเลือกซื้อมาบริโภคนั้น อยากให้ได้รับข้อมูลที่น่าจะมีประโยชน์ต่อการเลือกบริโภคน้ำแร่ โดยจะนำเสนอประเภทของน้ำแร่ที่แยกตามผลที่มีต่อร่างกายและฤทธิ์ในการบำบัดโรคเป็นเกณฑ์ในการจัดประเภทน้ำแร่

"วิธีดื่มน้ำแร่ ควรทำอย่างไร?"

1.การดื่มน้ำแร่ปริมาณมากในระยะเวลาสั้นๆ (Water loading) คือ การดื่มน้ำปริมาณ 1 ลิตร ภายใน 30 นาที ขณะท้องว่าง ซึ่งการดื่มน้ำแร่วิธีนี้จะใช้กับน้ำแร่ชนิดทีหวังผล เช่น เพื่อขับนิ่วออกจากร่างกาย วิธีนี้ไม่ควรดื่มก่อนนอน เนื่องจากจะทำให้ต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำในช่วงกลางคืน

2. การดื่มแบบทยอยในปริมาณไม่สูง (Subdivided doses) คือ การดื่มน้ำแร่ปริมาณ 500 มิลลิลิตร และ ตามด้วยน้ำแร่ 10 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยจิบน้ำครั้งละน้อยขณะอ่อนเพลีย หรือขณะเดิน หรือพร้อมมื้ออาหาร

3. สำหรับนักกีฬา ควรดื่มน้ำแร่ที่มีปริมาณเกลือแร่น้อยถึงปานกลาง ตลอด 2 ชั่วโมงก่อนการแข่งขัน โดยดื่ม 100-150 มิลลิลิตรทุก 15-20 นาที และดื่ม 400-500 มิลลิลิตร 15 นาทีสุดท้ายของชั่วโมงที่ 2 หลังการอบอุ่นร่างกาย
ระหว่างการแข่งขัน ควรดื่ม 200-250 มิลลิลิตร ทุก 15-20 นาที โดยปริมาณของเหลวที่ดื่มเข้าร่างกายหลังแข่งขันหรือเล่นกีฬานั้น ควรมีปริมาณร้อยละ 150 ของน้ำหนักตัว ซึ่งปริมาณของเหลวที่บริโภคโดยทั่วไป คือ 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน

ข้อมูลโดย MCOT
Credit by: http://campus.sanook.com/


โดย: AUD    เวลา: 2013-9-15 06:03
[attach]4692[/attach]

โรคหัวใจ วิธีสังเกตอาการว่าเราเป็นหรือเปล่า

ความเป็นจริงแล้วคำว่า"โรคหัวใจ"มีความหมายกว้างมาก อาการที่เกิดจากโรคหัวใจหรือสัมพันธ์กับหัวใจนั้น มีไม่มากนัก ดังอาการ ข้างล่างนี้ แต่อย่างไรก็ตามอาการดังกล่าวก็มิได้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคหัวใจเท่านั้น ยังมีโรคอื่นๆที่ให้อาการคล้ายกัน ดังนั้นการที่ แพทย์จะพิจารณาให้การวินิจฉัยนั้น จำเป็นต้องอาศัยประวัติ อาการโดยละเอียด ร่วมกับการตรวจร่างกาย บางครั้งต้องอาศัยการ ตรวจพิเศษต่างๆ เช่น เลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์ เป็นต้น เพื่อแยกโรคต่างๆที่มีอาการคล้ายกัน

เรามีแนวทางการสำรวจอาการตนเองในเบื้องต้น จาก อาจารย์ นพ.ระพีพล กุญชร ณ อยุธยา อายุรแพทย์โรคหัวใจ ลองสำรวจอาการดู แต่จะดีกว่าถ้าท่านไปพบแพทย์ผู้ชำนาญด้วยตัวท่านเอง ต่อไปครับ

เจ็บหน้าอก

อวัยวะที่อยู่ในทรวงอกนอกจากหัวใจแล้วยังมี เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด เยื่อหุ้มปอด หลอดอาหาร หลอดเลือดแดงใหญ่ กระดูกหน้าอก กระดูกซี่โครง เต้านม กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก เมื่อมีการอักเสบหรือพยาธิสภาพของอวัยวะเหล่านี้ก็ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก ได้ทั้งสิ้น แต่ลักษณะอาการอาจแตกต่างกัน

อาการต่อไปนี้เข้าได้กับอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด
1 เจ็บแน่นๆ อึดอัด บริเวณกลางหน้าอก อาจจะเป็นด้านซ้าย หรือ ทั้งสองด้าน (มักจะไม่เป็นด้านขวาด้านเดียว) บางรายจะร้าวไป ที่แขนซ้าย หรือ ทั้งสองข้าง หรือ จุกแน่นที่คอ บางรายเจ็บบริเวณกรามคล้ายเจ็บฟัน
2 อาการตามข้อ 1 เกิดขึ้นขณะออกกำลัง เช่น เดินเร็วๆ รีบ หรือ ขึ้นบันได วิ่ง โกรธโมโห อาการดังกล่าวจะดีขึ้นเมื่อหยุดออกกำลัง
3 ในบางรายที่อาการรุนแรง อาการแน่นหน้าอกอาจเกิดขึ้นในขณะพัก เช่น นั่ง หรือ นอน หรือ หลังอาหาร
4 กรณีที่เกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน อาการจะรุนแรงมาก อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น เหงื่อออก มาก เป็นลม (อาการเช่นนี้ยังพบได้ในโรคของหลอดเลือดแดงใหญ่ปริ ฉีก)

