oustayutt โพสต์ 2017-11-26 20:10

หลวงพ่อสังข์ ปุญญสิริ วัดน้ำเต้า ตอน การเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ดีควรมีศักดิ์ศรีอยู่ที่การกระทำ




http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/1.jpgมีเรื่องเล่าขานกันว่า ครั้งหนึ่งในขณะที่หลวงพ่อยังเป็นสามเณรน้อย ได้เกิดไฟไหม้ป่าขึ้น ไฟป่าได้ไหม้ตรงเข้ามาจะถึงกระท่อมที่หลวงพ่อจำพรรษาชาวบ้านแตกตื่นกันมากเพราะกลัวว่าหลวงพ่อจะได้รับอันตราย และด้วยเปลวไฟก็ร้อนแรงมากเนื่องจากบริเวณนั้นเป็นป่าไผ่ ทำให้ไม่สามารถเข้าไปช่วยอะไรได้ จึงได้แต่ร้องตะโกนบอกให้หลวงพ่อหนีออกมา ในขณะที่ไฟได้ไหม้จนถึงกุฎิหลวงพ่อ ได้เกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์คือเกิดลมหวนขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนและดับไฟลงได้ด้วยความแปลกใจชาวบ้านได้ถามหลวงพ่อว่า ไฟไหม้น่าจะเป็นอันตรายแบบนี้ หลวงพ่อไม่กลัวไฟหรือหลวงพ่อมีอะไรดี หลวงพ่อได้ตอบว่า… “ฉันได้ถวายชีวิตแก่พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้าแล้ว เมื่อจะเป็นอันตรายอย่างไร คุณพระท่านก็คงช่วยเหลือไม่ให้ได้รับอันตราย...” และตอนนั้นหลวงพ่อพอจะหนีได้ ทำไมไม่หนีออกมาล่ะ....ท่านตอบว่า “ฉันก็นั่งเจริญภาวนาระลึกถึงพระพุทธคุณอยู่ ก็คงเป็นด้วยคุณพระคุ้มครอง ไฟจึงไม่ไหม้มาถึงกระท่อม”http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/2.jpg ครับ เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นจริงว่ากันว่าเรื่องราวในอดีตต่างๆ ล้วนล่องลอยอยู่ในกาลเวลาและเฝ้ารอว่า สักวันหนึ่งจะมีใครเอื้อมขึ้นไปหยิบเรื่องราวเหล่านั้นมาถ่ายทอดต่อไป.... หลวงพ่อเป็นอดีตพระเกจิอาจารย์ที่สำคัญองค์หนึ่งของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในช่วงยุค ๒๕๐๐http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/3.jpgตอนที่หลวงพ่อท่านมรณภาพผมเองยังคงเล่นแปลงกายเป็นอุลต้าแมนอยู่เลยครับ จนเมื่อตัวเองโตขึ้นและเริ่มสนใจเรื่องของพระ เรื่องของความมหัศจรรย์แห่งจิต ฯลฯ จึงได้ทราบว่าหลวงพ่อองค์นี้คือพระอุปัชฌาย์ที่บวชให้กับหลวงปู่ทิม อตตสนโต แห่งวัดพระขาว แต่ก็จนใจด้วยว่าประวัติของท่านค่อนข้างสืบหายากเหลือเกินhttp://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/33.jpgจนผมได้พบกับท่านพระครูชินธรรมาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดสีกุก เรื่องราวประวัติของหลวงพ่อจึงค่อยๆประติดประต่อออกมายาวเหยียดดังนี้ครับ.....http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/4.jpg “สังข์” เป็นชื่อเดิมของ”ท่านพระครูอุดมสมาจาร” อดีตเจ้าอาวาส”วัดน้ำเต้า” อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยคุณพ่อคุณแม่และบรรดาญาติๆของหลวงพ่อ ต่างก็เรียกชื่อนี้ติดปากกันมาตั้งแต่หลวงพ่อสังข์ท่านยังเล็กๆ ..... สาเหตุที่เรียกเช่นนี้ เกิดจากในวันที่หลวงพ่อคลอดออกมา ก็ปรากฏว่ามีสายรกพันคอและในมือของหลวงพ่อก็กำสายรกที่มีลักษณะแปลกๆ กล่าวคือสายรกนั้นมีรูปร่างยาวรี เวลายกขึ้นจะคล้ายๆคณโทน้ำ เวลาวางบนพื้นก็จะมีลักษณะตอนท้ายที่กลมโต แต่ปลายเรียว ซึ่งหญิงชราสูงอายุที่ทำคลอดให้หลวงพ่อขณะนั้นถึงกับเอ่ยปากว่า “ดูคล้ายๆสังข์ที่เขาใช้สำหรับหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ในงานมงคลเสียจริงๆ...” ด้วยเหตุนี้แหละครับ บรรดาญาติๆจึงได้ขนานนามหลวงพ่อว่า “สังข์”http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/5.jpg


