รามเทพ โพสต์ 2020-1-2 07:35

หลวงพ่อปี้ วัดด่านลานหอย



   http://www.info.ru.ac.th/province/Sukhotai/pasuwicha.jpg
            ชาติภูมิ
      พระครูสุวิชานวรวุฒินามเดิมคือปี้ชูสุข
               (คำว่า "ปี้" หมายถึง เงินตราสมัยโบราณ)
               เกิดเมื่อวันพุธที่15ตุลาคม2455ตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำเดือน 11 ปีขาล
               ณตำบลลานหอยอำเภอบ้านด่านลานหอยจังหวัดสุโขทัย
               มีพี่น้องร่วมบิดามารดา5คนต่างบิดา 2คน คือ
       1.พระครูสุวิชานวรวุฒิ(ปี้ชูสุข)   ใช้นามสกุลเดิมฝ่ายมารดา
       2.นายเขียด   ชูสุข      (ถึงแก่กรรม)
               3.นายน้ำค้าง   ห่วงตุ่น(ถึงแก่กรรม)
               4.นายธรรม   ห่วงตุ่น
      5.นายไหม       ห่วงตุ่น
      6.นายทอน      ห่วงตุ่น   ต่างบิดา(ถึงแก่กรรม)
                  7.นายประทินห่วงตุ่นต่างบิดาhttp://www.info.ru.ac.th/province/Sukhotai/LP1%20copy.jpg

             ชีวิต และการศึกษาในวัยเด็ก

                  เมื่อเด็กชายปี้มีอายุได้ประมาณ 12 ปีบิดา มารดาได้นำฝากให้เรียนหนังสือกับพระอธิการหน่าย น้อยผลเจ้าอาวาสวัดเชิงคีรีตำบลลานหอย อำเภอบ้านด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัยเด็กชายปี้ชูสุขได้เริ่มเรียนหนังสือมูลบทบรรพกิจเบื้องต้นทั้งหนังสือไทยและหนังสือขอมกับพระอธิการหน่ายเรียนด้วยความขยันหมั่นเพียร ประกอบกับเด็กชายปี้ เป็นเด็กที่มีกิริยามารยาทเรียบร้อยให้ความเคารพยำเกรงต่อพระภิกษุ สามเณร และอาจารย์ทั่วๆ ไปจึงทำให้พระภิกษุ สามเณร และอาจารย์ในวัดเมตตาสงสารให้การแนะนำสั่งสอนเป็นอย่างดี จนเด็กชายปี้ชูสุข มีความสามารถอ่านเขียนหนังสือไทยและหนังสือขอมได้เป็นอย่างดี เป็นที่พอใจของบิดามารดาและครู อาจารย์มากต่อมาเมื่ออายุได้ 16 ปี ก็มีความจำเป็นต้องไปช่วยแม่ทำไร่ ทำนาเลี้ยงน้องเพราะฐานะทางครอบครัวของเด็กชายปี้ ยากจนมาก มีที่ไร่ที่นาก็ไม่เพียงพอที่จะทำกิน และบิดาก็มาเสียชีวิตลงด้วยความสงสารแม่และน้องอีกหลายคนเด็กชายปี้จึงต้องดิ้นรนหารายได้มาช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวด้วยเหตุว่าเป็นบุตรคนโตโดยการไปรับจ้างชาวบ้านเลี้ยงควายและทำนา ได้ค่าจ้างเป็นข้าวเปลือกปีละ 50 ถังซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการบริโภคตลอดปี

                  หลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เด็กชายปี้ ก็ยังต้องไปรับจ้างขับเกวียน ลากไม้ ได้ค่าจ้างเดือนละ 3 บาทซึ่งเคยเล่าให้ผู้ใกล้ชิดฟังว่า เมื่อถึงกำหนดแล้วไปขอเบิกเงินจากนายจ้าง นายจ้างก็จ่ายให้ไม่ครบ บางเดือนจ่ายให้ครั้งละ 2 สตางค์ 3 สตางค์แต่ก็ต้องอดทนต่อความยากลำบากอย่างแสนสาหัสกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท แต่ละสตางค์แต่ก็ต้องกัดฟันสู้ทนเพื่อแม่ และเพื่อน้อง         