อาการต่อไปนี้ไม่เหมือนอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด

1 เจ็บแหลมๆคล้ายเข็มแทง เจ็บแปล๊บๆ เจ็บจุดเดียว กดเจ็บบริเวณหน้าอก
2 อาการเจ็บเกิดขึ้นในขณะพัก มีอาการนานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน
3 อาการมากขึ้นเมื่อเปลี่ยนท่า หรือ ขยับตัว หรือ หายใจเข้าลึกๆ
4 อาการเจ็บร้าวขึ้นศีรษะ ปลายมือ ปลายเท้า
อาการตามข้อ 1,2 และ 3 อาจเกิดจากกระดูก กล้ามเนื้อหน้าอก เยื่อหุ้มปอดอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยโรคหัวใจขาดเลือด นอกจากอาการเจ็บหน้าอกแล้ว ต้องอาศัยประวัติอื่นๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัย เสี่ยงต่างๆ ดังนั้นในผู้ป่วยบางรายที่อาการไม่เหมือนนัก แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ ก็ควรได้รับการตรวจพิเศษเพิ่มเติมด้วย

หอบ เหนื่อยง่ายผิดปกติ

อาการหอบ เหนื่อยง่าย เวลาออกแรง เช่น เดิน วิ่ง ทำงาน มีสาเหตุมากมาย เช่น โลหิตจาง(ซีด) โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง โรคปอด ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure) แม้แต่ความวิตกกังวล หรือ โรคแพนิค ก็ทำให้เหนื่อยได้เช่นกัน อาการเหนื่อยง่ายจากโรคหัวใจ และ ภาวะหัวใจล้มเหลวนั้น จะเหนื่อย หอบ หายใจเร็ว โดยเป็นเวลาออกแรง แต่ในรายที่เป็นรุนแรง จะเหนื่อยในขณะพัก บางรายจะเหนื่อยมากจนนอนราบไม่ได้ (นอนแล้วจะเหนื่อย ไอ) ต้องนอนศีรษะสูงหรือ นั่งหลับ

คำว่าเหนื่อย หอบ ในความหมายของแพทย์หมายถึง อัตราการหายใจมากกว่าปกติ แต่ในความหมายของผู้ป่วยอาจรวมไปถึง อาการเหนื่อยเพลีย หมดแรง เหนื่อยใจ

อาการเหนื่อยแบบหมดแรง มือเท้าเย็นชา พูดก็เหนื่อย (โดยอัตราการหายใจปกติ) เหล่านี้มักจะไม่ใช่อาการเหนื่อยจากโรคหัวใจ

ใจสั่น

ใจสั่นในความหมายแพทย์หมายถึง การที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ผิดจังหวะ หรือ เต้นไม่สม่ำเสมอ เต้นๆหยุดๆ อาการดังกล่าวอาจพบ ได้ในคนปกติ โรคหัวใจ และโรคอื่นๆที่มีผลต่อหัวใจ เช่น ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคปอด แพทย์จะซักประวัติละเอียดถึงลักษณะของ อาการใจสั่น เพื่อให้แน่ใจว่าเกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยรู้สึก"ใจสั่น"โดยหัวใจเต้นปกติ

การตรวจวินิจฉัยกลุ่มอาการใจสั่นเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากผู้ป่วยมักมีอาการชั่วขณะ เมื่อมาพบแพทย์อาการดังกล่าว ก็หายไปแล้ว แพทย์จึงไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้ว่าเกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ ดังนั้นท่านควรศึกษาวิธีจับชีพจรตัวเอง เมื่อเกิดอาการ ว่าหัวใจเต้นกี่ครั้งในเวลา 1 นาที และสม่ำเสมอหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์ให้การวินิจฉัยได้รวดเร็วขึ้น

ขาบวม

อาการขาบวมเกิดจากการที่ร่างกายมีเกลือ(โซเดียม)และน้ำคั่งอยู่ในร่างกาย โดยอาจเกิดจากโรคไต (ขับเกลือไม่ได้) โรคหลอด เลือดดำอุดตัน (การไหลเวียนไม่สะดวก) ขาดอาหาร โปรตีนในเลือดต่ำ โรคตับ ยาและฮอร์โมนบางชนิด โรคหัวใจ หรือ ในบางราย ไม่พบสาเหตุ (idiopathic edema) การบวมในผู้ป่วยโรคหัวใจเกิดจากการที่หัวใจด้านขวาทำงานลดลง เลือดจากขาไม่สามารถ ไหลเทเข้าหัวใจด้านขวาได้โดยสะดวก จึงมีเลือดค้างอยู่ที่ขามากขึ้น โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเรื้อรังก็ให้อาการเช่นนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีอาการขาบวม แพทย์จำเป็นต้องตรวจหลายระบบ เพื่อหาสาเหตุ จึงให้การรักษาได้ถูกต้อง

เป็นลม วูบ

คำว่า "วูบ" นี้เป็นปัญหาในการซักประวัติอย่างมาก เนื่องจากในภาษาไทยคำนี้มีความหมายต่างๆกัน แต่ในความหมายของแพทย์แล้ว จะตรงกับภาษาอังกฤษว่า syncope หมายถึง การหมดสติ หรือ เกือบหมดสติ ชั่วขณะ โดยอาจรู้สึกหน้ามืด จะเป็นลม ตาลาย มองไม่เห็นภาพชัดเจน โดยอาการเป็นอยู่ชั่วขณะ ไม่รวมถึงอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน โคลงเครง วูบวาบตามตัว หายใจไม่ออก อาการดังกล่าวอาจเกิดจาก ความผิดปกติของสมอง เช่น ลมชัก (แม้จะไม่ชักให้เห็น) เลือดออกในสมอง ความผิดปกติของหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดร้ายแรง หรือหยุดเต้นชั่วขณะ หรือ ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมหัวใจ นอกจากนั้นแล้ว "วูบ" ยังอาจพบได้ในคนปกติที่ขาดน้ำ เสียเลือด ท้องเสีย ไม่สบาย ขาดการออกกำลังกาย ยาลดความดันโลหิต

แหล่งข้อมูล
อาจารย์ นพ.ระพีพล กุญชร ณ อยุธยา

http://www.thaiheartweb.com/


โดย: AUD    เวลา: 2013-9-19 22:15
[attach]4739[/attach]

7 ข้อก่อหนี้มะเร็ง

แพทย์เตือนหลากพฤติกรรมรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สะสมความเสี่ยงก่อโรคมะเร็ง

มะเร็ง โรคที่หลายคนขยาดกลัว บางครั้งสาเหตุหนึ่งอาจเกิดจากพฤติกรรมที่ทำสะสมเอาไว้ก่อนป่วย อย่างที่นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เล่าว่า มีพฤติกรรมบางอย่างเข้าข่ายสร้างหนี้มะเร็ง และสร้างภาวะล้มละลายทางสุขภาพได้ ดังเช่น 7 กรณีหนี้มะเร็งที่อาจถูกมองข้ามไป...