oustayutt โพสต์ 2017-11-26 20:11

หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก เคยตามคุณย่าไปใส่บาตรพระที่หน้าบ้านของท่านเป็นประจำ ครั้นเมื่อเวลาที่คุณย่าของท่านใส่บาตรเสร็จ มักจะเอาข้าวก้นบาตรมาปั้นเป็นก้อนให้ท่านทานเสมอ หลังจากนั้นคุณย่าของท่านก็จะตักน้ำมารดลงบนพื้นดิน ด้วยความสงสัยจึงได้ถามคุณย่าของท่านว่าทำอะไร คุณย่าของท่านจึงตอบว่า.... “เมื่อเราใส่บาตรเสร็จแล้ว ก็ต้องกรวดน้ำด้วยซิหลาน เพื่อญาติของหลานจะได้บุญด้วยไงล่ะ...” เชื่อไหมครับคำว่า “บุญ” เพียงคำเดียว สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเด็กชายตัวน้อยให้เข้ามานับถือและเชื่อมั่นในบวรพระพุทธศาสนาได้ทันทีจะว่าไปแล้วผมว่าคนเรานี่ก็แปลกๆ อย่างบางคนพบพระแล้วก็จะบอกลูกๆว่าให้ไหว้พระเสียสิลูก แต่ตัวเองไม่เคยไหว้นำให้เด็กๆเห็นเลย แล้วก็มักจะโทษเด็กๆว่า “มือแข็ง” กรรมของเด็กๆละครับhttp://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/6.jpg คำโบราณเขาว่า “ดัดไม้เมื่ออ่อนย่อมได้ผลดี” เช่นเดียวกันครับ “ปลูกศรัทธา” มันก็ต้องปลูกกันตั้งแต่เล็กแต่น้อยด้วยนิสัยที่ชอบในเรื่องของบุญกุศล เมื่อเด็กชายสังข์เติบโตมาพอที่จะตามคุณย่าของท่านไปวัดได้ คุณย่าจึงมักจะพาท่านไปทำบุญที่วัดด้วยเสมอและด้วยอุปนิสัยที่ชอบให้ทานแก่ผู้อื่น เช่นการที่ท่านนำตุ่มน้ำตั้งไว้ที่ศาลาพักร้อนหลังบ้านของท่าน เพื่อไว้ถวายแก่พระธุดงค์ที่เดินผ่านมา หรือเมื่อเห็นคนขอทานเดินมา ท่านก็จะรีบเข้าไปในบ้านและตักข้าวมาให้แก่ขอทานผู้นั้นได้รับประทานอาหาร ท่านว่าสิ่งที่ท่านชอบมากที่สุดคือเวลาที่ท่านถวายของให้พระสงฆ์ และได้รับพรกลับมาว่า... “ขอให้สำเร็จประโยชน์แก่พระโพธิญาณ”ท่านว่าประโยคนี้ได้ใจท่านมากครับ ทำให้ท่านรู้สึกอิ่มเอิบใจทั้งๆที่ท่านยังไม่รู้จักเลยว่า “บาปบุญ” เป็นอย่างไรhttp://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/7.jpg มีความเชื่อกันว่า “คนเราเกิดมาเพื่อจะเป็นอะไรสักอย่าง” ซึ่งความเชื่อแบบนี้ผมไม่แน่ใจว่ามันจะถูกต้องหรือเปล่า แต่อย่างน้อยมันก็เป็นความเชื่อที่มีสีสัน มีชีวิตชีวาและทำให้มนุษย์สามารถอยู่ได้อย่างมีความหวังสมัยที่เด็กชายสังข์ตัวโตยังไม่ถึงหนึ่งเมตร อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ท่านได้ไปอยู่วัดกับขลัวลุงขำ ซึ่งขณะนั้นขลัวลุงขำได้เรียน “กายคตาสติกัมมัฏฐาน” กับฆราวาสที่มีความรู้สูงชื่ออาจารย์อยู่ และเมื่อขลัวลุงขำเรียนจบก็มักจะชอบท่องสาธยายให้เด็กชายสังข์ฟังบ่อยๆว่า... “เกศาผม โลมาขน นขาเล็บ ทันตาฟัน ตโจหนัง นี่เป็นอนุโลม ตโจหนัง ทันตาฟัน นขาเล็บ โลมาขน เกศาผม นี่เป็นปฏิโลม...” ท่านว่าที่ขลัวลุงขำสาธยายให้ฟังนี้ ท่านไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร รู้แต่ว่าชอบมาก ฟังได้ไม่เบื่อ ครั้นจะถามก็ไม่กล้าเพราะกลัวจะโดนดุ จนเมื่อท่านมาอยู่วัดและได้เล่าเรียนศึกษา จนมีความรู้ทั้งหนังสือภาษาไทย หนังสือขอมและอ่านพระมาลัยได้(พระมาลัยสมัยนั้นเป็นภาษาขอม)http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/8.jpg ท่านจึงได้เข้าใจว่า “กายคตาสติกัมมัฏฐาน” คือกัมมัฏฐานอย่างหนึ่ง