Sornpraram โพสต์ 2013-5-7 11:45

อภัยทาน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-5-7 11:46

อภัยทาน



การที่เราจะหามิตรกับศัตรูอันไหนจะหาง่ายกว่ากัน???



ถึงเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

วันนี้ผมได้คิดหวลถึงคำพูดคำสอนของหลวงปู่เพื่อจะเป็นแนวทางในการคิดและการกระทำ

หลวงปู่ท่านเคยถามผมว่า การที่เราจะหามิตรกับศัตรูอะไรจะง่ายกว่ากันหลวงปู่ท่านบอกว่า

หากเราต้องการจะหาศัตรูซักร้อยคน วันเดียวก็หาได้ไม่ใช่เรื่องยาก

แต่การที่จะหามิตรแท้ดีๆซักคนให้เวลาวันหนึ่งเอ็งจะไปหาได้มั๊ย

และเมื่อเราได้มิตรแท้แล้วเราควรที่จะถนอมรักษาเอาไว้ยาที่จะรักษามิตรภาพได้ยาวนานคือ

"ยาอภัย"ที่จะทำให้มิตรภาพของเรามีอายุยาวนานถ้าเกิดเราทานยาอภัยแล้วอาการยังไม่หาย

เราก็ควรถอยออกห่างโดยยังคงความมีมิตรภาพไว้ เพื่อไม่ให้เป็นการจากไปอย่างศัตรู

วันนี้ผมจึงนำเรื่องอภัยทานมาให้อ่านและพิจารณากัน




http://www.jompra.com/webboard/uc_server/avatar.php?uid=27&size=middle
Sarayut

Sornpraram โพสต์ 2013-5-7 11:47

อภัยทาน
ชีวิตคือการลงทุน

ชีวิตคือการลงทุนตัวชีวิตคือต้นทุน   สิ่งที่ได้มาหลังจากชีวิตคือกำไรทั้งหมดการเกิดมาในโลกนี้เหมือนการมาเที่ยวหรือไปเที่ยวต่างประเทศเราชื่นชมได้ทุกอย่างที่เห็นแต่เมื่อจะเดินทางกลับจะต้องวางทุกอย่างไว้ที่เดิมเพราะนั่นเป็นสมบัติของแผ่นดินนั้นเก็บเอาเพียงความสุขความเบิกบานใจไปติดตัวกลับบ้านก็พอชีวิตในโลกนี้มีทั้งกำไรที่เป็นสินทรัพย์และกำไรที่เป็นอริยทรัพย์สินทรัพย์เราทิ้งไว้ให้เป็นสมบัติของโลกต่อไปให้คนอื่นชื่นชมด้วยหากเรามีโอกาสกลับมาเที่ยว (เกิดใหม่) อีกเราก็มีโอกาสได้ชื่นชมอีกอริยทรัพย์คือ บุญความสุขความเบิกบานใจอิ่มใจพอใจเป็นสมบัติแท้ของเราตามเราไปได้ทุกแห่งหน

การลงทุนให้ได้กำไรคือหัดทำความพอใจในสิ่งที่เรามีความโชคร้ายของมนุษย์คือการไม่รู้ว่าตนเองโชคดี

ทุกชีวิตล้วนมีภัยภัยของชีวิตอาจเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาทีภัยที่เกิดจากภายนอกไม่ร้ายแรงเท่ากับภัยภายใน

ภัยที่ผู้อื่นสร้างขึ้นกระทบเราน้อยกว่าภัยที่เราสร้างขึ้นเองบางคนทำผิดแล้วกลับมานั่งเสียใจในภายหลังก็บ่อยภัยทั้งหลายล้วนเป็นยาพิษที่ปลิดชีวิตจิตใจเราได้ทั้งสิ้น

มนุษย์อื่นทำลายเราก็ทำได้เพียงขณะหนึ่งแต่จิตที่ตั้งไว้ผิดจะทำลายเราข้ามภพชาติด้วยเหตุนี้ท่านจึงสอนเรื่อง “อภัยทาน” คือการยกโทษแสดงอโหสิกรรมต่อกัน

ไทยเรามีประเพณีอย่างหนึ่งคือเมื่อจุดธูปขอขมาศพก็จะขออโหสิกรรมต่อกันคืออย่าได้มีเวรต่อกันในภพหน้าให้ทุกอย่างจบลงที่ภพชาตินี้แม้ศัตรูคู่อาฆาตก็ต้องอโหสิกรรมต่อกัน

บางครั้งพิธีสำคัญในชีวิตเรามักจะไปขอพรผู้ใหญ่และกล่าวว่ากรรมใดที่เราได้ล่วงเกินขอให้ท่านยกโทษให้คือให้สิ่งที่เราทำเป็นอโหสิกรรมทำให้ใจเราว่างเพียงพอเพื่อรองรับความดีที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่เช่นพิธีบวชเป็นต้น

การแสดงอภัยทานเป็นการชำระใจ แม้จะดูพูดง่ายแต่ก็ทำได้ยากหากไม่ฝึกทำจนเป็นปกติเพื่อให้เข้าใจง่ายและอยากทำให้ได้ขอให้เรามาพิจารณาเหตุผลถึงความต่อเนื่องของผลกรรมที่มีผลข้ามภพข้ามชาติว่าให้ผลเผ็ดร้อนเพียงใดและยังเป็นผลที่เราหนีไม่ได้อีกด้วย

เราต้องถามตนเองก่อนว่าเราต้องการยุติการเผล็ดผลของกรรมกับคนๆ นั้นเพียงภพนี้หรือต้องการจะพบเขาจะเจอเขาอีกต่อไปเราต้องการจะยุติปัญหาเหล่านี้เพียงภพชาตินี้หรือต้องการลากยาวไปถึงภพชาติข้างหน้าเรามีสิทธิเสรีในตัวเรา

บางคนรักมากหลงมากเพราะเขาดีมากก็ปรารถนาให้พบกันทุกภพทุกชาติบางคนก็อธิษฐานไม่ขอร่วมเดินทางแต่ก็ไม่ยกโทษในที่สุดผลของการไม่ยกโทษคือไม่ยอมให้อภัยก็เหมือนการผูกสิ่งที่เราไม่ชอบไว้ที่เอวตนเองตลอดเวลา

