ไม่เข้าใจสันโดษ...เดือดร้อนไปจนตาย...หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
คนที่มีสันโดษย่อมเต็มไปด้วยความสุขถึงโลกจะวุ่นวาย
แต่เขาเป็นอยู่และก้าวเดินไปด้วยความสุข
ไม่ได้ผ่านความทุกข์เข้าไป
เพราะรู้เท่าทันอยู่ตลอดเวลา
พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญสันโดษไว้ว่า
สนฺตุฏฺฐี ปรมํ ธนํ
ความสันโดษเป็นยอดทรัพย์
คำว่าทรัพย์เราได้ยินอยู่เสมอแต่ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร
คำว่าทรัพย์ แปลว่าสิ่งที่ทำความปลื้มใจมาให้
อย่างเรามีทรัพย์เราก็ปลื้มใจได้รับเงินเดือน
เราก็ปลื้มใจมีทรัพย์สมบัติ
โภคสมบัติ เราก็ปลื้มใจทั้งนั้น
แต่ถ้าเรามีทรัพย์แล้วไม่ปลื้มใจคนนั้นคือคนจน
เพราะมีแล้วไม่พอใจ คนนั้นก็คือคนจน
สมมติว่าเรามีเงิน หนึ่งหมื่นก็พอใจ
หนึ่งล้านก็พอใจ คือพอใจทั้งนั้น
ในเมื่อพอใจแล้วก็เกิดอะไรขึ้นมา
ก็เกิดสันโดษ เกิดมักน้อย
เกิดไม่ต้องการ แล้วก็เงินไหลนองทองไหลมาเองโดยปกติ
เราไม่ขาดหลักสันโดษ ถึงไม่ได้ให้ใครก็ไม่ขาด
เพราะฉะนั้นอยากจะให้พวกเราเข้าใจ
หลักสันโดษในพระพุทธศาสนา
ซึ่งจะทำให้เราอยู่อย่างมีความสุขตลอดทั้งปีนี้
และปีหน้าต่อไปจนตาย
ถ้าเราไม่เข้าใจสันโดษ
เราก็เดือดร้อนไปจนตาย
เพราะไฟภายในเผาเอา
ไฟคือเพลิงเผา เรามีอยู่ ๒ ชนิด
คือ ๑.เพลิงกิเลส ๒.เพลิงทุกข์
เพลิงกิเลส คือไฟอันเกิดจาก โลภ โกรธ หลง
เราเคยเห็นเพลิงชนิดนี้ไหม้คนเรา
เช่น โลภจัด โกรธจัด เห็นได้ชัด
บางคนบอกว่าพวกหลงจัดไม่ค่อยเห็น
แต่ที่จริงก็มีมาก เช่น พวกติดบุหรี่ ติดยาเสพติด
ติดการพนัน เรียกว่าเพลิงกิเลส
เพลิงกิเลสเผาใจ
เพลิงทุกข์ คือ เพลิงที่เกิดจาก ความแก่
ความเจ็บ ความตาย
เราเกิดมาแล้วก็ต้องถูกเพลิงชนิดนี้เผาแน่นอน
เพลิงทุกข์นี้เผากาย ส่วนเพลิงกิเลสเผาใจ
เพลิงทุกข์นี้เราไม่สามารถทิ้งได้ในชาตินี้
เพราะเราเกิดมาแล้ว
ไม่เหมือนพระอรหันต์ท่านไม่ต้องถูกเพลิงนี้เผาอีกต่อไป
เพราะท่านไม่เกิดอีก
แต่เราต้องยอมให้มันเผาเพราะเราเกิดมาแล้ว
แต่ถึงเผาก็อย่าทุรนทุรายจนเกินไป
ถ้าใจเราไม่ถูกเพลิงกิเลสเผา
ถึงเพลิงทุกข์เผาเราก็ไม่ทุรนทุรายนัก
เพลิงทั้งสองอย่างนี้ที่เผาอย่างร้ายแรงมาก
ก็คือ เพลิงกิเลส
คนขาดสันโดษจะถูกเพลิงกิเลสเผาแน่
เผาแม้กระทั่งเศรษฐี เผาแม้กระทั่งผู้นำต่างๆ
หรือแม้แต่ยาจก ก็ถูกเพลิงกิเลสเผา
แต่ถ้ามีสันโดษ เพลิงเหล่านี้จะดับลงได้ง่าย.....
