chakpetch โพสต์ 2013-3-18 12:44

>> ชีวะประวัติ หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ วัดตาอี บุรีรัมย์<<

<body oncontextmenu="return false" oncopy="return false">
<table class="t_table" style="background-color: "><tbody><tr><td><font color="Blue"><font size="6">หลวงปู่ชื่น&nbsp;&nbsp;ติคญาโณ<br>วัดตาอี อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์</font></font><br><br><div align="center"></div><br><br>&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เกิดกลียุคทั่วโลก ยิ่งประเทศเล็กประเทศน้อยได้รับผลกระทบมากที่สุด นอกจากข้าวยากหมากแพงแล้ว ประชาชนยังต้องรับกรรมหนักเพราะครอบครัวแตกสลายเนื่องจากความแร้นแค้นยากจนเป็นสาเหตุใหญ่<br><br>&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;ครอบครัวของหลวงปู่ชื่น&nbsp;&nbsp;ติคญาโณ ซึ่งเป็นชาวกัมพูชาก็ได้รับความรุนแรงของไฟสงครามเช่นเดียวกัน ทำให้ญาติพี่น้องของหลวงปู่ชื่นลับหายตายจากไปหลายคน&nbsp;&nbsp;ซึ่งประเทศกัมพูชาขณะนั้นร้อนระอุสุด ๆ จนดูโหดร้ายไปทุกอย่าง&nbsp;&nbsp;ทำให้หลวงปู่ชื่นเกิดความเบื่อหน่ายจึงเดินธุดงค์เข้ามายังแผ่นดินไทยที่มีแต่ความสงบร่มเย็น<br><br>&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;“หลวงปู่ชื่น นามเดิมชื่อ ชื่น นามสกุล ศรีโสด เกิดเมื่อวันศุกร์ เดือน 11 ปีมะเมีย&nbsp;&nbsp;ตรงกับปี พ.ศ. 2461&nbsp;&nbsp;เกิดที่บ้านหินกอง อำเภอหินกอง จังหวัดสวายศรีโสพล&nbsp;&nbsp;ประเทศกัมพูชา&nbsp;&nbsp;โยมบิดาชื่อ นายชุบ โยมมารดาชื่อ พิม ศรีโสด&nbsp;&nbsp;มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 7 คน คือ นายเรียว, นายโพธิ์, นายบุญ, นายเกิด, หลวงปู่ชื่น, นางยอด และนางยาว ครอบครัวมีอาชีพทำนาทำไร่ตามประสาชาวบ้านในชนบททั่วไปของชาวเขมร<br><br>&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;ชีวิตในวัยเยาว์ของหลวงปู่ชื่น นิสัยท่านเป็นคนใจบุญ มีความสุขุมลุ่มลึก&nbsp;&nbsp;และมีใจโอบอ้อมอารีชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง&nbsp;&nbsp;ทั้งยังมีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก ๆ&nbsp;&nbsp;พออายุได้ 15 ปี ได้ขอบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งพ่อแม่ไม่ขัดข้อง ท่านจึงได้บวชเป็นสามเณร ณ วัดในหมู่บ้านเกิดของท่าน<br><br>&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากบวชเณรได้ระยะหนึ่งพอถึงอายุ 20 ปี หลวงปู่ชื่นก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาโดยได้รับฉายาว่า “ติคญาโณ” เมื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยสมบูรณ์แล้ว หลวงปู่ชื่นได้ศึกษาบทสวดมนต์และบทสวดปาติโมกข์ ซึ่งใช้เวลาเพียงหนึ่งพรรษาก็สวดพระปาติโมกข์ได้แล้ว นับว่าหาพระที่เก่งเช่นนี้น้อยมาก เพราะการท่องบทพระปาติโมกข์พระบางรูปต้องใช้เวลานานนับ 5 ปี 10 ปี เนื่องจากเป็นบทสวดที่ยาวและยากที่สุดนั่นเอง<br><br>&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;“หลวงปู่ชื่นสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในพรรษาที่ 3 หลังจากนั้นท่านจึงออกเดินธุดงค์ปลงสังขารลัดเลาะไปตามป่าดงพงพี ข้ามเขาลงห้วยในดินแดนประเทศกัมพูชา ทำให้ท่านได้พบกับครูบาอาจารย์ที่เก่ง ๆ อยู่หลายรูป ซึ่งแต่ละอาจารย์ก็ได้ถ่ายทอดวิชาอาคมที่ตนมีอยู่ให้หลวงปู่ชื่นจนหมดสิ้น โดยเฉพาะฤๅษีที่บำเพ็ญพรตอยู่กลางป่าดงดิบได้ถ่ายทอดวิชาขั้นสุดยอดให้หลวงปู่ชื่น เพื่อให้นำไปช่วยเหลือศิษย์ต่อไปอีก”<br><br>&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;หลวงปู่ชื่นเป็นพระเถระที่มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย&nbsp;&nbsp;มีศีลจารวัตรที่งดงาม&nbsp;&nbsp;ชอบบำเพ็ญกุศลเพื่อเสริมสร้างบารมีให้แก่กล้าขึ้น ท่านจะตื่นตั้งแต่ตีสามทำวัตรสวดมนต์&nbsp;&nbsp;และช่วงค่ำก็เช่นกันท่านจะสวดมนต์มิได้ขาด (นอกจากจะมีกิจนิมนต์และป่วยเท่านั้น)<br><br>&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;“หลวงปู่ชื่นชอบทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมเป็นที่สุด และให้ความเป็นธรรมแก่ศิษยานุศิษย์เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ทั้งหลายอีกด้วย ท่านจึงเป็นที่รักเคารพของศิษย์และประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมากในขณะนี้”</td></tr></tbody></table><br><br>
</body>