การให้อภัยจะทำใหเราสามารถยุติปัญหาต่างๆได้   เหมือนคนล้างแก้วน้ำสะอาดทำให้เหมาะสมที่จะรองรับน้ำบริสุทธิ์ที่เทลงไปใหม่เหมือนการโยนของที่เราไม่ชอบทิ้งเสียโดยไม่ต้องเสียดาย

การให้อภัยคือการแสดงกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด   อภัยทานเวลาจะให้ไม่ต้องไปขอใครไม่เหมือนใครมาของเนเราเราต้องควักกระเป๋าให้แต่ให้อภัยเราไม่ต้องหาจากไหนและไม่รู้สึกว่าเป็นการศูญเสีย

ขอให้เราภูมิใจเมื่อมีใครมาขอโทษเมื่อมีใครให้อภัยเราหรือเมื่อสำนึกได้ว่าเราได้ทำอะไรผิดพลาดไปก็ขอโทษกันการขอโทษหรือการให้อภัยมิใช่การเสียหน้าหรือเสียรู้มิใช่การได้เปรียบเสียเปรียบแต่อย่างใดหากแต่เป็นการชำระใจให้สะอาดเหมือนภาชนะสกปรกก็ชำระล้างให้สะอาด

ใครจะคิดอย่างไรมิใช่ประเด็นแต่สำหรับเราผู้แสดงออกว่าเราให้อภัยในเรื่องนี้ต่อบุคคลผู้นี้แล้วนั่นเป็นสิ่งสำคัญเพราะสิ่งนั้นจะถูกบรรจุลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์คือจิตของเราทันที

การผูกอาฆาตความพยาบาทความอิจฉาโกรธเกลียดความคิดแก้แค้นทิฐิมานะ   เป็นต้นเป็นเสมือนเชื้อไวรัสอภัยทานคือ เครื่องมือแอนตี้ไวรัสส่วนจิตของเราเหมือนคอมพิวเตอร์

ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้อาจจะดูเหมือนยาวแต่มีใครบอกได้ว่าเราจะอยู่ได้ปลอดภัยถึงวันไหนเราต้องการความทรงจำที่เลวร้ายหรือต้องการความทรงจำที่ดีในชีวิต

เราต้องการนั่งนอนอย่างมีความสุขมีชีวิตอยู่ด้วยความอิ่มเอิบหรือต้องการมีชีวิตอยู่ด้วยการถอนหายใจด้วยความทุกข์และกังวลใจสิ่งเหล่านี้กำหนดได้ที่ตัวเราเองกำหนดวิธีคิดให้ถูกต้อง

ความคิดเป็นสิ่งที่ทรงพลังมากสุขหรือทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่วิธีคิดคิดเป็นก็พ้นทุกข์คิดไม่เป็นแม้แต่เรื่องมิใช่เรื่องก็อาจเกิดเรื่องได้

ขอให้เรามาคิดดูว่าในชีวิตของเราคนหนึ่งอย่างเก่งก็อยู่ได้ ๙๐ ปีเกินนี้ไปถือเป็นกำไรชีวิตทำไมเราจะเสียเวลามาครุ่นคิดเรื่องไร้สาระทำไมเราจะต้องเสียเวลามาทำเรื่องที่ทำให้เกิดทุกข์

การยอมกันเสียบ้างก็เป็นความสุขได้ไม่ยากบางครั้งการยอมแพ้อาจเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ข้ามภพชาติการยกโทษอาจดูเหมือนเรายอมเราไม่ติดใจไม่เอาเรื่องแล้วเขาจะได้กำเริบส่วนเราเสียเปรียบความจริงไม่ใช่เรากำลังบำเพ็ญบารมีขั้นสูงคือ “อภัยทาน”อันเป็น “ทานบารมี”ที่สูงส่ง

เราอาจคิดว่าการให้อภัยบ่อยๆแก่คนบางคนเขาอาจจะไม่ปรับตัวยังก่อเหตุอยู่เสมอๆงานก็ไม่สำเร็จยังเหลวไหลอยู่เหมือนเดิมนั่นอาจเป็นเหตุผลในการทำงานแต่สำหรับเหตุผลของใจนั่นเมื่อให้อภัยในเราก็เบาเพราะหมดห่วงหมดทุกข์หมดสนิมที่จะมากัดใจให้ผุกร่อน

วิธีคิด มีความสำคัญมากสำหรับชีวิตของคนเรามักได้ยินเสมอๆ ว่าแพ้หรือชนะอยู่ที่กำลังใจแท้จริงแล้ว คำว่า“กำลังใจ”ก็คือวิธีคิดนั่นเองพลังที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์คือ การที่ใจมีกำลัง

มนุษย์เราจึงต้องสร้างกำลังใจให้แก่กันและกันกำลังใจเป็นสิ่งที่ให้ไม่รู้จักหมดยิ่งเราให้คนอื่นได้มากเท่าไรกำลังใจก็จะยิ่งเกิดขึ้นแต่เรามากเท่านั้นเหมือนวิชาความรู้ยิ่งให้ยิ่งพอกพูนยิ่งหวงไว้เฉพาะตัวก็ยิ่งหดหาย

การให้อภัยอาจพูดง่ายแต่ทำยากแม้จะเป็นเรื่องยากเพราะในไม่อยากทำแต่ก็สามารถทำได้เมื่อเราฝืนใจทำและจะเป็นความสุขใจในภายหลังเมื่อครวญคำนึง

มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเป็นเรื่องที่มีอุทาหรณ์และคติน่าคิดมากเกี่ยวกับเรื่องของคนที่ไม่ยอมให้อภัยใครและเป็นคนผูกโกรธผูกเกลียดผูกอาฆาตพยาบาทมองเห็นคนอื่นเป็นศัตรูคู่ต่อสู้ตลอดเวลากระทั่งวันหนึ่งตายไปพร้อมกับจิตใจที่ขุ่นมัวและผูกอาฆาต

