oustayutt โพสต์ 2017-11-2 21:21

*รักษาคำสัตย์เพียงอย่างเดียวก็ยังได้ไปเกิดในสวรรค์

---คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาได้จารึกเรื่องราวอานิสงส์ของการรักษาคำสัตย์เอาไว้ว่า---ในกาลก่อนมีสตรีนางหนึ่งไม่ได้ให้ทานไม่ได้ทำการบูชาไม่ได้ฟังธรรมเลยมีแต่รักษาเพียงคำสัตย์อย่างเดียวตายแล้วไปบังเกิดในเทวโลก---พระมหาโมคคัลลานะ จาริกไปในพรหมโลกยืนอยู่ใกล้ประตูวิมานของเทวดานั้น ถามว่า“เธอทำบุญอะไรไว้ จึงได้สมบัติมากเช่นนี้”---นางเทพธิดานั้นตอบท่านว่า “บุญนี้ดิฉันได้เพราะรักษาคำสัตย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
*พระเถระมาถวายบังคมพระศาสดา ทูลถามว่า“พระเจ้าข้าบุคคลอาจได้ทิพยสมบัติด้วยคุณเพียงพูดแต่คำสัตย์อย่างเดียวเท่านั้น ได้หรือไม่”
---พระศาสดาตรัสว่า“โมคคัลลานะเหตุไฉนเธอจึงถามเราเล่าความข้อนี้ นางเทพธิดาบอกแก่เธอแล้วมิใช่หรือ”---จึงเป็นเรื่องที่ยืนยันได้ว่าพุทธธรรมนั้นให้ความสำคัญในเรื่องของการรักษาคำสัตย์เพียงไร*วิกฤตสัจจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา---การรักษาคำพูด หรือ การไม่กล่าวเท็จ ก็คือข้อหนึ่งใน ศีลห้าอันถือว่า เป็นมนุษยธรรม คือ ธรรมของมนุษย์ถ้าต่ำกว่านี้มนุษย์ก็มักจะมีปัญหาเสมอ---ในสังคมยุคปัจจุบันนี้การที่จะพูดตรงไปตรงมาไปเสียทั้งหมดนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ยากอยู่สักหน่อย เช่น ถ้ามีคนถามว่าคิดอะไรอยู่ เราก็มักจะตอบว่า เปล่า ไม่ได้คิดอะไรทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วก็คิดนี่อาจไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรนักแต่ก็อาจทำให้เราสังเกตได้ว่าในต่างยุคสมัยนั้นความมีสัจจะของผู้คนก็ต่างกัน---เรื่องที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่ายุคไหนๆคำพูดที่ให้แก่กันไว้อย่างเป็นจริงเป็นจัง ถ้าไม่รักษาเอาไว้ก็จะเกิดวิกฤตตามมาจนได้ การไม่รักษาคำพูดที่ให้ไว้ บางครั้งคนเราอาจไม่สังเกตพบผลเสียในทันทีทันใดแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองแล้วแน่นอนทันทีคือ จะเป็นคนไม่จริงกับสิ่งที่ตัวเองได้ พูด คิด และตั้งใจไว้ หรือ ลบล้างและทรยศต่อสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมา*ฉะนั้น เมื่อเวลาที่สมาธิไม่ดีหรืออานุภาพแห่งมนต์คาถาเสื่อมคนโบราณท่านจึงหันมาทบทวนสัจจะและศีลของตัวเอง---แม้ในปัจจุบัน เรื่องของเครดิตก็เป็นเรื่องที่เห็นได้ไม่ยากถ้าคนเราถูก ดิสเครดิต หมดความเชื่อถือลงเมื่อใดกว่าจะสร้างขึ้นมาใหม่ก็ยากแสนยากอันตรายจาก วิกฤตความเชื่อ เป็นเรื่องที่คนยุคนี้เข้าใจกันดี นี่อาจเป็นเรื่องสังคมภายนอกแต่สำหรับภายในนั้นยิ่งไปกันใหญ่---คนเราจะทำอะไรให้ดีได้ล่ะ ถ้าหากธาตุแท้ของความเป็นตัวเรานี้ไม่จริงกับอะไรสักอย่าง ประโยชน์หรือข้อได้เปรียบจากการไม่รักษาคำพูดมันจะได้สักเท่าไหร่กันถ้าคนเรามานึกถึงว่าได้ประโยชน์จากเขา แต่อริยทรัพย์ของเราพร่องไปทุกที..