                  พระครูสุวิชานวรวุฒิ   เคยเล่าให้พระภิกษุ สามเณร ฟังถึงความยากลำบากในวัยเด็กของเด็กชายปี้ชูสุขว่า "มันถึงที่สุดแค่นั้นเองเพราะถ้ามันเกินกว่านี้ไป ชีวิตก็ทนไม่ได้ ต้องตายแน่ๆ"         

                  เด็กชายปี้ เป็นผู้ที่มีความเมตตากรุณาต่อคนและสัตว์มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆเคยไปพบคนฆ่าสัตว์ คือเก้ง-กวาง ก็เกิดเมตตาสงสารจับใจ จนไม่สามารถรับประทานเนื้อสัตว์เหล่านั้นได้เด็กชายปี้ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเพศฆราวาส ซึ่งเต็มไปด้วยความยากลำบากจนอายุได้ 20 ปีก็เกิดศรัทธามีความปรารถนาจะบรรพชาอุปสมบทเป็นพุทธบุตรในพระพุทธศาสนา

รามเทพ โพสต์ 2020-1-2 07:36


การศึกษาทางพระพุทธศาสนา

                  เมื่ออายุครบ 20 ปีมีความเลื่อมใสศรัทธาที่บวชในพระพุทธศาสนา แต่ยังไม่สามารถจะบวชได้เพราะความยากจนไม่มีเงินจะซื้อผ้าไตรแม่จึงต้องพาไปหา นายโจทย์ เข็มคงกำนันตำบลลานหอยในขณะนั้น โดยได้ขอร้องนายโจทย์ ให้ช่วยเป็นเจ้าภาพจัดการให้ได้บวชในพระพุทธศาสนา นายโจทย์ ก็รับเป็นเจ้าภาพจัดการบวชให้สมความปรารถนายังความปลื้มปิติให้กับ นายปี้ และมารดาเป็นอย่างยิ่งแม่ของนายปี้ มีเงินไปร่วมในการบวชลูกชายเพียง ๒๕ สตางค์เท่านั้นเอง   ได้บวชเป็นพระภิกษุสมความปรารถนาเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2465   ณ พัทธสีมา วัดสังฆารามตำบลบ้านด่าน อำเภอบ้านด่านลานหอยจังหวัดสุโขทัยโดยมีพระครูวินัยสาร (พระราชประสิทธิคุณ)เจ้าคณะจังหวัดสุโขทัยเป็นพระอุปัชฌาย์พระอธิการน้อย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ได้ฉายาว่า ทินโนเมื่ออุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเชิงคีรีตำบลลานหอยอำเภอบ้านด่านลานหอยจังหวัดสุโขทัย         

                  การศึกษาพระปริยัติธรรม      ได้ศึกษานักธรรมชั้นตรีด้วยตนเองแล้วไปสมัครสอบสนามหลวง แต่สอบไม่ได้      เนื่องจากไม่สู้จะมีหนังสือเรียนและขาดครูสอน แต่ก็พยายามศึกษาด้วยตนเองมาโดยตลอดสอบนักธรรมชั้นตรีได้เมื่อปี พ.ศ. 2475 และได้เรียนวิปัสนากรรมฐาน และการธุดงค์กับพระอุปัชฌาย์ของท่านที่วัดราชธานีจนมีความเข้าใจในเรื่องการเดินธุดงค์ เป็นอย่างดีและมีศรัทธาเลื่อมใสตั้งใจออกธุดงค์ไปในที่ต่างๆเพื่อปฏิบัติธรรมกรรมฐานท่านได้ออกจาริกธุดงค์ไปในสถานที่ต่างๆ หลายจังหวัด คือ เมืองร่างกุ้งประเทศพม่า ปาดังเบซาประเทศมาเลเซีย เป็นต้น ปรากฏว่าท่านได้ออกเดินธุดงค์อยู่หลายปี   ท่านเป็นพระที่มีความเพียรสูง เคร่งครัดในพระธรรมวินัยและมีความมานะอดทนเป็นเลิศรูปหนึ่ง

การปกครองและสมณศักดิ์

                  พ.ศ. 2481        ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดเชิงคีรี         

                  พ.ศ. 2485         ย้ายมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดลานหอย และได้รับตราตั้งกรรมวาจาจารย์         

                  พ.ศ. 2492        เป็นพระอุปัชฌาย์         

                  พ.ศ. 2496        ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลบ้านด่านลานหอย         