ว่าด้วยการกำหนดพิจารณากายให้เห็นว่า กายนี้ประกอบไปด้วยชื้นส่วนต่างๆ ซึ่งชิ้นส่วนต่างๆ นี้เราเรียกว่า “อาการ ๓๒” มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ว่ากันว่า “ธรรมะที่เกิดขึ้นในใจ ก่อให้เกิดปัญญารู้ เรียกว่าญาณปัญญา” ญาณปัญญาที่เกิดขึ้นมีคุณสมบัติพิเศษคือ “สามารถทำให้เรามองเห็นตัวเอง”http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/9.jpg “เราไม่ชอบเที่ยว ชอบที่จะสวดมนต์ มุ่งอยู่กับการปฏิบัติของเรา คือก่อนนอนเราก็สวดมนต์ สวดมนต์แล้วก็นอนแต่มานึกได้ว่า เมื่อเราสวดมนต์แล้วก็นอน หากตายไปเราก็จะกลายเป็นคนไม่มีศีลก็เลยมีความคิดว่าเวลาสวดมนต์ต้องสมาทานศีลด้วย เวลาตายไปจะได้เป็นคนที่มีศีล.....” เด็กชายสังข์บวชเป็นสามเณรน้อยเมื่ออายุได้ ๑๖ ปี โดยมีหลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสกัณฑ์ ตำบลพระขาว อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นอุปัชฌาย์บวชให้เมื่อวันจันทร์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๓ และเมื่อบวชแล้วสามเณรสังข์ได้เข้ามาจำพรรษาอยู่ที่วัดขวิด (ปัจจุบันชื่อวัดธรรมโชติการาม) ซึ่งเป็นวัดที่ไม่ไกลจากบ้านเกิดของท่านเท่าใดนัก กิจวัตรประจำวันของสามเณรสังข์เมื่อกลับจากบิณฑบาตและฉันเสร็จแล้ว ท่านก็จะเข้าไปอยู่ในป่าช้าหลังวัดเพื่อปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานเจริญภาวนาทำสมาธิ ท่านว่าในช่วงที่เข้ามาอยู่ในป่าช้าใหม่ๆ ก็ยังเกิดความกลัวhttp://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/10.jpgเนื่องจากป่าช้าของวัดขวิดเป็นป่าช้าเก่าที่มีศพฝังอยู่หลายศพและคงด้วยความเป็นที่นิยมของชาวบ้าน ป่าช้าวัดขวิดแห่งนี้จึงเป็นที่รองรับของบรรดาศพใหม่ๆ ที่มีทยอยเข้ามากันเรื่อยๆว่ากันว่าแม้แต่ตอนกลางวันนกยังไม่กล้าบินผ่านเลยครับนี่....ชาวบ้านเขาว่าเฮี้ยนกันขนาดนี้ แต่ว่าความเฮี้ยนนี้จะส่งผลให้หลวงพ่อสังข์ท่านเจอมิตรรักต่างมิติหรือเปล่าผมเองก็ไม่อาจทราบได้ ทราบเพียงแต่ว่าในกาลเวลาต่อมาสามเณรสังข์ สามารถเอาโลงศพเปล่าๆมาเรียงเพื่อรองนั่งได้ครั้นต่อมาพอชาวบ้านทราบว่าสามเณรสังข์สามารถเข้าไปปฏิบัติกัมมัฏฐานอยู่ในป่าช้าได้ ก็เกิดความศรัทธาจึงพากันมาปลูกกระท่อมหลังน้อยให้สามเณรสังข์จำพรรษา..กระท่อมน้อยหลังนี้แหละครับคือที่มาของ ”เรื่องราวมหัศจรรย์ไฟไหม้ป่า” ที่ผมพ่นไปในข้างต้นhttp://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/11.jpg “เราหมดความกลัวผีไปแล้ว เพราะมาฉุกคิดได้ว่า ทั้งเราทั้งเขาต่อไปก็จะต้องเป็นอย่างนี้เช่นกันทั้งนั้น....” สมัยก่อนชาวบ้านมักนิยมนิมนต์ให้พระสงฆ์ชักผ้ามหาบังสุกุลที่ศพในป่าช้า จึงไม่แปลกครับที่สามเณรสังข์เจ้าของสัมปทานป่าช้าจะถูกนิมนต์ให้ไปชักผ้ามหาบังสุกุลอยู่บ่อยๆและด้วยกิจวัตรของสามเณรสังข์ที่เคร่งครัดอยู่ในศีลธรรมกัมมัฏฐานเช่นนี้เอง ความได้ทราบไปถึง”หลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสกัณฑ์”อยู่เสมอๆ จนหลวงพ่อปั้นถึงกับเอ่ยปากทำนายว่า... “เจ้าเณรสังข์องค์นี้ ต่อไปจะเป็นเสมือนช้างเผือกประจำกรุงศรีอยุธยา...”