"เอ็กซเรย์บ่อย โดยไม่จำเป็น" เช่น กรณีเอ็กซเรย์มะเร็งเต้านม (แมมโมแกรม) ที่มีรายงานออกมาจากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญระดับสากลแล้วว่าไม่จำเป็นเสมอไป เพราะไม่ได้ช่วยให้อัตราการเกิดมะเร็งลดลง ทั้งนี้รวมถึงการเอ็กซเรย์แบบเข้าอุโมงค์สแกนทั้งตัว ซึ่งจัดเป็นการอาบรังสี โดยรังสีเอ็กซ์ที่ได้นั้นเป็นพิษต่ออณูกายในระดับดีเอ็นเอ

"ใช้ฮอร์โมน" การได้รับฮอร์โมนมาทั้งแบบกิน ฉีดหรือเสริมเข้าไป ที่ใช้กับวัยทองหรือเพื่อกระตุ้นความหนุ่มสาวใดๆก็ตาม ต้องระวังการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงปรารถนา เพราะไม่มีฮอร์โมนเสริมใดที่ไร้พิษภัย การรับเข้าไปมีสิทธิ์ไปกวนฮอร์โมนธรรมชาติของเดิมและกลายเป็นปุ๋ยเร่งมะเร็งได้

"นอนดึก" การพักผ่อนที่ดึกเกินไปหรือผิดเวลาบ่อยๆ เช่นการทำงานแบบเข้ากะ สลับเวรเช้า บ่าย และดึก เป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพและโรคมะเร็งบางชนิด แต่ไม่จำเป็นต้องลาออกจากหน้าที่การงานเสียหมด เพียงขอให้ฝึกเทคนิคหลับลึกจะช่วยพลิกวิกฤติสุขภาพได้

"กินดึก" ไลฟสไตล์แบบนอนและกินผิดเวลาจะพาให้ระบบในร่างกายแปรปรวน ลองนึกถึงรถยนต์ที่ขับไปนู่นมานี่ไม่มีวันพัก เครื่องยนต์ก็จะเสื่อมเร็วต้องเปลี่ยนอะไหล่ไปเรื่อย การกินดึกเหมือนการแกล้งให้ร่างกายต้องทำโอทีในเวลาที่ควรพักผ่อน ร่างกายต้องลุกขึ้นมาย่อยอาหารอย่างสะลึมสะลือ จะทำให้สมองหลั่งสารต้านมะเร็ง อย่าง “เมลาโทนิน” ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย

"กินซ้ำ" ทำพิษกับท่านที่ชอบรับประทานตามสะดวก โดยสั่งอาหารซ้ำเดิมมากินแทบทุกมื้อจนกระเพาะและลำไส้เคยชินกับการกินสารอาหารเดิม ส่งผลให้ขาดวิตามินได้ แถมการกินซ้ำยังทำให้สะสมพิษไว้ในร่างกาย ที่เกี่ยวกับมะเร็งก็เช่น การรับประทานหมูแฮม แหนม ไส้กรอกบ่อยๆ หรือการกินปลาเค็มบ่อยๆ ก็มีสิทธิ์กระตุ้นมะเร็งในจุดสำคัญของร่างกายได้

"ท้องผูก" อาการท้องผูกช่วยกระทุ้งมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะที่ทำพิษกับลำไส้ใหญ่เพราะอยู่ใกล้ชิดกับของเสียจากร่างกายเป็นที่สุด อาการท้องผูกอาจเป็นจุดเริ่มต้นของก้อนมะเร็งในลำไส้ได้ โดยท่านที่เป็นบ่อยหรือมี “ติ่งเนื้อ(Colon polyposis)” ขอแนะให้ไปส่องกล้องดูอย่างน้อยสักครั้ง

และ "เครียดง่าย" ท่านที่เก็บทุกข์เก่ง เช่นมองทุกอย่างได้เป็นเรื่องน่ารำคาญตา รำคาญใจไปเสียหมด รถติดก็หงุดหงิด เด็กเสิร์ฟเดินรับออเดอร์ช้าก็นอยด์ เห็นอะไรขวางหูขวางตา มีความน่าจะเป็นในการเกิดมะเร็งได้สูง เพราะมะเร็งรับวิตามินเร่งโตมาจากความเครียดที่กระตุ้น “อนุมูลอิสระ” ให้วิ่งวนอย่างร่าเริงในกระแสเลือด หนี้มะเร็งข้อสุดท้ายจึงร้ายสุด เพราะทำให้เกิดมะเร็งได้ทุกส่วนรวมถึง “มะเร็งใจ” ด้วย.

ที่มา http://health.giggog.com/





โดย: AUD    เวลา: 2013-9-20 20:55
[attach]4747[/attach]

เคล็ดลับ 7 วิธีเลือกสำลีที่ดีให้ผิวหน้า

สำลี จัดว่าเป็นอีกส่วนประกอบหนึ่งในการดูแลความสวยให้กับคุณสาวๆ ไม่ว่าจะ สำลีแผ่นธรรมดา สำลีรีดขอบ หรือสำลีก้อนก็ตาม จึงจำเป็นต้องเลือกที่ดีและเหมาะกับการใช้งานอีกด้วย วันนี้เรามีเกร็ดความรู้สำหรับการเลือกซื้อสำลีมาให้ดูกัน

