kit007 โพสต์ 2013-11-20 00:05

~ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ ~

มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ




         มนุษย์สมบัติ หมายถึง ความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีคุณสมบัติ ๘ อย่าง ดังต่อไปนี้

๑. มีรูปร่างหน้าตาที่สวยงาม

๒. มีทรัพย์สมบัติมาก

๓. มียศถาบรรดาศักดิ์สูง

๔. มีเกียรติยศ ชื่อเสียง

๕. มีบริวารมาก

๖. มีสติ ปัญญาดี

๗. มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์

๘. มีอายุยืนยาว

๑)มีรูปร่างหน้าตาที่สวยงาม หมายถึง ผู้ที่เกิดมาในชาตินี้มีรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณที่สวยงามเพราะเหตุจากอดีตชาติ   เคยนำศีลมารักษากายวาจา ให้สะอาดปราศจากความชั่วได้มากมี ศีล ๕ศีล ๘ศีล ๑๐ศีล๒๒๗จึงส่งผลให้เกิดมาชาตินี้มีรูปร่างหน้าตาที่สวยงามถ้าในชาตินี้ ผู้ใดนำศีลมารักษา   กายวาจา ได้มาก ไปเกิดในชาติหน้าก็จะมีรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณที่สวยงามอย่างแน่นอน

๒) มีทรัพย์สมบัติมาก ผู้ที่เกิดมาในชาตินี้มีทรัพย์สมบัติมาก เพราะในอดีตชาติเคยให้ทาน ที่เป็นอามิสทาน คือการให้ทานด้วยทรัพย์สินเงินทองหรือทรัพย์สมบัติอื่น ๆไว้มากจึงส่งผลให้เกิดมาในชาตินี้มีทรัพย์สมบัติมากถ้าในชาตินี้ผู้ใดให้ทานด้วย อามิสทานไว้มาก ไปเกิดชาติหน้าก็จะเป็นผู้ที่ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองอย่างแน่นอน

๓) มียศถาบรรดาศักดิ์สูง ผู้ที่เกิดมาในชาตินี้มียศถาบรรดาศักดิ์สูง เพราะในอดีตชาติ มีความซื่อสัตย์สุจริต ต่อหน้าที่การงานและประเทศชาติ บ้านเมือง จึงส่งผลให้เกิดมาในชาตินี้มียศถาบรรดาศักดิ์สูงถ้าในชาตินี้ผู้ใด ได้ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ต่อหน้าที่การงานและประเทศชาติบ้านเมือง ไปเกิดชาติหน้าก็จะมีความเจริญก้าวหน้า ในหน้าที่การงานของตน และมียศถาบรรดาศักดิ์สูงขึ้นตามลำดับอย่างแน่นอน

๔) มีเกียรติยศชื่อเสียง ผู้ที่เกิดมาในชาตินี้ มีเกียรติยศ ชื่อเสียง เพราะในอดีตชาติเป็นคนดี   มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่การงานมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีความเป็นธรรมยกย่องสรรเสริญ และส่งเสริมผู้ประกอบกรรมดี ให้เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานไม่อิจฉาริษยา นินทา ว่าร้ายผู้อื่น ให้เสียชื่อเสียงจึงส่งผลให้เกิดมาในชาตินี้มีเกียรติยศชื่อเสียงถ้าในชาตินี้ผู้ใดเป็นคนดี มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่การงานมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีความเป็นธรรมยกย่องสรรเสริญ และส่งเสริมผู้ประกอบกรรมดี ให้มีความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน ไม่อิจฉาริษยาว่าร้ายผู้อื่นให้เสียชื่อเสียง ไปเกิดชาติหน้าเขาจะเป็นคนดีมีเกียรติยศชื่อเสียงอย่างแน่นอน