ไม่ใช่ยินดีของคนอื่น
ถ้ายินดีของคนอื่นผิดหลัก
และต้องเป็นของที่มีอยู่และได้มาด้วยของๆ เรา
ก็ต้องยินดีของเราเอง
เรามีเงินมีทองเราก็ยินดีของเรา
บางคนของตัวเองไม่ยินแต่ไปยินดีของคนอื่น
เมียตัวเองไม่พอใจ ไปพอใจเมียคนอื่น
ผัวตัวเองไม่พอใจ ไปพอใจผัวคนอื่น
มันยุ่งยากเดือดร้อน
เพราะไม่พอใจในของตัวเองนี้แหละที่สังคมเดือดร้อน
พวกขาดสันโดษข้อนี้มีมาก
เช่น มีเงินตัวเองไม่พอใจ ไปโกงกินของคนอื่น
ตนเองมีอะไรแต่ไม่พอใจ แต่ไปพอใจของคนอื่น
คนประเภทนี้มีสุขไหม ไม่สุข
เช่น เรามีร่างกาย เรามีพ่อ มีแม่ มีพี่ มีน้อง
มีประเทศ มีพระมหากษัตริย์
แต่เราไม่พอใจในสิ่งที่มีอยู่แล้ว
เราจะมีสุขตรงไหน
สมมติว่ามีคนอยู่ ๒ คน
คนหนึ่งพูดว่าฉันมีอะไรฉันก็พอใจ
แต่อีกคนหนึ่งพูดว่าฉันมีอะไรฉันก็ไม่พอใจหมด
คนสองคนนี้ใครจะสุขกว่ากันเล่า
สมมติว่าเรามีหน้าตาไม่สวย
พอดู ก็บ่นว่าแม่ไม่น่าเกิดเรามาอย่างนี้เลย
น่าจะเกิดให้เราสวยกว่านี้หน่อย
พอเจอแม่เรา
แหม! แม่เราน่าจะมีความรู้มากกว่านี้ยังอยู่อย่างนี้
แม่เรานี้ไม่ไหว น้องเราก็แย่ พี่เราก็แย่ แย่ไปหมดเลย
บ้านเมืองเราก็แย่ โต๊ะที่นั่งก็แย่ ไมโครโฟนก็แย่
น้ำกินก็แย่ มีอะไรไม่พอใจไปหมด
พวกนี้หาทุกข์มาใส่ตัว
มีผัวก็ไม่พอใจ มีเมียไม่พอใจ
มีมือไม่พอใจ มีพระไม่พอใจ
มีอะไรก็ไม่พอใจแล้วมันจะสุขตรงไหน
แต่ถ้าเราพอใจก็มีความสุข
เรามี เราพอ ก็ใช้ได้
มี ๑๐ บาทก็พอใจ ๑๐ บาท
มีล้านหนึ่งก็พอใจล้านหนึ่ง นี่แหละท่านทั้งหลายเอ๋ย
ไม่ให้ใครก็ไม่เสียหายอันใด
แต่บางคนบอกว่าถ้าเรามีโรคเรื้อน
จะไปพอใจโรคเรื้อนหรือ
ก็โรคเรื้อนมันไม่ใช่ของของเรา
โรคเรื้อนมันมาอาศัยเรา
เราไม่ให้มันอยู่เอง ไม่ใช่ของเรา
สิ่งไหนเป็นของของเราเราพอใจสิ่งนั้น
เราก็มีความสุข ถ้าเราพอใจเราก็มีความสุข
เรามีเท่าไรก็พอใจเท่านั้น
นี้แหละแม้เรามีสันโดษตัวเดียวก็มีความสุขแล้ว
เช่นในวันนี้ ท่านทั้งหลายจะไปอยู่ไหนจะมีความสุขไหม
จะมีอะไรบ้าง เราก็นึกเอา
ถ้าท่านทั้งหลายเจริญกรรมฐาน
เจริญกุศลภาวนาแล้ว
ท่านจะได้มีสันโดษในจิต
รู้มากในจุดมุ่งหมายแห่งความจริง
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แล้วท่านจะรู้ซึ้งเข้ามาถึงเหตุผล
ข้อเท็จจริง แก้ปัญหาได้ ว่าเราพอใจในสิ่งใด
ได้มากับมีอยู่ไม่เหมือนกัน
สมมติว่าเราทำงานปีนี้ได้ ๑ ขั้น
บางคนก็ช้าไม่ค่อยได้อะไร
เช้าชามเย็นชามก็ถือว่าสันโดษมักน้อย
เราก็ไม่ได้สนใจอะไรนักหนา
อย่างนี้ก็ถือว่ามีประโยชน์
คนไทยโบราณได้กล่าวไว้ว่า
คนเราที่เกิดมาปริศนาธรรมที่บอกให้ทราบ
อยู่สองอย่าง คือตอนเด็ก ตอนเกิดใหม่
เกิดใหม่มือจะกำ
ตอนตายมือจะแบออก
นี่แหละคือปริศนาธรรมที่คนโบราณท่านสอน
ให้คิดด้านธรรมในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ
ก็สอนให้คิดว่าตายแล้วเราก็เอาอะไรไปไม่ได้
ตอนที่เกิดมาใหม่มือกำลังกำ
เราเคยเห็นเด็กที่เกิดใหม่บางคนสังเกตดูได้
เมื่อเด็กเกิดใหม่บางทีก็มีพ่อแม่พี่น้องเห็นอยู่
แต่ตอนเกิดใหม่มือจะกำ
เหมือนเด็กคนนั้นจะบอกให้คนทั้งหลายว่ารู้ว่า
ขณะที่ตนเองเกิดให้รู้ว่า
ถ้าฉันโตขึ้นฉันจะเก็บทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง
ทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นของฉันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
บางทีก็ยกมือชูขึ้นเหมือนจะบอกว่า ข้านี้เอาแน่
เมื่อตายแล้วก็เหมือนกันหมด ต้องแบบมือไว้หมด
ไม่มีอะไรที่เราจะเอาไปได้
ท่านสาธุชนทั้งหลาย ไม่มีอะไรเลย
ดังพระที่ท่านเทศท่านมีภาษิตให้เราได้ยินอยู่เสมอ
เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า
เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน
เจ้ามามือเปล่า เจ้าจะ เอาอะไรไป
เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา
ก็บอกไว้ชัดเจนอย่างนี้
ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว
ท่านสาธุชนทั้งหลายเอ๋ย
ไม่มีอะไรดีกว่าการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
ที่จะเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย
อย่าไปคิดพะวง การเจริญกรรมฐานไม่ต้องเสียเงินเสียทองแต่ประการใด
เรามาวัดสดับพระธรรมเทศนา และเจริญกรรมฐาน
สวดพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ พาหุง มหากา ก็ได้ประโยชน์
ดีกว่าเราไม่ทำอะไรเสียเลยอย่างนี้เป็นต้น
การเจริญกรรมฐานนี้แก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง
ทำให้เรารู้สึกนึกคิด รู้ตื้น ลึก หนา บาง รู้กาลเวลา
รู้จักกาละเทศะ กิจจะลักษณะ
จะกล่าววาจาก็กล่าวโดยกาละที่ควรกล่าว
จะกล่าววาจาก็มีสัจจะความจริง
จะกล่าววาจาก็รู้สึกว่ามีประโยชน์กับผู้ฟัง
จะกล่าววาจาก็จะอ่อนหวาน สุภาพ อ่อนโยน
จะกล่าววาจาก็รู้สึกว่ามีเมตตาต่อกัน
นั่นแหละตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ด้วยการเจริญกรรมฐาน
นั้นเป็นข้อที่หนึ่ง
ข้อที่สอง ผู้ที่เจริญกรรมฐานจะระลึกชาติของตัวเองได้
ระลึกชาติที่แล้วครั้งอดีตเมื่อเป็นเด็กจำความได้ทั้งหมด
ทำบาปทำเวรทำกรรมก็จะได้สำนึกสมัญญาในชีวิต
ของเขาเหล่านั้น
ประการที่สามเขาจะรู้กฎแห่งกรรม
ว่าเขาได้ทำกรรมอะไรไว้
จะได้แก้ปัญหาให้มันหมดสิ้นไป ใช้หนี้เขาให้หมด
ใช้หนี้เวร ใช้หนี้กรรม ใช้หนี้บุญคุณ
คำว่าหนี้บุญคุณไม่รู้จักหมด
หนี้เวร หนี้กรรม ใช้หมด อย่างอาตมานี้ คอหัก
แขนหัก ขาหัก ก็หมดไป
ต้องทนมานอย่างน่าใจหาย
แต่หนี้บุญคุณไม่หมด บิดา มารดา ครูบาอาจารย์
ปู่ ย่า ตา ยาย ใช้ไม่มีหมด
การใช้หนี้ ใช้สิน ไม่มีหมดด้วยหนี้บุญคุณ