I.1.สำลีเช็ดหน้าที่ดีต้องผลิตจากใยฝ้ายแท้ทั้งแผ่น ไม่มีการเจือปนสิ่งอื่นๆ เพราะใยฝ้ายแท้จะมีคุณสมบัติในการดูดซับน้ำได้ดีกว่าและปลอดภัยกับผิวหน้าของเรามากกว่าเพราะเป็นเส้นใยธรรมชาติ แต่เนื่องจากปัจจุบันใยฝ้ายแท้มีราคาสูงขึ้นมาก ทำให้ผู้ผลิตบางรายแอบเจือปนใยสังเคราะห์เข้าไป เพื่อลดต้นทุนในการผลิตหรืออาจมีการเคลือบผิวหน้าของสำลีด้วยสารสังเคราะห์เพื่อให้ผิวสำลีเนียนเรียบไม่เป็นขุย ดังนั้นหากจับบริเวณผิวหน้าสำลีแล้วให้ความรู้สึกเหมือนมีอะไรเคลือบอยู่หรือสำลีนั้นอาจมีผิวหน้าที่เนียนเรียบจนเกินไป ก็ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ได้เลยว่าอาจมีการใช้สารสังเคราะห์มาเคลือบผิวสำลี หากนำสำลีนั้นไปใช้เช็ดผิวหน้าอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้และสำลีนั้นอาจซับน้ำได้ไม่ดีเท่าที่ควร

II.2.สำลีเช็ดผิวหน้าที่ดีต้องสะอาด มีเนื้อสำลีที่ละเอียด นุ่มนวล เนียนแน่น ผิวสัมผัสเนียนเรียบ ไม่มีขุยสำลีหรือสิ่งสกปรกใดๆ เจือปนมาในถุงสำลีหรือในแผ่นสำลี ซึ่งการที่ผู้ผลิตจะผลิตสำลีได้เนื้อเนียนแน่น ไม่เป็นขุยนั้น ต้องอาศัยเทคโนโลยีในการผลิต อีกทั้งยังต้องใส่ใจในการเลือกสรรวัตถุดิบจากใยฝ้ายที่มีเส้นใยเหมาะสมซึ่งก็คือ ใยฝ้ายชนิดใยยาว ที่จะให้ผิวสัมผัสที่ดีกว่าใยฝ้ายชนิดใยสั้น แต่เนื่องจากใยฝ้ายชนิดใยยาวมีราคาสูงกว่า ผู้ผลิตบางรายจึงเลือกใช้ใยฝ้ายแบบสั้นแต่ใช้เทคนิคเคลือบผิวหน้าสำลีด้วยสารสังเคราะห์แทน

III.3.สำลีเช็ดผิวหน้าต้องไม่มีสารเคมีจากการผลิตตกค้าง โดยมีวิธีทดสอบง่ายๆ ก็คือ นำสำลีเช็ดหน้าไปแช่ในน้ำสะอาดพอประมาณ ให้สำลีซับน้ำนั้นเข้าไป จากนั้นใช้ช้อนกดน้ำจากสำลีออกมา แล้วเทใส่หลอดทดลองก่อนลองเขย่าดู หากมีสารเคมีตกค้างจะพบว่ามีฟองสีขาวๆ ขุ่นๆ ลอยอยู่เหนือน้ำนั้นด้วย หากเป็นสำลีที่ดีน้ำจะใสไม่มีฟอง

IV.4.สำลีที่ผลิตจากใยฝ้ายธรรมชาติ จะมีสีขาวนวลๆ ไม่ขาวจั๊วะๆ สำลีที่ขาวเกินไปอาจมีการใช้สารฟอกขาวย้อมสำลีหรืออาจผสมใยสังเคราะห์เข้าไป

V.5.สำลีเช็ดผิวหน้าที่ดี ต้องมีคุณสมบัติในการดูดซับน้ำได้ดี ลองทดสอบง่ายๆ ว่า หยดน้ำลงบนสำลีในปริมาณที่เท่าๆ กัน สำลีแผ่นไหนซึมซับน้ำเข้าไปในตัวสำลีได้ดีกว่ากัน สำลีแผ่นที่ซับน้ำได้มากกว่าแสดงว่ามีคุณสมบัติดูดซับน้ำได้ดีกว่า ดังนั้นเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจะกระจายตัวได้ดีกว่า จึงทำให้ไม่เปลืองเครื่องสำอาง

VI.6.สำลีเช็ดผิวหน้าที่ดีต้องมีความคงตัว มีรูปทรงที่ดี มีขนาดเหมาะกำลังดี โดยทั่วไปจะมีขนาดประมาณ 5x6 เซ็นติเมตร ขอบทั้งสี่ด้านไม่รุ่ย แยกเป็นแผ่นๆ สำหรับเช็ดหน้าได้ทันที

VII.7.สาวๆ ควรเลือกใช้สำลีแผ่นในการเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าจะดีกว่าการใช้สำลีก้อน สำลีม้วนหรือสำลีแบบปึก เพราะสำลีแผ่นจะมีผิวสัมผัสที่ดีกว่าและมีความสะอาดมากกว่า อีกทั้งยั้งเช็ดผิวหน้าได้เป็นบริเวณกว้างทำให้ไม่เปลืองสำลี นอกจากนี้ยังควรเลือกสำลีแผ่นชนิดที่ผลิตมาสำหรับเช็ดผิวหน้าโดยเฉพาะ เนื่องจากจะผลิตจากเส้นใยฝ้ายที่ละเอียดและยาวกว่าสำลีแบบอื่นๆ เพื่อป้องกันการเกิดขุยสำลีติดผิวหน้าไม่เพียงแค่การใส่ใจในคุณภาพของสำลีเท่านั้น แต่บรรจุภัณฑ์ที่ห่อหุ้มสำลีก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะสำลีเช็ดผิวหน้าที่ดีนอกจากจะสะอาดแล้ว ยังต้องอยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยสูง เช่น บรรจุภัณฑ์ประเภท Food grade ซึ่งถุงพลาสติกแบบ Food grade จะมีความใส สะอาดและเหนียวแข็งแรงมากกว่าถุงซิป โดยทั่วๆ ไป

http://www.appeal-magazine.com/item/273-7-beauty-secret


โดย: AUD    เวลา: 2013-10-30 12:37
[attach]5226[/attach]

โดย: AUD    เวลา: 2013-11-6 07:40
[attach]5322[/attach]

เกร็ดน่ารู้ "วาซาบิ" ป้องกันฟันผุได้!?