oustayutt โพสต์ 2017-11-2 21:22

อมตะตลอดกาล---อำนาจของสัจจะหรือบุญฤทธิ์ของสัจบารมีนั้นไม่ว่าคนยุคนี้จะเชื่อมั่นกันเต็มร้อยหรือไม่เรื่องราวต่างๆ ก็ยังคงเป็นเรื่องอมตะตลอดกาล เช่น เรื่องพระร่วงกับขอมดำดิน เรื่องสัจจะของนางสุชาดาในตำนานพระแก้วดอนเต้า เรื่องสัจจะของพระนางมัสสุหรีหรือพระนางเลือดขาวแห่งลังกาวี เป็นต้นนอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของพระเถระผู้มีวาจาสิทธิ์อีกมากมาย
*ด้วยสัจจกิริยาของลูกนกคุ่มโพธิสัตว์---ไฟจะไม่ลุกหรือแม้จุดไฟก็ไม่ติดไปตลอดกัป(ภัทรกัป)*ตามคัมภีร์พระพุทธศาสนาใน อรรถกถาชาดก ได้กล่าวไว้ว่า---เมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์และทรงถือกำเนิดเป็น ลูกนกคุ่มนกพ่อแม่ทำรังอยู่ในป่าทิ้งให้ลูกนกนอนอยู่ในรังส่วนนกสองตัวผัวเมียก็ออกไปหาเหยื่อมาป้อนยังมิทันที่ลูกนกจะมีกำลังกางปีกบินและยกเท้าก้าวเดินได้ก็พอดีถึงฤดูไฟไหม้ป่าไฟเกิดไหม้ป่าลุกลามมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหวบรรดาฝูงนกทั้งหลายต่างกลัวตายพากันส่งเสียงร้องเอ็ดอึงบินออกจากรังของตนหนีไปนกคุ่มพ่อแม่ทั้งสองของพระโพธิสัตว์ก็กลัวตายจึงทิ้งพระโพธิสัตว์ไว้ในรังแล้วพากันบินหนีไปเช่นกันพระโพธิสัตว์นอนอยู่ในรังยืดคอออกดูเห็นไฟป่ากำลังลุกลามท่วมท้นเข้ามาจึงรำพึงว่า---ถ้าข้าพเจ้ามีกำลังกางปีกบินไปในอากาศได้ ข้าพเจ้าก็จะบินไปที่อื่นถ้าข้าพเจ้ามีแรงยกขาเดินไปบนพื้นดินได้ ข้าพเจ้าก็จะก้าวขาเดินไปที่อื่นทั้งพ่อและแม่ของข้าพเจ้าก็กลัวตายทิ้งข้าพเจ้าไว้แต่ผู้เดียว ต่างเอาตัวรอดบินหนีไปแล้วบัดนี้ข้าพเจ้าไม่มีที่พึ่งอื่นตัวเองก็หาคุ้มครองตัวเองได้ไม่ ตัวเองหาเป็นที่พึ่งแก่ตัวไม่วันนี้ข้าพเจ้าควรทำอย่างไรดีหนอครั้นแล้วก็คิดได้ว่าในโลกนี้มีคุณคือ ศีล มีคุณคือ สัจจะพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งทรงบำเพ็ญพระบารมีมาแล้วในอดีตได้ประทับนั่ง ณ โคนไม้โพธิพฤกษ์และทรงตรัสรู้แล้วพระองค์ทรงประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะประกอบด้วยสัจจะ ด้วยความเอ็นดู ด้วยความกรุณาและขันติทรงเจริญเมตตาในสรรพสัตว์ทั้งหลายบรรดามีอยู่ในโลกมาแต่อดีตกาลอนึ่ง คุณธรรมทั้งหลายที่พระสัพพัญญูพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งแทงตลอดมีอยู่ เรื่องนี้เป็นสัจจะ คือความจริงแม้ในตัวข้าพเจ้าเองก็มีสัจจะ 3 ประการปรากฏอยู่ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าควรระลึกถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้วพร้อมทั้งคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงบรรลุแล้วนั้นยึดเอาสัจจะที่มีอยู่ในตัวข้าพเจ้ามาทำสัจจกิริยา ขอให้ไฟป่าถอยกลับไปทำความสวัสดีให้เกิดแก่ตนเองและฝูงนกทั้งหลายด้วย.....