๕) มีบริวารมาก ผู้ที่เกิดมาในชาตินี้ มีบริวารมาก เพราะในอดีตชาติ มีพรหมวิหาร ๔คือมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีความรัก ความสงสาร คนทั่วไป มีความพลอยยินดีกับคนที่ได้ดีทั่วไป และมีใจเป็นธรรมมีความเป็นกลาง ไม่มีความลำเอียงให้อภัยกับผู้ที่ควรให้จึงส่งผลให้เกิดมาในชาตินี้มีบริวารมากถ้าในชาตินี้ผู้ใดมีพรหมวิหาร ๔ ดังที่กล่าวมาแล้ว ไปเกิดในชาติหน้าก็จะมีญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง และบริวารมากอย่างแน่นอน

๖)    มีสติปัญญาดี ผู้ที่เกิดมาชาตินี้ มีสติปัญญาดีเพราะ ในอดีตชาติผู้นั้นเชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์เจริญสมาธิกรรมฐานและเจริญวิปัสสนาคือนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาพิจารณา ไตร่ตรองแล้วนำมาปฏิบัติตามจนรู้แจ้งเห็นจริงด้วยเหตุด้วยผลเป็นผู้รู้ผู้มีปัญญาจึงส่งผลให้เกิดมาในชาตินี้มีสติปัญญาดีถ้าในชาตินี้ผู้ใดตั้งใจปฏิบัติดังที่กล่าวมาแล้วนี้ไปเกิดชาติหน้าก็จะเป็นผู้มีสติปัญญาดีอย่างแน่นอน

๗) มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เบียดเบียน เพราะในอดีตชาติไม่เคยทรมานสัตว์ ไม่เคยเบียดเบียนสัตว์ ให้เจ็บไข้ได้ป่วยทุกข์ทรมาน จึงส่งผลให้เกิดมาในชาตินี้มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ถ้าในชาตินี้ผู้ใด ไม่ทรมานสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ให้เจ็บไข้ได้ป่วยทุกข์ทรมานไปเกิดชาติหน้าก็จะเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอย่างแน่นอน

๘) มีอายุยืน ผู้ที่เกิดมาในชาตินี้ มีอายุยืนนาน เพราะในอดีตชาติ ไม่เคยฆ่าสัตว์ เช่นฆ่ามนุษย์ หรือฆ่าสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายแต่กลับช่วยเหลือสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่า หรือกำลังเจ็บป่วย ให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน ให้หายป่วย มีชีวิตรอดอยู่ต่อไปจึงส่งผลให้เกิดมาในชาตินี้ จึงมีอายุยืน ถ้าในชาตินี้ผู้ใดไม่ฆ่าสัตว์ แต่ได้ช่วยเหลือสัตว์ที่เจ็บป่วยให้หายป่วย มีชีวิตรอดอยู่ต่อไป ไปเกิดในชาติหน้า จะเป็นผู้ที่มีอายุยืนอย่างแน่นอนดังจะเห็นได้จากมนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้มีอายุที่แตกต่างกัน ผู้ใดฆ่าสัตว์มามากก็จะอายุสั้น                                                                                                                  

คำว่า“มนุษย์สมบัติ” หมายถึง ผู้ที่มีคุณสมบัติ ๘ อย่าง เพียบพร้อมสมบูรณ์ทุกประการ ผู้ที่เกิดมาในชาตินี้ จะมีคุณสมบัติเพียบพร้อมทุกอย่างนั้นหายากจะมีอยู่บ้างก็ส่วนน้อย เพราะเหตุจากอดีตชาติ สร้างคุณสมบัติ ๘ อย่างนี้ มามากน้อยแตกต่างกัน จะเห็นได้ว่า มนุษย์ในโลกนี้จะมีคนสวยคนไม่สวยมีคนรวยคนจน บางคนมีชื่อเสียงมียศถาบรรดาศักดิ์บางคนไม่มีชื่อเสียง ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ บางคนมีญาติพี่น้องเพื่อนฝูง บริวารมาก บางคนไม่มีเพื่อนฝูงบริวาร ไม่มีญาติพี่น้อง บางคนมีสติปัญญาดี บางคนโง่เขลาเบาปัญญา บางคนมีร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน   บางคนมีอายุยืน บางคนมีอายุสั้น ถ้าท่านอยากมีมนุษย์สมบัติทั้ง ๘ อย่างนี้ ในชาติหน้า   ขอให้ท่าน ได้สร้างคุณสมบัติทั้ง ๘ อย่างนี้ให้มาก แล้วท่านจะได้ไปเกิดเป็นผู้มีมนุษย์สมบัติในชาติต่อไป ถ้าในชาตินี้ท่านสร้างคุณสมบัติ ทั้ง ๘ อย่างนี้ปานกลางหรือน้อย ในชาติหน้าท่านจะมี มนุษย์สมบัติ ปานกลางหรือน้อย ตามลำดับ