ท่านเล่าว่าเขาอธิษฐานไปเกิดเป็นลูกของศัตรูเพื่อจะได้ทำร้ายจิตใจอย่างใกล้ชิดแนบเนียนที่สุดจะได้เผาผลาญคนนั้นให้ถึงที่สุดให้ทุกข์ที่สุดให้สาละวนอยู่กับเรื่องทุกข์ตลอดเวลาเขาเป็นลูกเกเรผลาญทรัพย์ทำลายวงศ์สกุลนำความทุกข์เดือดร้อนเข้าบ้านทุกวัน

พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า   ตรัสเป็นหลักใจว่าคนที่ตายขณะจิตเศร้าหมองย่อมไปสู่อบายแม้คนพวกนี้จะไม่เชื่อเรื่องอยายเรื่องนรกที่เป็นภพภูมิแต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ถึงนรกคือความเร่าร้อนรุนแรงที่คุกรุ่นภายในใจในขณะยังมีชีวิตอยู่ส่วนคนที่ตายขณะจิตผ่องใสจะไปสู่สวรรค์คือสภาพที่ใจปลอดโปร่งโล่งเบาก็จะมีแก่ผู้นั้น

Sornpraram โพสต์ 2013-5-7 11:49

สิ่งที่น่าคิดก็คือข้าพเจ้าทราบจากนักปราชญ์บัณฑิตโบราณท่านพูดเอาไว้ว่าการที่เราโกรธใครเราไม่ให้อภัยเขาหรือเราไม่ไปขออโหสิกรรมความโกรธนั้นจะเป็นกรรมหนักติดตัวคืดติดใจเราไปยาวนานข้ามภพข้ามชาติแปลว่าไม่ว่าเราจะไปเกิดภพใดชาติใดกรรมนั้นก็จะตามไปไม่สิ้นสุด

ยิ่งไปกว่านั้นการที่กรรมส่งผลข้ามภพข้ามชาตินั้นเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนักเพราะเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเราได้ทำอะไรกับใครไว้บ้างในครั้งอดีต

คนบางคนเกิดมามักถูกใส่ร้ายตลอดเวลาไม่ว่าจะหันไปทำอะไรจะมีแต่คนคอยจ้องจับผิดคิดร้ายนินทาลับหลังให้ต้องเสียใจอยู่เสมอบางคนคิดทำอะไรขึ้นมาพอจะสมหวังก็กลับมีอันต้องเป็นไปให้ผิดหวังพลาดหวังอยู่บ่อยๆเราก็คิดว่าเป็นเรื่องของโชควาสนาไปแต่ความจริงคือเรื่องอดีตกรรมที่เราไม่ยอมแก้ไขทั้งๆที่แก้ไขได้

ยิ่งไปกว่านั้นบางคนต้องทุกข์เพราะคนใกล้ตัวทุกข์เพราะคนที่เรารักที่เป็นตัวชีวิตของเราเองเช่นมีลูกเกเรทำให้พ่อแม่เสียใจมีลูกผลาญทรัพย์มีลูกไม่อยู่ในโอวาทมีลูกอกตัญญูมีลูกทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูลพ่อแม่คิดถึงลูกทีไรก็มีแต่เรื่องร้อนใจตลอดเวลา

เราจะเห็นว่าบางครอบครัวญาติพี่น้องต้องทะเลาะกันเหมือนเป็นข้าศึกศัตรูกันมาหลายภพหลายชาติบางทีต้องฆ่ากันเป็นทอดๆถามว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไรปัญญาธรรมดาของมนุษย์อย่างพวกเราพอจะทำความเข้าใจได้หรือไม่กฎหมายที่มีอยู่สามารถคลี่คลายปมปัญหาได้ไหมคำตอยคือยากเพราะนี่เป็นเรื่องของเศษกรรมที่ยังมิได้รับ “อโหสิ” ระหว่างเราและเขา

ฉะนั้นถ้าไม่ต้องการเสวยวิบากกรรมอันเลวร้ายข้ามภพข้ามชาติท่านต้องหัดให้อภัยแก่คนทุกคนแก่สัตว์ทุกชนิดให้อภัยแม้ศัตรูที่คิดจะทำร้ายหมายปองชีวิตเราอภัยต่อทุกอย่างที่เขาทำไม่ดีกับเราให้ทุกอย่างเป็นอโหสิกรรมทั้งหมดเพื่อเราจะได้ไม่ต้องมีปัญหาในอนาคต

บางครั้งเราเห็นเรื่องจริงในชีวิตจริงหรืแม้แต่ที่ปรากฏเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์หากเรามองย้อนคิดให้ดีสักนิดนิ่งคิดให้ละเอียดลึกซึ้งสักหน่อยเราก็จะเข้าใจได้ว่าการไม่ให้อภัยกันนั้นมีผลร้ายข้ามภพข้ามชาติได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

บางคนเราไม่รู้จักกันมาก่อนแต่พอเห็นหน้าก็รู้สึกไม่ชอบทันทีเลยจะพูดจะคุยจะทำอะไรดูจะเกะกะลูกตาของเราไปหมดแม้แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อเราก็เช่นกันนั่นเป็นเพราะอดีตเราไม่ยอมให้อภัยกัน

สิ่งที่มนุษย์เรารักกันมากที่สุดคือสามีภรรยาลูกแต่ทำไมบางทีเมื่อแต่งงานกันแล้วสามีสามารถฆ่าภรรยาได้หรือภรรยาก็สามารถฆ่าสามีทิ้งได้อย่างง่ายดายนั่นเป็นเพราะอะไรไม่มีสิ่งใดที่จะอธิบายได้ดีเท่ากับบอกว่านั่นคือผลกรรมที่เกิดจากการไม่ยอมให้อภัยกันในอดีตชาติและส่งผลมาถึงภพนี้จึงต้องมาแก้แค้นชำระโทษกัน

การที่เราไม่ยอมให้อภัยเหมือนเราไม่ยอมล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกายเราแม้ว่าเราจะไปที่ไหนสวมใส่เสื้อผ้าชิ้นใดงามเพียงไรร่างกายของเราก็ยังคงสกปรกและตามไปทุกหนทุกแห่ง    ความงามของเรือนร่างที่ประดับด้วยเครื่องเพชรด้วยเสื้อผ้าก็ไม่อาจทำให้ร่างกายสะอาดได้การให้อภัยเปรียบเหมือนการอายน้ำชำระร่างกาย