chakpetch โพสต์ 2013-3-18 12:46

ได้อาจารย์เก่งวิชาทุกด้าน



         หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ เป็นศิษย์สาย “เขากุเลน” ซึ่งเป็นศูนย์รวมเวทวิทยาอาคมชั้นสูง ที่เป็นฉบับแท้ดั้งเดิมของเขมรโบราณ อาจารย์องค์แรกของท่านคือ “หลวงปู่เอื้อย และหลวงปู่ดี สุวรรณดี” สองปรมาจารย์ผู้มีพลังจิตอันลึกล้ำ ทั้งยังมีอิทธิฤทธิ์-ปาฏิหาริย์มากมายเป็นที่เลื่องลือกันมากในประเทศกัมพูชา

         หลวงปู่ชื่นได้มองเห็นกาลไกลไปข้างหน้าว่า “พรเวทวิทยาคม” ที่ท่านกำลังศึกษาอยู่นี้จะเป็นประโยชน์มากแก่การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทั้งยังได้ช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยมและผู้เดือดร้อนต่าง ๆ ในอนาคตภายหน้าแน่นอน ท่านจึงมุมานะพยายามขยันศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมจนสุดความสามารถ ตลอดจนศึกษาการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั่งสมาธิควบคู่ไปด้วย เพื่อเพิ่มพูนพลังจิตให้แก่กล้าขึ้น

         “หลวงปู่ชื่นท่านเรียนกรรมฐานควบคู่ไปกับวิชาอาคมจนท่านเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยมีการทดสอบจากผู้เป็นอาจารย์จนเป็นที่พอใจโดยเฉพาะหลวงปู่เอื้อยท่านมีเมตตาถ่ายทอดวิชาและเคล็ดลับต่าง ๆ ให้หลวงปู่ชื่นจนหมดสิ้นหลวงปู่เอื้อยท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเขมรดังชนิดผู้หลักผู้ใหญ่ในเขมรขณะนั้นยังมอบตัวเป็นศิษย์หลายคน”ในเวลาต่อมาเมื่อหลวงปู่เอื้อยมรณภาพลง หลวงปู่ชื่นจึงออกเดินธุดงค์บุกป่าฝ่าดงดิบในดินแดนเขมรเพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์อีกมากมายจนกระทั่งท่านได้พบกับหลวงปู่ดีสุวรรณดีบน “เขากุเลน” ซึ่งท่านเป็นพระผู้มากด้วยอภิญญาญาณชั้นสูงและเป็นผู้มีพลังจิตอันลึกล้ำมหัศจรรย์เหนือโลกโดยแท้