น้ำพระคุณอุ่นเกล้าทุกเช้าค่ำ หล่อด้วยน้ำเมตตาจะหาไหน
เหมือนน้ำค้างเย็นหล้าจากนภาลัย
ก็ยังไม่เย็นล้ำเท่าน้ำพระคุณ
มีความอุ่นใจ น้ำพระคุณนี้สำคัญ คือ บุญคุณ
คนไหนปฏิบัติกรรมฐานได้
คนนั้นจะมีความกตัญญูกตเวที
มีบุญวาสนา คนที่เจริญกรรมฐานตลอด
เสมอต้น เสมอปลายแล้ว
จะเป็นคนมีบุญวาสนา นำพา ส่งผล
ได้ผลเป็นอานิสงส์สมความมุ่งมาดปรารถนาทุกประการ
ก็ขออนุโมทนาสาธุการแก่ญาติโยมทั้งหลาย
ที่เรามาฟังธรรม มาเจริญกรรมฐาน
ที่จะแก้ไขปัญหาได้ทุกชนิด
จะอยู่อย่างมีความสุข เจริญรุ่งเรือง วัฒนาสถาพร
จิตใจจะกว้างขวาง จิตใจจะไม่แคบเหมือนโลกยุคใหม่
โลกมันแคบ ใจมันแคบ ใจมันแย่ลงไป
มีแต่เครื่องวัตถุ
แต่เครื่องจิตใจมันก็เหลวแหลกแตกลงไป
เรียนรู้สูงขึ้น แต่จิตใจมันเลว
มันไม่สมดุลกับโลกใหม่ปัจจุบันที่เจริญด้านวัตถุ
เทคโนโลยี
ขอให้เราเจริญไปด้วยพุทโธโลยีแก้ปัญหาชีวิต
ได้แก่ธรรมะ พุทโธโลยีแก้ไขปัญหาได้
ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
เพราะว่าชีวิตมีค่าด้วยการเจริญวิปัสสนา
เวลาจะมีประโยชน์
เพราะเวลานี้เรามีหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
แล้วเวลาก็มีประโยชน์ในกิจชีวิตประจำวัน
หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ รู้แต่สิ่งที่มีประโยชน์
สิ่งที่ไม่มีประโยชน์จะไม่อยากจะไปรู้ของเขา
เราจะรู้แต่เรื่องของเรา
ไม่ต้องไปดูงานของคนอื่นเขาว่าเสร็จแล้วหรือยัง
ดูงานของเราว่าจะเสร็จหรือไม่ประการใด
เพราะฉะนั้นชีวิตนี้จึงมีค่า แก่นสารเนื้อหาสาระ
ไม่ต้องไปดูคนอื่นเขา ว่าถูกผิดประการใด
เพราะตัวเราผิดเราก็ไม่รู้ตัว ถูกเราก็เข้าใจ
แล้วเราก็ไม่ยอมรับชีวิตของเราอีก
ถ้าเราเจริญกรรมฐานจะยอมรับโดยไม่ปฏิเสธทุกข้อหา
จะยอมรับเวรรับกรรมที่เราทำไว้ทุกประการ
กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา กุศล หรือ อกุศล
เราก็จะรู้ได้ด้วย ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญู***
รู้แจ้งแก่เราทุกคนแล้ว
ขอท่านสาธุชน พุทธศาสนิกชน อุบาสก อุบาสิกา ทั้งหลาย
ก็ขอให้ท่านตั้งใจปฏิบัติธรรม
คำสอนของพระพุทธเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาชีวิตและช่วยสั่งสอน
และช่วยสร้างความดีให้กับลูก ทำถูกให้กับหลาน
ให้สมน้ำ สมเนื้อ สมกาลเวลาที่หมดไป
และเวลาข้างหน้าก็เหลือน้อย ที่ผ่านมาก็มากแล้ว
อย่าประมาท ตายได้วันนี้ พรุ่งนี้
ก็ขอให้ท่านทั้งหลายจงจะเจริญรุ่งเรืองในธรรม
สัมมาปฏิบัติในหน้าที่โดยทั่วกัน
ก็ขอให้ทุกท่านจงเจริญไปด้วยอายุ วัณณะ สุขะ พละ
นึกคิดสิ่งหนึ่งประการใดก็สมความมุ่งมาดปรารถนา
ด้วยกันทุกรูปทุกนาม ณ โอกาสบัดนี้เทอญ
ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3287
หน้า:
[1]