                  พ.ศ. 2510        เลื่อนขึ้นเป็นพระครูสัญญาบัตรพระครูเจ้าคณะตำบลชั้นโท         

                  พ.ศ. 2510        เป็นเจ้าคณะตำบลกิตติมศักดิ์         

                  ท่านได้อบรมพระภิกษุสามเณร และอุบาสก อุบาสิกาที่ไปกราบนมัสการท่านในเทศกาลต่างๆเช่นในวันตรุษสงกรานต์วันเข้าพรรษา วันออกพรรษาเป็นต้นการอบรมของท่านส่วนใหญ่จะเป็นไปในแบบ"สนทนาธรรม"และ "ปริศนาธรรม"ท่านมีปริศนาธรรมมาก ได้แนะนำให้ประชาชนงดเว้นจากการทุจริต กลับมาประพฤติตนเป็นสุจริตชนได้เป็นจำนวนมากคนที่มีปัญหาเดือดร้อนมักไปนมัสการท่าน เล่าถึงปัญหาความเดือดร้อนให้ท่านฟังถ้าช่วยได้ท่านก็จะช่วยทันทีพร้อมกับให้คติธรรมแนะนำสั่งสอนให้ทำแต่ความดีต่อไปว่าผลของการทำความดีจะต้องตอบสนองอย่างไม่ต้องสงสัยท่านเป็นที่พึ่งทางใจของประชาชนได้เป็นอย่างดี

                  นอกจากวัดในเขตอำเภอบ้านด่านลานหอยแล้วท่านยังได้ให้การอุปถัมภ์การสร้างถาวรวัตถุให้กับวัดในอำเภอ และจังหวัดอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากที่ไปขอความอุปถัมภ์จากท่านในงานสาธารณอื่นๆ ที่จะเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา ประชาชนและทางราชการท่านได้ให้แนวความคิดในการงานนั้นๆ ให้แก่เจ้าหน้าที่และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องถ้าเป็นงานที่จะต้องมีการใช้จ่ายเงินท่านก็จะมอบวัตถุมงคลของท่านให้เจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องนำไปดำเนินการนับว่าท่านเป็นพระที่ทำประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาและประเทศชาติเป็นอย่างมากรูปหนึ่ง

รามเทพ โพสต์ 2020-1-2 07:37


อิทธิ-บารมี

                  อำเภอบ้านด่านลานหอย เป็นอำเภอที่มีที่ดินและป่าไม้มากในสมัยเมื่อ 20ปีมาแล้ว ราษฎรที่ทำมาหากินในท้องถิ่นมีน้อยมีประชาชนอพยพมาจากจังหวัดอื่นๆ มากมายมาทำมาหากินมีกรรมการวัดหลายท่านเล่าว่า "วันหนึ่งมีชายผู้หนึ่งซึ่งทำมาหากินในเขตหลวงพ่อ เมื่อชายผู้นั้นได้พบหลวงพ่อแล้วก็ได้ร้องบอกว่าหลวงพ่อเคยไปบิณฑบาตรที่บ้านของเขาทุกวัน จำได้อย่างแม่นยำ

                  พระเดชพระคุณหลวงพ่อไม่เคยออกบิณฑบาตรเลยในขณะที่ท่านย่างเข้าสู่วัยชรา เป็นไปได้อย่างไรเรื่องนี้หากได้ศึกษาประวัติพระบางรูปในอดีตจะทราบว่าเหตุการณ์อย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพระสงฆ์ที่สำเร็จในทางสมาธิวิปัสสนาเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อมรณภาพแล้ว คณะกรรมการวัดได้มีโอกาสเข้าไปในกุฎิของท่านในห้องจะมีเพียงเสื่อผืน หมอนหนึ่งใบ      เสื่อมีแต่คราบฝุ่นเกาะไม่ปรากฎร่องรอยแห่งการนอน      มีแต่ร่องรอยนั่งเท่านั้นแสดงให้เห็นว่า หลวงพ่อท่านไม่ได้มีชีวิตเพื่อนอนเลย

                  ทุกวันจะมีผู้มากราบไหว้พระเดชพระคุณหลวงพ่อมากมาย จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน วันหนึ่งคณะกรรมการวัดและคณะครูกำลังนั่งคุยกันอยู่กับหลวงพ่อ สักพักท่านลุกขึ้นกลับเข้าไปในกุฏิ เอาถุงพระออกมาให้กรรมการนับและวางเรียงไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงมีรถทัศนาจรจากต่างจังหวัดในภาคอีสาน ผ่านอำเภอบ้านด่านลานหอย ได้แวะกราบนมัสการหลวงพ่อ และท่านได้แจกพระแก่คณะทัศนาจร จำนวนพระพอดีกับที่ท่านบอกให้กรรมการนับวางไว้เหตุการณ์เช่นนี้มักเกิดขึ้นเสมอจนเป็นปกติวิสัยอันเป็นความเคยชินของกรรมการวัดลานหอย และถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