ใช่แล้วครับ วาซาบิป้องกันฟังผุได้
จากงานวิจัยของประเทศญี่ปุ่น พบว่าวาซาบิมีสารที่ชื่อว่า Isothiocyanate
ที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย Streptocoocus Mutans ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดฟันผุ

สารนี้สามารถพบได้ในผักบางอย่าง เช่น บร็อคโคลี่ด้วยเหมือนกัน
นอกจากนั้น อาหารที่ได้รับการยอมรับกันมานานว่าดีต่อสุขภาพฟัน และลดการเกิดฟันผูได้ดีที่สุด
ก็คือ ชาเขียว เพราะมีสารฟลูออไรด์ แล้วก็ยังมีแอปเปิ้ล และสตอเบอร์รี่ จ้า


ขอบคุณข้อมูล: คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล


โดย: Metha    เวลา: 2013-12-12 19:18
โดนครับโดน
โดย: AUD    เวลา: 2014-10-5 07:38

[attach]8999[/attach]
เคล็ดลับลดน้ำหนัก
สูตรลดหน้าท้องจากญี่ปุ่น ใช้ยางรัดผมช่วยลดพุงได้
พุง ถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการดูแลรักษารูปร่างของผู้หญิง ดังนั้นเราจึงเห็นผู้หญิงส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับการลดพุงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ว่าจะเป็นการซิทอัพ หรืออดอาหารก็ตามที
แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น การลดหน้าท้องหรือพุงได้กลายเป็นเรื่องง่าย ๆ สบาย ๆ ไปเสียแล้ว ในเมื่อพวกเขาสามารถที่จะมีหน้าท้องที่แบนราบได้ โดยที่ไม่ต้องอดอาหารหรือออกกำลังกายกันอย่างหนัก พวกเขาเพียงแค่มีหนังยางเส้นเดียวเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว และควรเป็นหนังยางผ้านุ่มๆ แบบที่ใช้รัดผม
1 นำหนังยางมารัดตรงที่หัวแม่เท้าทั้งสองข้างให้เข้ามาติดกัน (อย่างที่เห็นตามรูปตัวอย่างที่แสดงไว้ในรูปที่ 1-2 )
2 และเมื่อคล้องลงไปแล้วก็มีข้อกำหนดว่าให้พยายามอย่าให้ส้นเท้าแยกออกจากกันเท่านั้นเป็นใช้ได้ แล้วทีนี้ก็ลงนอนลงไปอย่างตามสบายเลยทีเดียว
3 ทำทุกๆวันและก็ทำเพียงแค่วันละแค่เพียง 5 นาทีก็พอและที่ดีที่สุดก็ตรงที่ไม่ต้องมานั่งลดอาหารให้ร่างกายต้องหิวโหยขาดอาหารจนเกิดเป็นร่างกายทรุดโทรมขึ้นมาได้
ผู้คิดเรื่องนี้ได้ค้นพบว่า การที่กระดูกบั้นเอว (โค๊ต สุ บัง) มีอาการ เบี้ยว โย้เย้ (ยู กา มู) อยู่ไม่ตรงที่แน่นอน เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กล้ามเนื้อบั้นเอวและหน้าท้องของเรานั้นหยุดการทำงานที่ดีไป
ดังนั้นเมื่อเราได้ใช้หนังยางรัดลงไปที่นิ้วหัวแม่เท้า ซึ่งเป็นจุดสำคัญของร่างกายที่จะไปช่วยบังคับการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนนั้นให้ทำงานดีขึ้นและตรงเป้าหมาย ช่วยให้กระดูกบั้นเอวของเรากลับคืนมาสู่ในที่ตั้งอันมั่นคง เป็นปกติ คือไม่เบี้ยวโย้เย้ กล้ามเนื้อหน้าท้องและรอบบั้นเอวก็จะค่อยๆแบนราบลง
สุขภาพดีไม่มีขาย


โดย: AUD    เวลา: 2014-10-5 07:40
[attach]9000[/attach]

โดย: AUD    เวลา: 2014-10-5 07:41
[attach]9001[/attach]

โดย: AUD    เวลา: 2014-10-5 07:42
[attach]9002[/attach]

โดย: AUD    เวลา: 2014-10-5 07:43
[attach]9003[/attach]

#อุจจาระค้างในลำไส้...... อันตรายกว่าคิด
เจ้าปัญหาที่ว่ามาเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด อากาศหลายอย่าง ตั้งแต่ ท้องอืด ปวดหลัง ปวดตัว ยันไม่เกรน
#วิธีที่แก้ให้อาการอุจจาระค้างลำไส้นั้นไม่ยาก เริ่มจากกินเมนูง่ายๆ เช่น นมกล้วย นมหวานโซดา น้ำเม็ดแมงลัก น้ำงาดำ
วิธีทำก็ง่ายแสนง่ายมาดูกัน อุจจาระตกค้างในลำไส้เกิดจากการที่เราเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด กินอาหารที่มีกากใยน้อย และระบบดูดซึมไม่ดี เป็นเหตุให้เวลาเราถ่ายจะถ่ายไม่หมด อุจจาระที่ค้างก็จะไปเกาะผนังลำไส้ เมื่อเกาะติดแน่นไปเรื่อยๆ อุจจาระจะไปตกค้างทับเส้นเลือดในกระเพาะและกดทับกระดูกบริเวณหลัง ส่งผลให้มีอาการดังนี้ตามมา เช่น ปาดหลัง ท้องอืด เป็นไมเกรน

นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวช ศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ว่า เราสามารถตรวจด้วยตัวเองได้ว่าเรามีอุจจาระค้างในลำไส้หรือไม่ เริ่มจากการนอนหงายแล้วเอามือคลำท้องด้านซ้ายล่าง เลยสะดือทางซ้ายไปหน่อย แล้วเอานิ้วทั้ง 5 ลองกดดูจนลึกและเลื่อนไปมา หากมีค้างอยู่จะคลำได้เป็นแท่งยาวๆ อยู่ตามรูปลักษณ์ของลำไส้