         ด้วยบุญญาบารมีของหลวงปู่ชื่น ติคญาโณทำให้หลวงปู่ดีรับหลวงปู่ชื่นเป็นศิษย์แล้วจึงพากันออกเดินธุดงค์ไปด้วยกันตามสถานที่ต่าง ๆ “หลวงปู่ชื่นได้ศึกษากรรมฐานและเวทวิทยาคมกับธาตุทั้ง 4 ตลอดจนเกร็ดเคล็ดลับการสร้าง-การปลุกเสกวัตถุมงคล เครื่องรางต่าง ๆ มากมายจากหลวงปู่ดี ทำให้ท่านมีวิชาติดตัวมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้”

         หลวงปู่ชื่นได้เมตตาเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ในการเดินธุดงค์ของท่านให้ฟังว่า “หลวงปู่ดีท่านนี้เก่งมาก ท่านเชี่ยวชาญพระเวทแทบทุกชนิดท่านเคยเสกผ้าให้เป็นนกกระยางได้และเสกใบไม้ให้เป็นต่อเป็นแตนได้ทั้งยังรู้ภาษาสัตว์แทบทุกชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านสามารถล่องหนหายตัวและย่นระยะทางได้ตลอดจนท่านเดินบนผิวน้ำได้อย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย”หลวงปู่ชื่นเล่าว่า หลวงปู่ดีท่านเคยแสดงให้ดูมาแล้วท่านเห็นกับตามาแล้วจึงกล้ามาเล่าให้ฟังท่านแสดงให้ดูก็เพื่อให้เป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติธรรมสืบต่อกันไปนั่นเอง“การเรียนวิชาอาคมจะมีฤทธิ์เข้มขลังได้ต้องประกอบไปด้วยพลังจิตอันเป็นสมาธิแก่กล้าควบคู่กันไปด้วย” หลวงปู่ชื่นกล่าว

                           

            หลวงปู่ชื่นเป็นพระที่คงแก่เรียนคือท่านชอบศึกษาค้นคว้าตำรับตำราและวิชาการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอักขระเลขยันต์หรือวิชาอาคมอะไรท่านจะทดลองสร้างทดลองปลุกเสกอยู่เสมอเมื่อท่านลองแล้วเห็นว่าดีจริงและใช้ได้ผลดีจริงตามตำรา ท่านก็คัดวิชาวิเศษเหล่านั้นมาสร้างมาปลุกวัตถุมงคลให้บรรดาลูกศิษย์ และลูกหลานท่านให้ได้รับแต่สิ่งที่เป็นมงคลเป็นของวิเศษไว้บูชากันจากการคัดเลือกพิจารณาตรวจจากหลวงปู่ชื่นแล้วว่า “ดีจริง-เห็นผลจริง” จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่วัตถุมงคลของท่านมีประสบการณ์ต่อเนื่องเรื่อยมา จนเป็นที่กล่าวขานร่ำลือจากปากของผู้ที่บูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่นว่ายอดเยี่ยมอยู่ในชณะนี้

         ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงขอนำท่านทั้งหลายได้รู้จักหลวงปู่ชื่นเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้มีโอกาสรู้จักหลวงปู่ชื่นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน และใกล้ชิดหลวงปู่มากขึ้น เพราะลูกศิษย์บางคนอยู่ห่างไกลซึ่งยังไม่มีโอกาสเดินทางมากราบไหว้หลวงปู่จะด้วยสาเหตุและปัจจัยใด ๆ ก็ตามผู้เขียนขอเป็นสื่อทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อเป็นการหยั่งความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่ลูกศิษย์ที่มีความเคารพนับถือหลวงปู่หรือท่านที่มีวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่นไว้แล้วขอให้รู้ว่าเราทั้งหลายก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์องค์เดียวกันเพราะมีวัตถุมงคลที่มาจากการปลุกเสกจากหลวงปู่ด้วยกันทั้งนั้นทั้งนี้เพื่อช่วยจรรโลงเกียรติคุณของหลวงปู่ชื่นให้แพร่หลายขจรไปตลอดยั่งยืนนานต่อไปในภายภาคหน้านั่นเอง