            น้ำมนต์ยอดอภินิหาร         

                  วันหนึ่งคณะกรรมการวัดฯ ได้นำน้ำใส่แท็งก์ไว้ประมาณ 4-5 แท็งก์ เพื่อให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อแผ่เมตตาให้เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผู้นำไปใช้ผู้เขียนได้กราบนมัสการหลวงพ่อว่า คงจะไม่มีคนมาเพราะสายมากแล้วหลวงพ่อตอบว่า "ใจเย็นๆ โยม"

                  ต่อมาพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ขึ้นไปนั่งปรกแผ่เมตตาอยู่บนแท็งก์น้ำเมื่อเสร็จพิธีประมาณ 1ชั่วโมงไม่น่าเชื่อว่าประชาชนได้หลั่งไหลเขามาในวันนั้นนับหมื่นคนแน่นไปหมด น้ำมนต์ที่ทำไว้หมดเกลี้ยง จนต้องเอาน้ำในบ่อขึ้นมาให้บูชาเพราะในวันนั้นน้ำในอาณาบริเวณวัดจะเป็นน้ำมนต์ทั้งสิ้นความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำมนต์แห่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อปี้ เป็นที่เลื่องลือไปไกลและเป็นที่แน่นอนว่า ขณะนี้น้ำมนต์บางส่วนเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันได้เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีพร้อมทั้งวัตถุมงคลที่พระเดชพระคุณท่านได้แผ่เมตตาไว้อีกเป็นจำนวนมากมาย ถึงแม้จะเป็นเพียงพระดินถ้าใครมีโอกาสได้ไว้บูชาติดตัวก็นับว่าโชคดี

            ล้ำเลิศทางแคล้วคลาด         

                  อาจารย์ศรีนวลสร้อยสน (อาจารย์ใหญ่โรงเรียนบ้านด่านปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว)เล่าว่าเมื่อครั้งหนึ่งในปี 2505มีการปลุกเสกครั้งใหญ่ที่วัดลานหอยมีการทำพระเป็นจำนวนมากมายนับแสนองค์และไม่เคยมีครั้งใดที่ในจังหวัดสุโขทัย จะประกอบพิธียิ่งใหญ่อย่างนี้ โดยมีบรรดาเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาร่วมพิธีอาทิ      หลวงพ่อครูบาวังวัดบ้านเด่น จังหวัดตาก,หลวงพ่อไว จังหวัดอุตรดิตถ์,หลวงพ่อเขียนจังหวัดพิจิตร,หลวงพ่อกันจังหวัดนครสวรรค์,หลวงพ่อทบ จังหวัดเพชรบูรณ์,เจ้าคุณวรพรตปัญญาจารย์ (หลวงพ่อแก้ว) จังหวัดชลบุรี,หลวงพ่ออั่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา,อาจารย์บุญโสม        จังหวัดลำปาง,หลวงพ่อปี้จังหวัดสุโขทัย ฯลฯ

                  เมื่อพิธีปลุกเสกเสร็จสิ้นลงแล้วอาจารย์ศรีนวลสร้อยสนได้รับพระพิมพ์มาหนึ่งองค์      อาจารย์ศรีนวล   พูดถึงในทำนองไม่เชื่อว่าของที่ได้มาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อจะขลังและศักดิ์สิทธ์จริงจึงได้นำพระที่ได้รับมาจากวัดไปมัดไว้กับกระด้งใบใหญ่ แล้วยกมือไหว้ขอขมาหลวงพ่อใช้ปืนลูกซองยิงในระยะห่างเพียง 1 ศอกเมื่อปืนดังปรากฎว่า ไม่มีลูกปืนลูกใดถูกกระด้งเลย เป็นที่น่าอัศจรรย์วัตถุมงคลชุดนี้เองที่หลวงพ่อได้นำเงินไปสร้างตึกสงฆ์ณโรงพยาบาลจังหวัดสุโขทัย สำหรับให้ประชาชนและพระภิกษุที่อาพาธได้ไปพักรักษา ตัวตึกพิเศษนี้ยังคงอยู่ที่โรงพยาบาลจังหวัดสุโขทัย