หลายคนอาจจะกังวลว่าจะทำอย่างไรดีให้อาการอุจจาระตกค้างในลำไส้หายไป ต้องผ่าตัดหรือเปล่า ไม่ยากขนาดนั้นค่ะ เรารักษาอาการดังกล่าวเริ่มได้ที่การกิน มีสูตรง่ายๆมาฝากค่ะ

แบ่งสูตรอาหารแก้อุจจาระตกค้างได้เป็น 2 กลุ่ม

1.สูตรล้างกลุ่มนม

- กินนมสด 2 กล่องกับกล้วยน้ำว้า 2 ลูก ตอนเช้า ก่อนอาหาร

- นำนมสด 2 กล่อง โยเกิร์ต 1 ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำส้มหรือน้ำมะนาว รสชาติตามชอบ ทิ้งไว้อย่าง น้อย 15 นาที แล้วดื่มตอนเช้าก่อนอาหาร

- นมข้นหวาน 1 ช้อนโต๊ะ โซดา 1 แก้วใหญ่ ชงให้เช้ากัน ดื่มก่อนนอน

2.สูตรล้างกลุ่มผัก

- ให้กินผักใบเขียวและผักมีเมือก ๆ ทุกชนิด เช่น ผักบุ้งแดงวันละ 2 กำมือ ผักกุยไซ่ กระเจี๊ยบเขียว บวบ น้ำเต้า ตำลึง เป็นต้น

- นำเม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ชงกับน้ำอุ่น 1 แก้ว ทิ้งไว้ให้พอง ดื่มก่อนนอน

- ใช้มะขามเปียก (แกะเมล็ดออก) 8 ส่วน นำมานึ่ง นำข่าแห้งตำละเอียด 1 ส่วน เกลือป่น 1 ส่วน ผสมให้เข้ากัน คลุกด้วยผงชะเอมหรือผงบ๊วย ปั้นเป็นก้อนกลมขนาดพอดีคำ กินเพื่อระบายอุจจาระและช่วยฟื้นฟูปลายประสาท

- นำงาดำ 1 ขีดมาล้างให้สะอาด ตากให้แห้ง คั่วให้สุก ปั่นให้ละเอียดแล้วคลุกกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ (ให้รีบคลุกทันที เพราะ งาป่นหรือถั่วป่นทุกชนิด ถ้าทิ้งไว้เกิน 20 นาที เชื้อราจะเข้าไป การคลุกด้วยน้ำผึ้งช่วยป้องกันเชื้อราได้) ปั้นเป็นลูกกลม ๆ ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ เวลากินนำมาชงกับน้ำร้อน ดื่มตอนเช้าทุกวัน

- ดอกแพงพวยฝรั่ง เด็ดกลีบกินตามจำนวนเท่าอายุ

- ดอกชุมเห็ดเทศ นำดอกชุมเห็ด 1 ช่อเท่ากับ 1 ดอก นำมาลวกราดน้ำกะทิจิ้มน้ำพริกกิน ห้ามกินเกิน 3 ดอก/วัน

เรียบเรียงข้อมูลจาก : lifestyle.th.msn.com และ Thai Self Care


โดย: AUD    เวลา: 2014-10-5 07:43
[attach]9004[/attach]

โดย: morntanti    เวลา: 2014-10-5 08:59
สุขภาพสำคัญที่สุด.....สำหรับผม ....เริ่มรู้ตัวว่าน้ำหนักเกินมากไปแล้วเลยเริ่มออกกำลังกายช่วงเช้าก็ใช้การออกกำลังกายผสมกับโยคะเพื่อช่วยลดอาการปวดเอวและสะโพกสักชั่วโมงถึงชั่วโมงครึ่ง  ส่วน ช่วงเย็นถ้าเคลี่ยร์งานเสร็จเร็วก็จะวิ่งสักครึ่งชั่วโมง...เริ่มมาสองสามเดือนละ รู้สึกว่าสุขภาพดีขึ้นอาการแพ้อากาศน้ำมูกไหลช่วงอากาศเปลี่ยนก็ไม่ค่อยถามหาแล้ว....ใครพอมีเวลาผมว่าน่าจะลุกขึ้นมาออกกำลังกายกันบางนะครับไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อตัวเอง....  สะดวกแบบไหน ชอบแบบไหน เลือกแบบนั้นเลยครับ !



โดย: AUD    เวลา: 2014-10-22 23:10
[attach]9300[/attach]

โดย: Sornpraram    เวลา: 2015-1-24 16:09

โดย: รามเทพ    เวลา: 2015-2-6 07:21
ขอบคุณครับ
โดย: Marine    เวลา: 2015-7-17 23:55
[attach]11584[/attach]

โดย: Marine    เวลา: 2015-7-18 00:00
ความลับของ "เซ็กซ์" กับ "น้ำมันมะพร้าว" / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์




13 กรกฎาคม 2558 17:19 น.
        โดยปกติ เมื่ออายุมากขึ้น พลังชีวิตก็จะลดลงตามไปด้วย ซึ่งรวมไปถึง อตราการเผาผลาญของร่างกายลดลง การทำงานของไทรอยด์ลดลง การผลิตไข้ได้น้อยลง จึงส่งผลทำให้ฮอร์โมนเพศลดลงไปได้ด้วย นอกจากนี้ โรคทางกายภาพและจิตใจก็อาจเป็นสาเหตุของการลดลงของฮอร์โมนเพศทั้งชายและหญิงเช่นกัน ส่งผลทำให้สมรรถภาพทางเพศทั้งชายและหญิงลดลงไปด้วย
      
       ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ประธานชมรมอนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวแห่งประเทศไทย ผู้ที่ทำงานในระดับนักเกษตรอาวุโสขององค์การอาหารเกษตรแห่งองค์การสหประชาชาติ ได้กล่าวถึงน้ำมันมะพร้าวมีบทบาทอย่างไรกับฮอร์โมนเพศและเซ็กซ์ สรุปได้จากงานวิจัย 6 ประการคือ 1.ช่วยกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเพศ 2.ใช้ทดแทนสารหล่อลื่นธรรมชาติ 3.ใช้แก้อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศของผู้ป่วยโรคเบาหวาน 4.ช่วยรักษาภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน 5.ช่วยให้ผู้หญิงมีลักษณะที่พึงประสงค์ในทางเพศ 6.การนวดตัวด้วยน้ำมันมะพร้าวเพื่อกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ
      