chakpetch โพสต์ 2013-3-18 12:49

พบสหธรรมิกเก่า



         หลังจากหลวงปู่ชื่นธุดงค์ไปในที่ต่าง ๆ มากมายจนกระทั่งท่านเดินทางไปจำพรรษาอยู่ที่วัดนาราก อำเภอครบุรีจังหวัดนครราชสีมา ท่านอยู่ได้ 5 พรรษาจึงได้เดินธุดงค์ต่อเรื่อยไปจวบจนอายุท่านมากขึ้น กำลังวังชาถดถอย ท่านจึงอยู่กับที่ระยะหนึ่ง ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2524 หลวงปู่ชื่นได้รับนิมนต์เดินทางไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดแห่งหนึ่งใน เขตจังหวัดบุรีรัมย์ งานนั้นหลวงปู่นิล อนุตโร เจ้าอาวาสวัดตาอีรูปปัจจุบันซึ่งเคยเป็น “สหธรรมิก” (เพื่อน) เก่าก่อนกันมาก็ได้รับนิมนต์จากทางเจ้าภาพให้เป็นพระคู่สวดเช่นกัน

         หลังจากพระทุกองค์เสด็จจากกิจนิมนต์แล้วทางเจ้าภาพได้จัดถวายอาหารเพลให้ฉันหลวงปู่นิลกับหลวงปู่ชื่นนั่งฉันในวงเดียวกันหลวงปู่นิลหันมองพระที่นั่งอยู่ข้างตัวท่านคิดในใจว่าคล้ายเคยเห็นกันมาก่อนแต่ท่านยังจำไม่ได้ว่าเคยเห็นกันที่ไหน เพราะความที่จากกันมานานหลายสิบปีทำให้ท่านทั้งสองแทบจำกันไม่ได้หลวงปู่นิลได้แต่คิดในใจว่าพระองค์นี้ทำไมช่างเหมือนหลวงปู่ชื่นเสียเหลือเกินจนอดใจไม่ไหวจึงเอ่ยถามไปว่า

         “หลวงพ่อท่านอยู่วัดไหน ชื่ออะไร”

         หลวงปู่ชื่นตอบกลับไปทันที

         “อาตมาชื่อชื่น เป็นพระธุดงค์ยังไม่มีวัดจำพรรษา”

         หลวงปู่นิลนั่งคิดตั้งนานที่แท้ก็ใช่หลวงปู่ชื่นจริง ๆ ด้วยเมื่อท่านทั้งสองได้นั่งสนทนากันแล้วหลวงปู่นิลจึงได้ออกปากนิมนต์หลวงปู่ชื่นให้มาจำพรรษาอยู่ด้วยกันที่วัดตาอีประกอบกับช่วงนั้นหลวงปู่ชื่นมีอายุมากแล้วและชาวบ้านตาอีก็ได้นิมนต์ท่านไว้ไม่ให้เดินธุดงค์อีกนับตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ชื่นจึงได้อยู่จำพรรษาที่วัดตาอีเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้