---ครั้นแล้ว ลูกนกคุ่มก็ทำสัจจกิริยา(ซึ่งภายหลังเรียกว่า วัฏฏกะปริตร)ไฟไหม้ป่าก็ดับไปเหมือนเอาคบเพลิงจุ่มลงในน้ำพระปริตรนี้มีเดชหรือความขลังตั้งอยู่ชั่วกัปในที่บริเวณนั้นไฟจะไม่ลุกหรือแม้จุดไฟก็ไม่ติดไปตลอดกัปด้วย*วัฏฏกะปริตร มีอานุภาพป้องกันไฟและภยันตราย---ในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อนที่จะตามมานี้เป็นช่วงที่เกิด อัคคีภัยได้ง่ายพุทธศาสนิกชนผู้ไม่ประมาทนอกจากจะต้องระมัดระวังรอบคอบแล้วการสวด วัฏฏกะปริตร ก็เป็นเครื่องป้องกันที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งที่ยึดถือกันมาแต่โบราณและกล่าวกันว่ามีผู้เห็นผลมามาก---สำหรับคาถา หัวใจนกคุ่ม หรือ หัวใจนกคุ้ม นั้น เป็นคาถาที่มีมาแต่โบราณใช้ภาวนากันความร้อนและไฟไหม้เวลาเกิดไฟไหม้ให้ภาวนาคาถาแล้วใช้ผ้าหรือมือโบกไป ไฟก็จะดับ คาถามีเนื้อความว่าสุโปกัญจะบางตำราจะว่าคาถา หัวใจน้ำ คืออะปานุติ ก่อนนำหน้าจึงรวมเนื้อความเป็นว่าอะปานุติ   สุโปกัญจะมีอานุภาพเช่นกัน---สัจจะ มิได้หมายความเพียงการกล่าววาจาเท่านั้น แต่โดยความหมายแล้วสัจจะนั้น หมายถึง ความจริงใจ จริงจัง ความซื่อสัตย์ โดยสรุปก็คือความรับผิดชอบนั่นเอง รับผิดชอบต่ออะไรบ้าง ก็รับผิดชอบต่อบุคคล คือคบใครก็คบด้วยความจริงใจ ไม่คดในข้องอในกระดูก รับผิดชอบต่อคำพูดคือพูดจริงทำจริง พูดอย่างไรก็ทำ---อย่างนั้น ทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น รับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน คือไม่ว่าจะทำงานอะไร ก็ตามจะตั้งใจทำงานนั้นให้ดีที่สุด และประการสุดท้ายรับผิดชอบต่อความดี คือไม่ว่าจะทำอะไรก็จะถือเอาธรรมเป็นใหญ่ไม่ยอมทำในสิ่งที่ผิดศีลธรรม.*วิธีการฝึกสัจจบารมีกระทำได้ดังต่อไปนี้---1.ศึกษาประวัติการสร้างบารมีของนักสร้างบารมีในทั้งในอดีต และในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนที่พระองค์พทรงปรารภความเพียรทรง กระทำสัจจกิริยาว่า หากไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณจะไม่ลุกจากที่ ที่สุดพระองค์ ก็ทรงบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ หรือพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านก็ได้กระทำสัจจกิริยาในคืนวันเพ็ญเดือน ๑๐ หากไม่บรรลุธรรมของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ยอมลุกจากที่ ที่สุดท่านก็สามารถค้นพบวิชชาธรรมกายได้ อย่างนี้เป็นต้น เมื่อเราได้ศึกษาประวัติการสร้างบารมีของท่านทั้งหลายเหล่านี้ เราจะมีกำลังใจในการสร้างสัจจบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
---2.ฝึกทำทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น กิจวัตร กิจกรรม ภาระกิจที่ได้รับหมอบหมายอย่างดีที่สุด ไม่ทำแบบขอไปที เพียงพอให้เสร็จ จะทำวัตร จะสวดมนต์ จะบริหารร่างกาย จะทำงาน ทุกอย่างก็ต้องทำอย่างดีที่สุด ไม่ปล่อยผ่านแม้เรื่องเล็กน้อย ทำอย่างเต็มที่ เท่าที่ ความสามารถของเราจะทำได้ อย่างนี้แหละจะเป็นการฝึกสัจจบารมีของเรา---3.ประหยัดคำพูด คือพูดเท่าที่จำเป็น คำพูดนั้นพูดแต่คำที่เป็นประโยชน์จริง ไพเราะ ถูกกาล เพราะการพูดมากก็ผิดมาก พูดน้อยก็ผิดน้อย แต่หากไม่พูดเลย เดี๋ยวจะไม่รู้เรื่อง ฉะนั้นก่อนพูดทุกครั้งต้องพิจารณาก่อน ว่าสิ่งใดควรพูดสิ่งใดไม่ควรพูด แล้วสัจจบารมีของเราจะเพิ่มพูนขึ้น---4.ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่าเรายังไม่หมดกิเลส โอกาสที่จะกระทำความผิดนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่เมื่อกระทำไปแล้วต้องยอมรับผิด อย่ากลัวเสียหน้า เพราะหากกลัวเสียหน้าแล้ว เราจะไม่สบายใจเอง ต้องตามจดจำความผิดที่กระทำไว้ เมื่อเรายอมรับผิด แล้วตั้งใจแก้ไขตนเอง ผู้อื่นก็พร้อมจะให้อภัยอยู่แล้ว เราเองก็สบายใจ
---5.คบหากัลยาณมิตรที่เป็นคนทำจริง พูดจริง เพราะกัลยาณมิตรจะคอย ตักเตือนเราไม่ให้กระทำสิ่งที่ไม่ดีได้ นอกจากนี้ การมีผู้ที่เราไว้ใจสามารถบอกกล่าว ความผิดที่เรากระทำได้ นั่นจะเป็นการฝึกให้เราเป็นคนที่ไม่ปิดบังความชั่วของตนเองไปได้อีกทาง และกัลยาณมิตรจะช่วยบอกหนทางแก้ไขให้กับเรา ไม่ให้เราต้องกระทำ ผิดอีกครั้ง---6.ปฏิบัติธรรม หมั่นนั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ เพราะการหมั่นทำสมาธิจะทำให้ เรามีสติสามารถควบคุมความประพฤติทางกายวาจา โดยเฉพาะทางวาจา เมื่อเรามีสติ ก็จะกล่าวแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ สัจจบารมีก็จะเพิ่มพูนอยู่เรื่อยๆ และเป็นการสร้างสัจจบารมีอย่างดีที่สุดด้วย

Sornpraram โพสต์ 2019-9-6 09:23

{:6_200:}{:6_200:}{:6_200:}
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: *รักษาคำสัตย์เพียงอย่างเดียวก็ยังได้ไปเกิดในสวรรค์