       ถ้าจะกล่าวถึงความเชื่อมโยงกันถึงเรื่องน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นจากการดื่มนั้น แท้ที่จริงแล้วน้ำมันมะพร้าวไม่ได้ช่วยเพิ่มความต้องการทางเพศโดยตรง เพียงแต่เป็นกลไกที่เชื่อมโยงจากการที่ทำให้อัตราการเผาผลาญสูงขึ้น จึงทำให้เกิดสร้างฮอร์โมนเพศเพิ่มมากขึ้นเป็นผลพลอยได้
[attach]11585[/attach]
        เริ่มต้นจากน้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่เป็นกรดไขมันสายปานกลาง ในขณะที่น้ำมันชนิดอื่นมีโมเลกุลที่ยาวกว่านี้ ดังนั้น น้ำมันมะพร้าวจึงมีโมเลกุลที่สั้นกว่าน้ำมันส่วนใหญ่ในโลก จึงดูดซึมง่ายและกลายเป็นพลังงานง่าย และส่งผลโดยตรงทำให้การทำงานของไทรอยด์ฮอร์โมนสูงขึ้นซึ่งทำให้อัตราการเผาผลาญสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
      
       แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว น้ำมันมะพร้าวไม่มีคอเลสเตอรอลเลย เพราะคอเลสเตอรอลนั้นส่วนใหญ่ได้จากสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ แต่เมื่อน้ำมันมะพร้าวทำให้อัตราการเผาผลาญสูงของร่างกายสูงขึ้น ตับจึงสังเคราะห์คอเลสเลสเตอรอลตามความต้องการใช้งานของร่างกายด้วยตัวเอง อีกทั้งยังสังเคราะห์ไขมันตัวดี HDL ให้เพิ่มขึ้นในเวลาเดียวกันอีกด้วย
      
       แม้ว่าคอเลสเตอรอลอาจจะสูงขึ้นจากการดื่มน้ำมันมะพร้าว แต่ก็ไม่เป็นอะไรเพราะวันนี้แม้แต่สหรัฐอเมริกาก็ได้ประกาศยอมรับจากผลงานวิจัยจำนวนมาก พบว่า "ระดับของคอเลสเตอรอลไม่ได้สัมพันธ์กับโรคหัวใจแต่อย่างใด" แต่ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่ดื่มน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นเป็นประจำ เมื่อไปตรวจเลือดแล้วจะพบว่าระดับของไขมันตัวดี HDL สูงขึ้นอย่างมาก ดังนั้น เมื่อนำคอเลสเตอรอลหารด้วย HDL กลับมีอัตราส่วนลดน้อยลงกว่าเดิม (ปกติไม่ควรเกิน 5.0) แปลว่ามีความเสี่ยงในโรคหลอดเลือดหัวใจลดลงไปด้วย ทั้งๆ ที่คอเลสเตอรอลสูงขึ้น ซึ่งเป็นน้ำมันชนิดเดียวในโลกที่มีคุณสมบัติแบบนี้
      
       คำถามคือ แม้น้ำมันมะพร้าวจะทำให้ความเสี่ยงจากโรคหัวใจลดน้อยลงจากอัตราส่วนของคอเลสเตอรอลหารด้วย HDL แล้วก็ตาม แต่คอเลสเตอรอลสูงขึ้นมันจะดีตรงไหน?
      
       ประการแรก คอเลสเตอรอลมีความจำเป็นต่อร่างกาย เพราะมีสถานะเป็น "วัตถุดิบอันสำคัญ" ในการผลิตฮอร์โมนเพศชายและหญิง ดังนั้น เมื่อคอลเลสเตอรอลสูงขึ้นจึงแปลว่าเรามีวัตถุดิบในการผลิตฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนต้านการอักเสบ และฮอร์โมนต้านความเครียดสูงมากขึ้นไปด้วย ซึ่งย่อมต้องรวมถึงฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนอันเป็นฮอร์โมนเพศชายที่สร้างสมรรถภาพทางเพศ รวมถึงฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่ทำให้มีความเป็นหญิงมากขึ้นตามการสังเคราะห์ของร่างกาย และนั่นหมายถึงว่า ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง หากมีฮอร์โมนเพศสูงขึ้นจากการสังเคราะห์ตามความต้องการของร่างกายเองโดยไม่ได้รับฮอร์โมนจากภายนอก ผิวพรรณและรูปร่างลักษณะจะแก่ช้าลง และลดอาการวัยทองลงได้

ประการที่สอง เมื่อ HDLหรือไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูงเพิ่มสูงขึ้น แปลว่าการทำหน้าที่นำคอเลสเตรอลและไลโปโปรตีนหน้าแน่นต่ำหรือ LDL มาส่งที่ตับ เพื่อมาสังเคราะห์ตามจำเป็นของร่างกายเพื่อนำไปผลิต เป็นน้ำดี เยื่อหุ้มเซลล์ เยื่อหุ้มสมอง วิตามินดี ฉนวนหุ้มปลายประสาท ฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนต้านความเครียดและต้านการอักเสบย่อมมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น เมื่อ HDL สูงขึ้น จึงสามารถนำวัตถุดิบที่เป็นคอเลสเตอรอลมาสังเคราะห์ต่อเป็นฮอร์โมนเพศได้
      
       ดังนั้น เพียงแค่อัตราการเผาผลาญสูงขึ้นจึงทำให้ คอเลสเตอรอลสูงขึ้นจึงมีวัตถุดิบเพื่อผลิตฮอร์โมนมากขึ้น แต่การมี HDL สูงขึ้นก็แปลว่าความสามารถในการนำคอเลสเตอรอลมาสังเคราะห์เป็นฮอร์โมนเพศย่อมสูงขึ้นไปด้วย
      