chakpetch โพสต์ 2013-3-18 12:49

เพชรเริ่มทอแสง



         หลังจากหลวงปู่ชื่นมาอยู่วัดตาอีแล้วท่านได้เก็บตัวเงียบอยู่แต่ภายในกุฏิหลังเล็ก ๆ เหมือนพระหลวงตาแก่ ๆ ธรรมดาแทบไม่มีใครรู้เลยว่าท่านเป็นพระที่มี “พลังจิต” และมีอาคมเข้มขลังมาก จนกระทั่งกลางปี พ.ศ. 2542 หลวงปู่ชื่นได้สร้างวัตถุมงคลออกมา 2-3 รุ่นผลปรากฏว่าผู้ที่นำวัตถุมงคลของท่านไปบูชาต่างมีประสบการณ์ต่าง ๆ นานามากมายจากปากต่อปากทำให้วัตถุมงคลที่ท่านบรรจุพลังจิตเวทวิทยาคมที่มี “พลังมหัศจรรย์” ความวิเศษขลัง ยับยั้งภัยพาลอาถรรพณ์จัญไร ขจัดสรรพทุกข์ สรรพโรค สรรพภัยที่มีอานุภาพทั้งเมตตามหานิยม มหาโชค มหาลาภ ค้าขายดีเยี่ยม คุ้มครองป้องกัน ทำให้ชื่อเสียงหลวงปู่ชื่นดังขึ้นมาเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไปมากขึ้นเป็นลำดับจากปากผู้ที่ได้บูชาวัตถุมงคลของท่านไปบูชาส่วนใหญ่ยอมรับว่าวัตถุมงคลของท่านดีเยี่ยมจริง ๆ ใช้แล้วได้ผลดีเกินคาดส่วนสาเหตุที่ท่านยอมเปิดตัวและจัดสร้างวัตถุมงคลออกมาเป็นทางการเนื่องจาก ท่านกำลังก่อสร้างอุโบสถซึ่งขาดปัจจัยอยู่อีกมากอีกประการหนึ่งหลวงปู่เคยบอกไว้ว่า

         “ถึงเวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านให้เปิดตัวแล้ว เพื่อนำความรู้เวทวิทยาคมที่ได้ร่ำเรียนมาสงเคราะห์พุทธศาสนิกชน และจัดสร้างถาวรวัตถุเพื่อการพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป”

chakpetch โพสต์ 2013-3-18 12:50

เสกหินลงสระกลายเป็นงูยักษ์





         เมื่อครั้งที่หลวงปู่ชื่นมาอยู่ที่วัดตาอีใหม่ ๆ นั้นท่านได้เร่งทำความเพียรปฏิบัติธรรมจนพลังจิตแก่กล้า ด้วยท่านเป็นพระที่รักสันโดษชอบเก็บตัวเงียบ ๆ อยู่แต่ภายในกุฏิชาวบ้านจึงคิดว่าท่านเป็นหลวงตาแก่ ๆ ไม่มีอะไรเป็นพระธรรมดาไม่มีวิชาอาคมอันใด

         ต่อมาทางวัดได้ขุดสระใหม่ ทางเจ้าอาวาสจึงประกาศบอกชาวบ้านว่า “ห้ามลงอาบน้ำในสระ” เพราะสระน้ำแห่งนี้พระเณรต้องใช้ดื่มกิน แต่ชาวบ้านขาดความเกรงใจท่าน ตกเย็นทั้งหนุ่มสาวพากันลงว่ายน้ำเล่นในสระอย่างสนุกสนาน บ้างก็นำผ้ามาซักทำให้ฟองแฟ๊บที่ซักลอยเต็มคุ้งสระ บอกแล้วก็เฉย เตือนแล้วก็ไม่หยุด

         หลวงปู่ชื่นจึงใช้ไม้ตายเพื่อให้รู้จักที่ต่ำที่สูงและที่ควรมิควรกันบ้าง ท่านจึงนำก้อนหินมาสองก้อน แล้วเสกด้วยคาถาอาคมจากนั้นท่านโยนลงไปในสระน้ำ

         “สามวันต่อมาพวกที่ชอบลงเล่นน้ำในสระภายในวัดต่างก็ตกใจแตกตื่นขึ้นตลิ่งกันแทบไม่ทัน เพราะเห็นพญางูยักษ์สองตัวว่ายน้ำไปมาในสระให้เห็นกับตากันจะจะ   ชาวบ้านตาอีเห็นกันทั้งหมู่บ้าน”

         เรื่องนี้เป็นที่เลื่องลือกันมากในอำเภอบ้านกรวดถ้าหากใครมีโอกาสได้ไปที่วัดตาอีลองสอบถามชาวบ้านดูก็ได้และจากวันนั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งถึงวันนี้ก็ไม่มีใครกล้าลงไปเล่นน้ำในสระที่วัดตาอีกันอีกเลย...