ข้อนี้เปรียบเสมือนเมื่อเราไม่ให้อภัยใครใจเราย่อมดิ่งอยู่กับคนนั้นและตัวเขาก็จะถูกผูกไว้กับความรู้สึกของเราเหมือนความสกปรกของร่างกายที่ตามเราไปตลอดเวลาเพราะไม่ยอมชำระล้างให้สะอาด

ท่านทั้งหลายอาจลืมคิดไปว่าลูกหลานที่เกิดมาแล้วผลาญทรัพย์ทำลายชื่อเสียงทำให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อนนอนทุกข์นั้นแท้จริงก็คือศัตรูในชาติที่แล้วที่เรามิได้อโหสิกรรมให้เขาเราไม่ได้ยกโทษให้เขาคือเราไม่ได้แก้ปมที่เคยผูกไว้ให้หลุดออกไปกรรมระหว่างเรากับเขาจึงติดตามกันมาเผล็ดผลถึงวันนี้

บางทีคนที่เขาโกรธเราหากเราโกรธตอบก็จะเป็นการตอบรับกระแสกันเหมือนเราโทรศัพท์ถึงกันถ้าอีกฝ่ายไม่เปิดโทรศัพท์รับฝ่ายที่โทรถึงก็หมดสิทธิ์จะคุยกับเราเพราะกระแสไม่ถึงกัน

การตอบรับซึ่งกันและกันถ้าเป็นความดีเป็นความรักความอบอุ่นก็ดีไปแต่ถ้าเป็นความเกลียดความโกรธสิ่งที่จะตามมาคือการรับรู้และเก็บอารมณ์ทั้งโกรธและเกลียดนั้นไว้ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย

เมื่อรู้แล้วก็ควรสละอารมณ์นั้นด้วยตัวเราเองก่อนเพื่อป้องกันจิตเรามิให้เป็นทุกข์เพราะคนนั้นเป็นเหตุเราอาจคิดเสมือนหนึ่งเขาไม่ได้มีอยู่ในโลกนี้เลยก็ได้การให้อภัยเขาคือคิดถึงเขาในฐานะเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายไม่สมควรจะไปยึดเป็นรักเป็นชัง
ก็เมื่อแม้แต่รักท่านยังสอนให้เราละทิ้งเพื่อมิให้ยึดติดแล้วทำไมเราจะยังมองเห็นโกรธเป็นสิ่งที่จะต้องยึดมั่นอยู่ได้


Sornpraram โพสต์ 2013-5-7 11:50

การที่เราเห็นสิ่งผิดปกติในชีวิตเราบางครั้งเช่นมีแต่เรื่องให้เกิดทุกข์มีแต่คนทำให้ใจขุ่นมัวมีลูกไม่ดีมีหลานไม่สมประสงค์ทำให้เราต้องเก็บมาคิดเสมอขอให้เราถือว่านี่คือเศษเสี้ยวแห่งผลกรรมที่ติดอยู่ในความคิดตั้งแต่อดีตชาติซึ่งบัดนี้เผล็ดผลงอกงามออกมาอยู่ใกล้ตัวเราที่สุด

วิธีแก้คือต้องอภัยให้แก่ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่วินาทีนี้ทันทีเพื่อภพชาติต่อไปเราจะได้ไม่ต้องรับรู้ความทุกข์ของใครต่อใครอีกพึงทราบว่าคนที่ทำให้เราทุกข์ใจที่สุดคือคนที่เรารักที่สุดคือผู้อยู่ใกล้เราที่สุด

บางครั้งศัตรูยอมอธิษฐานจิตแห่งความพยาบาทให้มาเกิดเป็นลูกของเราเป็นหลานของเราเป็นญาติของเราเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเราก็มีเพื่อเขาจะได้ทำลายน้ำใจชื่อเสียงวงศ์สกุลของเราให้ถึงที่สุดนั่นเป็นเพราะเราไม่ได้อโหสิกรรมต่อเขาหรือไม่ได้แสดงอภัยทานต่อเขาจากชาติที่แล้วนั่นเอง

ฉะนั้นทุกครั้งที่เราเห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นกับชีวิตใครหรือแม้แต่เกิดกับเราเองและเราเองไม่สามารถจะวิเคราะห์ได้ด้วยปัญญาธรรมดาขอให้ลองมองผ่านกฎเกณฑ์แห่งกรรมดูบ้างก็จะช่วยให้จิตใจของเราโปร่งเบาขึ้นมาได้

การคิดถึงกฎแห่งกรรม หาใช่การคิดแบบทอดธุระ หรือโยนบาปโดยไม่คิดจะแก้ปัญหาไม่การคิดเรื่องกฎแห่งกรรมเป็นหลักการสัญข้อหนึ่งในการแก้ปัญหาทางใจตามหลักพระพุทธศาสนาหลักธรรม เป็นกฎเกณฑ์ที่ให้ผลได้แยบยลทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ปัญหาบางอย่างที่แก้ไม่ตกที่สลัดไม่ออกที่ไม่มีทางจะหลบลี้หนีได้เป็นสิ่งที่เราต้องแบกรับด้วยชีวิตเราต้องพิจารณาความจริงย้อนหลังและยอมรับเหตุการณ์นั้นให้ได้

สิ่งหนึ่งที่ควรคิดคือเรื่องผลกรรมที่เกิดขึ้นจากกรรมในอดีตที่เราไม่ได้ทำให้เป็น“อโหสิกรรม”คือไม่ยอมให้อภัยในภพชาติที่แล้วและวันนี้สิ่งที่เกิดกับเราจึงเป็นสิ่งสมควรสมเหตุสมผล

วิธีแก้คือเราต้องยอมรับความจริงของสิ่งที่เกิดกับตัวเรานั้นให้ได้หากคิดได้เช่นี้ก็จะทำให้จิตใจเราเยือกเย็นและอ่อนโยนลงได้

ความทุกข์ส่วนใหญ่มักเกิดจากการไม่ยอมรับความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ความทุกข์ของมนุษย์ส่วนมากมักเกิดจากต้องการเปลี่ยนแปลงแต่เปลี่ยนไม่ได้หรือไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงแต่กลับเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น