สวรรค์สมบัติ



สวรรค์ เป็นที่สถิต ของวิญญาณ ที่มีบุญผู้ที่จะไปสวรรค์ได้ก็คือ ผู้ที่มีทาน มีศีล มีสมาธิมาก มีสติปัญญาพอสมควร ขณะที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ก็ประกอบแต่กรรมดีมีคุณธรรมประจำใจเช่น มีพรหมวิหาร ๔ คือ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือ มีความรักที่กว้างขวาง อยากให้ทุกชีวิต ทุกวิญญาณมีความสุข มีความสงสารอย่างกว้างขวาง อยากให้ทุกชีวิตทุกวิญญาณพ้นจากความทุกข์ทรมานมีความพลอยยินดีกับทุกชีวิต ทุกวิญญาณ ที่ได้ดีมีความสุขมีอุเบกขามีความเป็นธรรมมีความเป็นกลางกับทุกชีวิต ทุกวิญญาณ ไม่มีความลำเอียง   ถ้าผู้ใดมีคุณธรรมทั้ง ๔ อย่างนี้ มากน้อยแตกต่างกันก็จะไปเกิดในสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งตามบุญบารมีที่สร้างไว้ซึ่งสวรรค์มีด้วยกันหลายชั้นเช่น ชั้นจาตุมหาราชิก   ชั้นดาวดึงส์ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดีชั้นปรนิมมิตวสวัตีสวรรค์ เป็นต้น(ตามตำราว่าไว้) ในสวรรค์แต่ละชั้นก็มีอายุแตกต่างกัน บางชั้น ๑ วันของสวรรค์ เท่ากับ ๑๐๐ ปีของเมืองมนุษย์บางชั้น ๑ วัน ของสวรรค์เท่ากับ ๕๐ ปี๓๐ ปี , ๒๐ ปีของเมืองมนุษย์เป็นต้นขึ้นอยู่กับผู้สร้างกรรมดี มีทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นบุญบารมีที่ส่งผลให้ไปเกิดบนสวรรค์ ชั้นใดชั้นหนึ่งเมื่อสิ้นชีวิต สิ่งที่จะติดตัวตามตนไปได้นั้น มีขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ส่วนรูปที่เป็นกายหยาบ จะเปลี่ยนไปเป็นกายทิพย์ มีอาหารอันเป็นทิพย์ ไม่ต้องเลี้ยงด้วยอาหารที่หยาบ เหมือนขณะที่เป็นมนุษย์ แต่กิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็ยังมีอยู่ ผู้ที่ไปเกิดบนสวรรค์ ไม่ใช่ผู้ที่หมดกิเลส เพียงแต่ผู้นั้นทำความดีมาก เกินกว่าที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ผลบุญจึงให้ไปเกิดบนสวรรค์ชั่วคราวเมื่อหมดบุญแล้วจะต้องจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ หรือสัตว์เดรัจฉานหรือลงนรกได้อีกแล้วแต่กรรมดีกรรมชั่วที่ได้ทำไว้ ในชาติที่เป็นมนุษย์ผู้ใดต้องการมีสวรรค์สมบัติ ในชาติหน้า ต้องสร้างทานให้มากในชาตินี้ มีอามิสทาน วิทยาทาน อภัยทาน ธรรมทาน นำศีลมารักษากาย วาจา ให้สะอาดปราศจากความชั่ว มีศีล ๕ ศีล๘ศีล ๑๐ศีล ๒๒๗ตามสมควรแก่ตนศึกษาพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจริญสมาธิเพื่อฝึกสติให้ควบคุมจิตให้สงบ แล้วนำคำสอนมาพิจารณาไตร่ตรอง ให้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมคือความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ที่เรียกว่า ปัญญา