            ความเมตตา         

                  ผู้ที่เคยได้ไปนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่จะเห็นสัญลักษณ์ประจำวัดลานหอยอยู่ชนิดหนึ่งที่ตรึงใจท่านที่ไป คือ บรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เลี้ยงไว้มากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเก้งกวางหมูป่าวัวป่า ฯลฯ   ท่านเลี้ยงไว้ด้วยความเมตตา พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ปรารภว่า "สัตว์นั้นแม้จะเป็นสัตว์ป่า แต่ก็มีความจริงและซื่อตรงยิ่งกว่ามนุษย์ที่มีความคิดความอ่านที่ดีเสียอีก"   พระเดชพระคุณหลวงพ่อเล่าว่าแม้กระทั่งผึ้งที่เกาะในวัดก่อนจะมาอยู่อาศัยจะมีหัวหน้ามาบินวนท่านเป็นเชิงบอกกล่าวแม้เวลาจะไปก็บอกเช่นเดียวกับตอนมาอาศัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ให้ศีลให้พรไปท่านบอกว่าคนบางคนจะมาจะไปไม่บอกไม่กล่าวกับเจ้าของสถานที่ (จะไปก็ไม่ลา จะมาก็ไม่บอก) แย่กว่าสัตว์เสียอีกสัตว์ป่าบางชนิดดุร้ายประชาชนที่มานมัสการหลวงพ่อจะไม่มีโอกาสเข้าใกล้แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อสามารถจับและเล่นกับสัตว์เหล่านี้ได้ จากสัตว์ที่ดุร้ายกลายเป็นสัตว์ที่เชื่องไปในพริบตา และสัตว์เหล่านี้ก็มีความรักใคร่ในพระเดชพระคุณหลวงพ่อมากแม้กระทั่งวัวแดง (ชื่อไอ้ต่อม)   ครูเกินไชยเชิงชนซึ่งเป็นครูอยู่ที่ท่าดินแดง อำเภอคีรีมาศ มาขอไปเพื่อเป็นพ่อพันธุ์ หลวงพ่อให้ไป แต่วัวแดงไม่ยอมขึ้นรถ จนหลวงพ่อไปบอกวัวด้วยตัวท่านเองว่า "ไปเถอะ"   วัวจึงยอมไป และก็ไปตาย หลวงพ่อบอกว่ามันคงเสียใจท่านสร้างแท็งก์น้ำไว้ณโรงพยาบาลสุโขทัยตรงตึกสงฆ์เขียนที่แท้งก์น้ำว่า "อุทิศให้ไอ้ต่อม" บางครั้งผู้ที่ไปโรงพยาบาลสุโขทัยไปพบเห็นสิ่งเหล่านี้ จะเข้าใจเรื่องราวได้โดยตลอด

                  ปัจจุบันวัดลานหอยไม่มีสัตว์เหล่านั้นอยู่คู่วัดลานหอยอีกแล้ว ในอดีตวัดซึ่งเคยเป็นที่พำนักพึ่งพิงของสัตว์ทั้งหลายเหลือเพียงความทรงจำของคนรุ่นเก่าเท่านั้น   ตลอดชีวิตของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านอยู่เพื่อที่จะให้ไม่ว่าใครจะนิมนต์ไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่ใด ท่านไม่เคยขัดนิมนต์ท่านปลุกเสกแผ่เมตตาให้แก่วัตถุมงคลของทางราชการ ช่วยเหลือประเทศชาติของเรา วัตถุมงคลที่ปลุกเสกมีหลากหลาย เช่น พระเครื่อง แหวนผ้าธนบัตรขวัญถุง ฯลฯ

                  ตลอดชีวิตของพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้สร้างความเจริญให้กับพุทธศาสนามากมายในบริเวณวัดลานหอยท่านได้สร้างพระอุโบสถสำหรับประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเสร็จเรียบร้อยสวยงามเด่นเป็นสง่า ก็ด้วยบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่ออภินิหารของน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อสามารถสร้างพระอุโบสถได้เป็นหลังๆมีคนจากทั่วสารทิศมากราบนมัสการท่านมากมายมืดฟ้ามัวดินทีเดียว และจตุปัจจัยที่ได้จากผู้มากราบนมัสการก็ได้กลายมาเป็นพระอุโบสถหอสวดมนต์ และสิ่งก่อสร้างอันเป็นสาธารณกุศลอีกมากมาย

รามเทพ โพสต์ 2020-1-2 07:37

ไม่สรงน้ำ         

                  ไม่เคยมีผู้ใดเห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อสรงน้ำเลยตลอดชีวิตของบรรพชิตเรื่องการไม่เคยสรงน้ำนี้เอง มีเรื่องเล่าลือมากมายบางคนบอกว่าท่านสรงน้ำในโหลอันนี้เป็นไปได้ถ้าเราเคยศึกษาประวัติของปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นอาจารย์ของกรมหลวงชุมพร ฯ แล้วจะพบว่าเป็นเรื่องจริงของผู้สำเร็จวิชาชั้นสูงและเป็นที่น่าสังเกตว่าเนื้อตัวของท่านสะอาดอยู่ตลอดเวลา เคยมีคนนมัสการถามเกี่ยวกับการสรงน้ำของท่านว่า"ไม่เห็นหลวงพ่อสรงน้ำ?"พระเดชพระคุณหลวงพ่อตอบว่า "ท่านสรงทุกวัน" ทุกคนในที่นั้นเลยนิ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อให้นำน้ำมาหนึ่งถังทุกคนเฝ้ามองการสรงน้ำของพระเดชพระคุณหลวงพ่อไม่เห็นท่านสรงได้แต่พูดคุย เอามือลูบตามเนื้อตัวอยู่ตลอดเวลาทันใดนั้นปรากฎมีน้ำเปียกชุ่มตามตัวของท่านท่านได้บอกว่า "เอ้าข้าอาบแล้ว" นับเป็นความประหลาดและสร้างความตะลึงแก่ผู้ที่อยู่ณ      ที่นั้นเป็นอย่างยิ่ง

            ธรรมปฏิบัติและความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์         

                  คณาจารย์ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อปี้นับถือมากและยกย่องอยู่ตลอดเวลาได้แก่พระราชประสิทธิคุณ (เจ้าโบราณวัตถาจารย์)   ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อปี้ ไม่ว่าท่านเจ้าคุณจะเอ่ยปากในเรื่องใด ๆ พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นต้องสนองความต้องการของท่านเจ้าคุณอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นการจัดงานปลุกเสก ณ วัดราชาธานีครั้งใดๆ พระเดชพระคุณหลวงพ่อต้องไปช่วยทุกงานตลอดเวลาซึ่งนับว่าท่านเป็นแบบอย่างที่ดีของบุคคลที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์เป็นอย่างดียิ่ง ตลอดชีวิตของท่าน ท่านยึดมั่นในคุณความดี ยึดมั่นในส่วนรวมเมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ท่านสะสมไว้เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง นอกจากส่วนรวมเท่านั้น

                  พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ปรารภกับผู้ใกล้ชิดเสมอว่า      อย่ายึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเป็นเด็ดขาด และอย่าดำรงตนอยู่ในความประมาทมีผู้ที่ต้องการของดีจากหลวงพ่อมากมายเมื่อมากราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านไม่ได้ขัดความต้องการท่านให้คาถาบทสำคัญ คือ "ระวัง"ถ้าใครไม่คิด นึกว่าเป็นคำพูดธรรมดา แต่ถ้าผู้ที่มีความรู้สึกนึกคิดในทางธรรมแล้วนั่นแหละพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้ให้ของดีแก่เขาแล้ว คือ "ความไม่ประมาท" นั่นเอง
http://www.info.ru.ac.th/province/Sukhotai/LPimg311.jpg   http://www.info.ru.ac.th/province/Sukhotai/LPimg4111.jpg
            อาพาธและถึงแก่มรณภาพ         