ถามว่าการให้อภัยในความผิดพลาดของคนๆ หนึ่งเป็นสิ่งที่ทำยากหรือง่ายคำตอบคือ ทำง่ายหากเราฝึกหัดทำเป็นประจำ
ขอให้เราฝึกเสมอๆ ว่าไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรกับเราขอให้เราฝึกให้อภัยทุกวันทำเหมือนที่เราแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ขอให้เราทำทุกครั้งทำทุกวินาทีทำเหมือนกรวดน้ำหลังทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่

เมื่อเราสร้าง“อภัยทาน”ให้เป็นลักษณะนิสัยตลอดเวลาได้แล้วเราจะรู้สึกว่าการให้อภัยแก่ใครนั้นเป็นเรื่องง่ายดายเป็นเรื่องธรรมดาๆคือทำได้โดยไม่ต้องฝืนใจทำ

ขอให้เราทราบไว้ว่าเมื่อเราหัดสร้าง“อภัยทาน”เป็นปกติแล้วเศษกรรมต่างๆแทนที่จะติดตามเราไปข้ามภพข้ามชาติก็จะถูกสลัดออกคือตามไปไม่ได้เพราะมิได้เป็นกรรมอีกต่อไปหากแต่เป็นแต่เพียงกิริยาที่แสดงออกเพราะเราให้อภัยเสียแล้ว

เมื่อเราให้อภัยเสียแล้วใครๆ ที่ผูกอาฆาตพยาบาทเราไว้แรงพยาบาทของเขาก็จะหมดโอกาสติดตามเราเพราะกรรมนั้นหมดแรงส่งเนื่องจากเราได้ “อโหสิ”เสียแล้ว

จึงขอเชิญชวนท่านทั้งหลายมาฝึกปฏิบัติ“อภัยทาน”และ“อโหสิกรรม”ตั้งแต่บัดนี้กันเถิดเพื่อยุติสนิมในใจคือความอาฆาตพยาบาทเพื่อยุติแรงส่งของกรรมที่ตามไปเผล็ดผลอันเผ็ดร้อนข้ามภพข้ามชาติ
พึงหลับตาให้ใจสงบครู่หนึ่งก่อนแล้วตั้งใจกล่าวคำแผ่เมตตาเบาๆดังนี้

สัพเพสัตตา    สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
อเวราโหนตุ    จงเป็นสุขๆ เถิดอย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย
อัพยาปัชฌาโหรตุ   จงเป็นสุขๆ เถิดอย่าได้พยาบาทเบียดเบียน
ซึ่งกันและกันเลย
อนีฆาโหนตุ    จงเป็นสุขๆ เถิดอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขีอัตตานังปริหรันตุ   จงเป็นผู้มีสุขรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้น
เทอญฯ

Sornpraram โพสต์ 2013-5-7 11:50

ตายไม่มี


“สัตว์ทุกชนิดกลัวตายเพราะคิดว่าความตายเป็นภัยร้ายแรงของชีวิตผวาว่าความตายใครๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้เกิดความสิ้นหวังท้อแท้ว่าความตายไม่อาจรักษาด้วยการเยียวยาใดๆแต่ความจริงแล้วความตายนี้แลคือทิพยโอสถชนิดเลิศที่ธรรมชาติใช้รักษาโรคร้ายทุกชนิดของธาตุขันธ์ความตายจึงมิใช่สิ่งที่น่ากลัวเพราะความตายเป็นทิพยโอสถของชีวิต”

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนให้พิจารณามรณสติเพื่อบรรเทาความมัวเมาในชีวิตในเวลาในความประมาทก็เพราะต้องการให้คนมีสติตื่นตัวให้รู้ว่า ความตายอยู่แค่ปลายจมูกเท่านั้นเรารู้วันเวลาเกิดได้แต่เวลาตายเราไม่รู้และไม่มีทางจะรู้ด้วยหากไม่เจริญมรณสติเป็นประจำ

การเจริญมรณสติคือนึกถึงความตายบ่อยๆอย่างนี้จะสอนใจให้กล้าเผชิญความจริงได้ไม่ยาก

เมื่อพิจารณาความจริงอีกขั้นหนึ่งเหนือจากสมมติสัจจะคือพิจารณาให้เห็นความจริงตามหลักธรรมชาติมองทุกอย่างให้เห็นเป็น อนัตตาปราศจากตัวตนที่ควรเข้าไปยึดมั่นอย่างที่ตรัสแสดงในอนัตตลักขณสูตรเราก็จะเข้าใจได้ว่าความตายไม่มีและไม่มีอะไรตายสิ่งที่เราเรียกว่าตายเป็นแต่เพียงการปรับตัวและเปลี่ยนสภาพของธาตุ๔ คือดินน้ำลมไฟกับวิญญาณของธาตุเท่านั้น

ตามธรรมดาของร่างกายเป็นทุกข์และอยู่ได้ยากต้องมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลาเราเห็นกันทุกคนแต่มีน้อยที่ใส่ใจ

ขอให้พิจารณาง่ายๆดังนี้จากเล็กสุดในท้องแม่เลือดก้อนหนึ่งค่อยเจริญเติบโตมาเป็นตัวคนเมื่อโตมากก็จำต้องออกมาอยู่นอกท้องแม่มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาเราสมมติเรียกว่า “เกิด”แท้จริงการเกิดก็คือวิธีเปลี่ยนแปลงสภาวะที่ทนได้ยากอย่างหนึ่งของธรรมชาตินั่นเองจากนั้นก็เป็นก้อนเลือดมีชีวิตนอนแบเบาะหัดกินหัดพูดหัดคลานหัดรับสัมผัสจากโลกใบใหญ่นอกครรภ์แม่การพึ่งตัวเองมีมากขึ้นตามลำดับ

เขาต้องกินเองดื่มเองหัดเดินเองและการที่ได้คิดเองทำเองนี่แลเป็นความปรารถนาสุดยอดของชีวิต