         ขอท่านทั้งหลายได้โปรดพิจารณา การกระทำกรรมดีของท่านว่า พอที่จะมีสวรรค์สมบัติแล้วหรือยัง ถ้ายังขอให้ท่าน จงรีบสร้างบุญบารมีดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อท่านสิ้นชีวิตลง กรรมดีที่ท่านสร้าง ก็จะส่งผลให้ท่านไปเกิดในสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง ตามบุญบารมีที่ท่านสร้างไว้ ส่วนผู้ใดที่มีสวรรค์สมบัติอยู่แล้ว ขอให้ท่านสร้างกรรมดีให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไปเมื่อท่านสิ้นชีวิตลงผลบุญบารมีที่ท่านสร้างจะส่งให้ท่านไปเกิดในสวรรค์ชั้นสูง ขึ้นไปตามลำดับอย่างแน่นอน

kit007 โพสต์ 2013-11-20 00:05

นิพพานสมบัติ



นิพพานหมายถึง ความดับสนิทแห่งกิเลส และกองทุกข์


นิพพานสมบัติเป็นคุณสมบัติของพระอรหันต์

ผู้ที่จะเข้าสู่นิพพานได้ต้องชำระกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ   ในชาตินี้ ที่เรียกว่า“สำเร็จอรหันต์”

ผู้ที่จะสำเร็จอรหันต์ได้นั้น ต้องสร้างบุญบารมีมาแต่ชาติปางก่อน หลายภพ หลายชาติแล้ว ดังบารมี ๑๐ ทัศ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้สร้างบุญบารมีทั้ง ๑๐ อย่าง มาก่อนดังนี้

๑)พระเตมีย์ใบ้ เนกขัมมะบารมี สร้างบารมี ด้วยการออกบวช

๒)พระมหาชนก วิริยบารมี สร้างบารมี ด้วยความเพียรพยายาม

๓)พระสุวรรณสาม เมตตาบารมี สร้างบารมี ด้วยความรัก และการให้อภัย

๔)พระเนมิราช อธิษฐานบารมี สร้างบารมี ด้วยการตั้งปณิธาน แล้วทำให้สำเร็จ

๕)พระมโหสถ ปัญญาบารมี สร้างบารมี ด้วยการใช้ปัญญาช่วยแก้ไข ปัญหาให้เกิดความเป็นธรรม

๖)พระภูริทัต ศีลบารมี สร้างบารมี ด้วยการรักษาศีล ให้บริสุทธิ์ แม้จะต้องเสียสละชีวิต

๗)พระจันทกุมาร ขันติบารมี สร้างบารมีด้วยความอดทน ไม่โกรธ ไม่อาฆาต ไม่พยาบาท

๘)พระนารท อุเบกขาบารมี สร้างบารมี ด้วยความเป็นกลาง และเป็นธรรม

๙)พระวิฑูรบัณฑิต สัจจะบารมี สร้างบารมี ด้วยการรักษาวาจาสัตย์

๑๐)พระเวสสันดรชาดก ทานบารมี สร้างบารมีด้วยการให้ทาน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สร้างบารมี๑๐ ทัศมากมายถึงเพียงนี้    จึงได้มาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกของโลก ในพระพุทธศาสนาส่วนการที่จะเข้าสู่นิพพาน นั้นก็ต้องสร้างบารมี๑๐อย่างนี้ให้สมบูรณ์ดังจะได้กล่าวต่อไปนี้   



ชาติที่ ๑. พระเตมีย์ใบ้   ทรงบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี

พระเตมีย์กุมาร ผู้ทรงบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี หมายถึง ผู้ที่บำเพ็ญบารมี เพื่อที่จะละจากกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ ละจากลาภ ยศ สรรเสริญ สุข (โลกธรรม ๘) ซึ่งมองเห็นว่าสิ่งเหล่านี้นำทุกข์มาให้ทั้งสิ้น