                  ตามปกติ พระครูสุวิชานวรวุฒิ (หลวงพ่อปี้) เป็นผู้มีจิตใจสุขุมเยือกเย็นไม่เป็นคนล้าสมัยเพราะท่านคอยฟังข่าวจากวิทยุและหนังสือพิมพ์อยู่เสมอ เคยให้แนวคิดแก่ข้าราชการและนักการเมืองได้เป็นอย่างดี มีเมตตาอารีต่อประชาชนทั่วไป ใครมีความเดือดร้อนถ้าอยู่ในวิสัยที่จะช่วยเหลือได้ท่านจะไม่นิ่งดูดาย ต้องขวนขวายหาทางช่วยเหลือทันที เช่น เห็นประชาชนขาดแคลนน้ำอุปโภค ท่านก็จะช่วยจัดการให้ขุดสระน้ำขุดบ่อน้ำให้เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน        ความกตัญญู กตเวทีต่อพระอุปัชฌาย์ ท่านเจ้าคุณพระราชประสิทธิ พระอุปัชฌาย์ของท่านจะทำงานอะไรก็ตาม ที่มีความสำคัญๆจะต้องเรียกหลวงพ่อปี้ไปเป็นที่ปรึกษาหารือเสมอ ท่านมีความกตัญญูกตเวทีให้ความเคารพบูชาพระอุปัชฌาย์เหมือนบิดาบังเกิดเกล้า ยินดีรับภาระทุกอย่างที่พระอุปัชฌาย์มอบให้ถ้าอยู่ในวิสัยที่ท่านจะทำได้อาทิเรื่องวัตถุมงคลต่างๆ พระอุปัชฌาย์จะมอบหน้าที่ให้ท่านเป็นผู้จัดทำทุกครั้งไป เป็นที่เชื่อถือและไว้วางใจของพระอุปัชฌาย์มาก

                  เมื่อหลวงพ่อปี้ มีอายุสูงขึ้นพละกำลังก็เริ่มเสื่อมถอยลงตามวัยที่ชรา แต่กำลังใจของท่านมิได้เสื่อมถอยลงตามวัยสังขารที่ร่วงโรยยังคงปฏิบัติศาสนกิจได้ตามปกติแม้ร่างกายจะผ่ายผอมบอบบางดังที่กล่าวมาแล้วแต่ก็ไม่เคยป่วยหนักถึงกับต้องป้อนน้ำเลย

                  ก่อนจะอาพาธ และถึงแก่มรณภาพ ในคืนวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2517ท่านนิมิต และตื่นขึ้นกลางดึก ลุกออกมาจากห้อง เรียกพระที่นอนกันอยู่หน้าห้องของท่านให้ตื่นขึ้น และเล่าเรื่องที่ท่านนิมิตให้ฟังในขณะที่ยังมีอาการเหนื่อยหอบอยู่ว่า

      


รามเทพ โพสต์ 2020-1-2 07:40

      "เมื่อครู่นี้เองผมฝันชอบกล ฝันว่ามีคน 4 คน รูปร่างดำ ใหญ่ล่ำสัน มาชวนผมไปเที่ยว ผมก็ไปกับเขา ชาย 4 คนนั้น พาไปดูที่เขาทำโทษสัตว์ เป็นคนก็มี เป็นสัตว์ก็มี คนและสัตว์เหล่านั้นได้รับความทรมานมาก ร้องครวญระงมไปหมด เพราะถูกทรมานด้วยวิธีต่าง ๆ กันชาย 4 คน ได้ชี้ชวนให้ดูคนและสัตว์ที่ถูกทรมานอยู่ในสถานที่เหล่านั้น เป็นเพราะผลกรรมที่ได้ทำกันไว้ตั้งแต่เขายังมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ จึงต้องมารับทุกข์ทรมานอย่างนี้ส่วนคนที่ทำแต่ความดีเขาไม่ต้องมาสถานที่นี้ แต่จะมีที่ไปอีกทางหนึ่ง เรียกว่า "สุคติภพ" และเขาจะไม่มีความทุกข์เลยแล้วชาย 4 คนนั้น ก็พาเดินดูคนและสัตว์ที่ถูกทรมานไปเรื่อยๆจนผมเหนื่อยแทบขาดใจ คอแห้งเป็นผงหิวน้ำจนตาลาย ไปพบน้ำก็กินไม่ได้ เขาไม่ให้กิน ผมนึกถึงกรรมของผมได้เลย เชื่อว่าผลของกรรมนั้นมีแน่นอน ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่วจะต้องให้ผลแน่นอนที่ผมดื่มน้ำไม่ได้นั้นจะต้องเป็นผลของกรรมที่ผมทำไว้ในสมัยที่ผมเป็นเด็กเลี้ยงควายแน่นอน คือผมเอาเท้าไปเหยียบย่ำในบ่อทรายที่เขาทำไว้สำหรับใช้น้ำดื่มกรรมอันนั้นเริ่มปรากฎแก่ผมในวันนี้แล้วในความฝันนั้นผมอยากจะพูดอยากจะถามอะไรกับคนทั้ง 4 คนนั้นแต่ก็ถามไม่ได้ มันพูดไม่ออกเหมือนถูกผีอำผมอยากจะถามว่าคนและสัตว์เหล่านั้นเขาทำกรรมอะไรไว้แต่มันพูดไม่ออก ได้แต่ฟังเขาพูดและชี้มือให้ดูฝ่ายเดียว ในที่สุดบุรุษ 4 คนนั้นก็บอกผมว่า "ท่านจะไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้ว แต่จะต้องไปในที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ดี ตรงกันข้ามกับที่ท่านเห็นอยู่ในเวลานี้แต่วันนี้ยังไปไม่ได้กลับก่อนเถอะ" แล้วผมก็ตื่นขึ้นเหนื่อยมากคอแห้งผากเลย จนผมต้องลุกขึ้นมาดื่มน้ำนี่แหละมันเหนื่อยเหมือนกับเดินไปไหนมาไหนมาจริงๆ อย่างนั้นแหละผมเชื่อว่าผลของกรรมนั้นมีจริงพวกท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ (ท่านพูดกับพระภิกษุในวัด ใช้คำว่า "ท่าน" ไม่ได้ใช้คำว่า คุณ หรือเธอ)ผมขอเตือนว่าอย่าประมาทกัน เอาละนอนกันเถอะ ผมก็จะนอนเหมือนกัน" แล้วก็กลับเข้าไปในห้องของท่าน