               ครั้ง หนึ่งผมเคยให้ท่านเสกก้อนหินให้สองก้อนเพื่อไปโยนลงในสระที่อำเภอบ้านผมคือผมเห็นชาวบ้านลงจับปลาจับนกเป็ดน้ำ ที่จะมาลงที่สระแห่งนี้ปีละครั้ง แล้วจึงเกิดความสงสาร จึงนำหินมาอธิฐานให้ดูแล้คุ้มครองสัตว์ที่มาอยู่ในสระแห่งนี้ อาทิตหนึ่งผ่านไป เรื่องพวกที่ลงจับปลากับนกเป็ดน้ำ บ้างก็เห็นหัวคนสองหัวลอยไปมาในน้ำ บ้างก็เห็นงูยักสองตัวว่ายเล่นกันไปมา จนไม่มีใครกล้าลงไปจับสัตว์น้ำอีก และก็ไม่มีกับข้าวให้ลูกกิน ผมเกิดความสงสาร รุ่งขึ้นจึงไปจุึดธูปบวงสรวงบอกกล่าว ถอนของขึ้นมาคืนบอกเค้าไปว่าหมดหน้าที่เจ้าแล้ว นับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครเห็นสิ่งแปลกๆ อีกเลย

chakpetch โพสต์ 2013-3-18 12:50

อาคมสยบรถยนต์




               เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายคงเคยได้ยินเรื่องเล่าขานของเหล่าคณาจารย์รุ่นเก่าที่ใช้พลังจิตเวท วิทยาคมในการสยบเครื่องยนต์ให้หยุดทำงาน หรือให้หยุดอยู่กับที่ได้นั้นในอดีตก็มีหลวงปู่ทวดที่กายธรรมอันศักสิทธิ์ ของท่านหยุดขบวนรถไฟของทหารญี่ปุ่นไม่สามารถวิ่งผ่านสถูปของท่านไปได้ แม้แต่หลวงปู่เดิม เทพเจ้าแห่งนครสวรรค์ก็เคยใช้พลังจิตวิชานิ้วเพชร หยุดรถไฟมาแล้วในอดีต หรือหลวงปู่ฝั่น อาจาโร ท่านก็เคยพิจารณาเครื่องยนต์จนเครื่องยนต์หยุดทำงาน หรืออย่างกรณีหลวงปู่วรพต ท่านก็เคยแสดงปาฏิหารย์ใช้เท้าเหยีบท้ายรถโดยสารสองแถวจนล้อหน้ากระดก หลวงปู่ หลวงพ่อ คณาจารย์ที่แสดงปาฏิหารได้เช่นนี้ แสดงว่าพลังจิตต้องแก่กล้ามากที่สามารถสยบพลังเครื่องจักรกลที่มีพลังสูง เช่นนี้ได้ หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ พระอาจารย์ที่มีอาคมเข้มขลัง พลังจิตแก่กล้า แห่งวัดตาอี อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ พระเกจิที่สืบทอดเวทวิทยาคมตำรับเขมรโบราณ เรื่องทำนองนี้ท่านก็เคยสยบรถโดยสาร มาแล้วเช่นกัน เล่้ากันว่าเมื่อครั้งหลวงปู่ชื่นท่านไปทำธุระที่ประเทศเขมร ขากลับท่านเดินทางออกมาทางด้านชายแดน จ.