ชาติที่ ๒. พระมหาชนก ผู้บำเพ็ญวิริยบารมี

พระมหาชนก ผู้บำเพ็ญวิริยบารมี หมายถึงผู้ที่บำเพ็ญบารมีด้วยความวิริยอุตสาหะ จนสามารถประสบความสำเร็จ ในสิ่งที่พึงปรารถนา ดังที่ตั้งใจไว้ มุ่งบำเพ็ญวิริยะ โดยไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก แม้จะต้องเสี่ยงด้วยชีวิตก็ยอม เพื่อให้สำเร็จลุล่วง ตามความประสงค์นั้น ๆ

ชาติที่ ๓ พระสุวรรณสาม

พระสุวรรณสาม ผู้บำเพ็ญเมตตาบารมี หมายถึง พระสุวรรณสาม แม้จะถูกทำร้าย บาดเจ็บสาหัส แต่ท่านก็ยังแผ่เมตตาจิต ไปยังผู้ที่ทำร้าย โดยไม่มีความโกรธเคือง หรืออาฆาตพยาบาทแต่อย่างใดมีการให้อภัย ตลอดเวลานี้คือ การสร้างเมตตาบารมี ของพระสุวรรณสาม

ชาติที่ ๔ พระเนมิราช

พระเนมิราชผู้ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมีไม่ลุ่มหลงมัวเมากับความสุขที่มีอยู่บนสวรรค์ พระองค์ทรงทำตามคำอธิษฐานว่าจะมาปกครอง เมืองมนุษย์ให้อยู่ร่มเย็น เป็นสุข แม้พระอินทร์จะเชิญให้ท่านไปปกครองบนเมืองสวรรค์ก็ตาม ท่านก็ไม่ยินดี นี้คือ การสร้างอธิษฐานบารมี

ชาติที่ ๕ พระมโหสถ

พระมโหสถ ผู้ทรงบำเพ็ญปัญญา บารมี หมายถึง ใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีในเมืองมิถิลานั้นมีปัญหาต่าง ๆ มากมาย ที่ไม่มีใครสามารถแก้ปัญหาได้แต่พระมโหสถแม้ยังเยาว์วัยก็สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆได้ทุกเรื่องด้วยปัญญาอันเป็นเลิศ

ชาติที่ ๖ พระภูริทัต

พระภูริทัต ผู้ทรงบำเพ็ญศีลบารมี หมายถึง การนำศีลมารักษากาย วาจา ให้สะอาดปราศจากความชั่ว ยอมสละแม้ชีวิตถึงแม้ได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน สักเพียงใด ก็อดทนไม่แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ทำร้ายผู้อื่นเพื่อให้กาย วาจา สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากความชั่ว


ชาติที่ ๗ พระจันทกุมาร

พระจันทกุมาร ผู้ทรงบำเพ็ญขันติบารมี หมายถึง พระจันทกุมาร อดทนที่ต้องสูญเสียพระราชมารดา ญาติ พี่น้อง อันเป็นที่เคารพรัก อดทนที่ถูกคุมขัง ทุกข์ทรมาน แม้จะถูกบูชายันต์ เพราะเป็นความประสงค์ ของพระราชบิดา อดทนไม่แสดงความโกรธ หรือขัดขืนใด ๆ เสียสละ แม้ชีวิตของตนเอง เพื่อให้สมปรารถนาของพระราชบิดา นี้คือ หนึ่งในสิบชาติของพระพุทธเจ้า


ชาติที่ ๘ พระนารทกัสปะ

พระนารทกัสปะ ผู้ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี หมายถึง การบำเพ็ญเพียรด้วยความเป็นกลาง มีความเป็นธรรมด้วยความเป็นธรรมของ พระนารทกัสปะ เห็นว่าพระเจ้าอังคติราช ได้ทำผิดคิดชั่ว ผิดศีล ผิดธรรม ได้นำศีล ๕ธรรม๕ มาแสดงจนช่วยให้พระเจ้าอังคติราช ได้กลับตัวกลับใจ ละชั่วประพฤติดีนำศีล ๕ ธรรม ๕ มารักษากาย วาจาให้สะอาดปราศจากความชั่ว   เป็นผู้มีศีลมีธรรมประจำ กายวาจาใจ