                  พระภิกษุที่นั่งฟังหลวงพ่อเล่าความฝันในคืนนั้นคือ พระครูสมบูรณ์ วิสารโท เจ้าอาวาสวัดลานหอย ในปัจจุบัน นั่งฟังพร้อมกันกับพระภิกษุในรุ่นนั้นอีกหลายรูปตอนเช้าวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2517หลังจากฉันภัตตาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระทองคำ โชติปญโญ พระสมบูรณ์ วิสารโทร (พระครูสมบูรณ์)และพระภิกษุอีก 2 รูป เข้าไปกราบเพื่อขอลาไปอยู่ปริวาสกรรมที่วัดดอนศัก จังหวัดอุตรดิตถ์ ท่านก็อนุญาตให้ไปได้ ในตอนท้ายท่านได้พูดว่า"กว่าพวกท่านจะกลับมาผมก็คงจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว"

                  ช่วงสายวันนั้นท่านมีอาการอ่อนเพลียจึงให้นายบุญช่วย น้อยผล ลูกศิษย์ของท่านซึ่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลสุโขทัย และมีบ้านอยู่ใกล้ๆ วัด มาให้น้ำเกลือและกลูโคสแต่อาการของท่านไม่ดีขึ้นจึงต้องนำส่งโรงพยาบาลสุโขทัยเมื่อไปถึงโรงพยาบาล แพทย์และพยาบาลได้ให้การรักษากันอย่างสุดความสามารถ แต่อาการก็ยังทรงอยู่ ไม่ดีขึ้น

                  วันที่ 10 มกราคม 2517ตลอดทั้งวัน อาการของท่านก็ยังทรงอยู่ ไม่ดีขึ้น

                  วันที่ 11 มกราคม 2517 ปรากฎว่ามีโรคแทรกซ้อน คือไตไม่ทำงานอาการเริ่มทรุดลง แพทย์และพยาบาลได้ถวายการรักษาอย่างเต็มกำลังความสามารถแต่อาการกลับทรุดลงโดยลำดับในที่สุดท่านก็ถึงกาลมรณภาพไป เมื่อเวลา 19.27 น. ด้วยโรคหัวใจวายณโรงพยาบาลสุโขทัยด้วยอาการสงบ สิริอายุ 71 ปี2 เดือน26วัน

                  แม้ว่าท่านจะมรณภาพไปแล้วด้วยคุณงามความดี กอปรกับอิทธิบารมี พระครูสุวิชานวรวุฒิ(หลวงพ่อปี้ ทินโน) แห่งวัดลานหอยตำบลลานหอยอำเภอบ้านด่านลานหอยจังหวัดสุโขทัยยังเป็นปูชนียบุคคลทางด้านศาสนาที่ชาวสุโขทัย และประชาชนทั่วไปให้ความเคารพสักการะอย่างไม่เสื่อมคลาย

http://www.info.ru.ac.th/province/Sukhotai/pasuwicha.htm
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: หลวงพ่อปี้ วัดด่านลานหอย