       แม้แต่น้ำมันมะกอกที่ว่าดีเลิศแล้ว(ถ้าดื่มโดยไม่ผ่านความร้อน) ก็ไม่มีคุณสมบัติที่ว่านี้เพราะทำให้ HDL สูงขึ้นอย่างเดียว แต่วัตถุดิบที่เป็นคอเลสเตอรอลไม่ได้สูงขึ้นตามการทำงานของไทรอยด์ที่สูงขึ้นเหมือนกับที่ได้จากการดื่มน้ำมันมะพร้าว
      
       แม้บางคนอาจจะไม่สนใจในเรื่องเพศ แต่ความจริงแล้วเมื่อคนเราอายุ 50 ปีไปแล้ว การรักษาระดับอัตราการเผาผลาญเพื่อสังเคราะห์คอเลสเตอรอลไม่ให้ต่ำลงมีความจำเป็นต่อการขยายอายุขัยด้วย
      
       เพราะจากงานวิจัยและการศึกษของฟรามิงแฮม มลรัฐแมสซาชูเซตต์ พบว่าถ้าคนหลังอายุ 50 ปีแล้ว "การลดลงของคอเลสเตอรอล แปลว่า เพิ่มความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากขึ้น" โดยเฉพาะงานวิจัยเรื่อง "Cholesterol as risk factor for Mortality in Wolmark" ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ The Lancet ในปี พ.ศ. 2532 ศึกษาบ้านพักคนชราชาวฝรั่งเศสเป็นเวลา 5 ปีพบว่า "กลุ่มคนที่มีคอเลสเตอรอลต่ำค่าเฉลี่ย 154.4 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จะเสียชีวิตมากเป็น 5.2 เท่าตัว เมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีคอเลสเตอรอลสูงถึง 270 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร"
      
       ข้อแนะนำของ ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา สำหรับ สำหรับผู้ที่ประสงค์จะมีบุตร การใช้น้ำมันมะพร้าวชโลมช่องคลอดในขณะมีเพศสัมพันธ์อาจช่วยเพิ่มโอกาสในการมีบุตร เพราะมันช่วยให้ช่องคลอดมีสภาพเป็นกรด ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของอสุจิในการแหวกว่ายเข้าไปในส่วนลึกของช่องคลอด จนไปผสมกับไข่ได้ (ถ้าเป็นระยะที่ไข่สุก) แต่ผู้ที่ไม่ประสงค์จะมีบุตรไม่ควรใช้วิธีนี้ในระยะไข่สุก และเตือนว่า แม้ฝ่ายชายจะใช้ถุงยางอนามัยก็ไม่ปลอดภัย เพราะน้ำมันมะพร้าวอาจทำให้ถุงยางรั่วได้ เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวมีปฏิกิริยากับยาง แต่ควรใช้ถุงยางอนามัยประเภทที่ไม่ใช่ยางลาเท็กซ์ แต่เป็นโพลียูรีเทน หรือควรงดใช้น้ำมันมะพร้าวในระยะไข่สุก แต่เปลี่ยนไปใช้สารหล่อลื่นประเภทละลายน้ำแล้วใช้ถุงยางอนามัยป้องกันการตั้งครรภ์หรือการติดเชื้อแทน
      
       ส่วนรายละเอียดการใช้น้ำมันมะพร้าวเพื่อทดแทนสารหล่อลื่นธรรมชาติ หรือการนวดตัวด้วยน้ำมันมะพร้าวเพื่อกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ และใช้แก้อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศของผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ภายใต้เนื้อหาที่มีรายละเอียดอยู่มากจึงจะยังไม่ขอกล่าวถึงในชั้นนี้
      
       และเป็นเรื่องที่น่ายินดีว่าน้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริก กรดคาปริก กรดคาปริลิก กรดคาปริโอนิก และกรดไมริสติก ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค จึงสามารถช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการมีเพศสัมพันธ์ที่อาจทำให้ติดเชื้อไปยังคู่นอนได้อีกด้วย
      
       เรื่องราวของความลับในน้ำมันมะพร้าวยังมีอีกมากที่จะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป
จากคอลัมน์ "ธรรมชาติบำบัด" เซกชั่น Good Health & Well Being ของ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11-17 กรกฎาคม 2558


โดย: Marine    เวลา: 2015-7-20 06:30
มาดื่ม...เพื่อสุขภาพกันเถอะ


[attach]11633[/attach]

โดย: Marine    เวลา: 2015-7-20 06:31
[attach]11634[/attach]

โดย: Marine    เวลา: 2015-7-20 06:32
[attach]11635[/attach]


วิธีทอดอาหารไม่ให้อมน้ำมันง่ายๆ แค่ใช้น้ำส้มสายชู


เบื่อไหม? ที่เวลาทอดอาหารทีไร เป็นต้องอมน้ำมันทุกที โดยเฉพาะเวลาทำอาหารจำพวกปาท่องโก๋ โดนัท ไข่เจียว ปลาทอด และอื่นๆ เบ็ดเตล็ดไอเดียขอแนะนำวิธีทอดอาหารไม่ให้อมน้ำมันที่สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้น้ำส้มสายชูเป็นตัวช่วยค่ะ

เคล็ดลับทำของทอดไม่อมน้ำมัน...ทำไงน้า?
1. นำกระทะไปตั้งไฟ ใส่น้ำส้มสายชูลงไปในกระทะ จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ จากนั้นใช้ตะหลิวเกลี่ยน้ำส้มสายชูให้ทั่วกระทะ แล้วปล่อยให้น้ำส้มสายชูเดือด จนแห้งไปเลยค่ะ
2. จากนั้นเทน้ำมันลงไปในกระทะ และลงมือทอดอาหารด้วยความร้อนสูง เพียงเท่านี้อาหารทอดของคุณก็จะไม่อมน้ำมันแล้วค่ะ
เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับเคล็ดลับการทอดอาหารไม่อมน้ำมันแบบง่ายๆ ที่ทำแล้วรับรองได้ผลดีสุดๆเลย









ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://www.baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2