ชาติที่ ๙พระวิฑูร (วิ) บัณฑิต

พระวิฑูรบัณฑิต ผู้ทรงบำเพ็ญสัจจะบารมี หมายถึง รักษาสัจจะวาจา ไม่โกหก หลอกลวง พูดแต่คำสัตย์ พูดแต่ความจริงเมื่อครั้งพระเจ้าธนญชัยโกรพแพ้พนันสกากับปุณณกะยักษ์ยอมยกราชสมบัติและข้าทาสบริวารให้ทั้งหมดแต่ปุณณกะยักษ์ต้องการเพียงตัวพระวิฑูรบัณฑิต แต่พระเจ้าธนญชัยโกรพไม่ยอมตรัสว่า พระวิฑูรบัณฑิต เป็นอาจารย์ ไม่ใช่สมบัติของพระองค์ไม่สามารถยกให้ได้ทั้งสองจึงได้เรียกพระวิฑูรบัณฑิต มาถามเพื่อตัดสิน พระวิฑูรบัณฑิต จึงไม่ยอมโกหกพูดความจริง ว่าเปรียบตนเองเป็นข้าทาสของ พระเจ้าธนญชัยโกรพและยอมที่จะไปกับปุณณกะยักษ์หลังจากนั้นปุณณกะยักษ์พยายามจะฆ่าพระวิฑูรบัณฑิตด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อจะเอาหัวใจไปถวายนางวิมาลาแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะมีสัจจะบารมีคุ้มครอง เป็นเหตุให้พ้นจากภัยอันตรายต่าง ๆได้

ชาติที่ ๑๐ พระเวสสันดรชาดก

พระเวสสันดรชาดกผู้ทรงบำเพ็ญทานบารมี หมายถึง การบำเพ็ญทาน คือ การให้ ทั้งทรัพย์สมบัติ เงินทอง และบุตร ภรรยา ทานทุกอย่างที่เป็นของรักของหวง ก็สามารถให้ทานได้ดังที่ชาวพุทธได้ฟังเทศนาเรื่องพระเวสสันดรชาดกกันประจำทุกปีนี้คือบำเพ็ญทานบารมีในชาติที่๑๐ ของพระพุทธเจ้า

         พระองค์สร้างบารมีทั้ง๑๐ ชาติ๑๐ อย่างนี้แล้วก็ยังไม่ได้เข้าสู่พระนิพพานพระองค์ยังต้องมาเกิดอีกในชาติสุดท้ายเป็นเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารมีมนุษย์สมบัติโดยสมบูรณ์พระองค์ท่านก็ยังมีความทุกข์กับราชสมบัติพระมเหสีพระราชโอรส ข้าทาสบริวารและกายของพระองค์ท่านที่ต้องมีการเกิดแก่ เจ็บ ตาย ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่มีวันที่สิ้นสุดในที่สุดพระองค์ท่านได้ตัดสินใจเสด็จออกบวชเพื่อหาทางพ้นทุกข์เพราะไม่อยากมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป ในที่สุดพระองค์ท่านก็พบสัจธรรมเป็นความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้คือพระองค์ท่านทรงเห็นกิเลส คือความโลภความโกรธความหลง ทั้งสามอย่างนี้ที่เป็นเหตุของการเกิดทุกข์พระองค์ทรงมีความเพียรอันเป็นเลิศสามารถชำระกิเลส ความโลภความโกรธ ความหลง ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจพระองค์พ้นจากความทุกข์ใจในที่สุดเมื่อพระองค์ตรัสรู้แจ้งเห็นจริงแล้วทรงสั่งสอนมนุษย์   พระองค์ทรงแสดงธรรมอบรมสั่งสอนให้ปัญจวัคคีย์ทั้ง๕เป็นครั้งแรกและมีพระอัญญาโกณฑัญญะที่มีดวงตาเห็นธรรมเป็นคนแรกจากนั้นก็เสด็จแสดงธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาทุกสถานที่เมื่อมีพระชนมายุได้๘๐พรรษาพระพุทธองค์ก็เสด็จเข้าสู่ปรินิพพานไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปนี้คือความหมายของคำว่า “นิพพานสมบัติ”