oustayutt โพสต์ 2017-11-26 20:12

ในระหว่างนั้นสามเณรสังข์ท่านก็ได้ไปมาหาสู่ปฏิบัติอุปัชฌาย์อาจารย์เสมอๆ ทำให้หลวงพ่อปั้นมีความรักและเมตตากับสามเณรสังข์มาก จึงได้ถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆให้กับสามเณรสังข์เป็นอันมาก สำหรับประวัติของหลวงพ่อปั้น วัดพิกุลนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่ในละแวกวัดพิกุลได้เล่าให้ผมฟังว่า....http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/12.jpg “หลวงพ่อปั้นนั้นท่านเป็นพระคณาจารย์ที่ทรงคุณวุฒิยิ่งอีกองค์หนึ่ง ท่านสามารถผูกหุ่นไว้เฝ้ากันขโมยได้ หรือแม้แต่ในวัดคราวที่มีงานใหญ่ๆ ล้างถ้วยล้างชามไม่ทัน หลวงพ่อปั้นท่านก็บอกให้เอาใส่เข่งเขย่าในน้ำล้างได้โดยไม่แตก...” นอกจากสามเณรสังข์จะได้เรียนคาถาอาคมจากหลวงพ่อปั้นแล้ว ท่านก็ยังได้สนใจเรียนกัมมัฏฐานไปด้วย โดยเฉพาะเรื่องของ”กายคตาสติ” จนจบอาการ ๓๒ โดยอนุโลมปฏิโลม(การพิจารณากลับไปกลับมา)จะว่าไปแล้วการเรียนกัมมัฏฐานของสามเณรสังข์ ถึงแม้ว่าจะน้อยแต่ก็ได้ผลที่ค่อนข้างสูง ที่ว่าได้ผลค่อนข้างสูงมีที่มาที่ไปครับhttp://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/13.jpg “วิชาการต่างๆในทางโลกนั้น จะนำมาใช้ได้ก็แค่เพียงในด้านการช่วยเหลือสังคมเท่านั้น ซึ่งวิชาการต่างๆเหล่านั้นไม่สามารถช่วยให้พ้นจากทุกข์คือกิเลสเร่าร้อนไปได้เลย”http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/14.jpg “ถึงเราจะเรียนกัมมัฏฐานเพียงอย่างสองอย่าง แต่เราก็สามารถนำมาใช้ฝึกหัดดัดนิสัยจิตใจให้อยู่เหนืออำนาจกิเลส คือความโลภ ความโกรธ ความหลงผิดในเมื่อรู้เท่าทันกิเลสเครื่องเร่าร้อนได้แล้ว เราก็สามารถหาทางดับมันได้โดยไม่ยาก ถึงดับไม่หมดทีเดียวแต่ก็ทำให้มันน้อยลงได้ เหมือนไฟที่ไม่ใส่เชื้อก็มีแต่จะดับลง..” ครับจะว่าไปแล้วถึงหลวงพ่อสังข์ท่านเรียนรู้และชำนาญเฉพาะแค่”กายคตาสติ”เท่านั้น โดยส่วนตัวผมก็คิดว่าท่านเยี่ยมแล้วเพราะว่า”กายคตาสติ”เป็นการเรียนรู้สภาวธรรมความเป็นจริงของสังขารร่างกายของตนเองจะเปรียบเทียบก็ทำนองว่าเรียนรู้เท่าทันตนเองก่อนและจึงค่อยไปเรียนรู้เรื่องราวภายนอก