ความยิ่งใหญ่ของชีวิตอยู่ที่ได้รับอิสรภาพตามลำดับเป็นอิสระทั้งกายและใจตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่องวิมุติความหลุดพ้นแท้จริงแล้วก็คืออิสรภาพนั่นเองเพราะหลุดพ้นจากบ่วงจึงเป็นอิสระแล้วอะไรคือบ่วงคล้องชีวิต

ต่อมาเมื่อโตขึ้นอีกหน่อยเขาก็หัดเดินเองวิ่งเองวินาทีแรกที่เขาเกินเองได้โดยที่ไม่มีคุณแม่คอยประคองเป็นวินาทีแห่งความสุขเมื่อเขายืนด้วยลำแข้งของตนเองได้เป็นอิสระไม่เป็นภาระของใครเป็นตัวของตัวเองแล้วความภูมิใจจะเกิดขึ้นทันที

เขาจะรู้สึกมั่นใจในชีวิตแต่ก็มั่นใจเพราะมีคุณพ่อคุณแม่ยืนเคียงข้างเพราะภายในจิตลึกๆก็ยังต้องการที่พึ่งอยู่ใจยังต้องมีที่พักพิงที่มั่นคงนั่นคือที่พึ่งอันอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่

วัยเด็กนี้เองเป็นวันที่หนูน้อยต้องได้รับการอบรมบ่มเพาะปลูกฝังจริตนิสัยใจคอเรียนรู้ดีชั่วควรมิควรเรียนรู้ ถูกกับผิดจากคุณพ่อคุณแม่ก่อนที่จะออกไปสู่โลกกว้างทางไกล

การเรียนรู้ถูกกับผิดนั้นเรียนได้จากทุกสถานที่เพราะเป็นขาวกับดำชัดเจนและมีกฎเกณฑ์ตายตัวส่วนการจะรู้ว่าอะไร ควรไม่ควร นั้นยากต้องใช้ใจต่อใจใช้จิตสำนึกแทนตัวอักษรซึ่งคุณพ่อคุณแม่เท่านั้นจะให้เราได้ดีกว่าใครๆในข้อนี้

บางครั้งสิ่งที่ว่าถูกต้องนั่นเองกลับเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำไม่ควรพูดไม่ควรคิดเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้คนที่จะกล้าบอกเราก็มีแต่คนที่รักเราจริงๆเท่านั้นแล้วใครเล่าจะรักเราบริสุทธิ์มีความเมตตาอาทรและอ่อนโยนเท่ากับพ่อแม่

โตมาหน่อยเราก็ต้องเรียนรู้โลกกว้างมีการศึกษามีงานทำมีครอบครัวแล้วชีวิตใหม่ต้วน้อยก็ถือกำเนิดมาดูโลกกับเราอีกเจ้าหนูน้อยก็เป็นอย่างที่เราเคยเป็นเขาเริ่มต้นชีวิตอย่างที่เราเคยเริ่มต้นมาวันผ่านไปวัยก็ตามมาแต่สิ่งที่ผ่านมามิใช่เพียงกาลเวลาที่ผ่านไปทุกอย่างได้จารึกปรัชญาชีวิตเอาไว้ให้เราได้รำลึกถึงทุกเหตุการณ์ณ์เสมอแม้ความจำจะลืมบางอย่างไปแต่ใจยังจดจำ

ขณะที่ลูกเจริญไปข้างหน้าความชราตามหาเราวัยเราเจริญลงวัยลูกเจริญขึ้นก็มาถึงช่วงวัยแก่เฒ่าเราอาจคิดว่าตัวเองแก่เพราะเห็นหน้าตาเหี่ยวย่นผมหงอกฟันหลุดเจ็บปวดป่วยไข้ไม่สบายเรี่ยวแรงหมดนั่งโอยแม้นอนก็ยังโอยเราคิดว่านี่คือวัยชรา

ความเป็นจริงเราชรามาตั้งแต่เกิดชรามาเยือนเราตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แต่เราไม่คิดกันเท่านั้นเอง

คำว่า “วัย” ที่เราพูดว่าเจริญวัยแท้จริงก็คือเจริญความเสื่อมเพราะคำว่า“วัย”แปลว่า “เสื่อมสินไป”เราแก่ตั้งแต่เกิดเรามิได้แก่เฉพาะวันนี้เท่านั้น

และแล้วก็มาถึงบั้นปลายของชีวิตเราเรียกว่า “ตาย”ความจริงตายไม่มีตายเป็นเพียงคำสมมติเรียกชื่อ“ทิพยโอสถ”ที่สามารถรักษาโรคร้ายทุกชนิด

ที่เราสมมติเรียกว่าตายนั้นเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ปรับความสมดุลเท่านั้นเอง

ความสมดุลของธาตุ ๔   ขันธ์ ๕คือการดำรงอยู่อย่างเป็นสุขของชีวิตถ้าธาตุ ๔ขันธ์ ๕ขาดความสมดุลชีวิตก็เป็นทุกข์เพราะความเจ็บก็คือความไม่สมดุลของธาตุทั้ง ๔ขันธ์ ๕

เมื่อเจ็บมากก็แสดงว่าธาตุตัวใดตัวหนึ่งทำงานบกพร่องเช่นอาหารไม่ย่อยเราก็เป็นทุกข์แสดงว่าธาตุไฟไม่ทำงานธาตุดินมีปัญหาระบบเลือดแย่แสดงว่าธาตุน้ำเดินไม่สะดวกเป็นต้น

เมื่อธาตุทั้ง ๔ทำงานไม่ได้หรือทำงานไม่คล่องตัวตัวชีวิตก็รวนเรทรงตัวอยู่ไม่ได้ก็จำเป็นต้องปรับสภาพเพื่อให้อยู่ได้วิธีปรับสภาพอาจจะด้วยวิธีใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยมีเยียวยาหรือผ่าตัดสุดแท้แต่ความเหมาะสม

ในโลกแห่งเทคโนโลยีมนุษย์เราช่างอาจหาญพากเพียรต่อสู้เอาชนะความตายด้วยวิธีการต่างๆแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้เพราะเป็นการพยายามที่ฝืนระบบธรรมชาติหากไม่ฝืนธรรมชาติวินาทีธาตุขันธ์แยกจากกันก็จะเป็นความสงบสุขมากกว่านี้เพราะไม่ได้ถูกบีบบังคับ

