กัมมัฏฐาน ๕ เป็นที่ตั้งของกาม
คลิกเมาส์ที่ใดก็ได้ในเฟรมนี้เพื่อเรียกเมนูด่วนhttp://www.dharma-gateway.com/image/Angel_both.gif กัมมัฏฐาน ๕ เป็นที่ตั้งของกาม หลวงปู่แหวน สุจิณโณวัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่คัดลอกมาจาก http://loungpu.th.gs/http://www.dharma-gateway.com/image/bar-1s.jpgอุปัชฌาย์ท่านสอน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ปัญจกกรรมฐานเป็นที่ตั้งของกาม กามพาหนุนอยู่ ทุกข์ก็เกิดขึ้นที่นี่ สมุทัยก็เกิดขึ้นที่นี่ ความเจ็บแข้ง เจ็บขา เจ็บหลัง เจ็บเอว เวลามันเจ็บ เราไม่ชอบ แต่ก็ยังชอบมันอยู่ ถ้าไม่รู้เท่ามันเสียเปรียบมันไม่ใช่น้อย พวกเราตายเพราะกามมาแล้วตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ นับปี นับเดือน นับวัน นับภพนับชาติไม่ได้ ตายก็เพราะกาม เกิดก็เพราะกาม ทุกข์ก็เพราะกามนี้
ความโกรธ ความเกลียด เกิดมาจากใจ มีใจมันก็เกิด ความหลงก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีใจมันจะเกิดมาได้อย่างไร ถ้าไม่มีใจมันไม่เกิด พวกความโลภ ความโกรธ ความถูก ความผิดก็เหมือนกัน มันเกิดก็เพราะใจนี้แหละ
ต้องกำหนดเข้ามาหาใจตัวต้นเหตุของมัน ถ้าเราไปแก้ที่ปลายเหตุไม่ได้ ยิ่งแก้ยิ่งเดือดร้อน การต่อสู้กิเลสเป็นสงครามอันใหญ่ ความพอใจไม่พอใจก็อันนี้เต็มโลกอยู่รักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเราให้ดี ๆ ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ต้องน้อมเข้ามาหากายนี้ น้อมเข้ามาหาใจนี้ พระธรรมทั้งหลายท่านยกใจขึ้นเป็นหัวหน้า เป็นมรรคาวรณ์ สัคคาวรณ์ มันเกิดขึ้นมาในนี้ทั้งสิ้น
ชำระใจให้บริสุทธิ์ รักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไว้ให้ดี รักษาศีล ก็รักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเรานี้แหละรักษาธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี้ไว้ ไปรักษาอย่างอื่นไม่เป็นศีลขันธ์ทั้ง ๕ ธาตุทั้ง ๔ มันเป็นกองทุกข์ พิจารณาอันนี้ให้ชำนิชำนาญเข้าไป ท่านเจ้าคุณอุบาลีท่านว่า กามนี้อย่าไปอัศจรรย์ สัตว์ทั้งหลายเขาเสพกามกันอยู่เต็มโลกก็ไม่เห็นวิเศษไปไหน มีแต่เพิ่มความทุกข์ มีแต่ ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้นที่น่าอัศจรรย์ เวลาทำสมาธิทำใจให้สงบมันก็ละได้
สัตว์ทั้งหลายเกิดก็เพราะกาม ตายก็เพราะกาม โกรธโลภ หลง เกลียดชัง ก็เพราะกาม ให้พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นตามสภาพความเป็นจริงของมัน มันก็ค่อยถอนออกจากจิตที่สำคัญมั่นหมายนี้ให้รักษาอินทรีย์สังวร รักษาศีลก็รักษา ตา หู จมูก ปาก ตีน มือ ของเรา นี้แหละ ความพอใจความไม่พอใจเกิดขึ้นในปัจจุบัน นำออกให้มันหมดเป็นวินัยอันหนึ่ง
ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส ยินดีพอใจก็ตาม ไม่ยินดีพอใจก็ตาม เกิดขึ้นในปัจจุบันให้นำออกเสีย จึงใช้ได้เป็นวินัย คือการนำความ-ผิด ความยินดีออกจากจิตจากใจ
อันนี้วินัย คือการนำ มรรคาวรณ์ สัคคาวรณ์ ออกจากจิตจากใจของตน ทำใจของตนให้บริสุทธิ์ พระธรรมวินัยท่านแสดงบัญญัติ ชี้สู่กายสู่ใจของเราทั้งสิ้นพวกมรรคาวรณ์ สัคคาวรณ์ เป็นทางกั้นมรรคผลนิพพาน นำออกให้หมดอย่าให้มันหมักอยู่ในใจ
ให้มีสติ สัมปชัญญะ ถ้ามีสตินำความผิดออกจากกายจากใจของตนได้ ถ้าไม่มีสติ มันก็หลงไปเรื่อย ๆ ลืมไปเรื่อย ๆ ถ้ามีสัมปชัญญะก็ตั้งอยู่ในสังวร กามทั้งหลายมี รูป เสียง กลิ่น รส ธรรมารมณ์ เขาผ่านไปผ่านมาตามธรรมชาติของเขา
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ใช่กามารมณ์ กามารมณ์ไม่ใช่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย กามารมณ์ต่างหาก อย่าไปถือตามสัญญาไม่รู้เท่าสังขาร ถ้าไม่รู้เท่าสังขารมันเป็นทุกข์ ต้องมีสติสัมปชัญญะ สติเป็นวินัยอย่างหนึ่งสำคัญ...
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_wan/lp-wan_13.htm ขอบคุณครับ ทำยาก เผลอบ่อย ค่อยๆ สะสมไป {:6_196:}
หน้า:
[1]