อรัญประเทศ เพื่อจะมาขึ้นรถโดยสารสองแถวกลับวัด ผู้โดยสารที่เดินทางวันนี้มีจำนวนมาก พนักงานขับรถแทนที่จะนิมนต์หลวงปู่ชื่นนั่งรถก่อนผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็หาไม่กลับเรียกผู้โดยสาร คัดผู้เดินทางโดยไม่ยอมให้หลวงปู่ชื่นขึ้นรถ คงคิดว่าพระขึ้นรถคงไม่เสียค่าโดยสารเอาไปนั้งหนักรถเปล่าๆ สู้หาพวกสาวๆ นั่งหน้าใกล้ๆ โชเฟอร์ถึงไม่มีตังก็ได้ลุ้นวะเมื่อผู้โดยสารแน่นรถสาวนั่งหน้าสวรรค์น้อยๆ ของโชเฟอร์รถสองแถว ก็ติดเครื่องยนต์โดยไม่สนใจใยดีหลวงปู่ชื่นแถมยังบอกให้หลวงปู่ขึ้นรถคัน อื่น คนประเภทนี้ไม่รู้จักพระจักเจ้า คงคิดว่าเป็นพระหลวงตาแก่ๆ ธรรมดา เหตุการณ์วันนั้นคิดว่าโชเฟอร์และผู้โดยสารที่ขึ้นรถคงจะจดจำไปตลอดชีวิต เมื่อหลวงปู่ชื่นใช้พลังจิตอันแก่กล้าของท่านสยบรถโดยสารสองแถวไม่ให้วิ่ง ผ่านตัวท่านไปได้ เมื่อโชเฟอร์ขับรถใส่เกียร์เหยียบคันเร่ง ทันใดนั้นเหตุการที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น รถไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้ เหยียบคันเร่งเต็มที่จนเครื่องยนต์ดังกระหึ่มรถล้อหมุนอยู่กับที่จนผู้ โดยสารตกใจ โชเฟอร์จึงตัดสินใจใส่เกียร์ถอยหลังคราวนี้ได้ผลรถถอยร่นไปประมาณ 30 กว่าเมตร โชเฟอร์ชักเสียอารมจึงเหยียบเต็มที่รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วพอมา ถึงจุดที่หลวงปู่ชื่นนั่งอยู่ รถก็หยุดอยุ่กับที่ล้อหมุนอยู่กับที่ พยายามอยู่หลายครั้งก็ไม่สามารถผ่านไปได้คงเห็นเช่นเดิม คราวนี้โชเฟอร์เริ่มคิดสงสัยในใจแล้วว่าเหตุการที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นฝีมือ พระสงค์องค์นี้แน่นอน จึงเดินไปกราบแทบเท่้าหลวงปู่ชื่นแล้วกล่าวกับหลวงปู่ชื่นว่า "หลวงปู่ผมขอขมาครับ หลวงปู่แกล้งผมหรือเหล่าครับ" หลวงปู่จึงตอบไปว่าสงสัยเครื่องจะไม่ค่อยดีล่ะมั่ง อาตมาเป็นพระธรรมดาจะมีปัญญาอะไรไปหยุดรถโยมได้ เมื่อโชเฟอร์เห็นปาฏิหารครั้งนี้จึงนิมนต์หลวงปู่ขึ้นนั่งหน้ารถ แล้วจึงบอกสาวๆไปนั่งด้านหลัง คราวนี้รถจึงเคลื่อนไปได้เป็นปรกติไม่มีปัญหาตลอดทางหลวงปู่จึงได้เทศสั่ง สอนโชเฟอร์ เมื่อเห็นพระภิกษุสงค์องค์ไหนก็ช่างไม่จำเป็นต้องเป็นพระดีพระดัง ท่านนั่งรถเราก็เป้นสิริมงคลอย่างมากแล้ว ต่อมาหลังจากหลวงปู่ชื่นนั่งรถคันดังกล่าวแล้ว ชีวิตของของโชเฟอร์คนนี้ก็ดีขึ้นเรื่องๆ ฐานะเริ่มมั่นคงกว่าเก่าเยอะ ภายหลังต่อมาผมเรียนถามเรื่องนี้กับหลวงปู่ ท่านหัวเราะและบอกว่าก็ "ขอขึ้นดีๆ ไม่ยอมให้ขึ้น คนประเภทนี้ถ้าไม่แสดงอะไรบ้างพระสงค์องค์อื่นจะลำบาก"