Sornpraram โพสต์ 2013-5-7 11:52

ความจริง {:12_583:}


คนเราเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ควรจะปล่อยให้ธรรมชาติเยียวยาดีกว่ามิใช่ยอมให้เทคโนโลยีมาก้าวก่ายจนเกินไปชีวิตมาจากธรรมชาติก็จำเป็นต้องใช้ธรรมชาติเยียวยามิใช่เทคโนโลยีจนนาทีสุดท้าย

ธรรมชาติคือหมอที่ดีที่สุดของชีวิตเมื่อธาตุ ๔จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวเองขั้นสุดท้ายขอยืนยันว่ามิใช่เทคโนโลยีมิใช่เครื่องมือทางวัตถุต้องเป็นธรรมชาติมนุษย์เราควรปล่อยให้ตัวชีวิตเป็นอิสระก่อนสิ้นลมจะดีกว่าเพื่อให้ธาตุ ๔ขันธ์ ๕ปรับสภาพเข้าหากันให้ลงตัวให้จบลงอย่างเป็นสุข

ธรรมชาติไม่เคยทำลายใครไม่เคนก่อทุกข์ให้ใครการฝึกต่างหากที่เป็นการก่อทุกข์ขอให้มั่นใจในระบบการทำงานของธรรมชาติเพราะตัวตนของเรามาจากธรรมชาติ

เพราะฉะนั้นความตายไม่มีมีแต่เพียงการปรับเปลี่ยนสภาวะของธาตุขันธ์เท่านั้นเหมือนกับตะวันออกตะวันตกไม่มีมีเพียงการเคลื่อนไหวหมุนตัว (วัฏฏะ)ของลูกโลกเมื่อมองจากจุดที่อยู่เหนือโลก(โลกุตระ)หรือนอกโลกเราคือมองจากความเป็นจริงมิใช่มองจากสิ่งที่เราเห็นด้วยตาเช่นมุมมองจากยานอวกาศเราก็จะเห็นเพียงลูกโลกดวงกลมๆไม่มีที่ใดบอกว่าตะวันออกด้านนี้ตะวันตกด้านโน้นทุกอย่างเป็นวงโคจรการทำงานตามธรรมชาติในระบบสุริยจักรวาล

เมื่อมองจากสภาวะที่เป็นจริงของชีวิตในมุมที่เป็นจริงเกิดแก่เจ็บตายก็เป็นการทำงานตามระบบธรรมชาติเท่านั้นเกิดแก่เจ็บตายจึงเป็นเพียงวงจรการเดินทาง (สังสารวัฏ)ของชีวิตเหมือนเราเห็นพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็เดินทางไปสู่การอัสดงนั่นเป็นการมองตามที่ตาเห็นเท่านั้น

เมื่อเราไม่เห็นดวงอาทิตย์เราคิดว่าอาทิตย์ตกดินแต่ความจริงมิใช่ดวงอาทิตย์ตกดินและก็มิใช่ว่าไม่มีดวงอาทิตย์วินาทีที่หายไปจากสายตาเรานั่นเองดวงอาทิตย์ก็ไปปรากฏแก่สายตาของคนอีกผากหนึ่งของมุมโลก

อีกมิติหนึ่งของชีวิตก็เช่นกันเมื่อธาตุ ๔ขันธ์ ๕แยกกันตามธรรมชาติเราร้องไห้เสียใจเพราะมองว่าเป็นการตายมองเห็นเหมือนอาทิตย์อัสดงแต่อาจจะมีมิติหนึ่งที่กำลังหัวเราะดีใจรับชีวิตใหม่เหมือนกับคนอีกฟากหนึ่งกำลังรอให้พระอาทิตย์อุทัยแสงในมุมของตน

นี่คือสิ่งที่พิจารณาตามความจริงทั้งระบบสุริยจักรวาลและระบบของชีวิตซึ่งชีวิตเองเป็นเพียงเศษธุลีของ สุริยจักรวาลเท่านั้น

มนุษย์เกิดมาสู่โลกนึกว่าโลกนี้เป็นของเราเราเป็นเจ้าของจึงยึดยื้อฉุดแย่งแบ่งปันกันเป็นเจ้าของความยึดมั่นครอบครองจึงเกิดขึ้นเพราะมนุษย์ยึดติดกำโลกไว้แน่นนี่เองเขาจึงเป็นทุกข์เป็นทุกข์เนื่องจากไม่เคยสมหวังในสิ่งใดจริงๆพอกำสิ่งนี้ไว้ได้อย่างอื่นก็หลุดมือต้องคว้าหาใหม่ตลอดเวลาเมื่อได้มาก็ดูเหมือนดีใจแต่พอเสียไปก็เป็นทุกข์

ความจริงแล้วไม่มีอะไรเลยจริงๆที่เข้าไปยึดถือแล้วไม่ทำให้เราเจ็บตัวแม้จะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ ก็ตาม

ท่านจึงสอนให้อยู่ในโลกนี้อย่างบางเบาสัมผัสสมบัติของโลกแต่เพียงแผ่วเบาอย่าหอบหิ้วแบกหามกอดกำเหนี่ยวรั้งคือเมื่อทำชีวิตบนโลกให้บางเบาแล้วเราจะพอหาความสุขในชีวิตได้บ้างแต่ถ้าพิจารณาความจริงของชีวิตและของโลกต้องให้หนักแน่นทำแผ่วเบาไม่ได้

แปลว่าถึงจุดหนึ่งต้องไม่คิดแบกหามยึดมั่นมากเพราะไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆแม้สิ่งที่เรามีกรรมสิทธิ์วันนี้สุดท้ายก็มิใช่ของเราสิ่งที่เรารักที่สุดก็ไม่อาจอยู่กับเราได้เพราะสุดท้ายปลายทางเราต้องจากสิ่งนั้นไปทิ้งทุกอย่างไว้ให้คนข้างหลังดูแล
ชีวิตเป็นของน้อยอย่างนี้