คนเรานะครับมักหลงลืมที่จะทำความเข้าใจกับจิตใจของตนเองและมักชอบจะบอกเสมอๆว่าเข้าใจคนอื่น....http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/15.jpg การที่สามเณรสังข์บำเพ็ญเพียร เพื่อจะเอาชนะจิตใจให้อยู่เหนืออำนาจกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้นทำให้ครั้งหนึ่งพระครูปุ้ย เจ้าอาวาสวัดขวิดเอาน้ำล้างจานข้าวที่ฉันแล้วเทราดลงบนศรีษะของสามเณรสังข์ ซึ่งขณะนั้นสามเณรสังข์ท่านกำลังนั่งฉันอาหารอยู่บนศาลาที่กำลังมีญาติโยมร่วมทำบุญเพราะเป็นวันพระ แต่สามเณรสังข์ท่านก็ยังนั่งฉันไปตามปกติ ไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองอะไรเลย... ซึ่งพระครูปุ้ย ท่านมาเฉลยภายหลังว่าสาเหตุที่ท่านเทน้ำล้างจานข้าวลงบนศรีษะสามเณรสังข์นั้น"เพื่อจะลองใจสามเณรน้อยดูว่าสามารถปฏิบัติกัมมัฏฐานจนสามารถเอาชนะความโกรธ อำนาจแห่งกิเลสได้หรือยัง"เล่าลือกันว่าจากเหตุการณ์นั้นคะแนนเสียงของความศรัทธาจากชาวบ้านต่างเทลงที่สามเณรน้อยล้นหลามเลยทีเดียว....http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/16.jpg พูดถึงคำว่า”การเรียนรู้” ผมเชื่อว่าแต่ละคนจะมีนิยามหรือมุมมองของคำว่าการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะว่าแต่ละคนนั้นจะรับรู้และมีประสบการณ์ก็เพียงเฉพาะในส่วนที่ตนเองได้เคยรับรู้หรือเคยสัมผัสเท่านั้น.... สำหรับพระภิกษุสงฆ์แล้ว รับรู้แตกต่างกันได้ในบางเรื่องแต่เรื่องที่รับรู้แตกต่างกันไม่ได้คือพระธรรมวินัย... “หากเปรียบเทียบว่าคนเรามีหัวใจเพียงหนึ่งดวง พระธรรมวินัยก็คือห้องหนึ่งในหัวใจดวงนั้น...”http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/suang/17.jpg
http://oknation.nationtv.tv/blog/sitthi/2009/02/13/entry-1

Sornpraram โพสต์ 2017-11-27 07:29

{:6_200:}{:6_200:}{:6_200:}

Sornpraram โพสต์ 2020-5-9 13:16

{:5_148:}{:5_148:}{:5_148:}
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: หลวงพ่อสังข์ ปุญญสิริ วัดน้ำเต้า ตอน การเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ดีควรมีศักดิ์ศรีอยู่ที่การกระทำ