chakpetch โพสต์ 2013-3-18 12:51


                บุญบารมีของหลวงปู่ชื่น ติคญาโณ ท่านมากจริงๆ ส่งผลให้ท่านมีพลังจิตสูงส่งถึงปานนี้ เรื่องทำนองนี้ผมเห็นมีแต่ปรมจารย์พระเกจิรุ่นเก่าๆ เท่านั้นที่ทำได้ ล้่วนแล้วแต่มีพลังจิตสูงทั้งสิ้น ในปัจจุบันคงหาพระที่ทำเรื่องนี้ได้ยาก ถ้ามีก็น้อยองค์มาก หนึ่งในนั้นต้องมีหลวงปู่ชื่น ติคญาโณ อีกองค์ที่อยู่ในธรรมเนียบจงภูมิใจเทอญที่เป็นลูกศิษย์ท่าน มีวัตถุมงคลของท่าน เราๆ ท่านๆ ล้วนมีวัตถุมงคลของหลวงปู่ว่าเราทั้งหลายล้วนเป็นศิษย์อาจารย์องค์เดียวกัน นั้นคือหลวงปู่ชื่น ติคญาโณ สุดยอดอาจารย์ยุคปัจจุบันซึ่งสืบสานตำนานเวทวิทยาคม อันเกรียงไกร ตำรับเขมรโบราณ ความคิดเห็นส่วนตัวผู้เขียนเท่าที่สัมผัสกับพระเกจิชั้นแนวหน้าของประเทศไทย อยู่ขณะนี้ ผมว่าหลวงปู่ชื่น ติคญาโณ ไม่เป็นสองรองใครแน่ ไม่ว่าจะเป็นเวทวิทยาคมพลังจิต วัตรปฎิบัติ ตอบได้คำเดียวว่ากราบได้สนิทใจ หลวงตากายศิษย์รุ่นน้องที่เรียนวิชามากับหลวงปู่เคยบอกให้ผมฟังว่าอย่าว่า แต่รถยนต์เลย รถไฟ หรือแม้แต่กระทั่งเครื่องบินที่บนท้องฟ้า หลวงปู่ชื่นท่านก็สามารถหยุดได้ เรื่องนี้ผมเคยถามท่าน หลวงปู่ยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร เปลี่ยนเรื่องคุยเรื่อย แล้วจึงส่งสายตาดุๆ ทำนองปรามหลวงตากายว่า อย่าเอาเรื่องปาฏิหาริย์ของท่านมาเล่าให้ใครฟังบ่อยๆ หลวงปู่ชื่นท่านก็พูดลอยๆ ว่า เรื่องแบบนี้เขาไม่ให้่คุยผิดกฏสงฆ์ ถ้าเขาเชื่อก็ดี ถ้าเขาไม่เชื่อจะเป็นบาปแก่ตัวเอง

chakpetch โพสต์ 2013-3-18 12:51

หลวงปู่ผู้เมตตา



หลวงปู่ชื่นท่านมีเมตตาต่อศิษย์ทุกคน ท่านให้ความช่วยเหลือลูกศิษย์ไม่เลือกหน้าไม่ว่าจะยากดีมีจนเดือดร้อนมาหาท่านๆก็ช่วยหมด นิมนต์ท่านไปทำอะไรที่ไหนท่านก็เมตตาไปโปรดทุกคน ถึงแม้แต่ท่านมรณภาพ(มรณภาพ ปี พ.ศ.2547) ไปแล้วท่านก็ยังมาโปรดลูกศิษย์ทุกคน ใครมีวัตถุมงคลของหลวงปู่ไว้หากบูชาด้วยความเคารพศรัทธาหลวงปู่ แล้วเป็นอยู่ในศีลธรรมแล้วจะไม่มีคำว่ายากจน ขัดสน หรืออดอยากเด็ดขาด จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองดียิ่งๆขึ้นไป ถึงขนาดปรารถนาสิ่งใดหากอธิษฐานขอแล้วและไม่เกินวิสัยแล้วละก็จะได้ดังใจปรารถนาทุกประการ

Nujeab โพสต์ 2013-3-19 15:38

ประวัติหลวงปู่ชื่น ที่ถูกนำมาตีพิมพ์อีกครั้งที่นิตยสาร นะโม คร๊าบบบ












Metha โพสต์ 2013-5-7 09:22

ขอบพระคุณหลายๆๆจ้า
หน้า: [1] 2 3
ดูในรูปแบบกติ: >> ชีวะประวัติ หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ วัดตาอี บุรีรัมย์<<