มีเรื่องเล่าว่าเหล่าเทพบุตรเทพธิดากำลังเก็บดอกไม้บนสรวงสวรรค์เทพธิดาตนหนึ่งลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลดีมีสามีมีลูกมีทรัพย์สมบัติมากทำบุญทำทานรักษาศีลเจริญสมาธิปัญญาในพระพุทธศาสนาทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินมากเมื่ออายุได้ ๙๐ กว่าก็สิ้นอายุเธอไปเกิดเป็นเทพธิดาอีกครั้งหัวหน้าเทพเมื่อเห็นเธอจึงถามว่าเมื่อเช้านี้เธอหายไปไหน

เธอก็เล่าให้ฟังว่าเธอไปเกิดในมนุษย์โลกมีครอบครัวแสวงหาสมบัติเกลือกกลั้วเกลื่อนกล่นอยู่กับการมีการเป็นมีสามีมีลูกมีเกียรติมียศมีเพื่อนฝูงมีบริวารเลี้ยงลูกจนเติบโตมีหลานมีเหลนไม่น้อยและเธอก็มีอายุยืนถึง๙๐ ปีด้วยอานิสงส์บุญเมื่อตายลงจึงมาเกิดที่นี่อีก

เทพบุตรฟังแล้วถึงกับตะลึงว่าชีวิต ๙๐ ปีในโลกมนุษย์นั้นเป็นเพียงชั่วเวลาเช้าถึงเที่ยงของเทวโลกเท่านั้นหรือ
บางท่านอาจไม่เข้าใจแต่เมื่อมองดูภพภูมิต่างมิติระหว่างมนุษย์เรากับสัตว์เดรัจฉานก็น่าจะเห็นได้ชัดสัตว์บางตัวมีอายุเพียง ๗ วัน๑๕ วัน๑ เดือนเขาก็เต็มที่แล้วขณะที่เรามีอายุขัย ๘๐ หรื ๙๐ ปีหรือสัตว์เดรัจฉานบางชนิดก็มีอายุมากกว่าเราหลายเท่าเช่นเต่าช้างเป็นต้น

การเรียนรู้ชีวิตต้องมองให้เห็นความจริงทั้งในภพกว้างและมุมแคบเพื่อคลายความติดยึดอันรุนแรงที่ท่านเรียกว่า"อุปทาน”ตัวติดยึดนี่เองคือจุดกำเนิดแห่งทุกข์ทั้งปวง

เราอยู่ในโลกยุคเทคโนโลยีโลกทั้งโลกอยู่ในกำมือเราก็จริงแต่ไม่อาจกำทุกสิ่งไว้ในอำนาจทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

การมองชีวิตตามหลักสัจธรรมตามธรรมชาติแก้ทุกข์ได้ยิ่งคราที่ใจได้ทุกข์ถึงที่สุดเราต้องกล้าหาญมองให้เห็นความจริงกล้าเผชิญรากแก้วความจริงอันประเสริฐ (อริยสัจ)นี้ให้ได้เพราะความจริงทำให้คนฉุกคิดได้ความจริงตามธรรมชาติไม่เคยทำร้ายใครหรือทำลายใครท่านจึงบอกว่าประเสริฐสิ่งที่ทำให้คนลุ่มหลงต่างหากที่ประทุษร้ายคน
ความตายไม่มีมีเพียงการปรับสภาพของธาตุขันธ์

เมื่อปรับเปลี่ยนได้ที่ซ่อมแซมจุดบกพร่องได้แล้วก็มารวมตัวกันใหม่เราก็สมมติว่า “เกิด”เมื่อเกิดแล้วโตแก่เฒ่าและทำงานหนักเมื่อชำรุดทรุดโทรมก็จำเป็นต้องซ่อมหากซ่อมไม่ไหวก็แยกส่วนซึ่งเราสมมติเรียกว่า“ตาย"” และก็วนเวียนกันอยู่เช่นนี้เกิด-ตายเกิด-ตายเป็นวังวนแห่งสังสารวัฏชีวิตมีเท่านี้จริงๆ

“ความตายไม่มีมีแต่การปรับเปลี่ยนเพื่อความสมดุลของธรรมชาติเท่านั้น”

คำนี้สำคัญที่เราควรใคร่ครวญพิจารณาทุกเช้าหลังตื่นนอนก่อนออกจากบ้านแม้ในที่ทำงาน

ขณะที่ย่ำเท้าเปล่าลงบนยอดหญ้าก่อนจะลงมือทำอะไรทั้งหมดในวันนั้นให้พิจารณาความจริงตรงนี้ก่อนให้รุ่งอรุณของแต่ละวันเป็นรุ่งอรุณที่สดใสเป็นรุ่งอรุณที่งดงามกับชิต

ขณะที่พระอาทิตย์ทอแสงส่องโลกปัญญาต้องทอแสงส่องใจ

การปรับเปลี่ยนชีวิตต้องการวิถีธรรมชาติมิใช่เทคโนโลยีหมอที่ดีที่สุดที่จะปรับความสมดุลของธาตุ ๔ขันธ์ ๕ คือธรรมชาติ

การเข้าใจระบบการทำงานของธรรมชาติต้องเท้าเปล่าสัมผัสดินต้องทำใจให้อยู่เหนืออารมณ์มองโลกตามความเป็นจริงเมื่อเข้าใจธรรมชาติก็จะเข้าใจสัจธรรมและการกล้าเผชิญความจริงของชีวิตเท่านั้นที่จะช่วยรักษาเยียวยาคราวที่ทุกข์สัมผัสใจ

โอกาสตรงนี้ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันไม่ว่าจะอยู่ในภาวะหรือฐานะใดเพียงแต่ใครจะเริ่มต้นเรียนรู้ก่อนใครเท่านั้นเอง

........................................................................................................................................

ขอขอบคุณที่มาบทความ : หนังสืออภัยทานรักบริสุทธิ์โดย ปิยโสภณวัดพระราม ๙กาญจนาภิเษก

Sornpraram โพสต์ 2013-5-7 11:53

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-5-7 11:55


dYuvmdYKQ9U

Sornpraram โพสต์ 2013-5-7 11:55

p7k8P2wBiqU

Sornpraram โพสต์ 2013-5-7 11:56

begOPG6Yt80

sritoy โพสต์ 2013-5-8 16:20

ขอบคุณครับ
หน้า: [1] 2
ดูในรูปแบบกติ: อภัยทาน