         บารมี ๑๐ อย่างนี้ ได้ติดตัวตามตนพระองค์ท่านมาแต่ชาติปางก่อน ได้ส่งผลให้มาเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้พระองค์ท่านก็ต้องสร้างบารมี ๑๐ อย่าง นี้ต่อไป เพื่อชำระกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ ความทุกข์ต่างๆ ก็จะหมดสิ้นไปด้วย   เมื่อดับแล้วซึ่งกิเลสและกองทุกข์ทั้งหลายจิตของท่านจะสงบแจ่มใสไร้มลทิน จะมีความรู้สึกสบายใจ ไม่สุข ไม่ทุกข์ กับสิ่งที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อีกต่อไป ท่านจะได้นิพพานสมบัติตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่นี้คือความดับทุกข์เพราะหมดกิเลสจิตสะอาดบริสุทธิ์ ผ่องใสไร้มลทินเมื่อดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน ไม่ต้องมาเวียนว่าย ตายเกิด ในวัฏสงสารอีกต่อไป จะมีแต่ความสุขชั่วนิจนิรันดร


         ท่านทั้งหลายที่ยังไม่สร้างบารมีทั้ง ๑๐ อย่างนี้ ก็ขอให้ท่านเริ่มปฏิบัติตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เช่น ฝึกการให้ทาน ฝึกการนำศีลมารักษากาย วาจา ฝึกสมาธิเพื่อให้จิตสงบเมื่อจิตสงบแล้วใช้จิตให้พิจารณาคำสอนบทต่าง ๆ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่เรียกว่า “วิปัสสนา” เพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงตามคำสอน เช่น พระองค์ท่านตรัสสอนให้เราพิจารณาว่าตัวเราประกอบไปด้วย ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ รูป ๑ นาม ๘ ไม่มีตัวไม่มีตน สักแต่เรียกว่า รูปกับนาม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วต้องดับไปในที่สุด ดังคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ว่า

อนิจจังคือความไม่เที่ยงมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ทุกขังคือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ มีสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นรูปหรือนาม เป็นทุกข์ทั้งสิ้น

อนัตตา คือ ความสูญเปล่า ไม่ว่าสิ่งใด จะเป็นรูปหรือนามในโลกนี้จะต้องมีการสูญสลายไปตามกาลเวลา

         ถ้าท่านพิจารณาได้ดังที่กล่าวมานี้ถือว่าท่านเป็นผู้มีปัญญาเห็นสัจธรรมคือเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่ามนุษย์ที่เกิดมามีร่างกายซึ่งเป็นรูปธรรมและมีจิตเป็นนามธรรมซึ่งมีกิเลสความโลภความโกรธความหลงครอบงำจิตมาโดยตลอดทุก ๆ ชาติเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตมีความเป็นทุกข์เพราะจิตเป็นทาสของกิเลสพาให้ลุ่มหลงมัวเมาในลาภ ยศสรรเสริญ สุข และติดอยู่ใน รูปเสียงกลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์   ยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้แม้กระทั้งตัวเราว่าเป็นสิ่งที่จะบันดาลความสุขทั้งหลายทั้งปวงจึงแสวงหาให้ได้มาไม่มีที่สิ้นสุดนี้คือ ผู้ที่รู้เหตุของการเกิดทุกข์ตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ใดอยากเข้าสู่พระนิพพานต้องชำระกิเลสทั้งสามอย่างนี้ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ   

         ขอให้ทุกท่านจงประพฤติ ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ได้มนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติ   และนิพพานสมบัติด้วยกันทุกท่าน...เทอญ...

Metha โพสต์ 2013-12-14 07:24

http://www.teentoa.com/data/board/pictures/0003929/thank_you_copy2.jpgขอบคุณครับ

Sornpraram โพสต์ 2020-3-6 07:02

{:6_200:}{:6_200:}{:6_200:}
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: ~ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ ~